แชร์

บทที่ 4

ผู้เขียน: light sky
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-08-27 18:18:17

Chapter 3

ไล่ออก

ร่างสูงเอ่ยประโยคดังกล่าวน้ำเสียงมีน้ำโหเล็กน้อยแต่ก็มากพอที่จะสร้างความน่าตกใจให้แก่คนฟัง อุณหภูมิห้องที่ว่าหนาวอยู่แล้วกลับยิ่งเย็นเยือกยิ่งเข้าไปอีก กล่าวเสร็จเขาก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับคนที่ยืนอยู่ มือหนาคว้าแฟ้มสีดำที่ตั้งอยู่บนโต๊ะขึ้นมาเปิดอ่านเป็นการปิดบทสนทนา

“บ..บอสคะ มีเรื่องอะไรกันรึเปล่าคะ” พี่ปิ่นคล้ายจะตั้งสติได้ในเวลาต่อมา เธอเอ่ยขึ้นกับบอสด้วยท่าทีไม่มั่นใจเล็กน้อยแต่ก็รวบรวมความกล้าที่จะถามออกไป

“เด็กฝึกงานคนนี้ไม่มีความรับผิดชอบ” เขาพูดออกมาโดยที่สายตายังคงจับจ้องที่เอกสารในมืออยู่

“ฉันอธิบายได้ค่ะ”

ฉับ!

เสียงปิดแฟ้มดังขึ้น ร่างสูงโยนแฟ้มลงบนโต๊ะอย่างลวกๆ ศอกทั้งสองเลื่อนไปพักอยู่บนที่วางแขนขณะที่นิ้วมือทั้งสิบสอดประสานกันไว้กลางกระดุมเม็ดที่สามของเสื้อเชิ้ต นัยน์ตาสีเข้มจ้องมาทางฉันด้วยแววตาที่อ่านไม่ออกแต่เหมือนจะรอฟังคำอธิบายของฉันอยู่

“คือเมื่อเช้า—”

“เมื่อเช้าเด็กฝึกงานคนนี้ทำเสื้อสูทผมเลอะจนไม่สามารถใส่มันได้อีก ผมให้โอกาสเธอแก้ไขปัญหานี้แต่เธอกลับวิ่งหนีความผิดของตัวเอง” ไม่รอให้ฉันเอ่ยจบร่างสูงก็พูดแทรกอธิบายเรื่องเมื่อเช้าขึ้นมา “ดูเหมือนคุณจะชอบแก้ปัญหาด้วยการหนีสินะครับ”

ฉันเผลอเม้มปากตัวเองแน่นหลังจากสบสายตาที่เต็มไปด้วยการเยาะเย้ยและคำพูดที่แฝงไปด้วยการถากถางนั่น

เข้าใจแล้วว่าไนล์แค่ยกสถานการณ์เมื่อเช้ามาเพื่อให้ฉันนึกถึงวันที่ตัวเองดำเนินการเรื่องลาออกจากมหาวิทยาลัยโดยที่ไม่มีใครรู้ทั้งนั้นนอกจากเพื่อนสนิทฉันคนหนึ่งที่บังเอิญเจอที่ตึกกองทะเบียน

“ฉันไม่ได้มีเจตนาหนีความผิดของฉันค่ะ แต่เวลานั้นฉันมีความจำเป็นที่ต้องรีบมารายงานตัวที่บริษัทจึงต้องเดินออกมาเช่นนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และฉันบอกไปอย่างชัดเจนแล้วว่าจะชดใช้ค่าเสียหายด้วยการจ่ายราคาเสื้อสูทตัวใหม่ให้คุณ”

“ผมจำได้ครับว่าคุณพูดอย่างนั้น แต่คุณกลับไม่ได้ทิ้งช่องทางติดต่อของคุณเอาไว้ให้ผมเลย ในเมื่อเป็นอย่างนี้มันก็ไม่ผิดใช่มั้ยที่ผมจะคิดว่าคุณจงใจจะหนี”

ฉันเม้มปากตัวเองอีกครั้งเมื่อตระหนักได้ว่าคำพูดของเขานั้นมีน้ำหนักมากกว่าโดยเห็นได้ชัด แม้ฉันจะบริสุทธิ์ใจแค่ไหนแต่ก็ต้องยอมรับว่าฉันคิดน้อยไปจริงๆ ยิ่งเหลือบมองไปที่พี่ปิ่นที่กำลังขมวดคิ้วอยู่นั้นก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่าเธออยู่ข้างเจ้านายของเธออย่างไม่ต้องสงสัย

ความสิ้นหวังพลันเข้าจู่โจมแต่ถึงจะอย่างนั้นฉันก็บอกว่าจะถอยหลังกลับไม่ได้ การหาที่ฝึกงานใหม่ในระยะเวลาเพียงอันสั้นนั้นทำได้ยากเกินไป อีกทั้งไม่รู้เลยว่าบริษัทนี้จะเขียนชี้แจงอะไรแก่คณะไปบ้างที่ไล่นักศึกษาฝึกงานออกตั้งแต่วันแรก อย่างร้ายแรงที่สุดฉันอาจจะถูกตักเตือนและบอกให้เริ่มหาที่ฝึกงานใหม่ในปีการศึกษาหน้า ซึ่งนั่นหมายความว่าฉันจะจบช้ากว่าคนอายุเดียวกันถึงสามปี

“ขอโอกาสให้ฉันได้มั้ยคะ” ฉันยอมให้เป็นแบบนั้นไม่ได้ อีกแค่สามเดือนเท่านั้นที่ฉันจะได้เริ่มต้นใหม่สักที ฉะนั้นฉันจะให้มันพังเอาแบบนี้ไม่ได้

ฉันโพล่งท่ามกลางความเงียบและความกดดันที่ปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง เจ้าของร่างสูงกว่ามาตรฐานชายไทยหรี่ตามองฉันอย่างต้องการประเมิน

“การฝึกงานครั้งนี้สำคัญกับชีวิตของฉันมาก หวังว่าคุณจะเมตตาให้ฉันได้เข้าฝึกงานในบริษัทนี้ต่อและชดเชยความผิดที่ไปทำเสื้อสูทของคุณเปื้อน”

“...”

“ขอร้องละค่ะ อย่าไล่ฉันออกเลยนะคะ!” พูดจบฉันก็ก้มศีรษะลงต่อหน้าอีกฝ่าย เพราะก้มหน้าอยู่ฉันเลยไม่รู้ว่าเขาแสดงสีหน้าอย่างไรในตอนนี้

“คุณปิ่น คุณออกไปก่อน”

“ตะ แต่”

พี่ปิ่นเอ่ยได้เพียงเท่านั้นก่อนจะหยุดไป ฉันมองเห็นรองเท้าของพี่ปิ่นที่ห่างออกไปเรื่อยๆ ถัดจากนั้นเสียงเปิด-ปิดประตูก็ดังขึ้นมาติดๆ เพราะฉะนั้นทั้งห้องนี้เลยเหลือแต่ฉันกับเขาสองคนไปโดยปริยาย

ชั่วอึดใจต่อมาฉันก็ได้ยินเสียงล้อของเก้าอี้ที่กำลังเลื่อนตามมาด้วยเสียงรองเท้าที่กระทบกับพรมพื้นห้องก็เดาไม่ยากว่าอีกฝ่ายกำลังลุกจากเก้าอี้แล้วเดินเข้ามาใกล้

“เงยหน้า” คราวนี้ฉันทำตามคำสั่งของเขาโดยดี ฉันยืดตัวตรงเงยหน้าขึ้นมองเขาก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายกำลังยืนไขว้เท้าพิงสะโพกไว้กับโต๊ะทำงาน มือทั้งสองเท้ากับขอบโต๊ะเอาไว้ “แน่ใจนะว่าจะฝึกงานที่นี่”

แน่นอนแหละว่าคำถามของเขาไม่ได้แสดงถึงความเป็นห่วงแน่นอน ยิ่งดูใบหน้าอีกทั้งแววตาของอีกฝ่ายแล้วก็คาดได้เลยว่านั่นคือคำเตือนแน่ๆ ฉันสูดลมหายใจเข้าปอด จากทุกทางที่สามารถเป็นไปได้ก็พบว่าทางนี้นั้นเหมาะสมที่สุดสำหรับแพลนในอนาคตที่วางเอาไว้

“แน่ใจค่ะ ฉันอยากฝึกงานที่นี่จริงๆ” ฉันกล่าวด้วยความมั่นใจขณะจ้องตาอีกฝ่ายอย่างไม่หลบสายตา “ฉันสัญญาว่าจะพยายามไม่มาให้คุณเห็นหน้า”

“สี่ปีก่อนคุณก็พูดแบบนี้” ร่างสูงสวนทันควันพร้อมกับสืบเท้าเข้ามาใกล้ด้วยท่าทีคุกคาม

“เรื่องวันนี้มันเป็นอุบัติเหตุ ฉันไม่คิดว่าคุณจะเป็นเจ้าของที่นี่ ถ้ารู้ก่อนหน้านี้ฉันคงจะปฏิเสธไปแล้ว ยังไงซะฉันก็ฝึกอยู่ที่แผนกอื่นคงไม่มีเหตุการณ์ให้คุณเห็นหน้านักหรอกค่ะ ส่วนเรื่องสูทฉันยังยืนยันคำเดิมว่าจะชดใช้ให้ ฉะนั้นคุณฝากใครสักคนนำบิลมาเก็บที่ฉันได้เลย ไม่จำเป็นต้องมาด้วยตัวเองหรอกค่ะ”

“ดูเหมือนว่าคุณจะถนัดวางแผนหนึ่งสองสามไว้ในใจมาเสมอเลยนะ เพราะแบบนี้ใช่มั้ยสี่ปีก่อนคุณถึงหายไปอย่างไร้ร่องรอย”

“...”

“เอาเถอะ ยังไงเรื่องทั้งหมดมันก็คืออดีต” อีกฝ่ายแสร้งถอนหายใจก่อนจะกลับไปนั่งที่เก้าอี้ตามเดิม

“แล้วเรื่องฝึกงาน...”

“ผมจะคอยดูว่าสามเดือนที่นี่คุณจะหลบผมยังไง”

ร่างสูงหยิบแฟ้มเอกสารขึ้นมาอ่านอีกครั้งหลังจากพูดจบ ในขณะที่ฉันยืนพิจารณาประโยคของเขาก่อนจะเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย เพราะดีใจที่ได้ฝึกงานต่อฉันเลยยิ้มออกมาอย่างโล่งอกจนเผลอข้ามใจความสำคัญที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขา เพราะอย่างที่บอกยังไงซะด้วยตำแหน่งท่านประธานบริษัทใหญ่โตเช่นนี้กับเด็กฝึกงานตัวเล็กๆ ก็ไม่มีทางมาโคจรเจอกันอยู่แล้ว

“ออกไปได้”

ทันทีที่ออกมาจากห้องอันหนาวเหน็บนั้นมาได้ ฉันก็เข่าอ่อนทรุดตัวลงกับพื้นตรงโต๊ะของเลขาหน้าห้องทันที พี่ปิ่นที่ยังยืนปักหลักอยู่ปรี่เข้ามาหาฉันอย่างตกใจพร้อมๆ กับเลขาของท่านประธานที่ได้ยินพี่ปิ่นเรียกว่าคุณจันทร์ ทั้งสองคนกระวีกระวาดเข้ามารั้งฉันให้ลุกขึ้นก่อนจะนำยาดมมาอังจมูก

“หนูไม่เป็นอะไรค่ะพี่ๆ” ฉันเอ่ยขึ้น แอบอายเล็กน้อยกับสรรพนามที่แทนตนแต่ก็ไม่รู้จะใช้คำว่าอะไรให้เหมาะสมดี

“หน้าซีดขนาดนี้ยังบอกว่าไม่เป็นอะไรอีก” พี่ปิ่นเอ็ดก่อนจะคว้าแฟ้มบนโต๊ะมาพัดให้ฉัน “ว่าก็ว่าเถอะคุณจันทร์ วันนี้บอสเป็นอะไรถึงได้อารมณ์เสียขนาดนั้น นับแต้มทำผิดก็จริงแต่ไม่น่าจะไล่ออกแบบนี้”

“จันทร์ก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะคุณปิ่น พอมาถึงห้องบอสก็ถามกิจกรรมของบริษัทก่อนจะขอรายชื่อเด็กฝึกงานทั้งหมดไปและขอให้คุณปิ่นพาน้องคนนี้ขึ้นมา แปลกจังปกติบอสไม่ได้มีอารมณ์ฉุนเฉียวขนาดนี้นะ”

ท่ามกลางความสงสัยของทั้งสองคนฉันก็รู้ดีว่าคนในห้องรู้สึกเช่นไรถึงได้มีท่าทีแบบนี้ออกมา

“เรื่องนี้หนูผิดจริงที่ไปทำเสื้อสูทของบอสเลอะ แต่เมื่อกี้บอสก็ใจดีให้หนูได้อยู่ต่อค่ะ”

“จริงเหรอ! แบบนี้ก็ดีสิ พี่น่ะตกใจแทบแย่ที่บอสเอ่ยปากไล่คนออกแบบนั้น แต่ปกติบอสของเราไม่ได้มีนิสัยแบบนี้หรอกนะ นอกเวลางานแล้วบอสเป็นคนใจดี อ่อนโยน อย่าเพิ่งอคติกับบอสนะนับแต้ม”

“เรื่องวันนี้พี่ขอให้เป็นความลับนะ อย่าไปบอกหรือโพสต์ที่ไหนมันจะเสียหายต่อภาพลักษณ์ของบริษัทได้ อันที่จริงบอสตั้งใจจะลงไปที่แผนกเองด้วยซ้ำแต่ก็เปลี่ยนใจเรียกเราขึ้นมาแทน”

“คงไม่อยากให้นับแต้มโดนดุต่อหน้าคนอื่นแน่เลย นับแต้มดูสิ บอสของเราใจดีขนาดไหน!”

“วางใจเถอะค่ะคุณจันทร์ หนูไม่ทำอย่างนั้นแน่นอน” เมื่อได้ยินแล้วคุณจันทร์ก็มีสีหน้าที่ผ่อนคลายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ต่อมาฉันกับพี่ปิ่นก็กลับมาที่แผนก พี่ปิ่นเดินเข้าห้องประจำตำแหน่งไปแล้วในขณะที่ฉันเดินฝ่าสายตาที่ฉาบด้วยความสงสัยนับสิบคู่เดินกลับมาที่โต๊ะ

“บอสเรียกเธอไปทำอะไรน่ะ” พี่สาที่จ้องฉันมาตั้งแต่ทางเข้าเอ่ยถามขึ้นมาด้วยระดับเสียงที่ไม่เบานัก หลายคนที่อยู่บริเวณนั้นเลยเอียงหูมาฟังอย่างสงสัย

“บอสเรียกฉันไปตักเตือนค่ะ” ฉันว่าตามความจริง

“ตักเตือนงั้นเหรอ เธอไปทำผิดอะไรมาละ”

“เกิดอุบัติเหตุขึ้นเล็กน้อยค่ะแต่เคลียร์กันเรียบร้อยแล้ว พี่สาไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ” แน่นอนว่าพี่สาไม่ได้เป็นห่วงอะไรฉันหรอก แต่ที่พูดออกไปแบบนั้นเพราะหวังจะจบบทสนทนานี้สักที “พี่สามีอะไรให้ฉันช่วยมั้ยคะ”

“ไม่มี”

“คนอื่นล่ะคะ” ทันทีที่ถามครอบตัวที่ผึ่งหูมาฟังเมื่อกี้ก็ส่ายหน้าหวือก่อนจะสลายตัวกันออกไป

ขณะนั้นพี่สาก็โดนพี่ปิ่นเรียกเข้าไปในห้องก่อนจะเดินกลับมาที่โต๊ะพร้อมกับแฟ้มที่กองซ้อนกันจนเกือบถึงคางของอีกฝ่าย ก่อนแฟ้มเหล่านั้นจะถูกมาวางไว้ที่โต๊ะฉันด้วยเสียงดังปึงแล้วเอ่ยเสียงกระด้าง

“สรุปแฟ้มทั้งหมดนี้ ไม่เสร็จ ห้ามกลับ”

“ได้ค่ะ”

แฟ้มประมาณสิบแฟ้มถูกฉันเปิดอ่านคร่าวๆ ก่อนจะพบว่ามันคือข้อมูลเบื้องต้นของบริษัท ทั้งความเป็นมา ทั้งจำนวนไลน์ของสินค้า ไปตลอดจนถึงรายได้ และแผนการตลาดของแต่ละผลิตภัณฑ์ที่ผ่านมา

ฉันลงมือเปิด word จมดิ่งกับข้อมูลจำนวนมหาศาลที่ได้รับมาก่อนจะพบว่าแต่ละแฟ้มต้องใช้เวลาในการย่อยข้อมูลพอสมควร แน่นอนว่าฉันปฏิเสธที่จะไปกินข้าวเที่ยงร่วมกับเด็กฝึกงานคนอื่นอีกสองคนที่มาจากมหาลัยอื่นและเลือกที่จะลงไปซื้อขนมปังขึ้นมากินคนเดียวแทนเพื่อประหยัดเวลา

ในข้อมูลเหล่านี้ฉันยังรู้ด้วยว่าไนล์ใช้เวลาเพียงปีนิดๆ เพื่อจบ MBA ปริญญาโทจากประเทศอเมริกาก่อนจะเข้ามารับตำแหน่งแทนประธานคนก่อนซึ่งเป็นพ่อของเขามาได้เกือบปีหนึ่งแล้ว นอกจากนี้ในนี้ยังบอกอีกว่าเจ้าตัวได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ภาควิชาเคมีอีกด้วย

แววตาแห่งความภูมิใจเกิดขึ้นก่อนที่มันจะหายไปอย่างรวดเร็ว

เผลอแป๊บเดียวก็ถึงเวลาเลิกงานของที่นี่ซึ่งนั่นคือ 5 โมงเย็น งานของฉันยังไม่เสร็จและพี่สาก็พูดดักว่ายังไงก็ต้องส่งพี่ปิ่นภายในวันนี้ฉันเลยต้องอยู่ต่ออย่างไม่มีทางเลือก มีสองสามคนที่อยู่ทำโอทีต่อแต่ก็ไม่ได้มีบทสนทนาเกิดขึ้น ทั่วทั้งแผนกเลยตกอยู่ในความเงียบมีแต่เสียงพิมพ์ดีดจากแป้นคีย์บอร์ดตรงหน้าพวกเราเท่านั้น

ฉันปิดตาลงพร้อมกับทิ้งตัวทาบไปกับพนักพิงอย่างต้องการพักสายตา เบ้าตาเริ่มปวดตุบตับเนื่องจากจ้องเอกสารสลับกับจอคอมพิวเตอร์มาทั้งวันติดกันหลายชั่วโมง

ก๊อกๆ

เสียงเคาะโต๊ะทำให้ฉันลืมตาขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ก่อนจะผุดขึ้นยืนอย่างตกใจเมื่อเบื้องหน้านั้นคือร่างสูงที่สมควรอยู่ในห้องหอคอยงาช้างชั้นบน ไม่สิ! เวลาดึกป่านนี้เขาควรกลับบ้านไปได้แล้ว

“ผมมาเอางาน” ไนล์ว่าเสียงนิ่ง สายตาจ้องไปที่จำนวนแฟ้มที่เปิดอ้าอยู่

“ม ไม่ใช่ว่าต้องส่งให้พี่ปิ่นเหรอคะ” ฉันถามเสียงตะกุกตะกัก ครั้นมองไปที่คนอื่นที่อยู่ก็พบว่าพวกเขาไม่ได้สนใจในการปรากฏตัวของบอสเลยแม้แต่น้อย ทุกคนยังก้มหน้าอยู่กับงานตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อที่จะรีบกลับบ้านสักที

แต่ถ้าฉันสังเกตอีกนิดก็จะเห็นเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาตามกรอบหน้าของพวกเขา

“ต่อจากนี้ไปผมจะไปคนประเมินงานคุณ แน่นอนว่ามันรวมถึงการผ่านหรือไม่ผ่านในการฝึกงานของคุณด้วย ไหนล่ะงาน อย่าบอกนะว่ายังทำไม่เสร็จ”

“ยังเหลืออีกสองแฟ้มค่ะ” เอ่ยเสียงเบาในขณะในหัวคิดถึงคำพูดที่เขาเอ่ยเมื่อกี้วนไปวนมา ไนล์จะเป็นคนประเมินการฝึกงานของฉันงั้นเหรอ...

“ชักช้าแบบนี้แล้วจะให้ผมประเมินคุณผ่านได้ยังไง”

“ขอโทษค่ะ ฉันจะรีบทำให้เสร็จ” ว่าเสร็จฉันก็รีบลงมือทำต่อทันก่อนจะสัมผัสได้ว่าร่างสูงได้เดินวนมานั่งแหมะอยู่ที่เก้าอี้ของพี่สา “บอสจะนั่งตรงนี้เหรอคะ”

“ผมไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องหลบคุณนี่” นั่นหมายความว่าเป็นฉันต่างหากที่ต้องหลบเขา “ผมจะนั่งรองานของคุณอยู่ตรงนี้ ไม่ทราบว่าคุณมีปัญหาอะไรมั้ย”

“ไม่...ไม่มีค่ะบอส” ฉันว่าก่อนจะพยายามโฟกัสกับงานตรงหน้าให้เสร็จแต่ก็เผลอถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้

ดูเหมือนว่าสามเดือนต่อจากนี้จะยากกว่าสี่ปีที่ผ่านมาซะอีก

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • My Ex. แฟนเก่าของฉันเป็นประธานบริษัท   บทที่ 66

    ร่างบางใช้เวลาทั้งหมดก่อนจะโดนเรียกประชุมไปกับการแก้แผนงาน ที่จริงแล้วแผนงานฉบับเดิมนั้นดูโอเคดีแล้วเพียงแต่มีบางจุดอย่างไม่สามารถตอบโจทย์ ‘บอส’ ได้ก็เท่านั้น ห้องประชุมทีม NewType นั้นอยู่ชั้นเดียวกันกับห้องประธาน ร่างบางรวบแฟ้มที่มีแผนงานอยู่ในนั้นรวมทั้งแฟลชไดรฟ์เพื่อเตรียมจะนำเสนอ ก่อนจะเลือกหลบมุมอยู่มุมหนึ่งเพื่อใช้สมาธิในการท่องจำ ระหว่างนั้นมือถือที่ปิดเสียงไว้ก็สั่นขึ้นมา ร่างบางปรายหางตาไปมองก่อนจะตัดสายด้วยความรวดเร็วก่อนจะส่งสติกเกอร์รูปหัวใจตอบกลับไปให้ทีนึง “ทุกคน บอสมาแล้ว” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาพาให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ไม่นานนักก็ปรากฏร่างสูงในชุดสูทแบรนด์ดังดูได้จากลวดลายบนเสื้อเดินผ่านประตูเข้ามาด้วยท่าทางที่สง่างามไปทุกท่วงท่า ทว่าใบหน้านั้นติดจะเรียบเฉยเอนเอียงไปทางหงุดหงิดค่อนข้างมาก ร่างสูงเดินผ่านทุกคนไปนั่งตรงหัวโต๊ะอย่างไม่แม้แต่จะสบตาใครสักคน บรรยากาศขมุกขมัวที่แผ่ออกมาจากร่างสูงทำให้ห้องนี้เหมือนอยู่ในอากาศที่ติดลบหนาวสั่นไปทั้งตัว ด้านหลังของร่างสูงนั้นมีคุณจันทร์เลขาของบอสตามมาติดๆ เธอได้แต่ส่งยิ้มแหยๆ ให้คนในห้องและยกกำปั้นขึ้นเพื่อจะบอกว่า ‘สู้ๆ’

  • My Ex. แฟนเก่าของฉันเป็นประธานบริษัท   บทที่ 65

    Special Chapter l พนักงานใหม่ หนึ่งวันผ่านไปก็แล้ว... สองอาทิตย์ผ่านไปก็แล้ว... สามเดือนผ่านไปก็แล้ว... แต่ก็ยังไม่มีวี่แววที่นับแต้มจะกลับมา! ภายในห้องทำงานของท่านประธานบริษัท Being you Group ที่อยู่ชั้นบนสุดของตึก เจ้าของห้องกำลังเคาะปากกาลงบนโต๊ะจนได้ยินเสียง กึก กึก อยู่ตลอดเวลา ใบหน้าหล่อเหลาที่ได้รับสืบทอดยีนเด่นมาตั้งแต่ต้นตระกูลนั้นกำลังขมวดคิ้วยุ่งบ่งบอกถึงอารมณ์ของเจ้าตัวที่ไม่คงที่นัก นัยน์ตาสีเข้มทอดมองหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองที่ดับไปแล้ว นึกย้อนถึงบทสนทนาของตนกับนับแต้มที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ของยิ่งรู้สึกหงุดหงิด เขาพยายามเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมาว่าเมื่อไหร่อีกฝ่ายจะกลับมาแต่เจ้าของปลายสายนั้นกลับเบี่ยงประเด็นไปที่เรื่องอื่นอย่างจงใจ นี่เขากำลังถูกทิ้งอีกครั้งเหรอ? ร่างสูงเริ่มนั่งไม่ติด เข่าที่อยู่ใต้โต๊ะเริ่มเขย่าไปมาอย่างเสียบุคลิก เป็นไปไม่ได้หรอก...ไนล์เริ่มคิดปลอบใจตัวเอง ในเมื่อสองเดือนแรกที่นับแต้มกลับไปนั้นเขายังเทียวขึ้นเทียวลงไปกลับเชียงใหม่-กรุงเทพฯ ทุกเสาร์อาทิตย์อยู่เลย อีกอย่างตอนที่ไม่ได้เจอกันเราก็ยังคุยโทรศัพท์หรือวิดีโอคอลกันเป็นปกติดี แม้ก

  • My Ex. แฟนเก่าของฉันเป็นประธานบริษัท   บทที่ 64

    มีเวลาสักพักกว่าเครื่องจะออก เพราะเช็กอินทางอออนไลน์มาแล้วจึงไม่ต้องรีบมากนัก ฉันขึ้นชั้นสองแวะซื้อขนมไปฝากพี่ๆ เพื่อนๆ ที่มหาวิทยาลัยและที่คลับ ก่อนจะเข้ามาภายในของเกต โชคดีที่เกตที่ฉันต้องขึ้นอยู่ไม่ไกลนัก เดินไปแป๊บเดียวก็ถึง ภายในเกตคนน้อยกว่าข้างนอกมาก ฉันนั่งลงที่เก้าอี้รอประกาศการขึ้นเครื่อง ทอดสายตามองไปนอกอาคารเห็นเครื่องบินลำน้อยใหญ่จอดรอเรียงกันอยู่บนรันเวย์ ฉันยกมือถือขึ้นถ่ายรูปกับภาพเบื้องหน้าที่มองเห็นก่อนจะอัปลงในไอจีและส่งข้อความไปรายงานไนล์ “ขอโทษนะครับ ตรงนี้มีคนนั่งมั้ยครับ?” !!! ฉันเงยหน้าขึ้นขวับทอดสายตามองไปยังเจ้าของเงาที่ปกคลุมร่างของฉันเอาไว้ ดวงตาของฉันเบิกกว้างด้วยความตกใจ อวัยวะภายในอกเต้นสั่นระรัว นิ่งค้างอยู่แบบนั้นอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง “ไนล์...” ฉันเอ่ยเสียงแผ่วเหมือนจะคุยกับตัวเองมากกว่า “อื้ม ไนล์เอง” ร่างสูงยิ้มพลางทรุดตัวลงนั่งข้างฉัน “มาได้ไง ไหนบอกว่าจะไม่มาไม่ใช่เหรอ?” “กลัวเด็กร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่หน้าเกตก็เลยเข้ามาดูสักหน่อย” ไนล์เอ่ยแซว ร่างสูงงอนิ้วชี้แล้วมาแตะลงบนจมูกฉันเบาๆ “ไนล์เห็นนับแต้มยืนหันซ้ายหันขวาตั้งแต่อยู่นอ

  • My Ex. แฟนเก่าของฉันเป็นประธานบริษัท   บทที่ 63

    Final Chapter officially “อย่าโมโหไปเลยน่า เขาคงเมานั่นแหละ น่านะ” ฉันพูดขึ้นเมื่อเราสองคนเข้ามาอยู่ในรถ หันหน้ามองใบหน้าหล่อเหลาที่ยังตีหน้ามุ่ยอยู่ นัยน์ตาเข้มจับจ้องไปที่ท้องถนนที่อยู่ด้านหน้า มือทั้งสองข้างกำพวงมาลัยรถไว้แน่น ช่วงนี้อารมณ์ของร่างสูงนั่นค่อนข้างจะอ่อนไหว ซึ่งฉันรู้ดีว่าเขาเป็นแบบนี้เพราะอะไร ตลอดทางจากร้านชาบูมายังหอพักที่ฉันเช่าเอาไว้ร่างสูงไม่พูดอะไรออกมาสักแอะ ยิ่งพอเข้ามาในห้องอารมณ์ของอีกฝ่ายก็เหมือนจะดิ่งลึกลงไปเรื่อยๆ หน้าของเขามืดไปแปดส่วนขณะทอดสายตาไปยังกระเป๋าเดินทางที่เปิดอ้าอยู่ตรงมุมห้องเพราะยังเก็บของไม่เสร็จ ไนล์เดินปั้นปึ่งไปทิ้งตัวนั่งกอดอกอยู่บนเตียงนอน คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันแน่นจนเกิดเป็นรอยย่นตรงหน้าผาก ฉันมองแผ่นหลังกว้างแล้วเดินตามไปทรุดตัวนั่งลงข้างๆ อ้าแขนกอดรวบร่างอีกฝ่ายเอาไว้พลางเงยหน้าขึ้นวางคางบนหัวไหล่ของเขาเป็นที่ค้ำ “ไม่ไปไม่ได้เหรอ” เป็นไนล์ที่เอ่ยออกมาก่อน เสียงของเขาฟังดูเศร้าสร้อยเสียจนคนฟังอย่างฉันใจอ่อนยวบ แต่ถึงอย่างนั้นฉันและไนล์ต่างก็รู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้ “ไม่ไปก็เรียนไม่จบสิ” ฉันบอกในสิ่งที่เจ้าตัวรู้อยู่แ

  • My Ex. แฟนเก่าของฉันเป็นประธานบริษัท   บทที่ 62

    “อื้อออ” “อืมมม” ไนล์ออกแรงกระแทกเอวสอบเข้ามาทีหนึ่งแรงๆ ก่อนจะกดค้างไว้อย่างนั้นพร้อมกับเสียงทุ้มที่คำรามออกมาพร้อมกับเสียงหวีดร้องของฉัน ไนล์ซุกหน้าลงกับหน้าอกของฉันที่กระเพื่อมขึ้นลงปรับอารมณ์ตัวเองให้กลับมาอยู่ในระดับปกติ สองร่างสอดประสานกันแบบนั้นสักพักก่อนร่างสูงจะถอนตัวออกไป “ไปเขียนรายงานให้นับแต้มเลยนะ” “สบายอยู่แล้ว! ให้เป็นหน้าที่ไนล์เอง” เวลาสามเดือนแห่งการฝึกงานผ่านไปอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ แต่หากพอมองดีๆ แล้วกลับมีเรื่องราวเกิดขึ้นอย่างมากมาย ฉันมองไปที่โต๊ะข้างตัวที่ว่างเปล่า อย่างน้อยหนึ่งในนั้นคือพี่สาเลือกที่จะลาออกไปแต่โดยดี ฉันเก็บของบนโต๊ะลงใส่กล่องลังด้วยความรู้สึกหน่วงใจเล็กน้อย เย็นนี้พี่ปิ่นเป็นเจ้ามือเลี้ยงส่งเด็กฝึกงานแผนกการตลาดที่ร้านบุฟเฟ่ต์ชาบูแห่งหนึ่งใกล้กับบริษัท เมื่อมาถึงก็เห็นโต๊ะขนาดยาวต่อกันไว้ให้พวกเราโดยเฉพาะ ทุกคนในทีมต่างกันแย่งกันจับจองที่นั่งโดยมีพี่ปิ่นนั่งอยู่หัวโต๊ะ สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือแอลกอฮอล์ แต่ฉันที่เพิ่งไปเจอเรื่องของนับตังค์มาแล้วยังสะเทือนใจไม่หายก็ขอผ่านเครื่องดื่มพวกนี้ไปกดน้ำพันช์สีส้มมาดื่มแทน ชาบูทุกหม้อแน่นขนัด

  • My Ex. แฟนเก่าของฉันเป็นประธานบริษัท   บทที่ 61

    ฉันเขม่นตาหรี่มองคนที่พูดไปตุเป็นตะ “ตลกละ” ไนล์หัวเราะก่อนจะดึงฉันเข้าไปกอด “พ่อกับแม่ไม่ได้ทิ้งนับแต้มหรอกนะ เขาแค่ดีใจที่มีคนมาดูแลนับแต้มเพิ่มขึ้นไง ถ้าอะไรๆ ลงตัวเราสองคนก็ไปเยี่ยมท่านให้บ่อยขึ้นดีมั้ย” “อื้ม” ฉันพยักหน้าอยู่กับอกร่างสูง “ว่าแต่...อาทิตย์หน้าก็จะฝึกงานเสร็จแล้วใช่มั้ย” ฉันชะงักมือที่กอดเอวอีกฝ่ายเอาไว้ก่อนจะเงยหน้าไปทำตาโตใส่ไนล์ “จริงด้วย! นับแต้มยังทำรายงานไม่เสร็จเลย เกือบลืมไปแล้วนะเนี่ยมัวแต่ยุ่งๆ เรื่องนับตังค์ อ๊ะ!” “รายงานน่ะเดี๋ยวค่อยทำ มาทำการบ้านกับไนล์ก่อน” ฉันร้องเสียงหลง ร่างของฉันที่ตั้งใจจะผละออกไปยังที่โต๊ะทำงานกลับต้องซวนเซมาอยู่ในอ้อมแขนของไนล์อีกครั้งริมฝีปากหยักก้มลงมาประทับจูบอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ก่อนลิ้นหยุ่นจะเข้ามากวาดต้อนความหวานด้านในด้วยความรวดเร็ว ไนล์ใช้ร่างกายที่ใหญ่โตกว่าดันร่างฉันให้ก้าวถอยหลัง และด้วยขนาดของพื้นที่ห้องที่ไม่ได้กว้างอะไรเลย เพียงเดินถอยหลังสองสามก้าวก็ชนเข้ากับขอบเตียงเสียหลักหงายหลังหล่นตุ๊บไปอยู่บนที่นอนแล้ว ยังดีที่เหมือนว่าร่างสูงได้คาดคะเนไว้แล้วจึงใช้มือหนายั้งแผ่นหลังฉันไว้ไม่ให้กระแทกลงไปอย่างเ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status