Se connecterจูลล์ฟังแล้วก็พยายามเม้มปาก อันที่จริงมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่นักเพราะรอยยิ้มดันวาดกว้างดันแก้มมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเจ้าคนทำเค้กก้อนนี้คงจะกำลังวิ่งวนอยู่ในครัวเหมือนหนูติดจั่น มองหาที่ที่ตัวเองจะซุกหัวเข้าไปหลบดาเมจรัวๆจากคุณครูหนุ่มตรงหน้านี้อยู่แหงๆ
...อยากเห็นจังเลยน้า คงจะตลกน่าดูเชียว...
หลังจากพูดคุยกันได้พักหนึ่ง อัลแตร์ก็เอียงคอ บอกกับเธอว่า “ถ้าอย่างนั้นเธอพอจะวาดรูปหมีใส่แว่นกันแดดได้มั้ย?”
“ยังไงนะ?”เธอทวนเสียงสูง
ครูหนุ่มล้วงมือเข้าในโค้ท ควานหาโทรศัพท์อยู่พักหนึ่งก็หยิบมาเปิดรูปของคนคนหนึ่งให้เธอดู “หมอนี่น่ะ สมัยไฮสคูลเธอน่าจะเคยเห็นเขาบ้าง”
หญิงสาวเลิกคิ้ว เธอจะไปลืมหมอนี่ได้ยังไงกัน...
ชายคนนี้เป็นผู้ชายคาแรคเตอร์จัดที่สุดคนหนึ่งที่เธอเคยได้เห็นมาคนหนึ่ง ทั้งสวมแว่นกันแดดตลอดเวลา ร่างกายใหญ่โตเหมือนยักษ์ทั้งๆที่อายุแค่สิบนิดๆ แถมยังชอบโผล่มาที่โรงเรียนทั้งๆที่ไม่ได้เรียนอยู่ที่เดียวกันอีก
“อ่า...ฉันจำเขาได้”เธอพยักหน้า ทำท่าทางเหมือนไม่ใส่ใจขณะถาม “เขาเป็นเพื่อนนายเหรอ?”
คำถามนี้คล้ายว่าจะตอบค่อนข้างยากสำหรับอัลแตร์ หลังจากเห็นว่าอีกคนเงียบไปพักใหญ่ จูลล์ที่ครู่เดียวก็วาดหมีตัวโตใส่แว่นกันแดดและสวมแจ็กเกตให้จนเสร็จแล้วก็เงยหน้าขึ้นมอง เธอเห็นเพื่อนเก่ายังคงมีท่าทางอ้ำอึ้งก็ถามต่อ
“อธิบายยากขนาดนั้นเชียว?”คนถูกถามกึ่งแซวหัวเราะ ยกมือขึ้นถูหลังคอตัวเองก่อนจะตอบแกนๆ
“ก็ไม่หรอก”เสียงของเขาแผ่วลงเล็กน้อย “คำตอบก็เหมือนที่ฉันเคยบอกเธอตอนนั้นนั่นล่ะ...เขาเป็นเหมือนน้องชายที่ฉันต้องคอยดูแล”
“น้องชาย?”หญิงสาวทวนคำ “ฉันนึกว่านายมีแค่พี่ชายหกคนเท่านั้นซะอีก”
อัลแตร์หัวเราะ มือยกขึ้นถูจมูกแก้เก้อ
อันที่จริงเรื่องของสมาชิกในครอบครัวที่มีเยอะจนน่าชวนไปออกสถิติกินเนสบุ๊คนี่ไม่ใช่ความลับอะไรในหมู่เพื่อนๆสมัยไฮสคูล มันแทบจะเป็นสิ่งแรกที่โผล่เข้ามาในหัวเมื่อมีคนพูดถึงอัลแตร์ ดราเวนวู้ด ไอ้เด็กหัวขาวประจำคลับวิจารณ์หนังที่มักเจอหน้าได้บ่อยๆในวิชาเรียนระดับสูง
ถึงแม้จะไม่ได้อยากชินเรื่องนี้ แต่การมีคนเดินมาทักว่า ‘ดราเวนวู้ด? นี่นายคนที่เท่าไหร่เนี่ย?’ ก็เกือบจะกลายเป็นสิ่งที่เขาเจอแทบจะทุกครั้งที่เข้าวิชาเรียนใหม่ในแต่ละเทอมไปโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้
...ก็สมาชิกในบ้านเกือบทุกคนดันเรียนโรงเรียนเดียวกันหมดเลยนี่นะ...
“ฉันกับเขาอายุเท่ากันน่า แต่บ้านเราอยู่ใกล้กัน”เขามองกล่องอื่นๆที่ถูกวาดเป็นพี่ชายของเขาเท่าที่จูลล์พอจะเคยเจอบ้างและจำได้ “โตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กๆเลยล่ะ...ก็เลยสนิทกัน”
“ว้าว นายนี่เข้าใจคบเพื่อนนะเนี่ย”หญิงสาวอดแซวไม่ได้ “เขาตัวใหญ่ยิ่งกว่าพวกนักกีฬาโรงเรียนซะอีก”
“แบบนั้นสิดี จะได้ไม่มีใครกล้ามาแกล้งฉัน”ครูหนุ่มโคลงหัว อดยิ้มไม่ได้เมื่อนึกถึงเรื่องเก่าๆสมัยเรียน ถามต่อ “จะว่าไปเพื่อนๆเธอในชมรม—”
กริ๊ง!
“แกหาตัวยากชะมัด”
เสียงกระดิ่งจากประตูดังขัดบทสนทนาขึ้นกลางปล้องเมื่อจู่ๆก็มีชายร่างใหญ่เปิดประตูพรวดเข้ามาในร้านด้วยท่าทางรีบร้อน...ออกจะดูหยาบคายมากกว่า
จูลล์ฉีกยิ้มกว้างจนตาปิดแม้จะเริ่มเดาตัวตนของชายที่ยืนบ่นอยู่หน้าประตูด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงลงท้ายหนักเหมือนคนเยอรมันได้ว่าเป็นใคร เธอไม่มีทางลืมคนที่สูงเกือบสองเมตร— ไม่ ตอนนี้เขาน่าจะสูงเลยสองเมตรไปนิดหน่อยด้วยซ้ำ แน่นอนว่าผมสีส้มแดงและแว่นกันแดดสีดำสนิทบนหน้านั่นเธอก็ไม่ลืมเหมือนกัน
“ยินดีต้อนรับค่ะ”เธอว่า ระหว่างนั้นมือก็จัดแจงผูกโบว์กล่องสุดท้ายจนเสร็จ “ฉันเดาว่าคุณคงเป็นเพื่อนของอัลแตร์ใช่มั้ยคะ?”
ชายในแจ็กเกตหนังสีดำไม่ได้ส่งเสียงตอบเธอ เขาแค่พยักหน้าให้ เดินเข้ามาใกล้จนชิดติดหลังคุณครูหนุ่มที่ตอนนี้ดูตัวเล็กไปถนัดตาเมื่อเทียบกับร่างกายที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของชายสวมแว่นกันแดด
“...ซื้อแต่ของหวาน”ในทีแรกจูลล์เกือบฟังไม่ออกว่าชายหนุ่มพูดอะไร แต่หลังจากพยายามทำตัวให้ชินกับสำเนียงแล้วเธอก็พอจะเดาบทสนทนาของทั้งคู่ได้
“นายชอบของหวาน”อัลแตร์รับถุงกระดาษจากมือเธอ ยื่นเงินให้ก่อนฉีกยิ้มหวานพร้อมบอกว่าคราวหน้าจะเป็นฝ่ายพาเธอไปเลี้ยงที่ร้านอาหารโปรดของเขาบ้าง “มีเค้กช็อคโกแลตกับฟรุตเค้กด้วยนะ”
“นี่แกกำลังไถ่โทษเรอะ?”
“แล้วหายโกรธรึเปล่าล่ะ? ไม่เอาน่าตัวโต นายเป็นคนเดียวที่ฉันพึ่งได้นะ ฉันก็แค่...”
จูลล์ได้แต่โบกมือลาคนทั้งสองขณะที่เพื่อนเก่าถูกแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามดึงออกไปจากร้าน...(ออกจะเหมือนกับการกระชากเสียมากกว่าในสายตาเธอ) ก่อนจะเดินอ้อมจากเคาท์เตอร์ไปล็อกประตูและพลิกป้ายร้านจากเปิดเป็นปิด
ตลกดีที่วันนี้เธอไม่ใช่แค่เจอเพื่อนเก่า แต่ยังได้เจอชายปริศนาท่าทางน่ากลัวที่ทำท่าทางเหมือนคุกคามเจ้าตัวตลอดหลายปีที่รู้จักกันสมัยเรียนอีกด้วย
แม้จะเสียดายเรื่องไม่ได้ถามถึงเรื่องสำคัญจากอัลแตร์ แต่เพราะชายหนุ่มบอกว่าเขาสอนประจำอยู่ที่โรงเรียนใกล้ๆ เธอจึงไม่ได้รู้สึกแย่ขนาดนั้น ในเมื่อยังไงพวกเขาก็คงมีโอกาสได้เจอกันอีกครั้งแน่
...เสียก็แต่ปัญหาใหญ่ในห้องครัวหลังร้านนั่น...
...
หลังจากอัลแตร์จากไปพร้อมชายหน้าตาคุ้นในแว่นกันแดดสีดำ จูลล์ถึงได้หยิบเอาจานและแก้วใบเล็กไปที่หลังร้าน เพื่อที่จะพบกับไอ้หนุ่มร่างโตที่นั่งเอามือปิดหน้าอยู่คนเดียวในครัว เธอวางจานบนซิงค์แล้วหันไปมองไอ้คนไม่เอาไหนที่ทำตัวเหมือนเด็กสิบสามเพิ่งมีความรักก่อนจะถอนหายใจ “ฉันนึกว่านายมูฟออนจากเขาแล้ว” “ฉันมูฟออนแล้ว”ไลโอเนลพูดเสียงอู้อี้ ยังคงฝังหน้าอยู่ในฝ่ามือของตัวเอง จูลล์มองหูแดงๆของอีกคนแล้วย่นจมูก “นี่นายคิดว่าฉันโง่รึไงไม่ทราบ?” เธอยืนพิงอ่างล้างจาน มองเพื่อนตัวเองที่ตอนนี้เริ่มส่งเสียงเหมือนบ่นอะไรสักอย่างใส่ฝ่ามือของตัวเอง อะไรสักอย่างที่ฟังดูเหมือนกับ ‘เขา... เขาดูดีกว่าตอนล่าสุดที่เจอกัน’ หรือ ‘เสียงของเขาเพราะมาก เขาต้องเป็นคุณครูในฝันของนักเรียนแน่ๆ’ และประโยคหวานเลี่ยนชวนอ้วกอีกหลายประโยคที่จูลล์ตัดสินใจจะเมินมันเสีย “ไม่อยากขัดนะ แต่นายจะจีบเขามั้ย?” มันได้ผล ลีโอเงยหน้าออกมาจากฝ่ามือตัวเอง หน้าเขาแดงเหมือนมะเขือเทศสุกอย่างที่เธอคิดเอาไว้ และพอมันมาคู่กับตาประกายวิ้งๆแล้วมันก็ดูตลกจนเธออดหัวเราะเบาๆไม่ได้ “โอเค เปลี่ยนคำถ
จูลล์ฟังแล้วก็พยายามเม้มปาก อันที่จริงมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่นักเพราะรอยยิ้มดันวาดกว้างดันแก้มมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเจ้าคนทำเค้กก้อนนี้คงจะกำลังวิ่งวนอยู่ในครัวเหมือนหนูติดจั่น มองหาที่ที่ตัวเองจะซุกหัวเข้าไปหลบดาเมจรัวๆจากคุณครูหนุ่มตรงหน้านี้อยู่แหงๆ ...อยากเห็นจังเลยน้า คงจะตลกน่าดูเชียว... หลังจากพูดคุยกันได้พักหนึ่ง อัลแตร์ก็เอียงคอ บอกกับเธอว่า “ถ้าอย่างนั้นเธอพอจะวาดรูปหมีใส่แว่นกันแดดได้มั้ย?” “ยังไงนะ?”เธอทวนเสียงสูง ครูหนุ่มล้วงมือเข้าในโค้ท ควานหาโทรศัพท์อยู่พักหนึ่งก็หยิบมาเปิดรูปของคนคนหนึ่งให้เธอดู “หมอนี่น่ะ สมัยไฮสคูลเธอน่าจะเคยเห็นเขาบ้าง” หญิงสาวเลิกคิ้ว เธอจะไปลืมหมอนี่ได้ยังไงกัน... ชายคนนี้เป็นผู้ชายคาแรคเตอร์จัดที่สุดคนหนึ่งที่เธอเคยได้เห็นมาคนหนึ่ง ทั้งสวมแว่นกันแดดตลอดเวลา ร่างกายใหญ่โตเหมือนยักษ์ทั้งๆที่อายุแค่สิบนิดๆ แถมยังชอบโผล่มาที่โรงเรียนทั้งๆที่ไม่ได้เรียนอยู่ที่เดียวกันอีก “อ่า...ฉันจำเขาได้”เธอพยักหน้า ทำท่าทางเหมือนไม่ใส่ใจขณะถาม “เขาเป็นเพื่อนนายเหรอ?” คำถามนี้คล้ายว่าจะ
“พระเจ้าช่วย นายดูดีเหมือนพวกนายแบบอะไรแบบนั้นเลย”หล่อนเบิกตากว้าง เดินเข้ามาใกล้พลางพิจารณาเขา “ไม่อยากเชื่อว่าจะได้เจอนายอีก” “ฉันก็ไม่อยากเชื่อว่าจะได้เจอเธออีกเหมือนกัน...ได้ยินมาว่าย้ายไปเม็กซิโกเหรอ?” “ก็ลือกันไปเรื่อย ฉันแค่ไปเยี่ยมญาติหลังจบไฮสคูลเท่านั้นเอง” “มาเถอะ ให้ฉันเป็นเจ้ามือเลี้ยงฉลองเราเจอกันวันนี้”เธอพูดเจือหัวเราะ ผายมือไปทางตู้เบเกอรี่“น่าเสียดายที่ตอนนี้ตัวเลือกไม่มากเท่าไหร่ แต่รับอะไรดีล่ะสุดหล่อ?” “ถ้าได้เค้กช็อกโกแลตกับโกโก้ร้อนสักแก้วจะซาบซึ้งมากเลยครับคุณผู้หญิง”เขารับไมตรีนั้นอย่างเต็มใจ เดินไปนั่งที่โต๊ะใกล้ๆ หยิบมือถือมาส่งข้อความให้อาบาดอนรู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน กลิ่นหอมๆของโกโก้ที่ลอยมาเตะจมูกทำให้ชายหนุ่มยกยิ้ม จูลล์สมกับที่ได้รับฉายาว่าเป็นเจ้าหญิงผู้เพียบพร้อมของโรงเรียนจริงๆ สมัยเรียนไฮสคูลด้วยกันเธอทำกิจกรรมสารพัดอย่าง ไม่ว่าจะเป็นแข่งกีฬา แข่งทักษะวิชาการ แข่งร้องเพลง แข่งวาดภาพ หรือกระทั่งเชียร์ลีดเดอร์ ...แต่เขาก็ไม่คิดว่ากระทั่งเบเกอรี่และเครื่องดื่มเธอก็จะทำออกมาได้น่ากินขนาดนี้ด้วย...
อัลแตร์พ่นลมหายใจออกจมูก วันนี้เขาก็ทำตัวงี่เง่าอีกแล้ว... ชายหนุ่มมองรถยนต์ส่วนตัวที่จอดนิ่งอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า เขาเป็นคนขี้ลืมมากๆ— หมายถึง...มากจริงๆ ข้อนี้หลายๆคนที่อยู่รอบตัวต่างก็รู้ดี แต่นี่มันก็ครั้งที่สามในเดือนนี้แล้วที่เขาลืมกุญแจไว้ในรถของตัวเอง จนสุดท้ายก็ต้องโทรหาอาบาดอนให้มาช่วยทั้งๆที่ก็เพิ่งสัญญากับอีกคนว่าวันนี้จะไม่โทรไปรบกวนอย่างแน่นอน มือเรียวหยิบเอามือถือมากดโทรหาเบอร์ที่ถูกปักหมุดเอาไว้ด้านบนสุดทันที ถือสายรอไม่นานนักอีกฝ่ายก็รับ ปลายสายมีเสียงตะโกนโวยวายลอดมาเป็นระยะ อัลแตร์อดกลอกตาไม่ได้ ช่วงนี้ไอ้ยักษ์นี่ดูจะชอบออกไปหาเรื่องต่อยตีกับชาวบ้านบ่อยจริงๆ ชายหนุ่มถอนหายใจพรืด วางประเด็นเรื่องไฟต์คลับผิดกฎหมายไว้ในจุดที่ลึกที่สุดของสมองแล้วรีบพูดเข้าประเด็น “ฉันลืมกุญแจไว้ในรถอีกแล้ว นายมาช่วยหน่อยสิ” [อีกแล้วเรอะ?! ฉันว่านายควรกินพวกยาบำรุงสมองบ้างนะพวก] อาบาดอนโวยวาย แต่แม้จะฮึดฮัด สุดท้ายหลังจากบ่นเขายาวเหยียดเป็นชุด คนปลายสายก็รับปากว่าจะมาช่วยอยู่ดี จากนั้นเจ้าตัวก็ตัดสายไป ไว้ซื้อขนมไถ่โทษก็แล้วกัน...







