งานทำบุญจบลงในช่วงครึ่งวันเช้า อิสริยาที่ช่วยแม่ครัวทำขนมตั้งแต่เมื่อคืนและกลับไปนอนตอนสี่ทุ่มก็ตื่นแต่เช้ามาช่วยงานที่สำนักงานนิติอีกจนจบงาน ส่วนสกนธีไปรับพระแล้วรับหน้าที่ดูแลลูกแทนแม่ที่ไม่ว่าง คอยมองเด็กหญิงเล่นกับเพื่อนวัยเดียวกันในงานจากนั้นหลังเที่ยงลูกบ้านทุกคนต่างก็แยกย้ายไปพัก และนัดกันอีกครั้งในตอนสิบหกนาฬิกาเพื่อเตรียมมาจัดของเล่นน้ำที่ลานหมู่บ้านในตอนเย็น
สกนธีปล่อยให้หญิงสาวนอนเต็มที่ ส่วนตัวเขาพาลูกดูหนังในห้องโฮมเธียเตอร์ที่เพิ่งทำเสร็จ สองพ่อลูกนอนดูการ์ตูนจนพากันหลับไปทั้งคู่ อิสริยาตื่นมาในตอนสิบห้านาฬิกาด้วยความสดชื่นเพราะได้นอนแบบหลับสนิทจริงๆ หญิงสาวเดินหาสองพ่อลูกจนเห็นว่าพากันหลับในห้องดูหนัง จึงถอยออกมาไปสำรวจครัวว่ามีอะไรหลงเหลือพอทำกับข้าวเพราะเธอกำลังหิวมาก
ดีว่าเมื่อคืนนอกจากไปซื้อของทำบุญก็ยังมีของสดมาด้วย ทำให้พอมีของในตู้เย็นให้ทำกับข้าวได้ หญิงสาวสำรวจคร่าวๆ และตัดสินใจว่าจะทำกับข้าวสามอย่าง จากนั้นเธอเริ่มสำรวจครัวใหม่ที่สกนธีเพิ่งซื้อยกชุดเพราะปีที่แล้วเธอขนออกไปหมดไม่เว้นกระทั่งเตาแก๊ส
ครัวใหม่ เคาน์เตอร์ตู้เก็บของใหม่เอี่ยมที่แทบไม่ผ่านการใช้ พร้อมเครื่องใช้ไฟฟ้าหลายอย่างในครัว ไม่ว่าจะเป็นเตาไฟฟ้า เตาแก๊ส เตาอบ ไมโครเวฟ หม้อไฟฟ้า ส่วนเฟอร์นิเจอร์เป็นแบบบิวท์อินทั้งหมด
“ชอบไหม” คำถามข้างหูมาพร้อมการสวมกอดจากด้านหลังแบบไม่ให้รู้ตัว อิสริยาไม่ได้ดิ้นหนีแต่เธอจิกเล็บลงบนท่อนแขนเต็มแรงจนเขารีบปล่อย
“โอ๊ย... เมียใครนี่ใจร้ายจัง”
“ออกไปค่ะ จะทำกับข้าว”
“พี่อยากช่วย”
“จะสี่โมงแล้ว คุณไปปลุกลูกดีกว่านอนตื่นตอนเย็นจะไม่สบาย แล้วให้ลูกอาบน้ำแต่งตัวมากินข้าวค่ะ”
อิสริยาไม่ต่อล้อต่อเถียง หญิงสาวพูดเรียบ ๆ แล้วหันหลังกลับไปเตรียมอาหาร สกนธีไม่รู้จะทำอย่างไรจึงต้องทำตามที่เธอสั่ง เมื่อเสียงเดินห่างออกไปหญิงสาวก็ลอบถอนใจ เธอรู้ดีว่าตัวเองกำลังจะใจอ่อนมากขึ้นเรื่อย ๆ หากปล่อยให้เป็นแบบนี้มีหวังการเลิกราคงไม่มีวันเกิดขึ้น
‘นี่เรายังคิดอยู่อีกเหรอว่าจะเลิกกับนายเก่งได้’
คำถามของอังกูรดังขึ้นในสองวันก่อน ตอนที่เธอไปส่งเสี่ยกวงกับคุณนายอิสรีย์ที่สนามบิน และพี่ชายถามว่าเรื่องของเธอเป็นอย่างไร ซึ่งในวันนั้นเธอยังยืนยันว่าเธอกับเขาเลิกกันแล้ว
‘ก็ไม่รู้สิคะ แต่จะกลับไปอยู่เหมือนเดิม เอ๋คิดว่ามันคงเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว’ เธอในวันนั้นตอบไปแบบนี้
‘เท่าที่ดูมันตอนนี้เฮียว่าไม่มีอะไรเหมือนเดิมหรอกเอ๋ ไอ้หมอนั่นก็ดูปรับปรุงตัวดีขึ้นเยอะ อาจจะดีพอๆ กับที่มันเคยเป็นช่วงแต่งงานสองสามปีแรกด้วยซ้ำ’ อังกูรว่าตามตรง
‘แต่จะดีขึ้นได้ตลอดไป หรือนานแค่ไหนนั่นต่างหากที่เรายังไม่รู้’
คำพูดของพี่ชายถูกต้องทุกคำจนเธอไม่รู้จะทำอย่างไร และใจหนึ่งก็สงสารลูก หญิงสาวรู้ดีว่าน้องเพียงอยากกลับมาอยู่บ้าน เพราะที่นี่เหมาะกับการเลี้ยงเด็กมากกว่าอยู่บนตึกตลอดเวลา แต่การกลับมาอีกหนเธอไม่รู้ว่าสกนธีจะดีแตกวันไหน หรือว่าเราควรจะอยู่กันในฐานะอะไรจึงจะเหมาะสมที่สุด
คืนนั้นหลังจากที่น้องเพียงเข้านอนแล้ว หญิงสาวขอคุยกับสกนธีซึ่งชายหนุ่มก็ยินดีอย่างยิ่ง เขาแอบคิดว่าเธออาจจะกำลังจะให้โอกาสเขาอีกครั้งก็ได้
“ดื่มอะไรหน่อยไหมเอ๋” เขาถือกระป๋องเบียร์ที่เพิ่งเปิดติดมือมา ชูมันให้เธอเห็นเป็นเชิงถามว่าต้องการด้วยไหม
“ไม่ค่ะ” เธอตอบเรียบๆ “ฉันอยากคุยเรื่องของเรา”
“ได้เลย เอ๋ว่ามาได้จะอะไรยังไงพี่ยอมหมด”
หญิงสาวกัดริมฝีปากและคลายออกในที่สุดเมื่อตัดสินใจได้ “ลูกอยากย้ายกลับมาอยู่ที่นี่ค่ะ แกคงเบื่อที่จะอยู่แต่บนตึก”
สกนธีใจพองฟู นั่นหมายถึงว่าเธอจะยอมกลับมาอยู่ด้วยกันแล้วใช่หรือไม่ แต่แล้วใจที่กำลังฟูก็เหี่ยวแฟบลงดังเดิม
“ฉันเลยคิดว่าคุณน่าจะย้ายออกจากตึกกลับมาอยู่บ้านได้แล้วค่ะ ฉันจะให้ลูกมาอยู่ที่นี่กับคุณช่วงวันหยุด ส่วนวันธรรมดาแกก็อยู่กับฉันเหมือนเดิม”
“ทำไมเราต้องทำแบบนั้นล่ะเอ๋ ลูกไม่ได้อยากให้เราแยกกันอยู่ ลูกอยากให้เราอยู่ด้วยกันสามคน หรือถ้าเอ๋คิดว่าพี่จะทำตัวแย่ๆ อีกให้พี่สาบานก็ได้นะ” เขาพูดรัวเร็วแต่อิสริยาขัดขึ้นเสียก่อน
“แต่ฉันไม่อยากกลับมาอีกแล้ว ฉันคิดว่า... ฉันไม่ได้รักคุณแบบเดิม”
สกนธีชะงัก นาทีนั้นที่เขารู้สึกว่าโลกหยุดหมุน ทุกสิ่งที่พยายามมาหลายเดือนที่แท้มันไม่เคยมีผลกับอิสริยา
“พี่รู้ว่าพี่ผิด แต่พี่ปรับปรุงตัวแล้วจริงๆ ถ้าเอ๋กลัวพี่จะกลับไปเป็นเหมือนเดิม พี่ยอมยกทุกอย่างให้เอ๋เลยก็ได้เงินเดือน ทรัพย์สิน เงินปันผล ที่ดิน บ้านพี่ไม่เอาอะไรเลยก็ได้” เขาละล่ำละลัก
“คุณสกนธีคะ ฉันไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงิน” คำพูดนั้นเย็นชาจนเขาหมดแรง นั่นคือความจริงที่เขารู้ดี ใครๆ ต่างก็รู้กันว่าอิสริยามีฐานะดีกว่าเขา ดีจนพ่อของเธอไม่อนุญาตให้สองคนจดทะเบียนสมรสกัน
เรื่องนี้เป็นปมในใจของสกนธีมาตลอด ใครว่ามีเมียรวยแล้วดี และที่เขาพยายามทำงานหนักจนละเลยครอบครัวก็เพราะอยากไปอยู่ในจุดที่ยืนได้เท่ากับเธอ ที่เมื่อก่อนเคยข่มเธอก็เพราะรู้สึกแย่ที่ตัวเองไปไม่ถึงในจุดที่เป็นความสบายใจ และเขาก็รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองเคยทำนั้นมันผิดและไม่ได้ช่วยอะไร นอกจากจะไม่ได้เป็นคนที่สามารถภูมิใจได้เมื่อยืนข้างกันแล้วยังทำให้เธอเสียใจอีก มันแย่ไปทุกอย่างแบบที่เขาคาดไม่ถึง
ท่ามกลางความเงียบงัน เสียงสะอื้นดังขึ้นจนทั้งสองมองหาต้นเสียง และทั้งสกนธีและอิสริยาต่างก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าลูกยืนอยู่หน้าห้อง
“ฮึก... พ่อแม่ไม่ได้รักกันเหรอคะ”
คำถามของเด็กหญิงเสียดแทงใจอิสริยาจนเธอกัดริมฝีปากแน่น
“ลูก มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” เธอก้าวไปหาแต่เด็กหญิงสุพิชชาถอยหลังหนีไม่ยอมให้ใครโดนตัว
“พ่อบอกว่าบ้านคือที่ที่เราอยู่กันสามคน พ่อโกหกเหรอคะ” เด็กหญิงปาดน้ำตา
“ไม่ลูก พ่อไม่ได้โกหกหนู เราจะอยู่กันสามคนไงคะ ยังไงเราก็ยังมีกันสามคนนะลูก”
“แม่รักหนู คุณพ่อก็รักหนู เราทุกคนรักลูกนะคะ” อิสริยาค่อยๆ จับตัวเด็กหญิง โล่งใจเมื่อเธอไม่ขัดขืนจึงรั้งมากอดได้ในที่สุด
“แต่แม่บอกว่าไม่รักพ่อ หนูได้ยิน” เสียงเธออู้อี้
“แม่เขาโกรธพ่อเฉยๆ แม่ไม่ได้หมายความแบบนั้นนะคะ” สกนธีปลอบลูก เด็กหญิงจ้องหน้ามารดาเขม็งอิสริยาจำต้องพยักหน้าตาม
“ใช่ค่ะลูก แม่แค่โกรธพ่ออยู่”
หลังจากที่พาเด็กหญิงเข้านอนอีกครั้ง สกนธีและอิสริยาจึงตกลงกันใหม่ว่า เธอและลูกจะกลับมาอยู่ที่บ้านนี้อีกครั้งในวันหยุดศุกร์เสาร์อาทิตย์ ในวันธรรมดาพวกเขาจะใช้ชีวิตที่ตึกใหม่เหมือนเดิมโดยที่สกนธีจะไปพักที่นั่นตามเดิม ทั้งสองตกลงใจที่จะรักษาความรู้สึกลูกด้วยการทำหน้าที่ในฐานะพ่อและแม่ ส่วนในสถานะของสามีภรรยาให้พักไว้ก่อน จนกว่าทั้งเธอและสกนธีจะมีคำตอบที่ดีกว่านี้
สิบปีต่อมา “พ่อขา หนูขอไปเรียนต่อที่มช.นะ พ่อให้หนูไปนะคะ” สุพิชชาในวัยสิบแปดปีเต็ม เธอเป็นเด็กสาวที่กำลังจะเปลี่ยนผ่านเป็นผู้ใหญ่แล้วอ้อนขอบิดาในเรื่องเรียน “อืม... พ่อว่า” สกนธีคิดหนัก เขาเป็นพ่อที่ขึ้นชื่อว่าหวงลูกสาวทั้งสองคนมาก โดยเฉพาะคนโตที่กำลังเป็นสาวสะพรั่ง จะทำใจปล่อยให้ไปอยู่ไกลขนาดนั้นได้อย่างไร “หนูยื่นคะแนนผ่านแล้วหรือยังลูก” อิสริยาถามแทน“ผ่านแล้วค่ะแม่สาขาแอนนิเมชันและวิชวลเอฟเฟกต์ อาทิตย์หน้าต้องไปสัมภาษณ์ รอบรับตรงคะแนนผ่านยี่สิบคนรับสิบห้าค่ะ” “งั้นเดี๋ยวพ่อแม่ไปด้วย” สกนธีตัดสินใจ ในวัยของลูกเขาเองก็ผ่านมาแล้ว รู้ว่าไม่ควรห้ามและปิดกั้นลูกไม่ให้ออกไปเผชิญโลกภายนอก“พิงค์ไปด้วยค่ะ” สโรชาวิ่งลงมาจากบันไดทันได้ยินพอดี “ไปกันหมดบ้านล่ะ ถ้าน้องเพียงสอบผ่านเราก็หาบ้านไว้ที่นั่นสักหลังนะคะพี่เก่ง” อิสริยาสรุป“เย้... ดีใจจังเราจะมีบ้านที่เชียงใหม่แล้ว” ดูเหมือนว่าลูกสาวคนเล็กจะดีใจกว่าคนที่ขอไปเรียนเสียอีก สกนธีมองลูกแล้วส่ายหน้าไปมาด้วยความเอ็นดู แม้ว่าเขาเองจะมีความใจหายลึกๆ ว่าอีกหน่อยลูกจะโตกันหมดแล้วก็ตามห้าวันต่
หนึ่งปีต่อมา“เราจะซื้อไปทำไมคะแม่ ดอกไม้พวกนี้” น้องเพียงในวัยแปดขวบถามหลังจากที่ช่วยมารดายกถุงใส่พวงมาลัยสดขนาดยาวสามเมตรขึ้นรถ“เอาไปไหว้เหล่ากงไงลูก” น้องเพียงทำหน้านึก “อ๋อ... ไปเชงเม้งเหรอคะแม่”“ใช่จ้ะลูก บ้านเราไปกันพรุ่งนี้” เพราะว่าครอบครัวของอิสริยาเป็นคนไทยเชื้อสายจีน ดังนั้นในช่วงปลายเดือนมีนาคมถึงต้นเดือนเมษายนจะเป็นช่วงเทศกาลเชงเม้งหรือการไปไหว้บรรพบุรุษ สมาชิกทุกคนในครอบครัวจะต้องไปพร้อมหน้าพร้อมตากันไม่ว่าจะเป็นเสี่ยกวงและภรรยา ลูกชาย ลูกสะใภ้ ลูกเขย และบรรดาหลานๆโดยที่ปีนี้ครอบครัวของอิสริยาจะเอารถไปเอง โดยที่เธอนัดกับคนอื่นๆ ไว้ว่าให้ไปเจอกันที่สุสานที่จังหวัดสระบุรีในช่วงสายได้เลย เช้าวันนั้นเด็กๆ ตื่นเต้นที่จะได้ไปต่างจังหวัดจึงพากันตื่นเร็วทั้งพี่ทั้งน้อง อิสริยาให้พี่เลี้ยงลูกตามไปหนึ่งคนเพื่อคอยดูเด็กๆ ในช่วงที่ทำพิธีไหว้เมื่อจัดของขึ้นรถเรียบร้อยแล้วในตอนเช้า ยังไม่ถึงหกนาฬิกาดีรถยนต์เจ็ดที่นั่งก็เคลื่อนตัวออกเดินทาง สกนธีเพิ่งเปลี่ยนมาใช้รุ่นนี้เมื่อต้นปีเพราะมันเป็นรถรุ่นครอบครัว เหมาะกับบ้านที่มีสมาชิกหลายคน “ลูกอมกาแฟหน่อยไหมคะ
“คุณพ่อขา แม่จะต้องอยู่ข้างในนานไหมคะ” เด็กหญิงสุพิชชากระตุกมือคุณพ่อของเธอที่กำลังยืนอยู่หน้าห้องผ่าตัด“เดี๋ยวคุณแม่ก็ออกมาลูก” สกนธีจูงมือลูกสาวพามานั่งรอด้วยกัน “หนูหิวหรือยังคะ ไปหาอะไรกินก่อนไหมพ่อพาไป” ชายหนุ่มมองเวลา จากที่คุณหมอแจ้งไว้น่าจะพอมีเวลานิดหน่อยพาลูกไปหาอะไรรับประทาน“หิวค่ะ แต่หนูอยากรอแม่” เพราะว่าเด็กหญิงเพิ่งกลับจากโรงเรียนก็ตรงมาที่โรงพยาบาลเลย “ไปกินก่อนลูก กว่าแม่จะผ่าตัดเสร็จกว่าจะขึ้นห้องพัก” ชายหนุ่มบอกลูกสาว กำลังจะพาเด็กหญิงไปชั้นล่างแต่คุณนายอิสรีย์เดินมาถึงเสียก่อน“น้องเพียงไปกับอาม่าก็ได้ลูก เก่งรอดูเอ๋เถอะเดี๋ยวแม่พาน้องเพียงไปเอง” “ขอบคุณครับม้า” สกนธีขอบคุณแม่ของภรรยาที่มาช่วยดูแลหลาน หลังจากที่อันธิกาเป็นคนไปรับหลานจากโรงเรียนมาส่งหาพ่อแม่ที่โรงพยาบาล“แล้วนี่เอ๋จะทำหมันด้วยเลยไหม” นางถามต่อ“ไม่ทำครับ เดี๋ยวผมทำเอง” แม่ยายชะงักมองหน้าลูกเขย ก่อนจะยิ้ม “ดี ทำหมันก็เจ็บตัวเพิ่มแค่ผ่าคลอดก็เจ็บพอแล้ว ขอบใจนะ” หาได้น้อยบ้านที่ผู้ชายจะยอมเป็นฝ่ายทำหมัน เนื่องจากมองกันว่าไหนๆ ฝ่ายหญิงก็คลอดลูกอยู่แล้ว ควรจะทำหมันไปด
อิสริยาและสกนธีจรดปลายปากกาลงในทะเบียนสมรสต่อหน้านายทะเบียนที่เชิญมานอกสถานที่ ทั้งสองผลัดกันเซ็นแล้วนายทะเบียนลงนามและตรวจสอบความเรียบร้อยดีแล้ว จากนั้นจึงมอบให้คู่บ่าวสาวเก็บไว้ถือคนละฉบับวันนี้เป็นวันแต่งงานอีกครั้งของสกนธีและอิสริยา ซึ่งจัดเป็นพิธีแบบครึ่งวันไม่มีงานเลี้ยงเย็นเนื่องจากเจ้าสาวตั้งครรภ์อยู่ ไม่สะดวกเข้าพิธีที่ต้องใช้ระยะเวลายาวนานแขกที่พวกเขาเชิญมาร่วมงานมีไม่มาก ส่วนใหญ่เป็นคนสนิทหรือญาติพี่น้อง เพื่อนร่วมวงการทั้งสิ้น งานจัดแบบสบายๆ เป็นงานแต่งงานในสวน ตามตารางเวลาจะมีพิธีเลี้ยงภัตตาหารและหลั่งน้ำพระพุทธมนต์ พิธีส่งตัว จบที่การเชิญแขกร่วมรับประทานมื้อเที่ยงแบบเป็นกันเอง“รักกันนานๆ ดูแลกันไปตลอดนะลูก” คุณธิดาให้พรเป็นคนแรกในการเริ่มต้นชีวิตครอบครัวอีกครั้งเพื่อเป็นสิริมงคลคู่บ่าวสาวในงานแต่งงานครั้งที่สองของลูกชายคนเดียว“พ่อขอให้ครอบครัวร่มเย็นเป็นสุข ทำอะไรเจริญก้าวหน้านะลูก เด็กๆ แข็งแรง พระเจ้าอวยพรลูก” ตามด้วยคุณศิริหลั่งน้ำสังข์พร้อมกับให้พรและมีเงินขวัญถุงใส่ซองให้บ่าวสาวคู่บ่าวสาวก้มลงไหว้คนทั้งสอง “ขอบคุณค่ะคุณแม่คุณพ่อ” “ขอบคุณครับพ่อแ
คดีของติยากรคืบหน้าอย่างรวดเร็วและมีแนวโน้มไปในทางดี เพราะว่าทนายติดต่อไปยังอดีตแฟนสาวอีกคนของเคน และได้รับทราบถึงพฤติกรรมที่ไม่ต่างกันกับที่ติยากรได้พบ นอกจากนั้นในอีกส่วนซึ่งเป็นคดีของสกนธีเองก็มีการได้คุยกับเพื่อนร่วมวงการหลายคน และพบว่าเคนไม่ได้ทำกับสกนธีเป็นคนแรก ดังนั้นจึงมีการรวบรวมผู้เสียหายหลายคนรวมฟ้องกันเป็นหลายกระทง ต่างกรรมต่างวาระและมูลค่าความเสียหายสูงถึงหลายสิบล้านคดีของติยากรและผู้เสียหายคนอื่นๆ ที่คดีที่เกี่ยวกับการแบล็กเมล ข่มขู่ ทำร้ายร่างกายและกรรโชกทรัพย์นั้น ศาลชั้นต้นได้พิจารณาแล้วและได้ตัดสินให้เคนจำคุกทั้งหมดสี่ปีสิบสองเดือน และเสียค่าปรับอีกสามแสนบาทและมีคำสั่งห้ามเข้าใกล้โจทก์ในระยะห่างที่ศาลกำหนดจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์ซึ่งศาลได้รับอุทธรณ์ตามขั้นตอน นั่นหมายความคดีจะต้องยืดเยื้อไปอีกนาน ในส่วนคดีของสกนธีศาลได้ประทับรับฟ้องเคนเป็นจำเลยที่หนึ่ง และผู้มีส่วนรู้เห็นเป็นจำเลยที่สองและสามอีกหลายคน ซึ่งคดีของสกนธีเป็นคดีที่มีมูลความผิดและอัตราโทษที่รุนแรงไม่แพ้กัน คือคดีปลอมแปลงเอกสารราชการซึ่งถือเป็นความผิดอาญามีโทษทั้งจำและปรับทีมกฎหมายของคดีที่สกน
การก่อสร้างห้างใหม่กว่าจะแล้วเสร็จใช้เวลาหนึ่งปีพอดี ในวันเปิดงานหลังเทศกาลขึ้นปีใหม่ปีถัดมา นั้นก็เป็นเวลาแห่งการเฉลิมฉลองเข้าศกใหม่และย้ายโกดัง สำนักงานและสินค้าทั้งหมดเข้าห้างใหม่ไปในเวลาเดียวกันกรรมการบริหาร หุ้นส่วน พนักงานและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการก่อสร้างล้วนถูกเชิญให้มาร่วมในงานทำบุญเปิดห้างเพื่อเป็นสิริมงคลในการเริ่มต้นศักราชใหม่ ซึ่งรวมถึงอิสริยาและสกนธีกับทีมงานของเขาก็มาร่วมงานในวันนี้เช่นกัน“แม่ขาหนูสวยยังคะ” น้องเพียงในวัยหกขวบหมุนตัวไปมาให้มารดาดู เธอสวมชุดเจ้าหญิงฟูฟ่องสีชมพูที่เธอร้องอยากได้และคุณพ่อเป็นคนซื้อให้ตามสัญญา“สวยแล้วค่ะ อยู่นิ่งๆ ก่อนนะคะ รอพระสวดเสร็จก่อนลูก” หญิงสาวปรามลูกไม่ให้ขยับตัวไปมาเยอะจนเป็นการรบกวนคนอื่นให้เสียสมาธิในการรับพร“หนูจะไปหาคุณพ่อ” ว่าแล้วเธอก็วิ่งปรู๊ดไปหาสกนธีที่กำลังคุยกับเสี่ยกวงและอังกูร พ่อและพี่ชายของภรรยา“ขอบใจมากนะอาเก่ง ลื้อเก่งจริงๆ ดูสิเป็นรูปเป็นร่างได้ขนาดนี้” เสี่ยกวงขอบใจพ่อของหลานสาวที่เป็นธุระเรื่องการสร้างห้างใหม่ให้ชายหนุ่มก้มศีรษะน้อมรับคำชมนั้น ซึ่งไม่ใช่เขาคนเดียวที่ทำให้งานสำเร็จลงได้ การก่