ยามรัตติกาลกลางป่าลึกทางตอนใต้ของคอร์เซียร์
สายลมเหน็บหนาวพัดผ่านยอดไม้สูง เสียงใบไม้ไหวระริกดังเป็นระยะคล้ายเสียงกระซิบของภูตป่า ในความมืดสลัวของรัตติกาล สายตาใครบางคนยังคงจดจ้องไปยังเส้นทางเบื้องหน้า—ดวงตาสีฟ้าเย็นเยียบดั่งคลื่นทะเลลึก นั่นคือ... เรน “ทางนี้แน่ ข้าเห็นรอยน้ำหยดลงบนใบไม้” ชายหนุ่มเปล่งเสียงเบา ขณะย่อตัวลงมองพื้น เขาลูบสัมผัสรอยเปียกบนดินอย่างแนบแน่น ใบหน้านิ่งขรึมยิ่งทำให้แผ่นหลังของลูกน้องทุกคนรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาล ในมือของเขา ดาบที่เคยฟาดฟันเงือกมานับไม่ถ้วนยังคงเปื้อนร่องรอยจากครั้งเก่า ดวงใจที่ครั้งหนึ่งเคยเปิดให้หญิงสาวนามว่า นีร่า บัดนี้กลับแข็งกระด้างจนไม่มีแม้ความลังเลหลงเหลือ > “ข้ายอมให้เจ้าหนีไปครั้งหนึ่ง...แต่น้ำตาเงือกเจ้าจะต้องเป็นของข้า—ทั้งหมด” เสียงฝีเท้ากลุ่มนักล่าฉุดกระชากความเงียบให้หายไป กลิ่นคาวโลหิตในอดีตกาลลอยมาแตะปลายจมูกอย่างเลือนลาง จนกระทั่ง... > พรึ่บ!! กลุ่มกอไม้ที่ดูเหมือนไม่มีอะไรพลันเปิดทาง สายลมแปรเปลี่ยนเป็นความชื้นแฉะ กลิ่นทะเลบางเบาลอยมากระทบจมูกพร้อมภาพเบื้องหน้าที่ทำเอาหัวใจทุกคนชะงัก หมู่บ้านเงือก—หมู่บ้านเร้นลับที่ไม่มีแผนที่ใดจารึก ทะเลสาบสีเงินสว่างไสวในเงามืด เงือกนับสิบกำลังแหวกว่ายอย่างสงบเงียบ เสียงหัวเราะแผ่วเบาดังคลอเคลียขอบผืนน้ำ > “สวรรค์...” หนึ่งในลูกน้องของเรนพึมพำ แต่เรนไม่ได้ตื่นตาตื่นใจเช่นนั้น เขายิ้ม—รอยยิ้มที่ไม่มีแม้ความอ่อนโยนหลงเหลืออยู่เลย > “จับมันให้หมด...ใครขัดขืน ฆ่า” เสียงกรีดร้องดังสะท้านไปทั่วหมู่บ้านในพริบตา นีร่าและไอล่าที่เพิ่งพักพิงได้เพียงครู่ สะดุ้งตื่นจากเสียงหวีดร้องของเงือกสาวผู้หนึ่งซึ่งถูกตาข่ายเหล็กพันรัดร่างขณะพยายามหนีออกจากน้ำ “ไม่!! อย่าทำพวกนาง!!” นีร่ากรีดร้อง เสียงสั่นระริกด้วยความหวาดกลัวและโทสะ แต่เรนกลับย่างเท้าเข้ามาใกล้ ดวงตาของเขาฉายแววแห่งความคะนึง ปนคลั่ง > “เจ้าทรยศข้า นีร่า...เจ้าเลือกมันผู้นั้นแทนข้า” > “เจ้าไม่เคยรักข้า...เจ้าเพียงต้องการครอบครอง!” เสียงของนีร่าดังก้องแม้เธอจะถอยหลังไปจนชิดต้นไม้ใหญ่ แต่เรนกลับเข้ามาใกล้ ช้า ๆ และแนบเนียน มือหนึ่งคว้าข้อมือเธอไว้แน่น อีกมือกระชากสายสร้อยเปลือกหอยที่เธอสวมมานับแต่เด็กจนขาดหลุด ณ ชายป่าริมหมู่บ้าน — ในเวลาเดียวกัน เสียงฝีเท้ากลุ่มหนึ่งฝ่าเข้ามาท่ามกลางความชุลมุน อีธาน ยืนอยู่เบื้องหน้า ใบหน้าของเขาเปื้อนเหงื่อจากการต่อสู้กับกลุ่มโจรสลัดเมื่อครู่ สายตาสีเทาเข้มกวาดมองซากเงือกบาดเจ็บและควันไฟที่เริ่มลอยขึ้นจากกระท่อมไม้ริมทะเลสาบ “นีร่า...” เขาพึมพำ ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปในหมู่เงือกที่กำลังหนีตาย > “ช่วยด้วย! ผู้คนของเราโดนฆ่า!” > “ชายผมทอง! พวกมันพาเรนเข้ามา!” เสียงตะโกนประสานสลับกับเสียงร้องไห้ของเงือกน้อย อีธานกระชับดาบในมือแน่น ก้าวเข้าประจันหน้ากับชายแปลกหน้าผมทองที่เขาไม่เคยเห็น แต่รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของภัยอันตราย > “ปล่อยเธอ...ก่อนที่ข้าจะปลิดลมหายใจของเจ้า” กลางหมู่บ้านเงือกเร้นลับ — ท่ามกลางแสงเพลิงยามค่ำ เสียงกรีดร้องยังคงสะท้อนดังก้อง น้ำในทะเลสาบกระเพื่อมไม่หยุดเพราะเหล่าเงือกสาวกำลังแตกตื่น หลายตนถูกจับ หลายตนบาดเจ็บ ท้องฟ้าสีม่วงคล้ำยิ่งเพิ่มบรรยากาศของความสิ้นหวัง และตรงนั้น… สองชาย ยืนประจันหน้ากันท่ามกลางเปลวไฟที่ลามเลียกระท่อมไม้ > “ปล่อยนางซะ ก่อนที่เจ้าจะไม่มีโอกาสกลับออกไปจากที่นี่อีก” เสียงอีธานเย็นเยียบ ต่างจากความโกรธที่ลุกโชนในดวงตา เขากระชับดาบในมือแน่น ดาบเล่มที่ครั้งหนึ่งใช้เพียงป้องกันตัว กลับต้องยกขึ้นเพื่อสู้…เพื่อปกป้องนางที่เขารัก เรนหัวเราะเบา ๆ เสียงแผ่วเหมือนลมหนาวยามค่ำ > “เจ้ารู้จักนางนานแค่ไหนกัน? ข้า—ข้ารู้จักเธอตั้งแต่ยังไม่มีขาเดินบนแผ่นดิน!” “เจ้ามาช้าเกินไป …นางเป็นของข้า!” คำว่า “ของข้า” ทำให้อีธานสบตากับเขาด้วยแววตาแข็งกร้าว > “ไม่มีใครเป็นของใคร…” “โดยเฉพาะนีร่า—เธอเลือกแล้วว่าไม่ต้องการเจ้า” เพียงสิ้นคำ ดาบของเรนก็ฟาดฟันเข้าใส่! โลหะกระทบดังกังวาน ดาบสองเล่มสาดประกายท่ามกลางแสงไฟ เสียงฝีเท้ากระทบพื้นดินเปียกชื้น แรงปะทะสะเทือนขึ้นมาถึงหัวไหล่ อีธานกัดฟันแน่นขณะรับแรงของเรนที่เข้ามาไม่ยั้ง เรนสู้ด้วยความคลั่ง ฟัน ฟาด แทง ราวกับไม่ได้สู้เพื่อชนะ แต่สู้เพื่อทำลาย อีธานถอยก้าวหนึ่ง แล้วสวนกลับด้วยแรงทั้งหมด ฟาดดาบเฉียดแขนของเรนจนเลือดซึม > “เจ้ายังกล้าทำร้ายนางอีกหรือ—แม้ในวันที่นางร้องไห้เพราะเจ้า?” คำถามนั้นทำให้เรนชะงักเพียงครู่เดียว…ก่อนจะคำรามในลำคอแล้วโถมเข้าใส่อีธานอีกครั้ง > “เพราะนางร้องไห้…ข้าถึงยังจำได้ว่ารักนางมากแค่ไหน!!” > “แต่นางไม่ได้รักเจ้าแล้ว!” เสียงของอีธานดังก้อง ฟาดดาบสวนกลับเต็มแรง—แรงแห่งความรักและความศรัทธาที่ไม่หวังครอบครอง แต่ต้องการปกป้อง เสียง ฉึก! ดังขึ้นจากการที่ดาบของอีธานตวัดฟาดไปโดนชายโครงของเรน ชายผมทองชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะทรุดเข่าลง มือข้างหนึ่งกุมบาดแผล เลือดไหลอาบเสื้อ แต่ในดวงตาสีฟ้าของเขา…ยังไม่ดับ ยังเต็มไปด้วยเงาของอดีต เงาที่เขาปล่อยวางไม่ได้ --- “พอเถอะ เรน…” เสียงของ นีร่า ดังขึ้นช้า ๆ จากด้านหลังอีธาน หญิงสาวในชุดบางเปียกชื้นจากการวิ่งฝ่าทะเลสาบ เส้นผมยาวเปียกแนบหลัง ใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตา เธอเดินเข้ามาใกล้—ช้า ช้า ก่อนจะหยุดยืนตรงหน้าเรน > “ข้า…ข้าเคยคิดว่าเจ้าจะปกป้องข้า” “แต่ตอนนี้ ข้ารู้แล้ว…เจ้ากำลังฆ่าทุกอย่างที่เคยมีค่า” เรนเงยหน้ามองเธอ ดวงตาสีฟ้าไหวระริก—แต่ไม่อ้อนวอน ไม่สำนึก—เพียงแต่ว่างเปล่า > “ข้า…เสียเจ้าไปนานแล้วใช่ไหม นีร่า…” หญิงสาวไม่ตอบ เพียงหลับตา ปล่อยหยดน้ำตาไหลริน แต่คราวนี้…เธอร้องไห้เพราะเลือกที่จะ ปล่อยวาง นีร่าทรุดลงข้างร่างของเรนที่แน่นิ่งไปแล้ว มือบางสั่นเทาแนบอกตัวเอง ดวงตาสีเทาสั่นไหว หยดน้ำตาไหลริน… แต่คราวนี้—มิใช่น้ำตาใสบริสุทธิ์อีกต่อไป ทว่าเป็นหยดน้ำตาสีดำสนิท…ดำดั่งเงาแห่งอดีต ดั่งความสิ้นหวังที่หมักหมม หยดแล้ว…หยดเล่า ร่วงจากขอบตาลงบนพื้นดินเปียกชื้น แต่ละหยดเมื่อกระทบพื้น กลับกลายเป็นไข่มุกสีดำแวววาว คล้ายมีแสงเงาสะท้อนภาพหัวใจที่แตกร้าวของเธอ > “เหตุใด…เหตุใดทุกครั้งที่ข้ารัก…” “สิ่งนั้นต้องกลายเป็นความเจ็บปวดเสมอ…” เธอกัดฟัน กลั้นสะอื้น แต่เสียงในลำคอกลับสั่นเครือ น้ำเสียงนั้นเหมือนเสียงของเด็กหญิงคนหนึ่งที่เคยหวัง…เคยเชื่อ…และเคยสูญเสีย > “เรน…เจ้าทำลายหัวใจข้า…ข้ารู้สึกเหมือนตายทั้งเป็น…” เสียงก้าวเท้าดังขึ้นเบื้องหลัง เงาร่างหนึ่งวิ่งฝ่าเปลวไฟเข้ามา ร่างเล็กในชุดเปื้อนดินและเลือด หัวใจของนีร่าเต้นแรงเพียงสบตากับเธอคนนั้น > “…มาริเบล!!” เด็กสาวผู้มีดวงตากลมโตนั้นวิ่งเข้ามาหา พุ่งกอดพี่สาวสุดแรง > “พี่! พี่ข้า!!” แขนข้างหนึ่งของเธอมีเลือดซึมผ่านผ้าพันแผลที่พันไว้ลวก ๆ นีร่าเบิกตากว้าง กอดน้องแน่นราวกับกลัวว่า หากปล่อยเพียงชั่ววินาที เด็กคนนี้จะหายไปอีกครั้ง > “เจ้าบาดเจ็บ…ใคร…ใครทำร้ายเจ้า…” เสียงเธอสั่นเครือ มือสั่นเทารีบจับแขนมาริเบลไว้อย่างเบามือ > “ข้าไม่เป็นไร พี่ต่างหาก…ทำไมถึงร้องไห้เช่นนี้…” นีร่ามองหน้ามาริเบล ไข่มุกสีดำยังคงร่วงเงียบ ๆ จากดวงตา > “พี่เจ็บ…เจ็บทั้งหัวใจ…ที่เคยคิดว่าเจ้าตายไปแล้ว” “พี่…เสียเจ้าครั้งหนึ่งไปแล้ว…แต่ตอนนี้…” เธอกลืนเสียงสะอื้น กลั้นหายใจ แล้วแนบหน้าผากลงบนหน้าผากของน้องสาว > “คราวนี้…พี่จะไม่ยอมเสียเจ้าไปอีกแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม” เสียงเปลวไฟยังคงลุกอยู่ไกล ๆ แต่ท่ามกลางความเสียหาย ความตาย และซากฝันที่แตกสลาย แสงแห่งความรักจากครอบครัวกลับอบอุ่นที่สุดในเวลานี้เมืองคอร์เซียร์...เมืองท่าขนาดใหญ่ทางฟากตะวันตกของทวีปที่เหล่าโจรสลัด นักล่าทะเล และพ่อค้าวัตถุต้องสาปต่างพากันมารวมตัว ไม่ใช่เพื่อศีลธรรม...แต่เพื่อผลประโยชน์ เงินทอง และเลือดเรือโจรสลัด “แบล็คดราฟต์” ของกัปตันแบร์กตัน จอดเทียบอย่างลับ ๆ ที่ท่าเรือหมายเลขเจ็ดของเมืองกลางยามสนธยา ท้องฟ้าถูกย้อมด้วยกลุ่มเมฆแดงหม่น แววตาเจ้าของเรือก็ไม่ต่างกัน“ลากของขึ้นฝั่ง!” แบร์กตันสั่งเสียงห้วนลูกเรือสองคนลากกรงเหล็กขนาดใหญ่คลุมด้วยผ้าดำขึ้นจากเรือ แบกผ่านตรอกแคบ ๆ ไปยังด้านในของเมืองที่หมายของพวกเขาคือ — โรงละครสัตว์ใต้ดินซึ่งว่ากันว่าสะสมสิ่งมีชีวิตประหลาดไว้มากกว่ารัฐบาลราชสำนักเสียอีกภายใต้โคมไฟน้ำมันที่ส่องไหวริบ ๆ เจ้าของโรงละครออกมาต้อนรับชายวัยกลางคนตัวเตี้ย ร่างอ้วนท้วน ใบหน้าคล้ายลูกหมู ผูกผ้าพันคอแดงทับเสื้อกำมะหยี่เก่าแก่“เจ้าพาสิ่งนั้นมาหรือยัง?” เขาถามเสียงขุ่น “ข้าจ่ายเงินล่วงหน้าไปแล้ว หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ผิดหวังนะ...แบร์กตัน”แบร์กตันโบกมือผ้าคลุมกรงถูกเปิดออก...เผยให้เห็นเพียงเเค่คนเเคระคนนึงเท่านั้น“ไม่มี!?” เจ้าของโรงละครร้องเขาก้าวไปจนหน้าดำหน้าแดง “เจ้ากล้าหลอ
สายลมจากทะเลพัดโชยผ่านใบไม้หนาทึบ กลิ่นเกลือและไอชื้นของป่าไหลเข้าปะทะจมูก แต่นีน่าไม่แม้แต่จะหายใจลึก หัวใจเธอมีเพียงความเร่งรีบ"มาริเบล...ต้องรอด"น้องสาวของนางนอนอยู่ในถ้ำเล็กริมชายหาด ดวงตาร้อนผ่าว ผิวที่เคยสดใสเริ่มซีดจางจากพิษของบาดแผลขณะหลบหนี แม้นีร่าจะใช้ความรู้จากเผ่าตนรักษาเบื้องต้น แต่สมุนไพรที่ต้องการมีเฉพาะในป่าภายในเกาะ ซึ่งแปลกและไม่คุ้นเคยนางจำตำราได้ว่า ใกล้ภูเขาใจกลางเกาะนี้เคยมี “ดอกวารีทอง” — ดอกไม้ขนาดเล็กที่มีกลีบสีเงินสลับทอง ผสมกับราก "เฟินน้ำเที่ยงคืน" แล้วบดกับเกลือ จะถอนพิษจากบาดแผลลึกได้“นางจะต้องไม่เป็นอะไร…” นีร่าพึมพำในใจ ขณะฝ่าไผ่รกและเลื้อยไม้ขึ้นสู่แนวเขาเล็กแต่ทันทีที่นางไปถึงลำธารกลางป่า...เสียงบางอย่างก็ดังขึ้น—เสียงเพลงแผ่วเบา แฝงความเศร้าโศก ราวเสียงร้องของหญิงสาวใต้ผิวน้ำนีน่าหยุดชะงัก หางตากวาดไปรอบ ๆ — ไม่มีใครแต่ผิวน้ำสั่นเบาเหมือนมีบางสิ่งตื่นขึ้นจากก้นลึก> “...ผู้หลงทางในความมืด… กลิ่นเลือดเจ้าช่างหวานนัก…”เสียงนั้นกระซิบในหัว ไม่ใช่เสียงมนุษย์ ไม่ใช่เงือกธรรมดาทันใดนั้น ผิวน้ำก็แตกกระจาย ร่างหนึ่งพุ่งขึ้นมา—เงือกสาวผิวซีดจ
แสงจันทร์ส่องลงมากระทบลานหินกลางป่าลึก เงาไม้โยกไหวตามแรงลม คืนนี้เงียบผิดปกติ—เงียบเสียจนได้ยินเสียงลมหายใจของผู้ถูกจับไอล่าและรัฟเฟอร์นั่งอยู่กลางวงพิธี แขนทั้งสองข้างถูกมัดด้วยเถาวัลย์ศักดิ์สิทธิ์ที่เต็มไปด้วยอักขระโบราณ พวกเขาไม่ได้ถูกทำร้าย ไม่แม้แต่รอยขีดข่วนบนร่างกาย...แต่หัวใจกลับสั่นสะท้านด้วยสิ่งที่มองไม่เห็นเพราะรอบตัวพวกเขา...ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่เลยมีเพียง "เงา" — เงาบางเบาของสิ่งที่เคยมีชีวิตเสียงสวดมนต์ต่ำ ๆ ดังขึ้นจากทุกทิศ เสียงนั้นไม่ใช่มนุษย์ ไม่ใช่สัตว์ แต่เป็นเสียงกระซิบของลมหายใจในอดีต เสียงของวิญญาณที่เคยมีเลือดเนื้อ และบัดนี้...หลงเหลือเพียงเศษความตายที่ยังไม่สงบ"พวกมัน...ไม่มีร่าง" รัฟเฟอร์กระซิบเบาไอล่าหันมามอง สีหน้าซีดเผือด "แต่ยังมีเจตจำนง"จู่ ๆ อากาศรอบกายเย็นวาบ ลมหอบหนึ่งพัดผ่าน ก่อนที่แสงสีฟ้าหม่นจะก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างของหญิงชราโบราณ ใบหน้าซีดเผือดดั่งกระดูก ห้อยลอยอยู่เหนือพื้นเพียงนิ้วเดียว ดวงตาขาวขุ่นไร้แววชีวิต แต่มองตรงมาราวกับมองทะลุหัวใจ“เจ้าจะเป็นสะพาน...” เสียงนั้นดังกังวานโดยไม่มีปากขยับ“สะพานเพื่อพวกข้า...จะกลับมาอีกครั้ง”แท่นหิ
เปลวแดดยามสายส่องทะลุม่านเมฆครึ้ม ปลายหางเรือเล็กแหวกผืนน้ำอย่างเงียบงัน อีธานนั่งนิ่งบนหัวเรือ สายตาคมใต้คิ้วเข้มทอดมองไปยังผืนป่าแน่นทึบบนเกาะร้างเบื้องหน้า"ตรงนี้แหละ" เสียงไอล่าเอ่ยพลางหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นดู เธอชี้ไปยังฝั่งที่มีโขดหินเรียงตัวคล้ายประตูธรรมชาติ "ฉันเห็นรอยเท้า...มันมุ่งเข้าไปด้านใน"อีธานพยักหน้า รอยแผลบนแขนยังไม่ทันแห้งดี แต่เขาไม่อาจรอให้บาดแผลสมานก่อน รอยเลือดของพวกโจรสลัดยังเปรอะเปื้อนอยู่บนเสื้อผ้า กลิ่นคาวยังติดปลายจมูก — มันคือเครื่องเตือนใจว่าเขาต้องเร็วขึ้นอีก ก่อนจะสายเกินไปลูกเรืออีกคนที่ยังเหลือ—ชายร่างสูงชื่อรัฟเฟอร์—เป็นคนเงียบขรึม แต่ซื่อสัตย์ เขาหิ้วสัมภาระตามหลัง ไม่เอ่ยถ้อยคำใด นอกจากพยักหน้าอย่างพร้อมเคียงบ่าเคียงไหล่สามคนขึ้นฝั่ง ใต้ร่มไม้เงียบงัน เย็นยะเยือกผิดกับแสงแดดข้างนอก เสียงใบไม้แห้งลั่นกรอบใต้เท้า พร้อมกลิ่นดินชื้นที่คละเคล้ากลิ่นเกลือทะเล"หยุดก่อน..." เสียงอีธานเบาและกดต่ำ ขณะเขาย่อตัวลง มือหนาแตะบางสิ่งบนพื้นมันคือหยดเลือด...เล็กแต่ยังสดไอล่าถลาเข้ามาอย่างเร็ว "เลือดเหรอ?"อีธานไม่ตอบ เขายืนนิ่ง ขมวดคิ้วแน่น ดวงตาเขาสั่นไหว.
แสงจันทร์สาดสีเงินลงเหนืออ่าวลับ เงาน้ำพลิ้วไหวใต้ผืนฟ้ายามค่ำคืน ท่ามกลางความเงียบงันที่แทบจะได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้น ข้าค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นจากแอ่งน้ำข้างหาด ดินเหนียวเปรอะขา เท้าของข้าเหยียบลงไปบนผืนทรายที่เย็นชื้นเท้า—ไม่ใช่หางเงือกอีกต่อไปข้ามองปลายขาตัวเองอย่างอึ้งงัน ผิวเนื้อที่เคยเป็นเกล็ดทองสะท้อนแสงบัดนี้กลายเป็นผิวมนุษย์เรียบเนียน ซีดขาวด้วยไอเย็นของน้ำและความเหน็ดเหนื่อยข้าไม่รู้ว่าสิ่งใดเปลี่ยนร่างข้ากับน้อง…บางที อาจเป็นเวทมนตร์ของโพรงน้ำใต้เกาะ หรือบางสิ่งที่เรายังไม่เข้าใจ> “พี่…” เสียงเบาเรียกจากข้างหลัง ข้าหันไปเห็นมาริเบลกำลังพยายามพยุงตัวลุกขึ้นเช่นกัน“ข้า…ข้าก็มีเท้าเหมือนเจ้าแล้ว”ข้าประคองนางขึ้นจากน้ำ ดวงตานางเบิกโพลง ขณะจ้องมองปลายเท้าตัวเองเหมือนเด็กน้อยที่เพิ่งเห็นโลกเป็นครั้งแรก ผมของนางเปียกปอนแนบแก้ม หยดน้ำยังเกาะตามขนตาคล้ายหยดน้ำตาข้าจับมือนางไว้แน่น> “เรายังมีชีวิตอยู่ และนั่น…คือสิ่งเดียวที่สำคัญ”สายลมยามค่ำคืนพัดหอบเอากลิ่นทะเล กลิ่นดิน กลิ่นมอส และกลิ่นไม้ผุจากป่าด้านหน้าเข้ามา ด้านหลังของเราคือผืนน้ำกว้างใหญ่เบื้องหลังภูเขาหินสูงชัน ไม่มี
เพลิงลุกไหม้ยอดไม้ โหมกระท่อมริมฝั่งทะเลสาบให้กลายเป็นเศษเถ้าดำราวสรวงสวรรค์เคยทอดทิ้งที่นี่ไปนานแล้ว...ข้ายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ใต้แสงสีส้มของความสูญเสียข้ารู้สึกราวกับห้วงเวลาหยุดหมุนในชั่วครู่ที่สายตาจับจ้องไปยังร่างหนึ่งบนพื้น—เรน ชายผู้เคยเป็นทั้งเพื่อน ทั้งรัก และบัดนี้…เป็นเพียงซากอดีตที่ไร้คำแก้ตัวเสียงสะอื้นของนีร่าดังแผ่วอยู่เบื้องหลัง หยดน้ำตาสีดำยังร่วงทีละหยดลงสู่ผืนดินที่เปียกชื้นจากทั้งฝนที่เพิ่งจางหาย และเลือดที่ยังไม่แห้งข้าอยากยื่นมือไปปลอบนางแต่ข้ากลับยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น...เพราะบางความเจ็บ ก็ไม่มีถ้อยคำใดปลอบประโลมได้> “อีธาน…”เสียงนางเบาเหมือนเสียงคลื่นลมที่ซัดชายฝั่งข้าหันมาช้า ๆ และสบตากับนางดวงตาคู่นั้น—แม้จะยังงดงาม—กลับเต็มไปด้วยร่องรอยของการแตกสลาย> “ข้า…เหนื่อยเหลือเกิน…”นางเอ่ยก่อนจะซบหน้าลงบนบ่าข้า ข้าได้แต่ยกแขนขึ้นโอบประคองแผ่นหลังบางเอาไว้แน่น มาริเบลยืนนิ่งอยู่ด้านข้าง ร่างเล็กที่เปื้อนเลือดและดินเงยหน้ามองพี่สาวอย่างเงียบงัน น้ำตาของนางไม่ไหล…เพราะนางไม่เหลือแม้แรงจะร้องไห้อีกแล้วข้าอยากให้คืนวันสงบกลับมา แต่ในโลกนี้—มันไม่เคยง่ายเช่นนั้นเพร