ความชุ่มชื่นไหลผ่านริมฝีปากลงไปยังลำคอทำให้ชายหนุ่มค่อยๆ รู้สึกตัวแต่เพราะความกระหาย เขาคว้าข้อมือเล็กไว้ทันทีที่รู้สึกว่านางกำลังผละไป
“นี่! ข้ารู้ว่าเจ้ากระหายน้ำ แต่จับมือข้าเช่นนี้ ข้าป้อนน้ำให้ไม่ได้” นางขึ้นเสียงใส่อย่างหงุดหงิด มือของเขาแข็งแกร่งปานคีบเหล็ก แต่นั้นก็ทำให้รู้ว่าร่างกายของเขาคลายความร้อนลงไปมากแล้ว
เพราะไม่เคยถูกสตรีดุใส่หรือใช้น้ำเสียงเช่นนี้ ชายหนุ่มพลันได้สติและปรับสายตาครู่หนึ่ง เขามองเห็นเงาร่างแบบบางที่สวมเสื้อผ้าชุดผ้าฝ้ายเนื้อหยาบ เส้นผมสีดถักเป็นเปียเส้นเดียวแล้วมีผ้าโผกศีรษะทับอีกชั้น ดูราวกับหญิงชาวบ้าน ทว่าที่นี่คือตำหนักเย็น หรือนางจะเป็นหญิงรับใช้ที่ติดตามสนมเข้าในที่แห่งนี้
“ขอมือข้าคืนได้หรือไม่”
ใบหน้าหญิงสาวที่ผอมซูบแต่มีดวงตาประกายสดใสทำให้เขาเพิ่งนึกได้ว่าตนกำข้อมือนางอยู่ เขาจึงรีบปล่อยมือทันที หลินอวี่เหยาถอนหายใจเบาๆ ดูข้อมือของตนที่เป็นแดงขึ้นมาแล้วทำตาดุใส่บุรุษแปลกหน้า
“ยึดเตียงข้าไม่พอ กล้าทำร้ายผู้มีพระคุณอีก”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วแล้วกลอกตามองไปด้านข้างจึงรู้ว่าตนนอนอยู่บนที่นอนหญ้าแห้งเพราะมีเศษหญ้าแห้งหลุดออกมา
“ฝีมือเย็บปักข้าไม่ดีนัก” นางรีบออกตัวแล้วเดินไปรินน้ำอุ่นกลับมายื่นให้เขา “ค่อยๆจิบ”
“แม่นางช่วยข้า?”
“เจ้าเห็นมีคนอื่นรึ” หญิงสาวยิ้มมุมปากเชิดใบหน้าขึ้นด้วยความเคยชิน
“เจ้าเป็นหมอ?” เขาก้มมองแผ่นอกเปลือยเปล่าที่ตอนนี้มีผ้าพันที่หัวไหล่ซ้าย อาการร้อนไปทั่วร่างไร้เรี่ยวแรงก็บรรเทาลง
“ไม่ใช่” นางยักไหล่เล็กน้อย ลืมตัวไปว่าตอนนี้อยู่ในร่างอายุสิบเจ็ดเท่านั้น แต่...คนที่นี่อายุสิบเจ็ดก็ไม่ใช่เด็กแล้วนี่นะ “ช่างเถอะ ข้าพอรู้เรื่องสมุนไพรอยู่บ้าง แล้วก็ต้องขออภัยที่เมื่อวานข้าหลอกเจ้าว่าถูกพิษร้ายแรง”
“แล้วข้าเป็นอะไร” เขาถามหลังจากดื่มน้ำจนหมดถ้วยแล้ว
“เป็นไข้จากแผลติดเชื้อ เอ่อ เอาเป็นว่าเป็นไข้เพราะบาดแผลของเจ้านั้นแหละ” ที่นี่ไม่มียาฆ่าเชื้อ ยาล้างแผล นางต้มน้ำสมุนไพรจากใบฝรั่งกับขิงใช้ล้างแผลแล้วก็เช็ดตัวจนไข้ลด “โชคดีที่เช็ดตัวแล้วไข้ลด”
“เช็ด...เช็ดตัว? เจ้าเช็ดตัวข้า!”
ดวงตาคมจ้องมองอย่างดุดัน แต่หญิงสาวกลับเอียงคอมองเขาอย่างสงสัย พลันยื่นหลังมือแตะหน้าผากของเขาอีก!
กว่าจะรู้ตัว นางก็ชักมือกลับไปแล้ว
“ไข้ลดแล้ว แต่ทำไมเจ้าทำหน้าเหมือนสติไม่ปกติ หรือก่อนหน้านี้เป็นไข้จนกระทบกระเทือนสมอง”
“เจ้า! เจ้าเป็นสตรีเหตุใดไม่รู้จักสำรวม”
หลินอวี่เหยาได้ยินดังนั้นพลันเข้าใจทันที ใบหน้าหวานระบายยิ้มระเรื่อก่อนหัวเราะออกมา
“โธ่! ข้าก็นึกว่าเจ้าอาการหนัก ที่แท้กังวลเรื่องแค่นี้” นางโบกมือไปมา “เรื่องแค่นี้ข้าไม่ถือ เจ้าจะถือทำไม”
ขนาดก่อนมาที่นี่ ข้ายังเป็นสตรีนางเดียวในคณะเดินป่า
“เจ้าไม่กลัวข้าหรือไร”
“กลัวสิ” หญิงสาวยังคงยิ้มกว้าง “กลัวเจ้าจะตายในบ้านข้านะสิ”
ชายหนุ่มจ้องมองอย่างประหลาดใจ แม่นางผู้นี้แลดูเป็นดรุณีน้อยแรกแย้มแต่การพูดจาฉะฉานทำราวกับอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา ซ้ำยังไม่รักษากิริยาต่อหน้าบุรุษอีก มีสตรีผู้ใดฉีกยิ้มให้บุรุษที่ไม่รู้จักกันเช่นนี้
“ข้าหายดีแล้วจะ...” ชายหนุ่มลุกขึ้นแต่กลับไร้เรี่ยวแรง จนต้องนั่งตามเดิม
“เดี๋ยวก่อน ไข้เพิ่งลดยังไปไหนไม่ได้” พูดแล้วก็ยื่นมือไปกดไหล่สองข้างไว้ก่อน “ข้าก็ไม่ได้อยากให้ผู้อื่นมาแย่งที่นอนข้าหรอกนะ”
“เจ้าไม่ถามชื่อแซ่ ไม่ถามแม้กระทั่งข้าได้รับบาดเจ็บอย่างไร และทำไมถึงมาที่นี่”
“รู้น้อยก็ดีกับตัวข้า” นางพูดแล้วเดินไปยกถ้วยโจ๊กมาให้ “กินอะไรอุ่นๆ ให้กะเพาะอุ่นท้องเสียหน่อย เจ้าอย่าเห็นว่าเป็นแค่โจ๊กเปล่าๆ นะ กว่าจะได้ข้าวมาทำโจ๊กได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”
นางต้องใช้ความรู้ด้านสมุนไพรแลกมาเชียวนะ
“โจ๊กใส่ขิง ช่วยขับพิษและไข้ได้ เจ้าค่อยๆกิน ประเดี๋ยวข้ามา ข้าไปตักน้ำก่อน”
“ข้าจะไปช่วย”
“ไม่ต้องๆ กว่าข้าจะห้ามเลือดได้ก็เสียเวลาไปค่อนคืน หากเจ้าขยับตัวแรงไป แผลได้ปริเป็นแน่ หากใจมีใจอยากช่วย ก็แค่ช่วยอยู่นิ่งๆ ก็พอ”
หญิงสาวหมุนตัวเดินออกมาจึงไม่ทันสีหน้าดำมืดของอีกฝ่าย นางแอบแลบลิ้นทะเล้นแล้วเดินไปไปตักน้ำที่บ่อด้านหลัง หากไม่รีบตักน้ำตอนนี้ต้องหิ้วน้ำตากแดด ได้เป็นลมแดดแน่ กว่าจะฟื้นร่างกายนี้ขึ้นมาได้ก็แสนยากลำบาก ลำพังร่างกายนี้ก็อ่อนแอยู่แล้ว อาหารการกินไม่ได้สมบูรณ์ อยู่ในที่อาการเย็นชื้น เด็กสาวอายุแค่สิบหกสิบเจ็ดต้องแบกความทุกข์ยากขนาดไหน ทั้งที่นางเป็นถึงบุตรีเสนาบดีฝ่ายพิธี แต่
ต้องชีวิตแสนลำเข็น อาจเป็นเพราะความรู้สึกของเจ้าของร่าง นางยังคงรู้สึกถึงอารมณ์ถวิลหาอ้อมกอดของมารดาและหวังว่าจะได้กลับไปเยือนบ้านเกิดของมารดาสักครั้ง นางนี่ก็...เอาแต่สนใจเรื่องพฤษศาสตร์ หากรู้ว่าตัวเองจะทะลุมิติมาแบบนี้ มิสู้ศึกษาประวัติใส่สมองสักหน่อยก็ดี ซีรีย์ก็ไม่ค่อยได้ดู แล้วจะเอาตัวรอดยังไงล่ะเนี้ย
“แม่นางหลิน”
“เจ้าค่ะ”
นางส่งเสียงขานรับแล้วเดินไปที่รอที่ประตูใหญ่ซึ่งถูกใส่กลอนจากด้านนอก ถ้านางมีวรยุทธ์สูงส่งเช่นบุรุษที่นางซ่อนไว้ ก็คงปีนออกไปได้แล้ว นางเพิ่งนึกได้ว่าในห้องซ่อนบุรุษตัวโตไว้ จึงชะงักอยู่หลังบานประตู
“นี่เข็มเงินที่เจ้าขอไว้” ขันทีซูจินพูดขึ้นหลังเปิดประตูแล้ว เขาหันซ้ายหันขวามองราวกับกลัวว่าผู้ใดจะเห็นเข้า ทั้งที่ปกติไม่มีใครสนใจนัก “แล้วก็ตำราแพทย์ที่ให้ข้าหาให้”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
แม้เป็นสนมแต่ก็สนมตกอับ ไร้อำนาจวาสนา นางจึงขอให้ขันทีจูซินเรียกนางเช่นคนธรรมดา ดูเหมือนขันทีน้อยก็พอใจกับการเรียกขานนี้
“มีอะไรหรือ?”
“ได้ยินว่ามีคนร้ายบุกตำหนักเย็น เจ้า...ปลอดภัยดีนะ”
หลินอวี่เหยาได้ยินก็หัวเราะออกมา “ตำหนักเย็นมีอะไรให้ต้องถึงขั้นบุกเข้ามา”
“ก็นั้นสินะ แต่...ช่างเถอะๆ ข้าอยู่นานไม่ได้ ต้องรีบไปก่อน”
“ขอบใจเจ้าขันทีน้อยมาก เมื่อไหร่ได้เป็นกงกงยอย่าลืมข้าล่ะ”
ซูจินยิ้มถูกใจกับคำพูดยกยอของสนมหลิน แต่เขาไม่มีเวลานักเพราะในวังมีงานเลี้ยง คนทำงานแทบไม่พอ แต่เพราะสัญญาจะเอาเข็มเงินมาให้นางจึงรีบก่อน
หญิงสาวรับตำราและเข็มเงินมาแล้วก็กล่าวขอบคุณอีกหลายครั้ง ตอนที่ศึกษาพืชสมุนไพรก็เรียนรู้เรื่องแพทย์แผนจีน ตอนนั้นอาจารย์ยังเอ่ยปากชมว่านางมีพรสวรรค์แต่ไม่เอาดีด้านนี้เอง
เพราะอยู่สวนเสียนเฉ่าซึ่งเป็นรอยต่อระหว่างสามภพ ทำให้เหยาเหยาหรือดอกบัวน้อยของเซียนสมุนไพรเคยพบเห็นทั้งเทพเซียน,มารปีศาจ,สรรพสัตว์หรือมนุษย์ธรรมดา ยามนี้นางมีสาวใช่ปีศาจรูปร่างหน้าตาแปลกประหลาดจึงไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวแต่อย่างใด เพียงแค่นางไม่คุ้นชินให้ผู้อื่นมาค่อยดูแล ที่ผ่านมาก็มีแต่นางทำให้ผู้อื่น ได้หลับไปหนึ่งตื่นจิตใจจึงสงบลง นางจำเรื่องที่เกิดขึ้นได้แล้ว ถูกปีศาจกลุ่มหนึ่งเข้ามาชิงสมุนไพรเซียนยามที่ซ่งเหอเทียนจวินไม่อยู่ ราวกับถูกจับตามองทุกการเคลื่อนไหวจึงฉวยโอกาสนี้บุกชิงสมุนไพรเซียน แต่ไม่คิดว่าพวกมันจะชั่วร้ายเผาทำลายแปลงสมุนไพร ยังดีที่นางรอดชีวิตจึงได้มีโอกาสไถ่ความผิดในครั้งนี้ “ฮูหยินเจ้าค่ะ ท่านจอมมารให้นำเครื่องประดับมามอบให้ท่าน หากท่านไม่พอใจสามารถไปเลือกที่คลังของนายท่านได้เจ้าค่ะ” “ฮู...ฮูหยิน” ใบหน้างามแดงเรื่อ “พวกเจ้าหมายถึงผู้ใดกัน” เหล่าสาวใช้ปีศาจต่างหัวเราะคิกคัก “ก็ท่านอย่างไรเล่า” “ข้า...ข้าไม่ใช่...เข้าใจผิดแล้ว” “ท่านจอมมารอุ้มท่านเองกับมือ ท่านไม่ใช่ฮูหยินแล้วจะเป็นใครไ
“ข้าเป็นใครกันรึ” ปีศาจหนุ่มย้อนถามด้วยรอยยิ้ม ตอกย้ำได้ชัดว่านางช่วยเขาทั้งที่ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด นางคงเห็นเขาเป็นแค่แมวดำบาดเจ็บและเมื่อรู้ว่าแท้จริงเป็นปีศาจเสือดำนางก็ยังตั้งใจช่วยชีวิตของเขา หึ! ความเมตตาของนางช่างยิ่งใหญ่นัก! แม้คนเบื้องหน้ายิ้มแต่ดวงตาไร้รอยยิ้ม ทำให้ร่างเล็กเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาระลอกหนึ่งนำพาให้กระถดกายถอยไปด้านหลังอย่างไม่รู้ตัว แน่นอนว่าการเคลื่อนไหวเล็กน้อยๆ นี้ย่อมอยู่ในสายตาของเขา “ข้าก็คือเสือดำตัวที่เจ้าช่วยรักษาและยังถ่ายปราณอันน้อยนิดมอบให้” เยี่ยหรงยิ้มบางเบาแล้วกวาดตามองทั่วร่าง เสื้อผ้านางขาดวิ่นเป็นบางแห่ง ผมเผ้ายุ่งเหยิง เขาหรี่ตามองท่อนแขนมีแผลเพราะถูกอีกาจิกเมื่อครู่ ปราณชีวิตของนางได้รับมาจากเซียนสมุนไพร ทุกหยาดหยดในร่างกายนางจึงเสมือนอาหารอันแสนโอชาของบรรดาปีศาจทั่งปวง รวมถึงเขาด้วย แน่นอนว่าหญิงสาวไม่เชื่อ แต่เวลานี้เขาคือคนเดียวที่น่ารู้จักและหวังพึ่งพาได้ “ข้ามาตามหากล้วยไม้บรรพกาล มีผู้ขโมยมา ข้าใช้เถ้าธุลีจากเพลิงที่เผาไหม้สมุนไพรเซียนนำทางจึงถึงที่แห่งนี
เงาดำใหญ่ทาบทับร่างนาง หญิงสาวกลัวจนไม่กล้าขยับตัว นางคือดอกบัวน้อยในสระสวนเสียนเฉ่าที่เซียนสมุนไพรซ่งเหอเทียนจวินชุบชีวิตขึ้น พลังชีวิตของนางได้รับมาจากซ่งเหอเทียนจวินและกลิ่นหอมหวานของกายนั้นเย้ายวนปีศาจยิ่งนัก นางก็ไม่ต่างจากสมุนไพรเซียน หากมารปีศาจได้กลืนกินก็เพิ่มพลังปราณให้ตนเอง ร่างของหญิงสาวแข็งทื่อไม่รู้จะขยับตัวไปทิศทางใด แต่กระนั้นนางก็เงาดำนั้นค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งชวนสะอิดสะเอือน เท้าขนาดใหญ่ของสัตว์สี่เท้าคร่อมร่างนางไว้ อุ้งเท้าที่มีขนสีดำเป็นมันวาวอยู่ใกล้หัวไหล่ นางถูกปีศาจตนหนึ่งคร่อมร่างอยู่หัวใจนางเต้นถี่รัวแทบจะกระดอนออกจากอก น้ำตาหลั่งไหลดุจไข่มุกเม็ดเล็กๆ หล่นกระทบพื้นดินที่ร้อนและแห้งแล้ง ปลายจมูกยาวดอมดมกลิ่นกายนาง หญิงสาวเบี่ยงศีรษะอย่างลืมตัวทว่าทำให้ปีศาจตนนั้นตวัดลิ้นเลียหยาดน้ำตาของนาง “เหยาเหยา” ดอกบัวน้อยได้ยินเสียงคุ้นหู ดวงตาฉ่ำน้ำตากะพริบตาปริบๆก่อนรวบรวมความกล้าหันไปมอง ทำให้นางเห็นปีศาจตนหนึ่งรูปร่างเหมือนเสือดำแต่ตัวมหึมา ขนสีดำมันวาว ดวงตาเป็นสีแดงโลหิต เจ้าของดวงตาคู่นั
“เหยาเหยา! เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ความเจ็บปวดถาโถมทำให้หญิงสาวร้องครางแผ่วออกมา ร่างไร้เรี่ยวแรงถูกประคองขึ้นนั่งด้วยมือสั่นเทาของเซียนสมุนไพรซ่งเหอเทียนจวิน หญิงสาวเพิ่งรู้ว่าตัวเองหมดสตินอนอยู่บนพื้นห้อง ความร้อนจากด้านนอกทำให้นางมองข้ามไหล่อาจารย์ปู่ออกไป ดวงตากลมเบิกกว้างเมื่อเห็นเปลวเพลิงกำลังโหมไหม้แปลงสมุนไพร “อาจารย์ปู่! ไฟไหม้! ไฟไหม้แปลงสมุนไพรเจ้าค่ะ” นางรีบยันกายขึ้นแต่เพียงลุกขึ้นก็เจ็บปวดไปทั่วร่างจนทรุดลงไปนั่งอีกครั้ง ซ่งเหอเทียนจวินวางฝ่ามือบนศีรษะของหญิงสาว ครู่หนึ่งความเจ็บปวดจึงทุเลาลง นางจึงสามารถลุกขึ้นได้อีกครั้ง “ไปจากที่นี่ก่อน” ซ่งเหอเทียนจวินเตือนศิษย์ตัวน้อยของตน “ไม่ได้เจ้าค่ะ ต้องดับไฟ” “นี่ไม่ใช่ไฟที่เจ้าจะดับได้” หญิงสาวเอียงคอมองอย่างงุนงงและสังเกตเห็นว่าเปลวเพลิงที่โหมไหม้นั้นราวกับสีแดงของโลหิต สองหูของนางได้ยินเสียงสมุนไพรในแปลงกรีดร้องระงม น้ำตาของหญิงสาวหลั่งไหลดุจหยาดฝน “อาจารย์ปู่! ช่วยพวกเขา!” นางเขย่าแขนเสื้อของเซียนสมุนไพร
หลินอวี่เหยาใช้เวลาดูแลจื่อหนิงอยู่หลายวัน และเพื่อความมั่นใจนางจึงนอนค้างที่เรือนของจื่อหนิง แม้ถูกขับไล่อย่างไร นางก็ยังดื้อรั้นอยู่ดูแล “อาจารย์หญิงไม่ต้องเหนื่อยไล่ข้า อย่างไรข้าจะอยู่จนกว่าท่านจะแข็งแรง” “เด็กโง่ เจ้าจะมาทนอยู่กับคนป่วยกระเสาะกระแสะอย่างข้าไปเผื่ออะไร” “ยามข้าเจ็บป่วยท่านยังดูแล แล้วยามนี้ท่านอ่อนแอข้าจะไม่ดูแลได้อย่างไรกัน” นางทำปากยื่นใส่ ทำให้จื่อหนิงอ่อนอกอ่อนใจยิ่งนัก “ที่ข้าสอนไป มิได้อยู่สมองน้อยๆของเจ้าเลยรึ แล้วอย่างนี้เจ้าจะเป็นฮูหยินแม่ทัพเยี่ยหรงได้อย่างไร” แก้มนวลพลันเปลี่ยนสีแดงเรื่อ จุดอ่อนของนางคือพูดเรื่องนี้ทีไร นางก็หน้าแดงทุกที ทำให้จือหนิงยิ้มเอ็นดูได้ทุกคราไป “อะไรก็ควรสอนข้าก็สอนแล้ว ที่เหลือเจ้าก็ตรึกตรองก่อนทำสิ่งใดลงไป” “ข้าทราบแล้ว...ข้าได้ออกจากที่นี่ไป จะหาทางพาท่านกับซูจินและเฉิงฮัวออกไปด้วย” จื่อหนิงพูดเรื่องนี้หลายครั้งจึงไม่อยากพูดอีก ทำได้แค่ยิ้มให้นางเท่านั้น “ท่านดื่มยาบำรุงอีกนิดนะเจ้าคะ” หลินอวี่เหยาป้อนยา
หญิงสาวเคยอ่านเรื่องราวของกล้วยไม้ชนิดนี้มามาก นอกจากรูปภาพที่ได้ดูในหนังสือประวัติศาสตร์แล้วก็ไม่เคยเห็นของจริงสักที มาวันนี้กล้วยไม้หายากชนิดนั้นอยู่เบื้องหน้าแล้ว ความรู้สึกเต็มตื้นก็พุ่งขึ้นมาจุกอก ถ้าไม่ใช่เพราะกล้วยไม้ชนิดนี้หรือ? นางก็คงไม่ประสบอุบัติเหตุตกเขาและโผล่มาถึงที่นี่หรอก ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะได้เห็น “กล้วยไม้บรรพกาล” ตรงหน้าเช่นนี้ จู่ๆ ก็รู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตา หากศาสตราจารย์หลิวเฉินอี้ได้เห็นคงต้องดีใจแน่นอน แต่ตอนนี้อยู่ห่างไกลหลายร้อยปี ลำบากตามหาแลกด้วยชีวิต แต่เมื่อไม่คิดตามหากลับได้พบเจออย่างง่ายดาย “เป็นอะไรไปหรือ” ไทเฮาทรงทรงถาม“ไม่ได้เป็นอะไรเพคะ แค่ตื้นตันใจที่ชีวิตนี้ได้มีโอกาสเห็นกล้วยไม้ล้ำค่าต้นนี้”“มีนักพรตท่านหนึ่งได้นำกล้วยไม้บรรพกาลถวายฮ่องเต้พระองค์ก่อน แล้วก็ทรงมอบให้ข้าดูแลอีกที กล้วยไม้นี้เป็นเหมือนของขวัญและตัวแทนขององค์ฮ่องเต้ ข้าคอยดูแลมาหลายปียังไม่เคยเห็นดอกเลยสักครา จำได้ว่านักพรตท่านนั้นให้ข้าเลี้ยงดูมันให้ดี แต่มีคนกล่าวว่ากล้วยไม้ชนิดนี้พิเศษนัก”“หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ”“แล้วเจ้าคิดเห็นอย่างไร สามารถนำไปทำยาบำรุงให้ฮองเฮาได้