ท่านแน่ใจหรือว่า...มันจะได้ผล?" ลูกเรือคนหนึ่งกระซิบถาม อีธานหรี่ตา มองไปยังกลุ่มโจรสลัดที่ยืนขวางหน้าตรอก
ชายเหล่านั้นล้วนสูงใหญ่ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นและรอยสักบางคนมีดาบ บางคนถือปืนคาบศิลา พวกมันเป็นกลุ่มเดียวกับโรงละครสัตว์ ที่กำลังตามหานีร่าเพื่อแลกเหรียญทอง อีธานยิ้มมุมปาก แสร้งก้าวออกไป มือประสานหลัง ทำท่าเหมือนนักเจรจา > "ท่านทั้งหลาย ข้าเข้าใจว่าพวกเจ้าโกรธที่เด็กสาวนั่นหนีไป แต่ข้าได้ข่าวว่า—นางยังไม่พ้นเขตเมืองด้วยซ้ำ" โจรสลัดตัวผู้นำหรี่ตา “เจ้าหมายความว่าไง?” > "ข้าว่า…นางไปซ่อนตัวอยู่ที่โกดังเหล้าทางตะวันตก พวกท่านน่าจะลองไปค้นดู…ก่อนจะมีใครชิงตัวนางไปก่อน" คนของอีธานหลายคนเตรียมพร้อมอยู่ข้างหลัง พวกเขาขยับอย่างเงียบงันในเงามืด เหงื่อเม็ดเล็กไหลลงขมับ หัวหน้าโจรสลัดหัวเราะเสียงต่ำ “โกดังเหรอ…?” > “แน่นอนท่าน นางกำลังปลอมตัวอยู่กับกลุ่มคนในเมือง “จับมัน!!” จู่ ๆ โจรสลัดอีกคนตะโกนขึ้น “มันโกหก!!” อีธานสบถในใจ “โธ่เว้ย!” แล้วตะโกน “หนีไป!!” เสียงฝีเท้าวิ่งดังขึ้นพร้อมกับเสียงตะโกนด่าทอ เขาและลูกเรือพุ่งพรวดเข้าไปในตรอกซึ่งเต็มไปด้วยลังไม้ หีบเก่า และกลิ่นคาวจากเน่าเปื่อยที่ไม่มีใครเก็บกวาด พวกเขาวิ่งผ่านย่านตรอกทรุดโทรม แผงขายเนื้อปิ้ง เสียงแม่ค้ากรีดร้องเมื่อร่างของลูกเรือชนล้มไปหลายแผง สุดท้าย พวกเขาพาตัวเองมาจนถึง...ศอกตัน “ทางตัน!!” ชายคนหนึ่งหอบแฮ่ก ดวงตาเบิกโพลง กำแพงไม้สูงตระหง่าน และไม่มีทางขึ้นใด ๆ มีเพียงห้องเก็บของเก่า ๆ ข้างหนึ่ง เสียงฝีเท้าและเสียงหัวเราะร้าย ๆ ดังใกล้เข้ามา โจรสลัดเริ่มล้อมหน้าปากทางเข้า > “สิ้นทางแล้วล่ะ พวกหนูทะเล” อีธานดึงดาบของตนออกจากฝัก เสียงโลหะเฉือนอากาศดัง ชึ่กกกกก > “ก็ให้มันรู้กันไปว่าใครจะจบก่อน…” ไฟจากโคมในมือนักล่าพลันสะท้อนใบดาบเป็นประกายแดง พริบตานั้นเสียงดาบกระทบกันดัง เคร้ง! หนึ่งในลูกเรือของอีธานรับการโจมตีไว้ทัน ก่อนโต้กลับด้วยแรงทั้งหมด ส่วนอีธานเองก็พุ่งเข้าไปเสียบดาบสวน โจรสลัดคนหนึ่งล้มลงพร้อมเสียงร้องโหยหวน เสียงฝีเท้ากระทืบดังสนั่น แคบของตรอกทำให้พวกเขาขยับตัวได้ลำบาก การประจันหน้ากลายเป็นการชกหมัดต่อหมัด บางคนใช้ท่อนไม้ เศษเหล็ก หรือแม้แต่ขวดเหล้าแตกเป็นอาวุธ เลือดกระเซ็นเปรอะกำแพง เสียงร้องโอดครวญปะปนเสียงสบถหยาบคาย > “ข้าจะไม่ตายที่นี่!” อีธานคำราม ก่อนจะคว้าถังไม้โยนใส่คู่ต่อสู้เปิดช่องให้ลูกเรืออีกสองคนวิ่งไปหาช่องระบายเล็กๆ ที่กำแพงไม้ด้านหลัง “เจอทางออกแล้ว!” หนึ่งในนั้นร้องบอก ทันทีที่มีช่องให้หนี พวกเขาเริ่มทยอยปีนหนีจากตรอกนรกนี้ แม้จะบาดเจ็บ แต่ก็ยังมีแรงจากสัญชาตญาณเอาตัวรอด อีธานเป็นคนสุดท้ายที่ปีนขึ้นไป เขาหันกลับไปมองโจรสลัดที่ยังพุ่งเข้ามา แล้วพึมพำเบาๆ > “ไว้เจอกันใหม่...ในนรก” ในเงามืดของป่าเขียวครึ้ม รอบเมืองคอร์เซียร์ เสียงฝีเท้าเปื้อนโคลน กระทบผืนดินชื้นแฉะอย่างเร่งรีบ “เร็วเข้า ไอล่า! ทางนี้!” นีร่าเอื้อมมือดึงร่างเล็กของหญิงสาวฝ่าแนวพุ่มหนาเข้าไปลึกยิ่งขึ้น หัวใจเต้นแรงราวจะระเบิดออกจากอก แสงจันทร์เพียงริบหรี่ลอดผ่านหมู่ไม้สูงโปร่ง เสียงนกกลางคืนโหยหวนสลับกับเสียงแมลงป่าดังระงม บางขณะก็มีเสียงฝีเท้าไล่ล่าหลอกหลอนจากเบื้องหลัง > “ท่านว่า…เขาจะตามมาไหม” ไอล่ากระซิบถาม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว นีร่าหยุดหายใจ หันกลับมาสบตาเด็กสาว ใบหน้าของเธอยังเปื้อนดิน เส้นผมกระเซิง > “ข้าไม่รู้…แต่ถ้าเราหยุดตอนนี้ เขาต้องตามมาทันแน่” เรน…ชายผู้ครั้งหนึ่งซึ่งเคยเป็นคนที่เธอเฝ้าตามหา แต่บัดนี้ กลับกลายเป็นผู้ล่า เขาคือคนที่ต้องการจะ “บีบเค้นน้ำตาไข่มุก” จากนีร่าเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง แม้ใจจะเจ็บปวด แต่นีร่าก็เลือกจะถอยห่างจากเขา เธอรู้แล้วว่าแววตาอ่อนโยนเหล่านั้นมีพิษร้ายแฝงอยู่ ทั้งสองคนหยุดพักที่โพรงไม้ใหญ่ริมลำธารเล็ก เสียงน้ำไหลเบา ๆ กลายเป็นเสียงเดียวที่ปลอบประโลมใจ > “นีร่า…ข้ากลัว” ไอล่ากอดเข่าตัวเอง น้ำตาคลอเบ้า นีร่ากลั้นลมหายใจยาว เธอก้มลง จับบ่าไอล่าแน่น > “ข้าก็กลัว…แต่เราต้องรอด ไอล่า เจ้าจะต้องไม่เป็นอะไร ข้าสัญญา” ท่ามกลางแสงจันทร์ พวกเธอมองหาทางต่อ ลึกเข้าไปในป่าที่ไม่คุ้นเคย บางทีอาจเจอชาวบ้านที่ช่วยได้ หรือกระท่อมร้างสำหรับหลบซ่อน ทันใดนั้น...เสียงกรอบแกรบจากหลังพุ่มไม้ข้างหลังทำให้หัวใจทั้งสองคนหยุดเต้น นีร่าผวา หันหลังอย่างรวดเร็ว > “ใครน่ะ!” เงาร่างหนึ่งโผล่ออกมาจากความมืด...แต่ไม่ใช่เรน เป็นชายชราหลังค่อม มือถือไม้เท้า แต่งกายด้วยชุดหนังแบบคนป่า เขายืนเงียบ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่า > “พวกเจ้าหนีอะไรมา…หรือว่าหนีใคร…”นีร่ากับไอล่ามองหน้ากัน ก่อนนีร่าจะตัดสินใจตอบ > “...ข้าขอที่หลบภัย…ข้าไม่ไว้ใจใครอีกแล้ว” ชายชรายิ้มอย่างมีเลศนัย > “หึ...ถ้าเจ้ายังไว้ใจหัวใจตัวเองไม่ได้ ก็จงไว้ใจชะตากรรมแทนเถอะ…ตามข้ามา”อุโมงค์หินใต้ดินคดเคี้ยวและแคบจนแทบต้องคลาน รอยสลักเวทมนตร์เรืองแสงสีน้ำเงินริบหรี่เป็นระยะ แสงจากเปลวไฟพกพาทำให้เงาทั้งสามยาวยืดบนผนังเหมือนปีศาจในตำนานคาเอลหอบเบาๆ ขณะคลานตามหลังดราน “อย่าเข้าใจผิดนะ ข้าไม่กลัวที่มืด...แค่ไม่ค่อยถูกกับที่ที่ มีอะไรดุกว่าข้าอยู่ข้างหน้า เท่านั้นเอง”“เงียบหน่อย” ดรานสบถเบาๆ “เสียงสะท้อนมันดังไกลมากที่นี่”“โอเค โอเค ข้าจะเงียบ…หลังจากบอกว่าเข่าข้าไปบี้หอยที่พื้นนี่เข้าแล้วแน่ๆ มันแหลมเหมือนมีความแค้น!”นีร่าอดหัวเราะไม่ได้ “นี่ถ้าติดเกราะเหมือนเงือกที่เมืองใต้น้ำ คงรอดหอยได้ล่ะมั้ง”คาเอลยักคิ้วให้ทั้งคู่ แม้ในความมืด “พวกนั้นเกล็ดหนา ฉันแค่...บางกว่า นุ่มกว่า เรียกได้ว่าเป็นเงือกฉบับขนมปังปิ้ง”ดรานหลุดขำจมูก “เงือกขนมปังปิ้งเนี่ยนะ”“ใช่ และขนมปังปิ้งจะพาคุณรอดจากความตายได้ทันใดนั้น แผ่นหินใต้เท้าพังครืดลง! ทั้งสามร่วงลงไปในโพรงเบื้องล่าง ก่อนจะกระแทกพื้นน้ำตื้นเสียงดัง ซ่า!นีร่าดีดตัวลุกขึ้นก่อน มือลูบน้ำออกจากตา “ทุกคนปลอดภัยไหม!?”“ขาอยู่ แขนอยู่” ดรานคราง“ข้าเจอน้ำ...แล้วก็หอยอีก” คาเอลพูดพลางดีดเปลือกหอยออกจากคอเสื้อ “เอาจริงนะ—ข้าเริ่มคิด
ทางเดินหินแคบเริ่มกว้างออกเป็นโถงใต้ดินสูง เสาแกะสลักเป็นรูปคล้ายสัตว์ทะเลยักษ์เรียงรายอยู่สองข้าง เสียงหยดน้ำสะท้อนก้องคล้ายเสียงหัวใจเต้นช้าๆ ลึกลงไปในพื้นดินคาเอลเดินช้าๆ พิงไหล่นีร่า บางครั้งเขาสะดุดเพราะบาดแผลที่ยังไม่หาย ดรานเดินนำ ถือคบไฟไว้ในมือแต่แล้ว...พรึ่บ!เปลวไฟดับลงกะทันหัน เหลือเพียงความมืดสนิทและลมเย็นเฉียบพัดผ่านเสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้นจากรอบทิศ ก่อนที่แสงจากโคมเวทมนตร์สีน้ำเงินจะลอยขึ้นเป็นวงรอบตัวพวกเขา ส่องให้เห็นร่าง บุรุษและสตรีในผ้าคลุมสีเทาอมน้ำเงิน หน้ากากเรียบไร้อารมณ์ ตรงกลางหน้าผากมีเครื่องหมายสลักเป็นเกล็ดปลากลับหัว“หยุดอยู่ตรงนั้น” เสียงหนึ่งกล่าว—ราบเรียบแต่น่าเกรงขามดรานชักดาบ แต่มือแข็งค้างกลางอากาศ ราวกับถูกตรึงไว้ด้วยเวทบางอย่าง นีร่าก้าวไปขวางหน้า“เรามาเพื่อตามหาความจริง ไม่ได้หมายจะทำลายอะไรทั้งนั้น!”ชายผู้สวมหน้ากากยกมือขึ้น—และพื้นใต้เท้าก็เปิดวูบ---ห้องขังใต้โถงพิพากษาแสงเพลิงเย็นสีฟ้าจุดขึ้นตามซอกหิน พวกเขาถูกขังในห้องหินทรงกลม มีประตูเหล็กสูงกว่าเกือบสามเมตร คาถาป้องกันซับซ้อนจนดรานไม่กล้าแตะต้องคาเอลนั่งซบผนัง ดวงตาหลับลงครู่หนึ่ง
หมู่บ้านริมผา – เวลาสองยามเพลิงจากแนวคบไฟถูกจุดขึ้นรอบหมู่บ้าน เสียงเปลวไฟแตกพรึ่บพรับแข่งกับเสียงคลื่นที่เริ่มโหมกระหน่ำ พื้นดินสั่นเล็กๆ จนเด็กเล็กบางคนเริ่มร้องไห้ไอล่าคาดแหลงไว้ข้างเอว เดินตรวจแนวป้องกันกับอีธาน ก่อนหยุดตรงจุดที่น้ำทะเลเริ่มซึมเข้ามา“ครีบพวกมันเร็วขึ้นเรื่อยๆ...” ไอล่าพึมพำเสียงหวีดเบาๆ ดังแทรกอากาศ ราวเสียงไวโอลินขูดสายอย่างไม่ประสาน เสียงนั้นมาจากเรือดำที่ลอยเข้ามาใกล้จนเห็นได้ชัด — ไม่มีคนขับ ไม่มีเสียงฝีพาย แต่ค่อยๆ เคลื่อนเข้าหาฝั่งเหมือนถูกดูดเข้ามาทันใดนั้น เสียงคล้ายแตรเป่า — แต่ทุ้มต่ำและสะท้อนก้องเหมือนเปลือกหอยยักษ์ — ดังขึ้นจากทะเล“พวกมันเริ่มพิธีแล้ว!” อีธานร้อง “ถ้าเราไม่ขัดจังหวะตอนนี้ มันจะเปิดประตูขึ้นมาจริงๆ!”“ประตูที่พวกเงือกเผ่าเก่าเคยผนึกไว้?” ไอล่าขมวดคิ้วอีธานไม่ตอบ แต่วิ่งไปหยิบคันศรประดิษฐ์พิเศษจากศาลาไม้ที่เก็บอาวุธกลางหมู่บ้าน หัวลูกศรทำจากหินสีฟ้า...เป็นของที่นีร่าเคยทิ้งไว้เขาหันไปหาไอล่า “ถ้านีร่ายังอยู่ เธอคงรู้ว่าจะทำยังไง...แต่ตอนนี้เราต้องลองเสี่ยง”ไอล่าหยิบคันธนูขึ้นมา “งั้นยิงไปที่เรือนั่นเลย?”อีธานพยักหน้าฟิ้ว!ลูกศ
เปลวไฟจากคบไฟกระพริบสั่นไหวตามแรงลมทะเล ชาวบ้านกำลังช่วยกันกางแผงไม้เสริมแนวป้องกันรอบหมู่บ้าน หลายคนขุดดินทำคูน้ำหรือผูกตาข่ายลวดไว้กับทุ่นลอยตามแนวชายป่าไอล่าใช้มีดเล็กฝนปลายไม้แหลมอยู่ตรงลานหน้าบ้านอีธาน เสียงขูดเบาๆ ฟังแล้วเหมือนเสียงลมหอบ“ข้างศาลนั่น มีอะไรไหม?” เธอถามขณะตัดไม้โดยไม่มองหน้าเขาอีธานเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบ “มีเศษเปลือกหอย...แบบที่ไม่ควรอยู่บนฝั่ง และก็มีสิ่งนี้”เขายื่นชิ้นไม้แตกหักที่มีลวดลายแกะสลักคล้ายเกล็ดปลามนุษย์ บางส่วนถูกเผาจนดำ ไอล่ารับมาแล้วขมวดคิ้ว“นี่เป็นสัญลักษณ์ของเทพแห่งสมดุล” เธอพึมพำ “แต่กลับหัว”“เหมือนมีใครเจตนาให้คำอวยพรกลับกลายเป็นคำสาป” อีธานว่าเงียบไปชั่วครู่ก่อนที่เสียงฝีเท้าเบาๆ จะดังขึ้นจากแนวพุ่มไม้เด็กชายตัวเล็กๆ วิ่งเข้ามาหอบหายใจ หน้าเปื้อนฝุ่นดิน“อีธาน! ข้า...ข้าฝันแปลกๆ”อีธานลุกขึ้นทันที “ฝันอะไร ไค?”เด็กชายชื่อไคส่ายหน้าแล้วพูดเสียงสั่น “มีหญิงคนหนึ่ง...ผมยาวถึงเอว ตัวสีน้ำเงินเหมือนเงาในน้ำ เธอร้องเพลงเรียกข้า บอกให้...บอกให้กลับไปที่ทะเล”ไอล่ากับอีธานสบตากันโดยไม่พูด เด็กชายยังพูดไม่หยุด“ข้าตื่นขึ้นมาเจอน้ำเปียกที่ปลา
เสียงฝีเท้าดังสวบสาบของไอล่าหยุดลงหน้าประตูไม้ผุบ้านหลังหนึ่งที่ปลายหมู่บ้าน ท่ามกลางแสงยามเย็นสีทองอ่อน เธอยืนมองแผ่นไม้ที่เคยมีตราครอบครัวตรึงอยู่ แต่ตอนนี้เหลือแค่รอยไหม้ดำสนิทเป็นรูปนิ้วมือทั้งห้า“ที่นี่มันเคย...?” ไอล่าถามเสียงเบาอีธานพยักหน้า “บ้านของฉันเอง ถูกเผาเมื่อห้าปีก่อน ตอนที่พวกโจรสลัดบุกมาปล้นครั้งใหญ่”ไอล่าหยุดหายใจไปครู่หนึ่ง แล้วก้มหน้าลงช้าๆ “ขอโทษที่ถาม...”“ไม่เป็นไร ฉันชินแล้ว” เขายิ้มบางๆอย่างฝืน ก่อนหันกลับเดินไปยังลานกลางหมู่บ้านชาวบ้านเริ่มออกมารวมตัวกันหลังเสียงระฆังเตือนภัยเงียบสงบลง เด็กๆ วิ่งเล่นกันตามซอกทางแคบที่ปูด้วยหินเรียงตัวไม่เสมอ ผู้ใหญ่ต่างจับกลุ่มกระซิบกระซาบถึงข่าวลือเรื่องเรือโจรสลัดที่มีครีบปลาแหลมยื่นออกจากใต้ท้องเรือ“พวกมันไม่ใช่มนุษย์แล้ว...” ชาวประมงแก่คนหนึ่งกระซิบ “ฉันเห็นเองกับตา! มันว่ายอยู่ใต้น้ำ แล้วขึ้นมายืนบนเรือเหมือนผีทะเล!”“บ้าแล้ว แกเมาเหล้าต่างหาก!” ชาวบ้านอีกคนแย้ง แต่ก็ไม่มีใครหัวเราะตาม ทุกคนสีหน้าหนักเครียด ไม่เหมือนครั้งก่อนจู่ๆ เสียงเคร้งคร้างของโลหะก็ดังขึ้นที่ชายป่าด้านนอกหมู่บ้าน แล้วมีใครบางคนเดินโผล่ออกมาจา
กลางคืนในหมู่บ้านชาวประมงที่พักชั่วคราวของพวกอีธาน ทะเลเบื้องหน้าเงียบสงัด ลมพัดโชยกลิ่นเค็มของเกลือ อีธานนั่งอยู่นิ่ง ๆ ริมฝั่ง จุดไฟไว้ข้างตัว เสียงเปลวไม้แตกดังเบา ๆ เคล้ากับเสียงคลื่นซัดฝั่งที่เป็นจังหวะสม่ำเสมอ“ยังไม่หลับเหรอ?” ไอล่าเดินเข้ามาช้า ๆ ชุดของเธอเปียกน้ำเล็กน้อย ดูเหมือนเพิ่งล้างตัวจากทะเลอีธานหันไปมองแล้วผงกหัวให้ เขาเคลื่อนตัวออกเล็กน้อยเป็นเชิงชวนให้นั่งด้วยกัน “นอนไม่หลับเหมือนกันเหรอ?”“ก็ใช่…” ไอล่าพูดเสียงเบา เธอนั่งลงข้าง ๆ ห่างจากเขานิดหน่อย “วันนี้ทั้งวันมันเงียบแปลก ๆ เหมือนพายุจะมา...แต่พอเงยหน้ามองท้องฟ้า กลับไม่มีเมฆเลย”“พายุที่เราไม่เห็น… มันน่ากลัวกว่าที่เราคิดนะ” อีธานพูดช้า ๆ ดวงตาสะท้อนเปลวไฟ เขาดูนิ่งมากกว่าปกติ“พูดเหมือนนักปรัชญาเลย” ไอล่าหัวเราะนิด ๆ พลางกอดเข่าตัวเอง “นายเคยมีคนรักไหม?”คำถามนั้นทำเอาอีธานชะงักไปครู่หนึ่ง เขาไม่ตอบในทันที ไอล่าเห็นเขาเงียบไปก็ก้มหน้าหลบสายตา รีบพูดกลบเก้อ “เอ่อ ขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะล้วงอะไรส่วนตัว”“มี…” เขาตอบเบา ๆ แต่ออกมาในโทนเสียงที่อบอุ่นอย่างประหลาด “เธอชื่อ…นีร่า”ไอล่าเงียบไปชั่วครู่ หัวใจเธอรู้ส