@ ห้องพักอาจารย์
“อ้าว ไปไงมาไงถึงมาด้วยกันได้ล่ะ” ทันทีที่พวกฉันเดินก้าวขาเข้ามาในห้องพักอาจารย์ก็ถูกทักขึ้นมาจนฉันก้าวขาออกห่างจากหมอนี่แทบไม่ทัน ถ้าไม่ติดว่าอาจารย์จะรอนาน ฉันจะซัดหน้าหมอนี่ให้ฟันร่วงสักที กางเกงกุ๊งกิ๊งบ้านป้ามันดิ! “เจอระหว่างทางน่ะฮะ ทางชมรมส่งเอกสารมาแล้วใช่มั้ยครับ” เลโอเดินเอาของเข้าไปวางที่โต๊ะอาจารย์ แล้วทำท่าเคร่งขรึมพูดถึงแบบฟอร์มอะไรสักอย่างที่ฉันไม่ได้สนใจเท่าไหร่ “อื้ม งั้นเดี๋ยวรฐนนท์ ฟาริดา พวกคุณนั่งรอข้างในแป๊บนะ ผมขอปริ้นท์เอกสารแป๊บเดียว” “(- -) (_ _)” “ฟาริดา~ ฟาริดา~” น้ำเสียงยียวนเรียกชื่อฉันตามหลังมาติดๆ แถมยังเอามือใหญ่ๆ ยื่นมาทำท่าจะวัดความสูงเทียบกันอีก -.- ไม่จบใช่ป้ะ ได้!!! พรึ่บบบ! หมับ! แล้วพอเดินพ้นเข้ามาในห้องประชุมทึบๆ ฉันก็เลื่อนมือจะไปปัดมือหนานั่นออก แต่กลับโดนเลโอคว้าแขนไว้แล้วกระชากเข้าไปกอดอย่างรวดเร็วโดยการใช้มือข้างหนึ่งรวบเอวเอาไว้ “ไม่หยุดเค้าจูบนะ ตัวช้ำหมดแล้วเนี่ย” “กล้าก็ลอง!” พลั่ก! ตุ้บ! “โอ๊ย!” “สม!” ฉันใช้จังหวะที่เลโอมัวทำหน้าแอ๊คๆ เหมือนจะเท่ กระทืบลงที่เท้าหมอนี่อย่างแรงจนเจ้าตัวสะดุ้ง ก่อนจะร้องโอดโอยออกมาแล้วชี้หน้าคาดโทษ “เหอะ ชอบความรุนแรงก็ไม่บอก” พรึ่บบบ!! แล้วเลโอก็พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว มันเกือบจะดีอยู่แล้วถ้าก่อนหน้านี้ฉันสังเกตสักนิดว่าตัวเองกำลังโดนไล่ต้อนเข้ามาในมุมห้อง ทำให้ตอนนี้..หนี ไม่ ได้! พลั่ก! ตึง! “ว๊า แย่จัง :) งั้นมัดจำก่อนเลยหนึ่งที” ฟรืดดด! O_O! พูดจบไอ้บ้านี่ก็โน้มตัวลงมาหอมแก้มฉันที่ไม่ทันระวัง แล้วทำหน้าฟินจัด หัวเราะคิกคักออกมา “คิกๆๆๆ หอมจัง” “ไอ้บ้าเอ๊ย! ไปตายซะ!” พรึ่บบบ! “เรียบร้อย เอ่อ.. ได้แล้วล่ะ” ทันทีที่ฉันคว้าคอเสื้อนักศึกษาของคนตรงหน้าด้วยความฉุนเฉียวขั้นสุด อาจารย์ก็เดินถือเอกสารในมือเข้ามาขัด โว้ย! มันใช่เวลาป่ะฮะ?! จิ๊! “เอ่อ นั่งก่อนสิ คืองี้ฟาริดา...” พรึ่บบบ! ฟุ้บ! ฉันสะบัดคอเสื้อหมอนี่ออกแล้วทิ้งตัวนั่งอย่างไม่เก็บอาการ อาจารย์เองก็ดูหวั่นๆ และทำเป็นยิ้มกลบเกลื่อนเนียนๆไป “ผมมีเรื่องต้องแจ้งให้คุณทราบ 2 เรื่อง เรื่องแรก..ทางคณะเรารู้เรื่องที่คเชนทร์ขาดความรับผิดชอบจนถึงขั้นต้องเลื่อนประชุมแล้ว ซึ่งมันสร้างความเสียหายมากพอควร เพราะมีส่วนทำให้ชมรมวารสารต้องเลื่อนงานประเพณีออกไปอีกทั้งที่มันควรมีขึ้นตั้งแต่วันเปิดเทอม” เหอะ! เลอะเทอะ! “เลื่อนไป? เพราะแค่คเชนทร์ที่ไม่ใช่ญาติโกโหติกาของใครไม่เข้าประชุม?” พูดจบฉันก็ปรายตาไปมองหมอนั่น ที่พอคุยงานก็เปลี่ยนท่าทางเป็นคนละคนไปเลย เนียนตาย! “ครับ ที่เป็นแบบนี้เพราะทางชมรมเห็นว่าทุกคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นตัวแทนรับผิดชอบในแต่ละส่วนงานมีความเข้าใจในหน้าที่ของตัวเองไม่ตรงกัน” เลโอพูดออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง แต่สำหรับฉัน! ถามจริง..นี่มันข้ออ้างบ้าบออะไร แบบนี้ถ้าพ่อใครป่วย แม่ใครสบายแล้วลาไปก็มีผลกับมหาลัยทุกคนเลยมั้ย นี่สินะความหมายของคำว่าศูนย์กลางจักรวาลที่ใครว่าไว้ “แต่วันนั้นคเชนทร์....” “เอาล่ะฟาริดา ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ ทั้งนั้น อีกอย่างคเชนทร์เพิ่งมาสารภาพกับผมว่าไม่พร้อมที่จะทำงานในส่วนนี้ ทางคณะเลยตัดสินใจว่า...เราจะถอนตัวคเชนทร์ออกจากชมรม” ฉันกำลังจะพูดออกไปอาจารย์ก็พูดขัดขึ้นมา แต่คำว่าจะถอนไอ้เชนออกไม่น่าสนใจเท่ากับคำว่ามัน... “เพิ่งมาสารภาพ -.-?” “อืม นี่ใบลาออกจากชมรมของคเชนทร์ถ้าคุณไม่เชื่อ” พูดจบอาจารย์ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาวางลงตรงหน้าฉัน ระบุรายละเอียดวันและเวลาที่ไอ้เชนมันลงชื่อขอลาออกจากชมรมวารสารในนั้นชัดเจน แต่วันที่ลงมันเมื่อวานเองเนี่ยนะ -.- แล้ววันนี้ก็เจอกัน ทำไมมันไม่เห็นบอกอะไรฉันสักคำเลยฟะ! “ส่วนเรื่องที่สอง... เพราะตัวแทนคณะนิเทศเหลือแค่คนเดียว และทางชมรมไม่ต้องการคนเพิ่ม...” อาจารย์พูดออกมาแล้วละสายตาจากฉันหันมองหน้าเลโอที่นั่งอยู่ด้วยสีหน้าที่ดูเกรงใจ แล้วโน้มตัวกลับมากระซิบเบาๆ ข้างหูฉันด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล “เพราะกลัวตัวแทนคณะเราจะไปสร้างความวุ่นวายให้พวกเขาแบบเดิมน่ะ ซุบซิบๆ อะแฮ่ม! ก็เลยมีการปรับเปลี่ยน Organize ของชมรมใหม่ให้คุณขึ้นตรงกับรฐนนท์โดยไม่ต้องผ่านคนอื่น” “ไม่มีทาง!” พออาจารย์พูดจบฉันก็โพล่งสวนไปทันควัน แล้วมันก็ทำให้อาจารย์ถึงกับชะงักก่อนจะโน้มตัวเข้ามาซุบซิบกับฉันเบาๆ อีกครั้งด้วยท่าทางเกลี้ยกล่อมให้ใจเย็นลงกว่าเดิม “เอ่อ อื้ม ...ระวังคำพูดหน่อยสิฟาริดา ซุบซิบๆๆๆ” จิ๊! “ไม่ค่ะ อย่างที่เคยแจ้งอาจารย์ไปแล้วว่าถ้าคเชนทร์ทำหนูทำ แต่ถ้า....” “คเชนทร์ถูกถอนตัวจากชมรมวารสารเพราะความเห็นชอบของคณะ!” ฉันยังพูดไม่ทันจบเลโอก็สวนขึ้นมาบ้างจนห้องทั้งห้องเงียบกริบ ก่อนที่หมอนั่นจะพูดต่อ “ส่วนฟาริดา..คุณ! ได้รับมอบหมายหน้าที่นี้จากคณะ” ครืดดดดด! แล้วหมอนี่ก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยท่าทางเคร่งขรึม ก่อนจะพูดออกมาเสียงเครียดจัดจนอาจารย์ที่นั่งข้างฉันเริ่มออกอาการเลิ่กลั่ก “ผมว่าผมไปรอข้างนอกดีกว่า เผื่อทางคณะอยากคุยกับนักศึกษาก่อน แต่สุดท้ายถ้าคณะนี้ไม่พร้อม...” “พร้อมครับ ทางคณะเราพร้อมมาก ไม่เป็นไรเลยรฐนนท์” แล้วอาจารย์ก็หันกลับมาเกลี้ยกล่อมปนอ้อนวอนขอร้องฉันอีกครั้ง “น่านะ ขอร้องเถอะฟาริดา คุณคือความหวังของเราชาวนิเทศนะ จำไม่ได้หรอ ห้องปฏิบัติการภาพถ่ายอันสุดแสนอลังการของเราน่ะ ฟาริดาคุณต้องใจเย็นๆ คิดถึงความสุขของคนหมู่มากดีกว่า ซุบซิบๆๆๆ” ” “เท่าไหร่คะ?” ทั้งที่ไม่คิดว่าจะพูดออกไปและไม่เคยอยากแก้ปัญหาอะไรในโลกด้วยวิธีนี้ แต่ความหงุดหงิดจนทำให้ฉันหลุดปากออกไปอย่างขาดสติจนได้ “หมายถึง o_O?” สีหน้าอาจารย์ที่กำลังเป็นกังวลเลิกคิ้วส่งมาให้ “ไอ้ค่าสร้าง studio ใหม่นี่มันเท่าไหร่ -.-” “โอ้..เอาเรื่องเชียวล่ะ จากที่ประเมินความต้องการภายในที่นักศึกษาเราร้องขอจากมหาลัย นอกจากจะอยากได้สตูดิโอที่มีฟังก์ชั่นต่างๆ ครบถ้วนมากมาย ยังต้องมีแยกย่อยออกมาอีกหลากหลายสไตล์เรียกว่ามหาลัยใจดีเกินไปที่ตกลงจะสร้างให้ ตีเป็นตัวเลขก็เจ็ดแปดหลักเห็นจะได้” “ได้ค่ะ” พูดจบฉันหันก็เหลือบตาไปมองเลโอที่แว๊บหนึ่งตอนที่อาจารย์อธิบาย ออกมาด้วยความตั้งใจ หมอนั่นก็แอบหันหน้ามองไปทางอื่นยิ้มกรุ้มกริ่มออกมายกใหญ่ “จริงนะ คุณจะยอมเป็นตัวแทนคณะไปทำงานกับชมรมวารสารแล้วชะ..” “เปล่าค่ะ ไอ้ค่าสร้าง Studio อะไรนั่น เดี๋ยวหนูออกให้เอง -.-” เละ! คราวนี้ท่านผู้นำคงแปลกใจ ถ้าเห็นรายจ่ายที่มันมากเกินกว่าเดือนไหนๆ ของฉัน แต่ช่างมัน! ถือว่าตัดปัญหาความวุ่นวายที่อาจเกิดได้จากหมอนี่ไป เพราะถ้าไม่ตัด แล้วท่านผู้นำรู้เข้าว่าหมอนี่เข้ามาวุ่นวาย คนที่จะซวยไปทั้งชาติต้องให้สาธยายป่ะว่าเป็นใคร? ฟุ้บ! แล้วอยู่ๆ เลโอที่ได้ฟังก็ทิ้งตัวนั่งลงมาใหม่ ก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปากสะใจ “นับถือใจและความเสียสละเงินในกระเป๋าของนักศึกษาคณะนี้จัง” แล้วพอได้ฟังหมอนั่นพูดแบบนั้น ก็ทำให้อาจารย์ถึงกับยิ้มกว้างและรีบพูดออกมาพัลวัน “ถ้าอย่างนั้น...” “แต่ถึงจะมีทุน ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างได้ง่ายๆ อยู่ดีนั่นแหละครับ ผมว่าเรามาตัดปัญหาเล็กๆนี่ซะ อย่าให้มหาลัยต้องใช้ยาแรงด้วยการ...ยุบคณะ! แค่เพราะนักศึกษาคนเดียวไม่ให้ความร่วมมือเลยดีกว่า :) ” เกลียด! บอกตรงนี้เลยว่าเกลียด! ไอ้แววตา ท่าทาง และรอยยิ้มที่ดูเหมือนตัวเองเป็นผู้ชนะนั่น! แล้วพอพูดจบหมอนี่ก็เลื่อนมือไปคว้ากระดาษอีกแผ่นตรงหน้าอาจารย์ที่หน้าซีดไปแล้วเรียบร้อยขึ้นมา ก่อนจะยื่นมันมาวางตรงหน้าฉันช้าๆ และหยิบปากกาอะลูมิเนียมสลักชื่อตัวเองในกระเป๋าเสื้อออกมา พรึ่บ! แกร๊ก! “ถือเป็นเกียรติที่ได้ร่วมงาน...จากประธานชมรมวารสารฮะ” “.....” “เซ็นต์เถอะฟาริดา ผมขอร้องล่ะนี่คือปัญหาที่อาจทำให้เราสั่นคลอนไปทั้งคณะเลยน้าาา~ ซุบซิบๆๆๆ” เสียงซุบซิบเกลี้ยกล่อมของอาจารย์ดังขึ้นเป็นระยะจังหวะที่ฉันก้มมองเอกสารที่ถูกยื่นมาวางตรงหน้า… มันคือใบยินยอมร่วมงานกับชมรมวารสารในตำแหน่งที่ขึ้นตรงกับประธานชมรมอย่างเป็นทางการ แต่ที่เซ็งคือไม่แน่ใจไง ว่าอาจารย์ที่นั่งเป่าหูฉันยิกๆ อยู่เนี่ย ได้ลองอ่านรายละเอียดจนครบถ้วนบ้างรึยัง เพราะนี่มันออกแนวเป็นสัญญาป่าเถื่อนที่มีเงื่อนไขงี่เง่าและล้ำเส้นความเป็นส่วนตัวชัดๆเลยด้วยซ้ำ เงื่อนไขของสัญญา... 1. ในเวลางานฉันกับหมอนี่ต้องตัวติดกัน ความหมายของการขึ้นตรงต่อประธานชมรมวารสารนั้น คือเปรียบเสมือนเป็นเลขาคนหนึ่งที่ต้องทำทุกอย่างตามที่ได้รับคำสั่ง ...Bravo! ฮัลโหลไหนสาระ! 2. ถ้าคำสั่งที่ได้รับเกินความสามารถที่ฉันทำได้ ไม่อนุญาตให้ขอความร่วมมือจากใครทั้งนั้น...นอกจากหมอนั่น! ..ก็กะจะครองโลกให้ได้เลยว่างั้น -_-? 3. ทุกการกระทำของฉันมีผลโดยตรงต่อความมั่นคงของคณะนิเทศศาสตร์ทั้งนั้น เออ! จะกดดันกันจนคณะโดนยุบเลยมั้ง =_=^ 4. ตลอดระยะเวลาที่ร่วมงานกันให้นึกถึงเงื่อนไขของสัญญาข้อที่ 3 เอาไว้ซ้ำๆ เฮ่ออออ...ตรรกะพังๆ 5. เมื่อไหร่ก็ตามที่ประธานชมรมวารสารทำให้รู้สึกอยากฆ่าคนตายแบบไม่เกรงกลัวบาปกรรม ให้ลองอ่านเงื่อนไขข้อ 4 ดูอีกที เชื่อสิ..เค้ารับประกัน! ว่ามันมีพลังงานบางอย่างที่มองไม่เห็นอยู่ในนั้น แล้วตัวเองจะอารมณ์ดี :) ฟรึ่บบบ! “ถามจริงทั้งหมดที่ทำ...?” ฉันอ่านเงื่อนไขถึงแค่ข้อ 5 ก็เดาทางได้ละว่าข้อ 6789 มันคงอ๊องๆ ตามใจคนทำ แล้วหมอนั่นก็ยิ้มกรุ้มกริ่มแบบขำๆ ก่อนจะพูดพร้อมกับยื่นนิ้วชี้กับนิ้วกลางที่ไขว้กันพ้นขอบโต๊ะขึ้นมาชวนให้โมโหกับท่าทางนั้นอีกครั้ง “เพื่อความมั่นคงของมหาลัยทั้งนั้น...เอาหัวรฐนนท์เป็นประกันเลยล่ะครับ ^^”“คิระ นี่มันเรื่องอะไรกัน?!”ไม่ใช่แค่ฉันหรอก แต่ DS Member ทุกคนก็ดูสับสนพอกัน ถ้าเรียกตัวคืนสู่สังกัด แปลว่ามาโครอยู่สังกัดของเรา? แต่จะเป็นไปได้ไงก็ในเมื่อแม็ค...“ว่ากันว่า...ถ้าจะหลอกศัตรูให้ตายใจ ก็ต้องหลอกพวกเดียวกันให้ได้ซะก่อน”คิระเดินตรงเข้ามาหาฉัน และมองลงไปที่กลางสนามประลอง เห็นแม็คกับเลย์ยืนอยู่ข้างล่างท่ามกลางความเงียบงันที่ไม่มีใครพูดอะไร ยิ่งไปกว่านั้น สองคนนั้นกับติณณ์และท่านพ่อ ก็ยังหันมาดูปฏิกิริยาของฉันด้วยซ้ำพรึ่บ! หมับ!ได้ฟังแบบนั้นฉันก็ก้าวขาจะเดินลงไปข้างล่าง แต่คินมันดันมาคว้าแขนไว้ และกระชากกลับไปอย่างแรง พร้อมกับพูดด้วยด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดก่อนจะหันไปพยักหน้าให้ติณณ์“ครั้งนี้ไม่เอาตัวแถม ถ้าพวกมันรักเธอ...พวกมันก็มีเรื่องต้องเคลียร์กัน!”แล้วพอคินพูดจบ อยู่ๆติณณ์ก็โยนดาบคาตานะสองเล่มให้แม็คกับเลย์ที่ก็ยื่นมือไปรับมัน นั่นทำให้ฉันวิตกขึ้นมา เพราะแม็คน่ะ...ใช้ดาบคาตานะคล่องมากอยู่ละ แต่เลย์กับดาบคาตานะน่ะ...“ศิษย์สำนักเดียวกัน ไม่เห็นต้องทำหน้าเหวอขนาดนั้น”“สำนักเดียวกัน?” ฉันหันไปหาคินด้วยสีหน้างงๆ“ก็ใครสอนไอ้แม็ค? ใครประทับตราให้มัน?”คิระตอบกลับคำถามขอ
สองวันต่อมา...@ Dark Shadow Castle (JAPAN)“โห สวยมากกกก เจ๊คือสวยในสวย สวยโคตรๆ สวยแบบถ้าเลย์เห็นต้องยกเลิกงานแต่ง ลากไปขังไว้ในห้องไม่ให้ออกมาพบผู้คนแน่ๆ O[]O”เสียงนิลลาอวยฉันที่ยืนหมุนตัวอยู่หน้ากระจกไปมาในชุดเจ้าสาวที่เคยใส่แล้ว แต่วันนี้มันดูแปลกตากว่าครั้งนั้น คงเพราะทรงผมที่ทำมันไม่เหมือนกันล่ะมั้ง“หรอ -/////- แต่นั่นน่าจะเป็นนิสัยดิบเถื่อนของพายุมากกว่า”“แหะๆ อย่าเปิดประเด็นนินทาพายสิคะ รายนั้นยิ่งชอบเจ้ากี้เจ้าการ บังคับให้แต่งๆอยู่ได้ ไม่สนใจคนรอบข้างเลยอ่ะ -*-”“อ้าวโรส เฮียพายมาหรอ”“เย้ยยย ไอ้ด้า! เดี๋ยวกูตบกบาล”อ๋อ! รู้ละอีกอย่างนึงที่มันต่าง คือความครื้นเครงในห้องแต่งตัวเจ้าสาวตอนนี้ ที่เต็มไปด้วยบรรดา Nightshade’s Lady มาช่วยตรวจความเรียบร้อยให้ แถมยังตื่นเต้นกว่าฉันที่สวมชุดเองซะอีก“ก็สวยจริงๆนั่นแหละนะ”โมเน่ต์พูดไปแล้วจัดระเบียบชุดเจ้าสาวของฉันไปด้วยสีหน้าที่ดูดีขึ้นแบบเคลียร์ใจกันทั้งหมดแล้วก็นะ เพราะฉันกับติณณ์อายุห่างกันนิดหน่อย แถมยังเรียนมหาลัยปีเดียวกัน เราเลยคงสรรพนามเดิมคือเรียกชื่อกันเฉยๆ ไม่จำเป็นต้องเรียกเจ๊หรืออะไรจริงจัง เพราะทั้งติณณ์และคิระ ถ้า
หลายวันต่อมา...@ Dark Shadow Castleหลังผ่านการพิพากษาคิระ ซึ่งทุกอย่างก็เหมือนจะจบลงด้วยดี เพียงแต่...ไอ้สองพี่น้องขี้เก๊กนั่นมันก็ยังไม่ยอมเปิดใจคุยกันตรงๆสักทีก็...แล้วแต่นะ การกระทำมันสำคัญกว่าคำพูดอยู่แล้วนี่อ้อ...ลืมบอกไปนิด ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นฉันนี่แหละ ที่เป็นคนประทับตรา Dark Shadow ให้โมเน่ต์ตามคำขอของติณณ์ ซึ่งเราก็ไม่เห็นหน้ากันตรงๆหรอกนะ ฉันเข้าไปประทับให้ตอนที่เธอหันหลัง เพราะยังไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน และอย่างที่รู้... โมเน่ต์กับฉันก็ไม่ค่อยจะลงรอยกันหรอกตั้งแต่ที่ชมรมละแต่ไม่รู้ไปประทับอะไรผิดพลาดรึเปล่า เพราะอยู่ๆโมเน่ต์ก็ขอให้ติณณ์พามาที่ Castle ตั้งแต่กลับจากญี่ปุ่นตลอด Nightshade เองก็แวะเวียนมาที่นี่แทบทุกวัน จนตอนนี้กลายเป็น Ztudio Nightshade นั่นแหละที่ร้าง ในขณะที่ Castle ฝั่งติณณ์...ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!เสียงลั่นไกในห้องซ้อมยิงปืนจาก CCTV ที่เคนชินมันต่อเข้ามานั่งดูในห้องโถงของ Castle ฝั่งฉัน ดังสนั่นแบบที่ไอ้หมอนี่ไม่เห็นหัวเจ้าของ Castle ที่นั่งอ่านหนังสือเตรียมสอบอยู่นี่เลยด้วยซ้ำ -_-แถมลูกน้องของฉันอีกหลายคนก็กำลังสุมหัว รอลุ้นวิถีกระสุนของโมเน่ต์
อีกด้านหนึ่งของ Dark Shadow Castleก๊อก ก๊อก ก๊อก...ฉันเคาะประตูห้องทำงานของติณณ์ที่ถูกเปิดแง้มเอาไว้ และถือวิสาสะเดินเข้ามาข้างในซึ่งก็มีติณณ์นั่งรออยู่ก่อนแล้วด้วยสีหน้านิ่งเรียบ แต่แววตาก็เป็นอย่างที่คาดไว้หมอนี่...กำลังเสียใจก่อนที่ฉันจะยื่นอัลบั้มรูปในมือที่ตอนไปค้นรูปคิระให้ลิซ บังเอิญไปเจออัลบั้มที่มีรูปติณณ์กับคินถ่ายด้วยกันสมัยเด็กๆก็ไม่รู้หรอกว่าหมอนี่อยากได้มั้ย...แต่ในสถานการณ์แบบนี้น่ะ ฉัน...อยากให้“ไม่ฆ่ามันก็บุญเท่าไหร่”พรึ่บ!ติณณ์พูดออกมาเสียงเรียบ แล้วเลย์ที่มาด้วยกันก็วางเอกสารทั้งหมดที่ฉันได้จากเคนชินเรื่องสภาค้ายาลงบนโต๊ะแบบไม่พูดอะไรแต่ความเป็น Nightshade มันบอกชัด ว่าเลย์ก็ไม่ได้สบายใจที่ติณณ์มันอยู่ในสภาวะอารมณ์ที่...จุกแต่พูดอะไรไมได้“หลายอย่างน้องมันอาจตั้งใจ แต่บางการกระทำก็มีเหตุผลให้เป็นไป”ฉันพูดออกไป แล้วพอได้ฟังแบบนั้นติณณ์มันก็มองมานิ่งๆ และไม่มีทีท่าจะเปิดดูทั้งอัลบั้มรูปและเอกสารที่พวกฉันหอบมาให้สักนิด ซึ่งก็เป็นสิทธิ์ของหมอนี่อยู่แล้วแหละ ที่จะดูหรือไม่ดูก็ได้“เข้าด้วยมั้ย?”คำถามคลุมเครือจากติณณ์ถูกส่งมา ด้วยแววตาที่ดูเหมือนกำลังหาที่พึ่ง
หลายชั่วโมงต่อมา...“ยุติสถานการณ์บนเกาะพร้อมเคลียร์พื้นที่เรียบร้อยแล้วครับนายหญิง”เสียงลูกน้องคนหนึ่งของฉันมารายงานผลด้วยการกระซิบเบาๆเล่นเอาโล่งใจไปตามๆกัน ท่ามกลางเสียงหัวเราะคิกคักของลิซที่กำลังนั่งดูรูปคิระที่หน้าบูดตั้งแต่เด็กอยู่คนเดียว“คิกๆๆ ตาลุงคนนี้นี่หน้าตาโกตั๊กจังเลยนะคะเนี่ย ^_^”“แล้วสองคนนั้น?”ฉันถามออกไปเบาๆ เพราะเท่าที่ดูเหมือนลิซไม่รู้ว่าคิระเป็นใครด้วยซ้ำ ทั้งที่ตอนนั้นเกือบโดนคนของสภาเอาตัวไป แต่ไม่รู้คินมันหลอกน้องหรือความไร้เดียงสาทำให้ลิซคิดว่าฉันรวยมากเลยจะโดนจับไปเรียกค่าไถ่ -.-ส่วนเหตุผลที่มาที่นี่ก็พีคกว่าไง น้องมันโดนไอ้คินชวนมาล่าท้าผี เป่าหูลิซว่าที่นี่คือปราสาทร้อยปี แถมยังมีขนนกนำโชคที่จะทำให้พบรักแท้ซะด้วย หึหึ... เป็นประวัติ Castle ที่ช่าง...น่าสนใจ =_=^“คุณเตโชกับคุณคิระบาดเจ็บนิดหน่อย แต่โดยรวมปลอดภัยดีครับ Nightshade กับ Nightshade’s Lady ก็กลับมาที่นี่แล้ว อ้อ ส่วนคุณเลโอก็สบายมากหายห่วง ลูกพี่เคนชินขอตัวไปเปลี่ยนชุด แล้วจะกลับมาทำหน้าที่ต่อครับ ^_^”น้ำเสียงกับสีหน้าระรื่นของลูกน้องที่มารายงานถูกส่งมาให้ฉันแบบสวมรอยเคนชินมาชัดๆ หึ... ไอ้ล
ครึ่งชั่วโมงต่อมา...“คนของเราวางบอมบ์ได้ 60% จากพื้นที่ทั้งหมดแล้วครับ พิกัดแรกเราจะระเบิดคลังยาที่…”“คุณโมเน่ต์อาการไม่ดีเลยครับนายหญิง”ระหว่างที่ฉันกำลังสนใจสัญญาณที่คนของเราให้มาเป็นระยะว่าจะระเบิดคลังยานรกแต่ละที่ตอนไหน เคนชินที่หันไปเห็นโมเน่ต์จากภาพใน CCTV ที่เราเลิกสนใจตั้งแต่ติณณ์เดินออกไปก็พูดขึ้นมาได้ฟังแบบนั้นฉันเลยละความสนใจและหันไปดูโมเน่ต์ที่เดินวนไปวนมาโดยมีมือถือเครื่องหนึ่งแนบหู ซึ่งก็คงพยายามโทรหาติณณ์ที่ชิ่งออกไปแบบให้คำตอบคลุมเครือนั่นแหละนะถ้าให้ทาย“คนของเราอยู่ในนั้นแล้วใช่มั้ย?”“ครับ แฝงตัวเข้าไปตอนรายงานพิกัด”“งั้นก็ไม่มีไรต้องกังวลนี่”แล้วจังหวะที่ฉันกำลังหมุนตัวกลับไปดูพิกัดวางระเบิดหลังคุยเรื่องโมเน่ต์กับเคนชิน เสียงคนของเราที่ Castle ฝั่งติณณ์ก็ตะโกนเรียกออกมาดังลั่น‘นายหญิงครับ นายหญิง!!!’ “ว่า?”“คุณโมเน่ต์อยู่ๆก็หมดสติไปครับ”ตึงงงง!ได้ยินคำตอบจากเคนชินที่ตอบแทนลูกน้องที่อยู่ข้างใน ทำให้ฉันรีบผลักประตูและวิ่งข้ามทางเชื่อมตรงไปที่ Castle ฝั่งติณณ์ทันที“เคนชินเรียกรถพยาบาล! โมเน่ต์เป็นอะไร?”ฉันหันไปถามลูกน้องติณณ์ที่กำลังอุ้มร่างโมเน่ต์ที่ไร้ส