แสงแดดยามเช้าลอดผ่านหน้าต่างบานเล็กเข้ามาในห้องนอนแคบๆ ของบ้านชั้นสองในตึกห้าชั้น ซุยหลันซีค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างงัวเงีย เธอยกมือขึ้นป้องแสงแดดที่ส่องเข้ามากระทบใบหน้า จากนั้นลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอกก็เห็นว่าไม่มีใครอยู่ในบ้านนอกจากเธอคนเดียว
“อ้าว พี่เว่ยหมิงไม่อยู่เหรอเนี่ย” ซุยหลันซีพึมพำกับตัวเอง สายตาเหลือบไปเห็นนาฬิกาบนผนังที่บอกเวลาเก้าโมงเช้า ซุยหลันซีถึงกับสะดุ้งโหยง
“ตายแล้ว! สายขนาดนี้แล้วเหรอ”
หญิงสาวกวาดตามองไปรอบๆ ก็เห็นกระดาษหนึ่งแผ่น มีซองสีแดงวางอยู่บนนั้น เธอหยิบขึ้นมาดูบนกระดาษมีตัวหนังสือเขียนด้วยลายมือเป็นระเบียบ
ผมไปทำงาน กลับบ้านตอนเย็น ผมทำอาหารไว้ให้ ถ้าอยากกินร้อนๆ ก็อุ่นเอาได้ ส่วนเงินนี้ผมให้ไว้เป็นค่าใช้จ่ายตามที่บอกไว้
ลงชื่อ เติ้งเว่ยหมิง
ซุยหลันซีเปิดซองสีแดง มีเงินสดห้าสิบหยวนอยู่ในนั้นอย่างที่เขาบอกไว้ จึงเดินเอาไปเก็บไว้ในกระเป๋าถือที่อยู่ในห้องนอน จากนั้นเดินกลับมายังโต๊ะอาหาร
บนโต๊ะมีอาหารอยู่สองอย่าง จานหนึ่งเป็นผัดผัก ไม่มีเนื้อ กับอีกจานเป็นเต้าหู้ยัดไส้นึ่งซีอิ๊ว มีหม้อข้าววางไว้ข้างๆ พร้อมกับถ้วยเปล่าและตะเกียบ
เห็นอาหารบนโต๊ะ ท้องก็เริ่มประท้วง แต่อาหารนี่เขาน่าจะทำไว้นานแล้วเอามือไปแตะดูพบว่าเย็นหมดแล้ว ซุยหลันซีเดินไปตรงหน้าเตา กระทะใบใหญ่ล้างสะอาดมีฝาปิดวางอยู่บนนั้น ก้มลงมองด้านล่างมีช่องสำหรับจุดไฟอยู่ข้างใต้ และถุงถ่าน
“จุดเตาแค่นี้มันจะไปยากอะไร”
ซุยหลันซีขลุกอยู่หน้าเตาอยู่นานก็ไม่สามารถจุดไฟขึ้นมาได้ ทำให้นึกเสียใจอยู่เล็กน้อยที่ตอนเป็นเด็กไม่ได้สนใจ
เธอจำได้ว่าตอนที่เธอยังเล็กแม่พาไปบ้านที่ชนบทเพื่อเยี่ยมยายทุกปีใหม่ บ้านของยายยังใช้เตาดินที่ก่อด้วยอิฐ แม้จะมีเตาแก๊สให้ใช้แล้วก็ตาม ยายบอกว่ารสชาติของอาหารทำจากเตาถ่านจะอร่อยกว่า
ตอนนั้นเธอทำแค่ช่วยหยิบถ่านใส่เตา แต่ไม่เคยได้จุดเตาเอง ยายเคยพูดเอาไว้ว่า ‘เกิดมาทักษะพื้นฐานการใช้ชีวิตต้องทำให้เป็น’พอมาตอนนี้เธอเข้าใจแล้ว
ความสะดวกสบายในยุคที่เธอจากมา ทำให้คนเราหลงลืมทักษะพื้นฐานพวกนี้ไปจริงๆ
หลังจากปลุกปล้ำอยู่นาน สุดท้ายซุยหลันซีก็ไม่สามารถจุดไฟได้ ใบหน้าของเธอมอมแมมเต็มไปด้วยฝุ่นและเถ้าถ่าน ตอนนี้นึกเสียใจแล้วจริงๆ ที่ไม่ตั้งใจเรียนวิชาแรงงาน[1]
“ช่างเถอะ กินมันทั้งไม่อุ่นแบบนี้ก็ได้” คิดได้ดังนั้นเธอจึงล้มเลิกความตั้งใจ
กำลังจะเดินไปล้างมือก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นสองครั้ง เธอขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ ผละมือจากเตาเดินไปเปิดประตู มีผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตู ข้างๆ เธอมีเด็กผู้ชายหน้าตาเกลี้ยงเกลาด้วยอีกคน หญิงสาวสวมชุดกี่เพ้า[2]สีเขียว สวมทับด้วยเสื้อคลุมไหมพรมบางๆ
“สวัสดีค่ะ” เสียงหวานใสกล่าวทักทายดังขึ้นเมื่อซุยหลันซีเปิดประตู
“ฉันชื่อหลี่ชิงหรงค่ะ อยู่ห้องข้างๆ ส่วนนี่ลูกชายฉัน เล่อเล่อเมื่อวานฉันเห็นอาหมิงพาผู้หญิงกลับมาด้วย คุณคงเป็นภรรยาของอาหมิงใช่ไหมคะ”
“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อซุยหลันซี เป็นภรรยาของพี่เว่ยหมิงค่ะ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ” ซุยหลันซีทักทายตอบพลางยิ้มให้เล็กน้อย
ทันใดนั้น เสียงหัวเราะใสๆ ของเด็กชายก็ดังขึ้น “พี่สาวครับ หน้าพี่สาวดำเหมือนหมีเลยครับ”
หลี่ชิงหรงรีบปรามลูกชาย “เล่อเล่อ เด็กคนนี้ ต้องขอโทษแทนเขาด้วยนะคะ” เธอหันมาทางซุยหลันซี สีหน้าเป็นกังวล “ฉันขอโทษแทนลูกชาย อย่าถือสาเด็กคนนี้เลยนะคะ?”
ซุยหลันซียกมือเช็ดหน้า เมื่อเห็นคราบดำติดมือก็อดหัวเราะไม่ได้ “ฉะ...ฉันกำลังพยายามจุดเตาถ่านนะคะ แต่ว่า...” เธอชะงักไป ไม่กล้าบอกว่าตัวเองทำไม่เป็น
“อ้อ คุณคงจุดเตาถ่านไม่เป็นใช่ไหมคะ อาหมิงบอกว่าจะกลับไปรับภรรยามาอยู่ด้วย คุณคงมาจากปักกิ่ง ก็ไม่แปลกหรอกค่ะ ถ้าคุณไม่ว่าอะไร พี่สาวคนนี้สามารถสอนได้นะคะ”
ซุยหลันซีลังเลเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มจริงใจของหลี่ชิงหรงและดวงตาเป็นประกายของเล่อเล่อ เธอก็ตัดสินใจ
“ขอบคุณมากค่ะ เชิญเข้ามาก่อนสิคะ”
หลี่ชิงหรงยื่นถุงผ้าใบเล็กที่ใส่ขนมเปี๊ยะกับชาให้ซุยหลันซี “นี่ค่ะ ของฝากเล็กๆ น้อยๆ เป็นธรรมเนียมต้อนรับเพื่อนบ้านใหม่ของที่นี่”
ซุยหลันซีรับถุงผ้าใบเล็กด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “ขอบคุณมากค่ะ พี่สาวใจดีจังค่ะ”
เธอชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ “ต่อไปพี่สาวก็เรียกฉันว่า หลันหลันก็ได้นะคะ”
ถึงแม้เพิ่งได้พูดคุยกันไม่กี่ประโยค แต่ท่าทางอ่อนโยนและจริงใจของหญิงมีอายุตรงหน้าทำให้ซุยหลันซีรู้สึกสบายใจอย่างประหลาด เธอไม่เคยคิดว่าจะรู้สึกผ่อนคลายกับคนแปลกหน้าได้เร็วขนาดนี้
“จริงเหรอคะ? งั้นหลันหลันก็เรียกฉันว่าพี่ชิงหรงได้เลยค่ะ” หลี่ชิงหรงตอบกลับด้วยรอยยิ้มกว้าง “จริงๆ พี่รู้จักกับสามีของเธอมาหลายปีแล้วล่ะ เราเป็นเพื่อนบ้านกันมานาน”
คำพูดนั้นทำให้ซุยหลันซีรู้สึกโล่งอก ความไว้วางใจค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในใจของเธอ ‘อ้อ อย่างนี้นี่เอง’ เธอพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะเหลือบมองไปที่เด็กชายข้างๆ ซึ่งกำลังมองเธอด้วยดวงตาเป็นประกาย
ในช่วงเวลาปกติ เธอคงไม่กล้าเชิญคนแปลกหน้าเข้าบ้านง่ายๆ แบบนี้ แต่บรรยากาศอบอุ่นและการมีเด็กน้อยอยู่ด้วยทำให้ความระแวดระวังของเธอลดลงอย่างน่าประหลาด อีกทั้งความจำเป็นในการเรียนรู้ทักษะพื้นฐานก็มีส่วนผลักดันให้เธอตัดสินใจเช่นนี้
ทั้งสามเดินเข้าไปในครัวที่ยังคงมีควันลอยฟุ้ง หลี่ชิงหรงเริ่มสอนวิธีจุดเตาถ่านอย่างละเอียด ตั้งแต่การจัดวางถ่าน การใช้กระดาษและไม้ขีดไฟ ไปจนถึงการพัดให้ไฟลุกท่วม
เล่อเล่อยืนมองด้วยความสนใจ บางครั้งก็ช่วยส่งอุปกรณ์ให้แม่ “แม่ครับ ให้ผมลองพัดไฟได้ไหมครับ?”
“ได้จ้ะ แต่ลูกต้องระวังนะ” หลี่ชิงหรงยิ้มให้ลูกชาย
ไม่นานนัก ไฟในเตาก็ถูกจุดขึ้น ซุยหลันซีรีบเดินไปที่อ่างล้างจานทำความสะอาดคราบสกปรกบนใบหน้า รู้สึกโล่งอกเป็นอย่างมาก ในที่สุดก็สามารถจัดการกับเตาถ่านได้สำเร็จ
จากนั้นจัดการอุ่นอาหารบนโต๊ะ กลิ่นหอมของอาหารลอยฟุ้งไปทั่วทั้งห้อง
“ขอบคุณมากนะคะ พี่ชิงหรง เล่อเล่อ” ซุยหลันซียิ้มกว้าง “ถ้าไม่ได้พวกพี่ ป่านนี้ฉันคงยังนั่งหิวอยู่”
หลี่ชิงหรงยิ้มตอบ “ไม่เป็นไรค่ะ เราเป็นเพื่อนบ้านกัน ต้องช่วยเหลือกันอยู่แล้ว ถ้ามีอะไรให้ช่วยอีก บอกได้เลยนะคะ”
“ขอบคุณอีกครั้งนะคะ”
ซุยหลันซีรู้สึกอบอุ่นใจกับน้ำใจของเพื่อนบ้านคนใหม่
“พี่สาวครับ กับข้าวหอมจัง” เล่อเล่อเอ่ยขึ้นอย่างอายๆ บิดลำตัวไปมามือก็ลูบท้องไปด้วย เสียงท้องของเด็กชายร้องดังขึ้นเบาๆ
“ตายแล้ว เล่อเล่อ ลูกเพิ่งกินมื้อเช้าไปตอนเจ็ดโมงนี่เองนะ” หลี่ชิงหรงดุลูกชายเสียงเข้ม น้ำเสียงของเธอฟังดูอ่อนโยนแม้จะพยายามทำเสียงดุ
“แต่แม่ครับ มันหอมมาก” เล่อเล่อตอบพลางทำตาปริบๆ
ซุยหลันซีหัวเราะเบาๆ “ไม่เป็นไรค่ะพี่ชิงหรง มาตรงนี้มา” เธอจูงมือเด็กชายมานั่งที่เก้าอี้ตรงโต๊ะอาหาร จัดการตักข้าวมาสองถ้วยสำหรับตนเองกับเด็กชาย โดยมีหลี่ชิงหรงนั่งข้างๆ ลูกชาย
“พี่ชิงหรงพี่กินด้วยกันนะคะ”
หลี่ชิงหรงปฏิเสธอย่างสุภาพ “ขอบคุณค่ะ แต่ฉันกินมื้อเช้ามาแล้ว พวกเธอกินกันเถอะ พี่นั่งเป็นเพื่อนก็พอแล้ว”
เล่อเล่อกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย ซุยหลันซีกับหลี่ชิงหรงมีโอกาสได้พูดคุยกันระหว่างที่กินอาหาร บรรยากาศอบอุ่นและเป็นกันเองแผ่ซ่านไปทั่วห้อง ทำให้ใจของซุยหลันซีสงบลงมาก
[1] วิชานี้เป็นวิชาที่สอนทักษะการใช้ชีวิตและการทำงานในโรงเรียนจีน ซึ่งรวมถึงการทำงานบ้าน การเกษตร และงานช่างพื้นฐาน
[2] หรือเรียกว่าฉีผาว เป็นเครื่องแต่งกายในชีวิตประจำวันของหญิงชาวจีนตั้งในสมัยราชวงศ์ชิง โดยเป็นชุดที่เกิดจากการหลอมรวมของชนเผ่าต่างๆในจีน ชุดกี่เพ้าจึงถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมการแต่งกายของชาวจีน
“พ่อค่ะ รถยนต์คันใหญ่มาจากไหนเหรอคะ”ซุยหลันซีเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัยท่านนายพลหวนคิดไปถึงในวันที่ถูกปล่อยจากคุกในวันที่ได้รับอิสรภาพกลับคืนมา ก่อนที่เขาจะออกจากคุก ท่านนายพลกุ้ยได้เข้าไปพบเข้าถึงด้านในจุดที่เตรียมตัวปล่อยนักโทษนายพลทั้งสองนั่งเผชิญหน้ากันเป็นครั้งสุดท้าย“ท่านนายพลกุ้ย ผมขอขอบคุณที่เห็นแก่มิตรภาพเก่าแก่” ท่านนายพลซุยกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ หลังจากลงนามในเอกสารมอบทรัพย์สินให้พรรคและยังมีการสัญญาว่านายพลซุยหานจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับทางทหารและทางการเมืองอีก และจะไม่เข้ามาที่ปักกิ่งอีกตลอดชีวิตเช่นกัน“อาหาน เราเป็นเพื่อนกันมานาน” ท่านนายพลกุ้ยตบบ่าเบาๆ “ผมรู้ว่าคุณรักลูกสาวมาก นี่เป็นเงินก้อนหนึ่ง เพียงพอสำหรับซื้อบ้านที่กว่างโจว และสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายไปจนตลอดชีวิต” เขาส่งกระเป๋าหนังสีน้ำตาลให้“และนี่...” ท่านนายพลกุ้ยยื่นกุญแจรถพร้อมเอกสารการเป็นเจ้าของให้ “รถคันใหม่ สำหรับครอบครัวของคุณ”ท่านนายพลซุยรับมาด้วยความซาบซึ้ง “ขอบคุณมาก ผมจะไม่ลืมน้ำใจนี้”“แค่สัญญากับผมว่า จะใช้ชีวิตที่เหลืออย่างมีความสุขกับครอ
เมื่อถึงวันที่ซุยหลันซีกับเติ้งเว่ยหมิงต้องไปรับท่านนายพลซุยกับเติ้งหลิวป๋อที่ปักกิ่ง ซุยหลันซีที่ตั้งครรภ์ได้เข้าเดือนที่ห้าแล้วก็เกิดอาการแพ้ท้องอย่างหนัก ทำให้ไม่สามารถไปรับบิดาของเธอได้“หลันหลัน คุณพักผ่อนอยู่ที่บ้านเถอะนะ”เติ้งเว่ยหมิงเอ่ยเสียงนุ่มพลางจัดผ้าห่มให้ภรรยาที่นอนพิงหมอนอยู่บนเตียง ซุยหลันซีส่ายหน้าน้อยๆ ดวงตาฉายแววกังวล “พี่เว่ยหมิง ฉันอยากไปรับพ่อด้วย...”“ไม่ได้หรอก” เติ้งเว่ยหมิงขัด พลางลูบท้องกลมของภรรยาเบาๆ “ลูกในท้องสำคัญที่สุด หมอบอกแล้วว่าต้องพักผ่อนให้มากๆ”ซุยหลันซีกุมมือสามีไว้ ใบหน้าเศร้าสร้อย “แต่ฉันคิดถึงพ่อมาก...” เสียงสั่นเครือ “ไม่ได้เจอกันตั้งหลายเดือน”“พี่เข้าใจ” เติ้งเว่ยหมิงโอบไหล่ภรรยา“แต่ท่านนายพลคงไม่อยากเห็นหลานในท้องต้องลำบาก ใช่ไหม?”“ฉันฝากพี่ช่วยบอกพ่อด้วยนะคะว่าหลันหลันคิดถึง แล้วก็...” ซุยหลันซีชะงัก มือกุมท้องแน่น“เป็นอะไรครับ?” เติ้งเว่ยหมิงถามอย่างตกใจ“คลื่นไส้อีกแล้วค่ะ” ซุยหลันซีรีบคว้าถ้วยน้ำขิงที่วางอยู่ข้างเตียงขึ้นมาจิบ“นี่แหละครับ เหตุผลที่คุณต้องอยู
ซุยหลันซีรีบบอกหลานชายพร้อมกับช่วยดันร่างเล็กของเด็กชายขึ้นไปที่กลางเวทีเมื่อเด็กชายมาถึง พิธีกรก็ให้เขาไปยื่นอยู่ข้างผู้เป็นแม่ เล่อเล่อยืนอยู่ท่ามกลางสายตานับร้อยคู่ก็เกิดความประหม่า แต่เพราะมีมือที่อบอุ่นของแม่กอบกุมมือเขาไว้ เด็กชายจึงค่อยลดความประหม่าลงได้ในที่สุด พิธีกรส่งไมโครโฟนให้กับหลิวเจิ้งเย่“เล่อเล่อ วันนี้อาได้ทำพิธีแต่งงานอย่างถูกต้องกับแม่ของเล่อเล่อแล้ว แต่ว่าอายังไม่ได้ขออนุญาตจากเล่อเล่อเลย” หลิวเจิ้งเย่หยุดพูดสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะกล่าวออกไป“เล่อเล่อ ต่อไปนี้อนุญาตให้อาเป็นพ่ออีกคนของเล่อเล่อได้ไหม อาสัญญาว่าจะทำหน้าที่พ่อของเล่อเล่อให้ดีที่สุด จะไม่ลำเอียง จะไม่ทำโทษอย่างไม่มีเหตุผล และที่สำคัญเล่อเล่อจะเป็นคนสำคัญของอาอีกคน ได้ไหม?”เล่อเล่อเงยหน้ามองไปที่หลี่ชิงหรงเมื่อเห็นแม่ของตนพยักหน้าให้ก็เอ่ยตอบเสียงเบา“พ่อครับ” เล่อเล่อโผเข้ากอดหลิ้วเจิ้งเย่พร้อมกับร้องไห้ออกมา หลิวเจิ้งเย่ก็น้ำตาคลอไปเหมือนกัน “เล่อเล่อมาเป็นลูกชายคนโตของพ่อนะ” เล่อเล่อครางรับอืออาผู้คนส่งเส
เช้าตรู่ของวันมงคล บ้านเจ้าสาวตกแต่งด้วยโคมแดงและตัวอักษรมงคลที่ติดไว้บนประตูไม้สีสดที่เพิ่งผ่านการทาสีและปรับปรุงบ้านไปไม่นานมานี้ผ้าไหมสีแดงสดปักลวดลายหงส์คู่ถูกแขวนประดับทั่วบริเวณ เพิ่มความรู้สึกอบอุ่นและเปี่ยมไปด้วยความเป็นสิริมงคล กลิ่นธูปหอมที่จุดไว้หน้าโต๊ะบรรพบุรุษอบอวลไปทั่วห้อง เสียงหัวเราะคิกคักของญาติๆ ที่ช่วยกันจัดเตรียมพิธีดังแทรกมากับเสียงข้าวของที่ถูกขนย้ายเสียงเครื่องดนตรีดังกังวานไปทั่วลานกว้างของหน้าบ้านขนาดสองชั้นของหลี่ชิงหรง ผ้าแดงประดับประดาพลิ้วไหวตามสายลมอ่อน สะท้อนแสงแดดยามเช้าเป็นประกายระยิบระยับบนผ้าไหมสีแดงสดที่พันกายหลี่ชิงหรง ในห้องเตรียมตัวสำหรับเจ้าสาวชุดแต่งงานที่เธอสวมใส่เป็นผลงานการออกแบบล่าสุดของซุยหลันซีที่ตั้งใจรังสรรค์ให้เป็นของขวัญพิเศษสำหรับเพื่อนบ้านที่เปรียบเสมือนพี่สาวอีกคนท่อนบนเป็นชุดกี่เพ้าแขนสั้น คอจีนตั้งสูงประดับกระดุมมงคลสีทองเก้าเม็ด ปักลายดอกโบตั๋นด้วยด้ายสีทองและสีแดงอย่างวิจิตร เน้นให้เห็นสรีระส่วนบนอย่างงดงามแต่ไม่โป๊เปลือย ช่วงเอวคอดรับกับทรวดทรงของหลี่ชิงหรงอย่างพอเหมาะส่วนกระโปรงคือจ
รถบรรทุกขนาดกลางจอดนิ่งหน้าบ้านสองชั้นหลังงาม กำแพงสีขาวสะอาดตา หลังคากระเบื้องสีเทาเข้ม ประตูไม้แกะสลักอย่างประณีต กลิ่นหอมของดอกไม้ลอยมาตามสายลมยามเช้า ผสมกับไอเย็นจากลำธารด้านหลังบ้าน“สามหมื่นห้าพันหยวน...” ซุยหลันซีพึมพำขณะยืนอยู่กลางห้องโถง สายตากวาดมองไปรอบๆ อย่างพินิจพิเคราะห์ ตัวเลขที่ดูสูงลิ่วแต่คุ้มค่า เพราะนอกจากพื้นที่กว้างขวางแล้ว บ้านหลังนี้มาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัยที่สุดในยุคสมัยนี้แสงธรรมชาติสาดส่องผ่านหน้าต่างบานใหญ่เข้ามาในห้องโถง ปรากฏลวดลายของแสงและเงาบนพื้นไม้ขัดมัน ห้องครัวกว้างขวางมีชั้นวางของและพื้นที่ทำครัวที่จัดวางอย่างลงตัว แม้ยังไม่มีตู้เย็นหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าทันสมัยแต่ระบบไฟฟ้าที่เพิ่งติดตั้งใหม่และปลั๊กไฟที่เตรียมไว้ก็พร้อมรองรับอนาคต น้ำประปาไหลแรง ที่สำคัญอยู่ในย่านที่ไม่มีความพลุกพล่าน ใกล้โรงเรียน ซึ่งต่อไปลูกๆ ของเธอจะได้ไปโรงเรียนได้อย่างสะดวก แถมยังไม่ไกลจากตลาดมากนัก ห่างจากโรงงานเฟิงหยุนแค่เพียงเดินทางด้วยรถโดยสารประมาณยี่สิบนาทีเท่านั้นที่สะดวกที่สุดคือบ้านหลังนี้อยู่ใกล้กับร้านตัดเสื้อหรงหลันของเธอนั่นเอง
หลังจากเรื่องเข้าใจผิดระหว่างถังจิงฮวากับเติ้งเว่ยหมิงคลี่คลายลง เวลาก็ผ่านมาอีกหนึ่งเดือนเสียงหัวเราะสดใสของเล่อเล่อดังแว่วมาจากมุมหนึ่งของบ้านหลี่ชิงหรง วันนี้ซุยหลันซีกับหลี่ชิงหรงไม่ได้ไปทำงาน เนื่องจากว่าเป็นวันหยุด พวกเธอทั้งสองคนกำลังนั่งออกแบบชุดแต่งงานของหลี่ชิงหรงกับหลิวเจิ้งเย่ที่จะจัดขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้า“หลันหลัน จดหมายมาค่ะ” เสียงของหลี่ชิงหรงดังแทรกเข้ามาในความคิด พร้อมกับซองจดหมายสีน้ำตาลยื่นมาตรงหน้าซุยหลันซีเงยหน้าขึ้นจากงานออกแบบที่กำลังทำค้างอยู่ ยื่นมือออกไปรับซองจดหมายดังกล่าวพร้อมกับเอ่ยขอบคุณ“ขอบคุณมากค่ะ”หัวใจของคนที่ถูกเรียกชื่อเต้นแรงขึ้นเมื่อสังเกตเห็นตัวอักษรที่คุ้นตาบนซองจดหมาย เป็นลายมือของเติ้งหลิวป๋อ พ่อของสามีเธอ นิ้วเรียวยาวค่อยๆ แกะซองออกอย่างระมัดระวัง สายตากวาดอ่านข้อความในจดหมายอย่างรวดเร็ว“พี่ชิงหรง!”เธอร้องเรียกหุ้นส่วนเสียงดัง“พ่อ... พ่อของฉันจะได้กลับบ้านแล้ว!”น้ำตาแห่งความปีติไหลอาบแก้ม เธอลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความดีใจ แต่ทันใดโลกก็หมุนคว้าง เมื่อลุกขึ้นอย่างรว