ยามรัตติกาลกลางป่าลึกทางตอนใต้ของคอร์เซียร์
สายลมเหน็บหนาวพัดผ่านยอดไม้สูง เสียงใบไม้ไหวระริกดังเป็นระยะคล้ายเสียงกระซิบของภูตป่า ในความมืดสลัวของรัตติกาล สายตาใครบางคนยังคงจดจ้องไปยังเส้นทางเบื้องหน้า—ดวงตาสีฟ้าเย็นเยียบดั่งคลื่นทะเลลึก นั่นคือ... เรน “ทางนี้แน่ ข้าเห็นรอยน้ำหยดลงบนใบไม้” ชายหนุ่มเปล่งเสียงเบา ขณะย่อตัวลงมองพื้น เขาลูบสัมผัสรอยเปียกบนดินอย่างแนบแน่น ใบหน้านิ่งขรึมยิ่งทำให้แผ่นหลังของลูกน้องทุกคนรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาล ในมือของเขา ดาบที่เคยฟาดฟันเงือกมานับไม่ถ้วนยังคงเปื้อนร่องรอยจากครั้งเก่า ดวงใจที่ครั้งหนึ่งเคยเปิดให้หญิงสาวนามว่า นีร่า บัดนี้กลับแข็งกระด้างจนไม่มีแม้ความลังเลหลงเหลือ > “ข้ายอมให้เจ้าหนีไปครั้งหนึ่ง...แต่น้ำตาเงือกเจ้าจะต้องเป็นของข้า—ทั้งหมด” เสียงฝีเท้ากลุ่มนักล่าฉุดกระชากความเงียบให้หายไป กลิ่นคาวโลหิตในอดีตกาลลอยมาแตะปลายจมูกอย่างเลือนลาง จนกระทั่ง... > พรึ่บ!! กลุ่มกอไม้ที่ดูเหมือนไม่มีอะไรพลันเปิดทาง สายลมแปรเปลี่ยนเป็นความชื้นแฉะ กลิ่นทะเลบางเบาลอยมากระทบจมูกพร้อมภาพเบื้องหน้าที่ทำเอาหัวใจทุกคนชะงัก หมู่บ้านเงือก—หมู่บ้านเร้นลับที่ไม่มีแผนที่ใดจารึก ทะเลสาบสีเงินสว่างไสวในเงามืด เงือกนับสิบกำลังแหวกว่ายอย่างสงบเงียบ เสียงหัวเราะแผ่วเบาดังคลอเคลียขอบผืนน้ำ > “สวรรค์...” หนึ่งในลูกน้องของเรนพึมพำ แต่เรนไม่ได้ตื่นตาตื่นใจเช่นนั้น เขายิ้ม—รอยยิ้มที่ไม่มีแม้ความอ่อนโยนหลงเหลืออยู่เลย > “จับมันให้หมด...ใครขัดขืน ฆ่า” เสียงกรีดร้องดังสะท้านไปทั่วหมู่บ้านในพริบตา นีร่าและไอล่าที่เพิ่งพักพิงได้เพียงครู่ สะดุ้งตื่นจากเสียงหวีดร้องของเงือกสาวผู้หนึ่งซึ่งถูกตาข่ายเหล็กพันรัดร่างขณะพยายามหนีออกจากน้ำ “ไม่!! อย่าทำพวกนาง!!” นีร่ากรีดร้อง เสียงสั่นระริกด้วยความหวาดกลัวและโทสะ แต่เรนกลับย่างเท้าเข้ามาใกล้ ดวงตาของเขาฉายแววแห่งความคะนึง ปนคลั่ง > “เจ้าทรยศข้า นีร่า...เจ้าเลือกมันผู้นั้นแทนข้า” > “เจ้าไม่เคยรักข้า...เจ้าเพียงต้องการครอบครอง!” เสียงของนีร่าดังก้องแม้เธอจะถอยหลังไปจนชิดต้นไม้ใหญ่ แต่เรนกลับเข้ามาใกล้ ช้า ๆ และแนบเนียน มือหนึ่งคว้าข้อมือเธอไว้แน่น อีกมือกระชากสายสร้อยเปลือกหอยที่เธอสวมมานับแต่เด็กจนขาดหลุด ณ ชายป่าริมหมู่บ้าน — ในเวลาเดียวกัน เสียงฝีเท้ากลุ่มหนึ่งฝ่าเข้ามาท่ามกลางความชุลมุน อีธาน ยืนอยู่เบื้องหน้า ใบหน้าของเขาเปื้อนเหงื่อจากการต่อสู้กับกลุ่มโจรสลัดเมื่อครู่ สายตาสีเทาเข้มกวาดมองซากเงือกบาดเจ็บและควันไฟที่เริ่มลอยขึ้นจากกระท่อมไม้ริมทะเลสาบ “นีร่า...” เขาพึมพำ ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปในหมู่เงือกที่กำลังหนีตาย > “ช่วยด้วย! ผู้คนของเราโดนฆ่า!” > “ชายผมทอง! พวกมันพาเรนเข้ามา!” เสียงตะโกนประสานสลับกับเสียงร้องไห้ของเงือกน้อย อีธานกระชับดาบในมือแน่น ก้าวเข้าประจันหน้ากับชายแปลกหน้าผมทองที่เขาไม่เคยเห็น แต่รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของภัยอันตราย > “ปล่อยเธอ...ก่อนที่ข้าจะปลิดลมหายใจของเจ้า” กลางหมู่บ้านเงือกเร้นลับ — ท่ามกลางแสงเพลิงยามค่ำ เสียงกรีดร้องยังคงสะท้อนดังก้อง น้ำในทะเลสาบกระเพื่อมไม่หยุดเพราะเหล่าเงือกสาวกำลังแตกตื่น หลายตนถูกจับ หลายตนบาดเจ็บ ท้องฟ้าสีม่วงคล้ำยิ่งเพิ่มบรรยากาศของความสิ้นหวัง และตรงนั้น… สองชาย ยืนประจันหน้ากันท่ามกลางเปลวไฟที่ลามเลียกระท่อมไม้ > “ปล่อยนางซะ ก่อนที่เจ้าจะไม่มีโอกาสกลับออกไปจากที่นี่อีก” เสียงอีธานเย็นเยียบ ต่างจากความโกรธที่ลุกโชนในดวงตา เขากระชับดาบในมือแน่น ดาบเล่มที่ครั้งหนึ่งใช้เพียงป้องกันตัว กลับต้องยกขึ้นเพื่อสู้…เพื่อปกป้องนางที่เขารัก เรนหัวเราะเบา ๆ เสียงแผ่วเหมือนลมหนาวยามค่ำ > “เจ้ารู้จักนางนานแค่ไหนกัน? ข้า—ข้ารู้จักเธอตั้งแต่ยังไม่มีขาเดินบนแผ่นดิน!” “เจ้ามาช้าเกินไป …นางเป็นของข้า!” คำว่า “ของข้า” ทำให้อีธานสบตากับเขาด้วยแววตาแข็งกร้าว > “ไม่มีใครเป็นของใคร…” “โดยเฉพาะนีร่า—เธอเลือกแล้วว่าไม่ต้องการเจ้า” เพียงสิ้นคำ ดาบของเรนก็ฟาดฟันเข้าใส่! โลหะกระทบดังกังวาน ดาบสองเล่มสาดประกายท่ามกลางแสงไฟ เสียงฝีเท้ากระทบพื้นดินเปียกชื้น แรงปะทะสะเทือนขึ้นมาถึงหัวไหล่ อีธานกัดฟันแน่นขณะรับแรงของเรนที่เข้ามาไม่ยั้ง เรนสู้ด้วยความคลั่ง ฟัน ฟาด แทง ราวกับไม่ได้สู้เพื่อชนะ แต่สู้เพื่อทำลาย อีธานถอยก้าวหนึ่ง แล้วสวนกลับด้วยแรงทั้งหมด ฟาดดาบเฉียดแขนของเรนจนเลือดซึม > “เจ้ายังกล้าทำร้ายนางอีกหรือ—แม้ในวันที่นางร้องไห้เพราะเจ้า?” คำถามนั้นทำให้เรนชะงักเพียงครู่เดียว…ก่อนจะคำรามในลำคอแล้วโถมเข้าใส่อีธานอีกครั้ง > “เพราะนางร้องไห้…ข้าถึงยังจำได้ว่ารักนางมากแค่ไหน!!” > “แต่นางไม่ได้รักเจ้าแล้ว!” เสียงของอีธานดังก้อง ฟาดดาบสวนกลับเต็มแรง—แรงแห่งความรักและความศรัทธาที่ไม่หวังครอบครอง แต่ต้องการปกป้อง เสียง ฉึก! ดังขึ้นจากการที่ดาบของอีธานตวัดฟาดไปโดนชายโครงของเรน ชายผมทองชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะทรุดเข่าลง มือข้างหนึ่งกุมบาดแผล เลือดไหลอาบเสื้อ แต่ในดวงตาสีฟ้าของเขา…ยังไม่ดับ ยังเต็มไปด้วยเงาของอดีต เงาที่เขาปล่อยวางไม่ได้ --- “พอเถอะ เรน…” เสียงของ นีร่า ดังขึ้นช้า ๆ จากด้านหลังอีธาน หญิงสาวในชุดบางเปียกชื้นจากการวิ่งฝ่าทะเลสาบ เส้นผมยาวเปียกแนบหลัง ใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตา เธอเดินเข้ามาใกล้—ช้า ช้า ก่อนจะหยุดยืนตรงหน้าเรน > “ข้า…ข้าเคยคิดว่าเจ้าจะปกป้องข้า” “แต่ตอนนี้ ข้ารู้แล้ว…เจ้ากำลังฆ่าทุกอย่างที่เคยมีค่า” เรนเงยหน้ามองเธอ ดวงตาสีฟ้าไหวระริก—แต่ไม่อ้อนวอน ไม่สำนึก—เพียงแต่ว่างเปล่า > “ข้า…เสียเจ้าไปนานแล้วใช่ไหม นีร่า…” หญิงสาวไม่ตอบ เพียงหลับตา ปล่อยหยดน้ำตาไหลริน แต่คราวนี้…เธอร้องไห้เพราะเลือกที่จะ ปล่อยวาง นีร่าทรุดลงข้างร่างของเรนที่แน่นิ่งไปแล้ว มือบางสั่นเทาแนบอกตัวเอง ดวงตาสีเทาสั่นไหว หยดน้ำตาไหลริน… แต่คราวนี้—มิใช่น้ำตาใสบริสุทธิ์อีกต่อไป ทว่าเป็นหยดน้ำตาสีดำสนิท…ดำดั่งเงาแห่งอดีต ดั่งความสิ้นหวังที่หมักหมม หยดแล้ว…หยดเล่า ร่วงจากขอบตาลงบนพื้นดินเปียกชื้น แต่ละหยดเมื่อกระทบพื้น กลับกลายเป็นไข่มุกสีดำแวววาว คล้ายมีแสงเงาสะท้อนภาพหัวใจที่แตกร้าวของเธอ > “เหตุใด…เหตุใดทุกครั้งที่ข้ารัก…” “สิ่งนั้นต้องกลายเป็นความเจ็บปวดเสมอ…” เธอกัดฟัน กลั้นสะอื้น แต่เสียงในลำคอกลับสั่นเครือ น้ำเสียงนั้นเหมือนเสียงของเด็กหญิงคนหนึ่งที่เคยหวัง…เคยเชื่อ…และเคยสูญเสีย > “เรน…เจ้าทำลายหัวใจข้า…ข้ารู้สึกเหมือนตายทั้งเป็น…” เสียงก้าวเท้าดังขึ้นเบื้องหลัง เงาร่างหนึ่งวิ่งฝ่าเปลวไฟเข้ามา ร่างเล็กในชุดเปื้อนดินและเลือด หัวใจของนีร่าเต้นแรงเพียงสบตากับเธอคนนั้น > “…มาริเบล!!” เด็กสาวผู้มีดวงตากลมโตนั้นวิ่งเข้ามาหา พุ่งกอดพี่สาวสุดแรง > “พี่! พี่ข้า!!” แขนข้างหนึ่งของเธอมีเลือดซึมผ่านผ้าพันแผลที่พันไว้ลวก ๆ นีร่าเบิกตากว้าง กอดน้องแน่นราวกับกลัวว่า หากปล่อยเพียงชั่ววินาที เด็กคนนี้จะหายไปอีกครั้ง > “เจ้าบาดเจ็บ…ใคร…ใครทำร้ายเจ้า…” เสียงเธอสั่นเครือ มือสั่นเทารีบจับแขนมาริเบลไว้อย่างเบามือ > “ข้าไม่เป็นไร พี่ต่างหาก…ทำไมถึงร้องไห้เช่นนี้…” นีร่ามองหน้ามาริเบล ไข่มุกสีดำยังคงร่วงเงียบ ๆ จากดวงตา > “พี่เจ็บ…เจ็บทั้งหัวใจ…ที่เคยคิดว่าเจ้าตายไปแล้ว” “พี่…เสียเจ้าครั้งหนึ่งไปแล้ว…แต่ตอนนี้…” เธอกลืนเสียงสะอื้น กลั้นหายใจ แล้วแนบหน้าผากลงบนหน้าผากของน้องสาว > “คราวนี้…พี่จะไม่ยอมเสียเจ้าไปอีกแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม” เสียงเปลวไฟยังคงลุกอยู่ไกล ๆ แต่ท่ามกลางความเสียหาย ความตาย และซากฝันที่แตกสลาย แสงแห่งความรักจากครอบครัวกลับอบอุ่นที่สุดในเวลานี้อุโมงค์หินใต้ดินคดเคี้ยวและแคบจนแทบต้องคลาน รอยสลักเวทมนตร์เรืองแสงสีน้ำเงินริบหรี่เป็นระยะ แสงจากเปลวไฟพกพาทำให้เงาทั้งสามยาวยืดบนผนังเหมือนปีศาจในตำนานคาเอลหอบเบาๆ ขณะคลานตามหลังดราน “อย่าเข้าใจผิดนะ ข้าไม่กลัวที่มืด...แค่ไม่ค่อยถูกกับที่ที่ มีอะไรดุกว่าข้าอยู่ข้างหน้า เท่านั้นเอง”“เงียบหน่อย” ดรานสบถเบาๆ “เสียงสะท้อนมันดังไกลมากที่นี่”“โอเค โอเค ข้าจะเงียบ…หลังจากบอกว่าเข่าข้าไปบี้หอยที่พื้นนี่เข้าแล้วแน่ๆ มันแหลมเหมือนมีความแค้น!”นีร่าอดหัวเราะไม่ได้ “นี่ถ้าติดเกราะเหมือนเงือกที่เมืองใต้น้ำ คงรอดหอยได้ล่ะมั้ง”คาเอลยักคิ้วให้ทั้งคู่ แม้ในความมืด “พวกนั้นเกล็ดหนา ฉันแค่...บางกว่า นุ่มกว่า เรียกได้ว่าเป็นเงือกฉบับขนมปังปิ้ง”ดรานหลุดขำจมูก “เงือกขนมปังปิ้งเนี่ยนะ”“ใช่ และขนมปังปิ้งจะพาคุณรอดจากความตายได้ทันใดนั้น แผ่นหินใต้เท้าพังครืดลง! ทั้งสามร่วงลงไปในโพรงเบื้องล่าง ก่อนจะกระแทกพื้นน้ำตื้นเสียงดัง ซ่า!นีร่าดีดตัวลุกขึ้นก่อน มือลูบน้ำออกจากตา “ทุกคนปลอดภัยไหม!?”“ขาอยู่ แขนอยู่” ดรานคราง“ข้าเจอน้ำ...แล้วก็หอยอีก” คาเอลพูดพลางดีดเปลือกหอยออกจากคอเสื้อ “เอาจริงนะ—ข้าเริ่มคิด
ทางเดินหินแคบเริ่มกว้างออกเป็นโถงใต้ดินสูง เสาแกะสลักเป็นรูปคล้ายสัตว์ทะเลยักษ์เรียงรายอยู่สองข้าง เสียงหยดน้ำสะท้อนก้องคล้ายเสียงหัวใจเต้นช้าๆ ลึกลงไปในพื้นดินคาเอลเดินช้าๆ พิงไหล่นีร่า บางครั้งเขาสะดุดเพราะบาดแผลที่ยังไม่หาย ดรานเดินนำ ถือคบไฟไว้ในมือแต่แล้ว...พรึ่บ!เปลวไฟดับลงกะทันหัน เหลือเพียงความมืดสนิทและลมเย็นเฉียบพัดผ่านเสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้นจากรอบทิศ ก่อนที่แสงจากโคมเวทมนตร์สีน้ำเงินจะลอยขึ้นเป็นวงรอบตัวพวกเขา ส่องให้เห็นร่าง บุรุษและสตรีในผ้าคลุมสีเทาอมน้ำเงิน หน้ากากเรียบไร้อารมณ์ ตรงกลางหน้าผากมีเครื่องหมายสลักเป็นเกล็ดปลากลับหัว“หยุดอยู่ตรงนั้น” เสียงหนึ่งกล่าว—ราบเรียบแต่น่าเกรงขามดรานชักดาบ แต่มือแข็งค้างกลางอากาศ ราวกับถูกตรึงไว้ด้วยเวทบางอย่าง นีร่าก้าวไปขวางหน้า“เรามาเพื่อตามหาความจริง ไม่ได้หมายจะทำลายอะไรทั้งนั้น!”ชายผู้สวมหน้ากากยกมือขึ้น—และพื้นใต้เท้าก็เปิดวูบ---ห้องขังใต้โถงพิพากษาแสงเพลิงเย็นสีฟ้าจุดขึ้นตามซอกหิน พวกเขาถูกขังในห้องหินทรงกลม มีประตูเหล็กสูงกว่าเกือบสามเมตร คาถาป้องกันซับซ้อนจนดรานไม่กล้าแตะต้องคาเอลนั่งซบผนัง ดวงตาหลับลงครู่หนึ่ง
หมู่บ้านริมผา – เวลาสองยามเพลิงจากแนวคบไฟถูกจุดขึ้นรอบหมู่บ้าน เสียงเปลวไฟแตกพรึ่บพรับแข่งกับเสียงคลื่นที่เริ่มโหมกระหน่ำ พื้นดินสั่นเล็กๆ จนเด็กเล็กบางคนเริ่มร้องไห้ไอล่าคาดแหลงไว้ข้างเอว เดินตรวจแนวป้องกันกับอีธาน ก่อนหยุดตรงจุดที่น้ำทะเลเริ่มซึมเข้ามา“ครีบพวกมันเร็วขึ้นเรื่อยๆ...” ไอล่าพึมพำเสียงหวีดเบาๆ ดังแทรกอากาศ ราวเสียงไวโอลินขูดสายอย่างไม่ประสาน เสียงนั้นมาจากเรือดำที่ลอยเข้ามาใกล้จนเห็นได้ชัด — ไม่มีคนขับ ไม่มีเสียงฝีพาย แต่ค่อยๆ เคลื่อนเข้าหาฝั่งเหมือนถูกดูดเข้ามาทันใดนั้น เสียงคล้ายแตรเป่า — แต่ทุ้มต่ำและสะท้อนก้องเหมือนเปลือกหอยยักษ์ — ดังขึ้นจากทะเล“พวกมันเริ่มพิธีแล้ว!” อีธานร้อง “ถ้าเราไม่ขัดจังหวะตอนนี้ มันจะเปิดประตูขึ้นมาจริงๆ!”“ประตูที่พวกเงือกเผ่าเก่าเคยผนึกไว้?” ไอล่าขมวดคิ้วอีธานไม่ตอบ แต่วิ่งไปหยิบคันศรประดิษฐ์พิเศษจากศาลาไม้ที่เก็บอาวุธกลางหมู่บ้าน หัวลูกศรทำจากหินสีฟ้า...เป็นของที่นีร่าเคยทิ้งไว้เขาหันไปหาไอล่า “ถ้านีร่ายังอยู่ เธอคงรู้ว่าจะทำยังไง...แต่ตอนนี้เราต้องลองเสี่ยง”ไอล่าหยิบคันธนูขึ้นมา “งั้นยิงไปที่เรือนั่นเลย?”อีธานพยักหน้าฟิ้ว!ลูกศ
เปลวไฟจากคบไฟกระพริบสั่นไหวตามแรงลมทะเล ชาวบ้านกำลังช่วยกันกางแผงไม้เสริมแนวป้องกันรอบหมู่บ้าน หลายคนขุดดินทำคูน้ำหรือผูกตาข่ายลวดไว้กับทุ่นลอยตามแนวชายป่าไอล่าใช้มีดเล็กฝนปลายไม้แหลมอยู่ตรงลานหน้าบ้านอีธาน เสียงขูดเบาๆ ฟังแล้วเหมือนเสียงลมหอบ“ข้างศาลนั่น มีอะไรไหม?” เธอถามขณะตัดไม้โดยไม่มองหน้าเขาอีธานเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบ “มีเศษเปลือกหอย...แบบที่ไม่ควรอยู่บนฝั่ง และก็มีสิ่งนี้”เขายื่นชิ้นไม้แตกหักที่มีลวดลายแกะสลักคล้ายเกล็ดปลามนุษย์ บางส่วนถูกเผาจนดำ ไอล่ารับมาแล้วขมวดคิ้ว“นี่เป็นสัญลักษณ์ของเทพแห่งสมดุล” เธอพึมพำ “แต่กลับหัว”“เหมือนมีใครเจตนาให้คำอวยพรกลับกลายเป็นคำสาป” อีธานว่าเงียบไปชั่วครู่ก่อนที่เสียงฝีเท้าเบาๆ จะดังขึ้นจากแนวพุ่มไม้เด็กชายตัวเล็กๆ วิ่งเข้ามาหอบหายใจ หน้าเปื้อนฝุ่นดิน“อีธาน! ข้า...ข้าฝันแปลกๆ”อีธานลุกขึ้นทันที “ฝันอะไร ไค?”เด็กชายชื่อไคส่ายหน้าแล้วพูดเสียงสั่น “มีหญิงคนหนึ่ง...ผมยาวถึงเอว ตัวสีน้ำเงินเหมือนเงาในน้ำ เธอร้องเพลงเรียกข้า บอกให้...บอกให้กลับไปที่ทะเล”ไอล่ากับอีธานสบตากันโดยไม่พูด เด็กชายยังพูดไม่หยุด“ข้าตื่นขึ้นมาเจอน้ำเปียกที่ปลา
เสียงฝีเท้าดังสวบสาบของไอล่าหยุดลงหน้าประตูไม้ผุบ้านหลังหนึ่งที่ปลายหมู่บ้าน ท่ามกลางแสงยามเย็นสีทองอ่อน เธอยืนมองแผ่นไม้ที่เคยมีตราครอบครัวตรึงอยู่ แต่ตอนนี้เหลือแค่รอยไหม้ดำสนิทเป็นรูปนิ้วมือทั้งห้า“ที่นี่มันเคย...?” ไอล่าถามเสียงเบาอีธานพยักหน้า “บ้านของฉันเอง ถูกเผาเมื่อห้าปีก่อน ตอนที่พวกโจรสลัดบุกมาปล้นครั้งใหญ่”ไอล่าหยุดหายใจไปครู่หนึ่ง แล้วก้มหน้าลงช้าๆ “ขอโทษที่ถาม...”“ไม่เป็นไร ฉันชินแล้ว” เขายิ้มบางๆอย่างฝืน ก่อนหันกลับเดินไปยังลานกลางหมู่บ้านชาวบ้านเริ่มออกมารวมตัวกันหลังเสียงระฆังเตือนภัยเงียบสงบลง เด็กๆ วิ่งเล่นกันตามซอกทางแคบที่ปูด้วยหินเรียงตัวไม่เสมอ ผู้ใหญ่ต่างจับกลุ่มกระซิบกระซาบถึงข่าวลือเรื่องเรือโจรสลัดที่มีครีบปลาแหลมยื่นออกจากใต้ท้องเรือ“พวกมันไม่ใช่มนุษย์แล้ว...” ชาวประมงแก่คนหนึ่งกระซิบ “ฉันเห็นเองกับตา! มันว่ายอยู่ใต้น้ำ แล้วขึ้นมายืนบนเรือเหมือนผีทะเล!”“บ้าแล้ว แกเมาเหล้าต่างหาก!” ชาวบ้านอีกคนแย้ง แต่ก็ไม่มีใครหัวเราะตาม ทุกคนสีหน้าหนักเครียด ไม่เหมือนครั้งก่อนจู่ๆ เสียงเคร้งคร้างของโลหะก็ดังขึ้นที่ชายป่าด้านนอกหมู่บ้าน แล้วมีใครบางคนเดินโผล่ออกมาจา
กลางคืนในหมู่บ้านชาวประมงที่พักชั่วคราวของพวกอีธาน ทะเลเบื้องหน้าเงียบสงัด ลมพัดโชยกลิ่นเค็มของเกลือ อีธานนั่งอยู่นิ่ง ๆ ริมฝั่ง จุดไฟไว้ข้างตัว เสียงเปลวไม้แตกดังเบา ๆ เคล้ากับเสียงคลื่นซัดฝั่งที่เป็นจังหวะสม่ำเสมอ“ยังไม่หลับเหรอ?” ไอล่าเดินเข้ามาช้า ๆ ชุดของเธอเปียกน้ำเล็กน้อย ดูเหมือนเพิ่งล้างตัวจากทะเลอีธานหันไปมองแล้วผงกหัวให้ เขาเคลื่อนตัวออกเล็กน้อยเป็นเชิงชวนให้นั่งด้วยกัน “นอนไม่หลับเหมือนกันเหรอ?”“ก็ใช่…” ไอล่าพูดเสียงเบา เธอนั่งลงข้าง ๆ ห่างจากเขานิดหน่อย “วันนี้ทั้งวันมันเงียบแปลก ๆ เหมือนพายุจะมา...แต่พอเงยหน้ามองท้องฟ้า กลับไม่มีเมฆเลย”“พายุที่เราไม่เห็น… มันน่ากลัวกว่าที่เราคิดนะ” อีธานพูดช้า ๆ ดวงตาสะท้อนเปลวไฟ เขาดูนิ่งมากกว่าปกติ“พูดเหมือนนักปรัชญาเลย” ไอล่าหัวเราะนิด ๆ พลางกอดเข่าตัวเอง “นายเคยมีคนรักไหม?”คำถามนั้นทำเอาอีธานชะงักไปครู่หนึ่ง เขาไม่ตอบในทันที ไอล่าเห็นเขาเงียบไปก็ก้มหน้าหลบสายตา รีบพูดกลบเก้อ “เอ่อ ขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะล้วงอะไรส่วนตัว”“มี…” เขาตอบเบา ๆ แต่ออกมาในโทนเสียงที่อบอุ่นอย่างประหลาด “เธอชื่อ…นีร่า”ไอล่าเงียบไปชั่วครู่ หัวใจเธอรู้ส