กลางผืนป่าลึกหลังเมืองคอร์เซียร์
คืนมืดดำแต่แผ่วเบา แสงจันทร์สาดผ่านยอดไม้สะท้อนละอองหมอกสีเงิน ชายชราหลังค่อมก้าวนำอย่างมั่นคงบนทางลูกรังลัดเลาะขึ้นเนินเตี้ย > “พวกเจ้า…อดทนอีกหน่อย อีกไม่ไกล” เสียงเขาเหมือนลมแผ่วผ่านใบไม้ ราวกับเขาไม่ได้พูดกับพวกเธอ…แต่พูดกับต้นไม้ นีร่าอดรู้สึกแปลกประหลาดไม่ได้ หัวใจเต้นช้าลงแต่เต็มไปด้วยคำถาม ไอล่ากุมมือเธอไว้แน่น ไม่พูดอะไร แต่สายตานั้นวาววับด้วยความสงสัยไม่ต่างกัน ในที่สุด ทางเดินก็จบลงตรงหน้าผาเล็ก ๆ ซึ่งเบื้องล่างคือทะเลสาบซ่อนเร้นกลางหุบผา รอบล้อมด้วยต้นสนสูงเสียดฟ้า แสงจันทร์ตกกระทบผิวน้ำเป็นประกายเงินระยิบระยับ > “นั่นหรือ…ทะเลสาบ…” เสียงไอล่าพึมพำเบา ๆ ข้างหูนีร่า แล้วทันใดนั้น—เสียงน้ำกระเพื่อม เงาร่างบางพุ่งขึ้นจากผิวน้ำ ก่อนร่างของหญิงสาวผมยาวสลวย หางเงือกสีน้ำเงินอมเขียวจะเเหวกว่ายผ่านแสงจันทร์ ตามมาด้วยอีกสอง…สาม…สี่ตน พวกเธองดงามราวภาพฝัน ลำตัวมนุษย์แต่หางเป็นเกล็ดสีน้ำทะเลระยับแสง ดวงตาทุกคู่ทอประกายลึกลับ เจือความเศร้าและความภูมิใจ > “ท่านคือเงือก…” นีร่าเอ่ยเสียงพร่า ชายชรายิ้ม เขาชี้ไปยังชายฝั่งที่ซ่อนอยู่ด้านข้าง กระท่อมไม้หลังเล็กประดับเปลือกหอยแขวนเรียงราย ล้อมรอบด้วยไฟกระพริบจากแมลงเรืองแสง บ่งบอกถึงการมีชีวิตชีวาของชุมชนลับ > “หมู่บ้านเงือกยังไม่สูญสิ้น…ยังมีที่ให้เจ้าหลบภัย” สองสาวเดินตามเข้าไปในหมู่บ้านนั้น ทุกย่างก้าวเปรียบดั่งความฝัน หญิงสาวเงือกบางตนอยู่ริมฝั่ง ซักผ้าด้วยเปลือกหอย บางตนร้องเพลงเสียงหวานคล้ายบทสวดโบราณ เด็กเงือกน้อยเล่นน้ำพล่าน เรียกเสียงหัวเราะก้องหุบเขา > “ข้าไม่คิดเลยว่าจะได้พบพวกเดียวกับข้าอีกครั้ง…” นีร่าพึมพำเบา ๆ น้ำตาคลอเบ้า ชายชราหันมาหาเธอ > “ที่นี่…มีเพียงผู้ที่ยังเชื่อในหัวใจของทะเลเท่านั้น ที่จะหาทางมาถึงได้” นีร่าก้มหน้า มองเงาตัวเองในทะเลสาบเบื้องหน้า เงาที่ครั้งหนึ่งเคยหลงใหลในโลกมนุษย์ แต่วันนี้…เธอคือหญิงสาวผู้แบกรอยแผลใจ และยังคงตามหาความหมายของชีวิต ใต้เงาไม้ใหญ่ริมทะเลสาบลับกลางผืนป่า เสียงคลื่นกระทบโขดหินดังแผ่วเบา กลิ่นหญ้าชื้นผสมน้ำเค็มลอยเข้าจมูก สรรพสิ่งดูสงบ…ยกเว้นหัวใจของนีร่า เธอยืนแนบต้นไม้ใหญ่ มองเหล่านางเงือกแหวกว่ายอย่างอิสระในผืนน้ำเร้นลับกลางป่า แสงแดดส่องลอดใบไม้สะท้อนประกายหางสีรุ้งวูบวาบดั่งฝัน “ข้าคิดไม่ถึงเลย…ว่ายังจะมีสถานที่เช่นนี้อยู่บนผืนแผ่นดิน” ไอล่ากระซิบข้างหูเธอ ดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นตา ก่อนที่นีร่าจะเอ่ยคำตอบ เสียงหัวเราะใสกังวานก็ดังขึ้นจากกลางทะเลสาบ “ฮิ ๆ อย่าตามข้ามาสิ เจ้าแหวกน้ำไม่ทันข้าแน่!” นีร่าเงยหน้าขึ้นมองทันที และหัวใจของเธอก็แทบหยุดเต้น... หญิงสาวผมสีทองอ่อน หางเงือกสีฟ้าอ่อนประกายเงิน แหวกว่ายพลิ้วไหวอยู่กลางกลุ่ม ตรงหน้านางนั้น…ไม่มีทางที่นีร่าจะลืมได้ “มาริเบล…” เสียงเธอแผ่วราวกับสายลม นีร่าเริ่มก้าวเดินตรงไปยังขอบทะเลสาบอย่างลืมตัว หยดน้ำตาคลอเบ้าตาโดยไม่รู้ตัว “มาริเบล!!” เธอตะโกนเสียงดัง ร่างกายสั่นสะท้าน หญิงสาวกลางน้ำหยุดชะงัก หันขวับมาทันที “...ใครเรียกชื่อข้า...?” แววตาสีฟ้าสดใสหันมาเจอกับดวงตาคู่นั้น—ตาคู่นั้นที่ครั้งหนึ่งเคยกล่อมเธอให้หลับในอ้อมอกพี่สาว มาริเบลเบิกตากว้างทันที ริมฝีปากอ้าค้าง “...พี่…นีร่า?” ทั้งสองคนจ้องกันเหมือนเวลาหยุดนิ่ง ก่อนมาริเบลจะรีบว่ายน้ำพรวดเข้ามาหาทันที นีร่าทิ้งตัวลงนั่งที่ขอบน้ำในขณะที่น้องสาวโผเข้ากอดแขนเธอไว้แน่น น้ำตาของทั้งสองไหลรวมกับผืนน้ำที่กระเพื่อม “เจ้าตายไปแล้ว ข้าคิดว่า…ข้าไม่มีพี่สาวอีกต่อไปแล้ว…” มาริเบลสะอื้น “ไม่…เจ้าไม่เคยสูญเสียข้าเลย ข้าต่างหากที่คิดว่าเสียเจ้าไปแล้ว” นีร่ากอดมาริเบลแน่น “…แต่เจ้ายังอยู่ เจ้ารอดมาได้” ไอล่ายืนเงียบมองภาพตรงหน้า ดวงตาเธอก็เริ่มชื้นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เหล่าเงือกสาวอีกหลายคนค่อย ๆ ว่ายเข้ามาใกล้ บางตนยิ้ม บางตนกุมมือกันเงียบ ๆ เพราะรู้ดีว่า...ในโลกของผู้ถูกพราก ความกลับมานั้นคือปาฏิหาริย์แท้จริง ในเช้าวันนั้น—กลางทะเลสาบลับในผืนป่าสองพี่น้อง…ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง และนี่…อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการต่อลมหายใจให้ชนเผ่าเงือกที่หลงเหลือ ท้องทะเลยามค่ำคืนคลุ้งกลิ่นคาวเลือด เสียงกรีดร้องของเหล่าเงือกดังแข่งกับเสียงหัวเราะเหี้ยมเกรียมของมนุษย์ที่เหยียบผืนน้ำด้วยเรือรบ นีร่าในวัยเพียงสิบเจ็ดปี กำลังดึงมาริเบลน้องสาววัยเพียงสิบขวบว่ายหนีออกจากแนวปะการังที่กลายเป็นสมรภูมิ “อย่าปล่อยมือข้า…เข้าใจไหม เจ้าอย่า…” ปัง!! เสียงปืนใต้ทะเลดังขึ้นพร้อมแรงสั่นสะเทือน เศษหินและคลื่นกระเพื่อม “พี่นีร่า!!!” มือเล็ก ๆ ของมาริเบลหลุดออกจากนีร่าท่ามกลางความวุ่นวาย นีร่าหันกลับว่ายสุดแรง ทว่าทันใดนั้น… แขนของมาริเบลถูกตาข่ายเหล็กเกี่ยวดึงขึ้นสู่ผิวน้ำ พร้อมเสียงหัวเราะกร้าวจากบนเรือโจรสลัด “อีกตัวแล้ว! เอาไว้สกัดน้ำตาให้เป็นไข่มุก! อย่าให้มันตายก่อน!” “ไม่นะ!!! มาริเบล!!!” นีร่าแหวกน้ำขึ้นตามไป ร่างเธอพุ่งทะลุผิวน้ำอย่างบ้าคลั่ง แต่ทันใดนั้น ขวดระเบิดใต้น้ำก็ถูกขว้างลงมาใกล้จุดที่เธอโผล่ขึ้น ตูม!!! ร่างนีร่ากระเด็นกลับลงน้ำ สติเลือนรางจากแรงระเบิด ...ภาพสุดท้ายที่เธอเห็น คือดวงตาน้องสาวเบิกกว้าง เต็มไปด้วยน้ำตาและความกลัว ก่อนจะถูกลากหายไปบนเรือ ตั้งแต่คืนนั้นเป็นต้นมา… นีร่าเชื่อว่า มาริเบลตายไปแล้ว แต่โชคชะตาไม่โหดร้ายพอจะพรากลมหายใจเธอไปทันที... หลังถูกจับขึ้นเรือ เธอถูกขังในกรงไม้ เสียงหัวเราะและความชิงชังของเหล่ามนุษย์ พวกนั้นบังคับให้เธอร้องไห้—หวังหลั่งไข่มุก เมื่อเธอไม่ร้อง…ก็มีแส้ มีความเย้ยหยัน มีการกรีดหาง กรีดใจเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ แต่ด้วยจิตใจแข็งแกร่งของเผ่าเงือก มาริเบลไม่ยอมให้หยาดน้ำตาใดไหลเพราะคนพวกนั้น เธออดทน—จนเรือแล่นเข้าใกล้แนวพายุเกิดอับปาง และมาริเบลก็ใช้จังหวะนั้น หลบหนี เธอลอยคอท่ามกลางซากเรือ 2 วันเต็ม จนกระทั่งถูกเงือกสาวกลุ่มหนึ่งที่ยังหลบซ่อนจากโลกมนุษย์พบเข้า และนำเธอกลับสู่หมู่บ้านเงือกที่เร้นลับ นับแต่นั้น มาริเบลเติบโตท่ามกลางเงือกผู้รอดชีวิต ถูกฝึกให้ระวังโลกมนุษย์ และกลายเป็นหนึ่งในเงือกที่เก่งกาจที่สุดของหมู่บ้าน ...แต่ในใจเธอ ไม่เคยลืมใบหน้าของพี่สาวที่พยายามปกป้องเธอสุดชีวิต และก็ไม่เคยลืม…เสียงหัวเราะเยาะเย้ยของมนุษย์ที่พรากเธอจากครอบครัวเสียงหยดน้ำจากผนังถ้ำกระทบแอ่งหินอย่างเนิบช้า กลิ่นชื้นของความตายเจืออยู่ในอากาศ แสงคบเพลิงสะท้อนประกายสีทองที่แวววาวอยู่รอบตัวกัปตันแบร์กตัน เขายืนอยู่กลางห้องถ้ำโอ่อ่า รายล้อมด้วยกองทองคำ เพชรนิลจินดา และถ้วยสุราจากยุคสมัยที่หล่นหายไปจากประวัติศาสตร์ ทว่าเบื้องหลังประกายนั้น ไม่มีอะไรขยับ ไม่มีแม้แต่ลมหายใจของชีวิต"เจ้ามาได้ยังไง..." แบร์กตันเอ่ยเสียงต่ำ พริบตาเดียวมือขวาของเขาก็แตะปลายดาบแล้วอีธานยืนอยู่ตรงปากถ้ำ แสงคบเพลิงสะท้อนใบหน้าเปรอะโคลนและเหงื่อ “ข้าควรเป็นฝ่ายถามมากกว่า… นี่เจ้ากำลังทำอะไรอยู่?”สายตาของทั้งสองประสานกัน เต็มไปด้วยความหวาดระแวง อีธานเหลือบมองรอบถ้ำด้วยความประหลาดใจ แต่สิ่งที่เขาเห็นกลับไม่มีสมบัติใด ๆ นอกจากเศษซากกระดูกมนุษย์ เครื่องเงินขึ้นสนิม และคราบแห้งของเลือดที่ฝังในหิน"เจ้ามองไม่เห็นหรือ?" แบร์กตันกระซิบคล้ายละเมอ "ดูสิ… ทองคำของราชาโจรสลัด! อยู่ตรงนั้นน่ะ”“ไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้น!” อีธานสวนเสียงแข็ง “ข้าเห็นแต่เงาแห่งความตาย”มือของแบร์กตันสั่นเล็กน้อย เขาหันขวับมามองอีธาน ดวงตาฉายแววสับสนและโกรธเคือง "เจ้าจะเอามันไปจากข้าใช่มั้ย... เจ้าคิ
แบร์กตันขมวดคิ้ว สัญชาตญาณนักล่าทะเลในตัวเขาเตือนว่า ไม่ควรก้าวต่อไปแต่ก็เหมือนทุกคน…พวกเขาก้าวตามเสียงนั้นไปโดยไม่รู้ตัวรอยเท้าคนเปลือยเปล่านำพวกเขาสู่แนวหินสูงชัน ปกคลุมด้วยเถาวัลย์และหญ้า เสียงลมหายใจเบา ๆ หลายเสียงที่ “ไม่ใช่ของพวกเขา”> “นั่น…” ซินชี้ขึ้นเบา ๆเบื้องหน้าคือ “ปากถ้ำ” มืดมิด ลึก และเย็นชืด แต่ด้านในกลับมีแสงระยิบระยับเหมือนเทียนนับร้อยเล่ม…หรือบางอย่างที่สว่างกว่า> “ข้าไม่ชอบแบบนี้เลยกัปตัน…” บรอลพึมพำ ขวานในมือหนักขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไม่ทราบสาเหตุแบร์กตันเงียบ เขาค่อย ๆ ย่างเท้าเข้าไปในถ้ำเมื่อพวกเขาก้าวข้ามเงาความมืดของปากถ้ำ—โลกทั้งใบก็เปลี่ยนไปภาพตรงหน้าเหมือนมาจากตำนานที่บรรพบุรุษยังไม่กล้าฝันถึงกอง ทองคำ หีบสมบัติ เพชร พลอย เหรียญทองเรียงรายซ้อนกันสูงจรดเพดานถ้ำ บางหีบเปิดออก เผยให้เห็นสร้อยคอแห่งราชา โล่ทองคำแห่งเทพเจ้า และมงกุฎที่ดูราวกับเป็นของกษัตริย์ในยุคโบราณ> “...พระเจ้า…” ซินพึมพำ เบิกตากว้างแสงสีทองกระทบดวงตาของพวกเขา ดึงดูดใจรุนแรงจนยากจะละสายตา> “ถ้าเราหอบไปแค่ครึ่งเดียว...ครึ่งเดียวก็พอ...” บรอลพูดทั้งที่น้ำลายไหล และมือเริ่มยื่นไปหา
กลุ่มของกัปตันแบร์กตัน ใน ป่าลึกของเกาะต้องสาปคบเพลิงเปลวสีส้มสาดเงาบิดเบี้ยวบนลำต้นไม้รอบข้างเสียงใบไม้แห้งกรอบใต้เท้าทำให้บรรยากาศเงียบงันดูอึดอัดยิ่งขึ้นกัปตันแบร์กตันเดินนำหน้า ร่างสูงของเขากดอากาศให้แน่นตึงราวกับแรงกดดันจากทะเลลึกซินเดินตามติด ส่วนบรอบลากขวานใหญ่ติดพื้นอย่างไม่ตั้งใจไม่มีใครพูดอะไร...จนกระทั่งเสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างแผ่วเบา> “...เดร็กซ์ไปไหน?”ซินหยุดเดิน ดวงตาเหลือบไปมองรอบตัว> “เมื่อกี้ยังเดินตามอยู่…ข้างหลังเจ้า บรอลบรอลเงยหน้าอย่างงุนงง> “ข้า...คิดว่าเขาเดินล้าหลังอยู่นะ”แบร์กตันชะงัก ฝีเท้าหนักของเขาหยุดลงทันที> “หยุดทุกคน”เสียงของเขาเด็ดขาดเย็นยะเยือกกลุ่มโจรสลัดหันมามองกันและกัน> “ใครเห็นเดร็กซ์ครั้งสุดท้าย?”แบร์กตันถามช้า ๆ น้ำเสียงต่ำแต่กดดันราวกับลมพายุก่อนคลื่นซัดความเงียบกลืนกลุ่มลงชั่วขณะบรอลเป็นคนแรกที่พูด> “ตอนเราผ่านแนวหินด้านหลัง...เขาหยุดฉี่”ซินหันขวับ> “แล้วทำไมเจ้าไม่รอเขา!?”> “เพราะข้าไม่คิดว่าเขาจะ ‘หายตัว’!”เสียงถกเถียงเริ่มดังขึ้นแต่แบร์กตันไม่สน เขาหันหลังทันที ก้าวยาวกลับไปทางที่มาในมือขวา เขาคว้าดาบออกมาอ
บรอลยกคบเพลิงขึ้นสูงกว่าเดิม มองไปรอบด้านด้วยคิ้วขมวด“ข้าไม่ชอบที่นี่เลย…เสียงลมเหมือนเสียงคนคร่ำครวญ มันผิดธรรมชาติ”วินซ์ถอนหายใจเบา ๆ แล้วบ่น“ก็อย่ามัวฟังสิวะ เดินต่อเถอะ ข้าอยากให้เรื่องนี้จบเร็ว ๆ”ซินหันกลับมาหยุดกะทันหัน นางจ้องหน้าวินซ์“เจ้าไม่เข้าใจเหรอ? ป่าแบบนี้น่ะ...ถ้าเดินโดยไม่ฟังอะไรเลย มีหวังกลายเป็นศพไวขึ้นสามเท่า”แบร์กตันที่เดินนำอยู่หันกลับมา เสียงเย็นชาของเขาดังกระแทกอากาศ“เลิกเถียง...ทุกเสียงที่ได้ยิน ให้จำไว้ว่า ‘มัน’ ก็ได้ยินเราด้วย”(เพิ่มเติมในฉากโขดหินมีรอยเท้า)เมื่อแบร์กตันก้มตรวจรอยเท้า เขาพึมพำ“นีร่า...เจ้ายังมีชีวิตอยู่สินะ”ซินเดินเข้ามาใกล้เงียบ ๆ แล้วพูดเสียงแผ่ว“ท่านแน่ใจใช่ไหม...ว่าคุ้ม?”แบร์กตันไม่ตอบทันที เขาเพียงแค่มองลึกเข้าไปในความมืดเบื้องหน้า แล้วตอบ“เงือกตัวนี้...มีราคาที่สูงกว่าชีวิตพวกเจ้า รวมกันทั้งลำเรือ”บรอลสอดแทรกขึ้นมา“แล้วถ้ามันลากพวกเราทั้งลำลงทะเลล่ะ?”แบร์กตันหันกลับไปสบตาเขา ดวงตาไม่มีแววลังเล“ก็อย่าให้มันได้โอกาส” ป่าทางตะวันตกของเกาะต้องสาป แสงจันทร์ลอดผ่านเรือนยอดไม้เป็นลำ ๆ สะท้อนบนผิ
เมืองคอร์เซียร์...เมืองท่าขนาดใหญ่ทางฟากตะวันตกของทวีปที่เหล่าโจรสลัด นักล่าทะเล และพ่อค้าวัตถุต้องสาปต่างพากันมารวมตัว ไม่ใช่เพื่อศีลธรรม...แต่เพื่อผลประโยชน์ เงินทอง และเลือดเรือโจรสลัด “แบล็คดราฟต์” ของกัปตันแบร์กตัน จอดเทียบอย่างลับ ๆ ที่ท่าเรือหมายเลขเจ็ดของเมืองกลางยามสนธยา ท้องฟ้าถูกย้อมด้วยกลุ่มเมฆแดงหม่น แววตาเจ้าของเรือก็ไม่ต่างกัน“ลากของขึ้นฝั่ง!” แบร์กตันสั่งเสียงห้วนลูกเรือสองคนลากกรงเหล็กขนาดใหญ่คลุมด้วยผ้าดำขึ้นจากเรือ แบกผ่านตรอกแคบ ๆ ไปยังด้านในของเมืองที่หมายของพวกเขาคือ — โรงละครสัตว์ใต้ดินซึ่งว่ากันว่าสะสมสิ่งมีชีวิตประหลาดไว้มากกว่ารัฐบาลราชสำนักเสียอีกภายใต้โคมไฟน้ำมันที่ส่องไหวริบ ๆ เจ้าของโรงละครออกมาต้อนรับชายวัยกลางคนตัวเตี้ย ร่างอ้วนท้วน ใบหน้าคล้ายลูกหมู ผูกผ้าพันคอแดงทับเสื้อกำมะหยี่เก่าแก่“เจ้าพาสิ่งนั้นมาหรือยัง?” เขาถามเสียงขุ่น “ข้าจ่ายเงินล่วงหน้าไปแล้ว หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ผิดหวังนะ...แบร์กตัน”แบร์กตันโบกมือผ้าคลุมกรงถูกเปิดออก...เผยให้เห็นเพียงเเค่คนเเคระคนนึงเท่านั้น“ไม่มี!?” เจ้าของโรงละครร้องเขาก้าวไปจนหน้าดำหน้าแดง “เจ้ากล้าหลอ
สายลมจากทะเลพัดโชยผ่านใบไม้หนาทึบ กลิ่นเกลือและไอชื้นของป่าไหลเข้าปะทะจมูก แต่นีน่าไม่แม้แต่จะหายใจลึก หัวใจเธอมีเพียงความเร่งรีบ"มาริเบล...ต้องรอด"น้องสาวของนางนอนอยู่ในถ้ำเล็กริมชายหาด ดวงตาร้อนผ่าว ผิวที่เคยสดใสเริ่มซีดจางจากพิษของบาดแผลขณะหลบหนี แม้นีร่าจะใช้ความรู้จากเผ่าตนรักษาเบื้องต้น แต่สมุนไพรที่ต้องการมีเฉพาะในป่าภายในเกาะ ซึ่งแปลกและไม่คุ้นเคยนางจำตำราได้ว่า ใกล้ภูเขาใจกลางเกาะนี้เคยมี “ดอกวารีทอง” — ดอกไม้ขนาดเล็กที่มีกลีบสีเงินสลับทอง ผสมกับราก "เฟินน้ำเที่ยงคืน" แล้วบดกับเกลือ จะถอนพิษจากบาดแผลลึกได้“นางจะต้องไม่เป็นอะไร…” นีร่าพึมพำในใจ ขณะฝ่าไผ่รกและเลื้อยไม้ขึ้นสู่แนวเขาเล็กแต่ทันทีที่นางไปถึงลำธารกลางป่า...เสียงบางอย่างก็ดังขึ้น—เสียงเพลงแผ่วเบา แฝงความเศร้าโศก ราวเสียงร้องของหญิงสาวใต้ผิวน้ำนีน่าหยุดชะงัก หางตากวาดไปรอบ ๆ — ไม่มีใครแต่ผิวน้ำสั่นเบาเหมือนมีบางสิ่งตื่นขึ้นจากก้นลึก> “...ผู้หลงทางในความมืด… กลิ่นเลือดเจ้าช่างหวานนัก…”เสียงนั้นกระซิบในหัว ไม่ใช่เสียงมนุษย์ ไม่ใช่เงือกธรรมดาทันใดนั้น ผิวน้ำก็แตกกระจาย ร่างหนึ่งพุ่งขึ้นมา—เงือกสาวผิวซีดจ