หมู่บ้านริมผา – เวลาสองยาม
เพลิงจากแนวคบไฟถูกจุดขึ้นรอบหมู่บ้าน เสียงเปลวไฟแตกพรึ่บพรับแข่งกับเสียงคลื่นที่เริ่มโหมกระหน่ำ พื้นดินสั่นเล็กๆ จนเด็กเล็กบางคนเริ่มร้องไห้ ไอล่าคาดแหลงไว้ข้างเอว เดินตรวจแนวป้องกันกับอีธาน ก่อนหยุดตรงจุดที่น้ำทะเลเริ่มซึมเข้ามา “ครีบพวกมันเร็วขึ้นเรื่อยๆ...” ไอล่าพึมพำ เสียงหวีดเบาๆ ดังแทรกอากาศ ราวเสียงไวโอลินขูดสายอย่างไม่ประสาน เสียงนั้นมาจากเรือดำที่ลอยเข้ามาใกล้จนเห็นได้ชัด — ไม่มีคนขับ ไม่มีเสียงฝีพาย แต่ค่อยๆ เคลื่อนเข้าหาฝั่งเหมือนถูกดูดเข้ามา ทันใดนั้น เสียงคล้ายแตรเป่า — แต่ทุ้มต่ำและสะท้อนก้องเหมือนเปลือกหอยยักษ์ — ดังขึ้นจากทะเล “พวกมันเริ่มพิธีแล้ว!” อีธานร้อง “ถ้าเราไม่ขัดจังหวะตอนนี้ มันจะเปิดประตูขึ้นมาจริงๆ!” “ประตูที่พวกเงือกเผ่าเก่าเคยผนึกไว้?” ไอล่าขมวดคิ้ว อีธานไม่ตอบ แต่วิ่งไปหยิบคันศรประดิษฐ์พิเศษจากศาลาไม้ที่เก็บอาวุธกลางหมู่บ้าน หัวลูกศรทำจากหินสีฟ้า...เป็นของที่นีร่าเคยทิ้งไว้ เขาหันไปหาไอล่า “ถ้านีร่ายังอยู่ เธอคงรู้ว่าจะทำยังไง...แต่ตอนนี้เราต้องลองเสี่ยง” ไอล่าหยิบคันธนูขึ้นมา “งั้นยิงไปที่เรือนั่นเลย?” อีธานพยักหน้า ฟิ้ว! ลูกศรถูกยิงออกจากหอคอยไม้ พุ่งทะลุอากาศไปยังเรือดำ — พริบตาก่อนจะถึงตัวเป้า คลื่นรอบเรือพลันกระเพื่อมรุนแรง เงาคล้ายแขนปลาขนาดมหึมาวูบขึ้นมาบังลูกศร แล้วขยี้มันหายไปในทะเล “ไม่ง่ายเลยใช่ไหมล่ะ...” ไอล่าพึมพำ --- เมืองเซนเทีย – ยามรุ่ง แสงอรุณยังไม่แตะขอบฟ้า แต่นีน่าก็สวมเสื้อคลุมแล้วออกเดินพร้อมดรานไปยังหอสมุดเวทเก่าใกล้ประตูเมือง พวกเขาต้องการคำตอบ...เกี่ยวกับเสียงเรียกนั้น “เราต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับ ‘เลือดเงือก’ กับ ‘ประตูใต้บ่อน้ำ’” นีน่าบอก “และถ้าเป็นอย่างที่หญิงชราว่าจริงๆ — เจ้าคือผู้รักษาสมดุลคนใหม่” ดรานพูดเบาๆ นีน่าหยุดเดิน หันไปสบตาเขา “นายจะอยู่ข้างฉันใช่ไหม?” ดรานไม่ตอบ แต่ยื่นมือให้เธอจับ แล้วพยักหน้า ตรอกเวทมนตร์ยามรุ่งเช้าสงบผิดปกติ นีร่ากับดรานเดินตามลวดลายบนแผ่นผ้าลินินที่ปรากฏใต้แสงจันทร์เมื่อคืน ตอนนี้พวกมันกลับเลือนหายไป เหลือเพียงรอยจางๆ คล้ายเส้นเลือดบนผืนผ้า "นี่มัน...ทางไปใต้เมือง" ดรานพึมพำ ประตูที่พวกเขาตามหาอยู่ใต้ศาลเจ้าเก่าที่ถูกปิดตายด้วยหินและเถาวัลย์ นีร่าคลำดูตามผนัง จนพบสลักวงเวทที่มีร่องน้ำบางๆ ผ่านตรงกลาง "ถ้าใส่นี่ลงไป..." เธอหยิบหินสีครามที่หญิงชราให้มา แล้วฝังลงในช่อง เสียงกลไกกึกก้องอย่างช้าๆ บานหินเลื่อนเปิด เผยให้เห็นบันไดหินทอดลึกลงไปในเงามืด --- ทางเดินใต้ดิน แสงคบไฟที่ดรานถือไว้สะท้อนลวดลายโบราณบนผนังหิน รูปวาดเงือก มนุษย์ และสิ่งมีชีวิตรูปร่างประหลาดรวมอยู่ในฉากเดียวกัน มีทั้งภาพการร่วมมือ...และการเข่นฆ่า "พวกมัน...อยู่ด้วยกันมาก่อน" นีร่าเอ่ยเบาๆ "แต่จบลงด้วยเลือด" ดรานเสริม เสียงน้ำหยดเป็นจังหวะแผ่วเบา พวกเขาเดินต่ออีกไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงครวญครางเบาๆ ดังสะท้อนจากห้องด้านข้าง "นั่นใคร?" นีร่ากระซิบ แต่ไม่ได้รอคำตอบ เธอรีบวิ่งไปยังประตูเหล็กที่แง้มอยู่ ดรานตามติด ในห้องหินนั้น พวกเขาเห็น เด็กหนุ่มคนหนึ่งถูกล่ามโซ่ติดผนัง สภาพโทรมจนดูแทบไม่เหมือนมนุษย์ ผิวซีดเผือดเหมือนคนไม่เคยเห็นแสงแดด เส้นผมเปียกติดหน้าผาก ใต้ผิวหนังแถวแขนและข้างขมับมี รอยเกล็ดเล็กๆ สีเทาน้ำเงิน เสียงแหบแห้งเล็ดลอดออกมา “...อย่าฆ่า...ข้า...” นีร่าก้าวเข้าไป “เงียบก่อน เราจะช่วยเจ้า” ดรานขยับมองไปรอบห้อง “เหมือนที่นี่เคยเป็นห้องทดลอง...” นีร่าก้มมองเด็กหนุ่ม พูดช้าๆ “เจ้าชื่ออะไร?” เด็กหนุ่มกระพริบตาช้าๆ แล้วตอบเบาเกือบไม่เป็นเสียง “.. นีร่าใช้มีดสั้นตัดโซ่ ก่อนจะช่วยพยุงคาเอลออกมาจากห้อง เขาตัวเบาเหมือนจะหลุดมือ — แทบไม่มีแรงเดิน “ทำไมเขาถึงรอดอยู่คนเดียว?” ดรานถามพลางช่วยพยุงอีกข้าง “บางที...เพราะเขายังมีสำนึกมนุษย์อยู่” นีร่ากระซิบ คาเอลพูดขึ้นอย่างยากลำบาก “ข้า...ไม่ได้เกิดเป็นอย่างนี้...ข้าเคยเป็นชาวประมง...จนกระทั่ง...มีบางอย่าง...เรียกข้าเข้าไปในทะเล...” เขาไอแรงก่อนจะพูดต่อ “จากนั้น...ร่างข้าเริ่มเปลี่ยน...พวกเขา...จับข้ามาไว้ที่นี่ บอกว่าจะคืนสมดุลโดยใช้เลือดของข้า...” นีร่ากับดรานสบตากัน “ใครคือ ‘พวกเขา’?” ดรานถามทันที คาเอลกัดฟันแน่น “พวกผู้รักษากฎ...หรืออย่างที่พวกเขาเรียกตัวเอง” --- เส้นทางที่เปลี่ยนไป เมื่อทั้งสามคนออกจากห้องทดลองลับ และเดินต่อไปตามแผนที่ เส้นทางใต้ดินเริ่มมีสัญลักษณ์แปลกตา — เหมือนใครบางคนใช้เลือดวาดมันไว้ตามผนัง นีร่าหยุดเดิน “ทางนี้ไม่ใช่แค่ทางลับ...แต่มันเป็นเส้นทางที่ใครบางคนเตรียมไว้เพื่อเปิดประตูอีกครั้ง” คาเอลเงยหน้าขึ้นมามอง “ข้าเคยได้ยินพวกเขาพูด... ‘คืนชีวิตให้แก่ผู้หลับไหลใต้เกลียวคลื่น’ ” ดรานหน้าซีดลงเล็กน้อย “หมายถึง...พวกกลายพันธุ์ที่หลับใหล?” นีร่าพูดเสียงหนัก “หรือไม่ก็สิ่งที่อยู่ลึกยิ่งกว่าพวกมัน”อุโมงค์หินใต้ดินคดเคี้ยวและแคบจนแทบต้องคลาน รอยสลักเวทมนตร์เรืองแสงสีน้ำเงินริบหรี่เป็นระยะ แสงจากเปลวไฟพกพาทำให้เงาทั้งสามยาวยืดบนผนังเหมือนปีศาจในตำนานคาเอลหอบเบาๆ ขณะคลานตามหลังดราน “อย่าเข้าใจผิดนะ ข้าไม่กลัวที่มืด...แค่ไม่ค่อยถูกกับที่ที่ มีอะไรดุกว่าข้าอยู่ข้างหน้า เท่านั้นเอง”“เงียบหน่อย” ดรานสบถเบาๆ “เสียงสะท้อนมันดังไกลมากที่นี่”“โอเค โอเค ข้าจะเงียบ…หลังจากบอกว่าเข่าข้าไปบี้หอยที่พื้นนี่เข้าแล้วแน่ๆ มันแหลมเหมือนมีความแค้น!”นีร่าอดหัวเราะไม่ได้ “นี่ถ้าติดเกราะเหมือนเงือกที่เมืองใต้น้ำ คงรอดหอยได้ล่ะมั้ง”คาเอลยักคิ้วให้ทั้งคู่ แม้ในความมืด “พวกนั้นเกล็ดหนา ฉันแค่...บางกว่า นุ่มกว่า เรียกได้ว่าเป็นเงือกฉบับขนมปังปิ้ง”ดรานหลุดขำจมูก “เงือกขนมปังปิ้งเนี่ยนะ”“ใช่ และขนมปังปิ้งจะพาคุณรอดจากความตายได้ทันใดนั้น แผ่นหินใต้เท้าพังครืดลง! ทั้งสามร่วงลงไปในโพรงเบื้องล่าง ก่อนจะกระแทกพื้นน้ำตื้นเสียงดัง ซ่า!นีร่าดีดตัวลุกขึ้นก่อน มือลูบน้ำออกจากตา “ทุกคนปลอดภัยไหม!?”“ขาอยู่ แขนอยู่” ดรานคราง“ข้าเจอน้ำ...แล้วก็หอยอีก” คาเอลพูดพลางดีดเปลือกหอยออกจากคอเสื้อ “เอาจริงนะ—ข้าเริ่มคิด
ทางเดินหินแคบเริ่มกว้างออกเป็นโถงใต้ดินสูง เสาแกะสลักเป็นรูปคล้ายสัตว์ทะเลยักษ์เรียงรายอยู่สองข้าง เสียงหยดน้ำสะท้อนก้องคล้ายเสียงหัวใจเต้นช้าๆ ลึกลงไปในพื้นดินคาเอลเดินช้าๆ พิงไหล่นีร่า บางครั้งเขาสะดุดเพราะบาดแผลที่ยังไม่หาย ดรานเดินนำ ถือคบไฟไว้ในมือแต่แล้ว...พรึ่บ!เปลวไฟดับลงกะทันหัน เหลือเพียงความมืดสนิทและลมเย็นเฉียบพัดผ่านเสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้นจากรอบทิศ ก่อนที่แสงจากโคมเวทมนตร์สีน้ำเงินจะลอยขึ้นเป็นวงรอบตัวพวกเขา ส่องให้เห็นร่าง บุรุษและสตรีในผ้าคลุมสีเทาอมน้ำเงิน หน้ากากเรียบไร้อารมณ์ ตรงกลางหน้าผากมีเครื่องหมายสลักเป็นเกล็ดปลากลับหัว“หยุดอยู่ตรงนั้น” เสียงหนึ่งกล่าว—ราบเรียบแต่น่าเกรงขามดรานชักดาบ แต่มือแข็งค้างกลางอากาศ ราวกับถูกตรึงไว้ด้วยเวทบางอย่าง นีร่าก้าวไปขวางหน้า“เรามาเพื่อตามหาความจริง ไม่ได้หมายจะทำลายอะไรทั้งนั้น!”ชายผู้สวมหน้ากากยกมือขึ้น—และพื้นใต้เท้าก็เปิดวูบ---ห้องขังใต้โถงพิพากษาแสงเพลิงเย็นสีฟ้าจุดขึ้นตามซอกหิน พวกเขาถูกขังในห้องหินทรงกลม มีประตูเหล็กสูงกว่าเกือบสามเมตร คาถาป้องกันซับซ้อนจนดรานไม่กล้าแตะต้องคาเอลนั่งซบผนัง ดวงตาหลับลงครู่หนึ่ง
หมู่บ้านริมผา – เวลาสองยามเพลิงจากแนวคบไฟถูกจุดขึ้นรอบหมู่บ้าน เสียงเปลวไฟแตกพรึ่บพรับแข่งกับเสียงคลื่นที่เริ่มโหมกระหน่ำ พื้นดินสั่นเล็กๆ จนเด็กเล็กบางคนเริ่มร้องไห้ไอล่าคาดแหลงไว้ข้างเอว เดินตรวจแนวป้องกันกับอีธาน ก่อนหยุดตรงจุดที่น้ำทะเลเริ่มซึมเข้ามา“ครีบพวกมันเร็วขึ้นเรื่อยๆ...” ไอล่าพึมพำเสียงหวีดเบาๆ ดังแทรกอากาศ ราวเสียงไวโอลินขูดสายอย่างไม่ประสาน เสียงนั้นมาจากเรือดำที่ลอยเข้ามาใกล้จนเห็นได้ชัด — ไม่มีคนขับ ไม่มีเสียงฝีพาย แต่ค่อยๆ เคลื่อนเข้าหาฝั่งเหมือนถูกดูดเข้ามาทันใดนั้น เสียงคล้ายแตรเป่า — แต่ทุ้มต่ำและสะท้อนก้องเหมือนเปลือกหอยยักษ์ — ดังขึ้นจากทะเล“พวกมันเริ่มพิธีแล้ว!” อีธานร้อง “ถ้าเราไม่ขัดจังหวะตอนนี้ มันจะเปิดประตูขึ้นมาจริงๆ!”“ประตูที่พวกเงือกเผ่าเก่าเคยผนึกไว้?” ไอล่าขมวดคิ้วอีธานไม่ตอบ แต่วิ่งไปหยิบคันศรประดิษฐ์พิเศษจากศาลาไม้ที่เก็บอาวุธกลางหมู่บ้าน หัวลูกศรทำจากหินสีฟ้า...เป็นของที่นีร่าเคยทิ้งไว้เขาหันไปหาไอล่า “ถ้านีร่ายังอยู่ เธอคงรู้ว่าจะทำยังไง...แต่ตอนนี้เราต้องลองเสี่ยง”ไอล่าหยิบคันธนูขึ้นมา “งั้นยิงไปที่เรือนั่นเลย?”อีธานพยักหน้าฟิ้ว!ลูกศ
เปลวไฟจากคบไฟกระพริบสั่นไหวตามแรงลมทะเล ชาวบ้านกำลังช่วยกันกางแผงไม้เสริมแนวป้องกันรอบหมู่บ้าน หลายคนขุดดินทำคูน้ำหรือผูกตาข่ายลวดไว้กับทุ่นลอยตามแนวชายป่าไอล่าใช้มีดเล็กฝนปลายไม้แหลมอยู่ตรงลานหน้าบ้านอีธาน เสียงขูดเบาๆ ฟังแล้วเหมือนเสียงลมหอบ“ข้างศาลนั่น มีอะไรไหม?” เธอถามขณะตัดไม้โดยไม่มองหน้าเขาอีธานเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบ “มีเศษเปลือกหอย...แบบที่ไม่ควรอยู่บนฝั่ง และก็มีสิ่งนี้”เขายื่นชิ้นไม้แตกหักที่มีลวดลายแกะสลักคล้ายเกล็ดปลามนุษย์ บางส่วนถูกเผาจนดำ ไอล่ารับมาแล้วขมวดคิ้ว“นี่เป็นสัญลักษณ์ของเทพแห่งสมดุล” เธอพึมพำ “แต่กลับหัว”“เหมือนมีใครเจตนาให้คำอวยพรกลับกลายเป็นคำสาป” อีธานว่าเงียบไปชั่วครู่ก่อนที่เสียงฝีเท้าเบาๆ จะดังขึ้นจากแนวพุ่มไม้เด็กชายตัวเล็กๆ วิ่งเข้ามาหอบหายใจ หน้าเปื้อนฝุ่นดิน“อีธาน! ข้า...ข้าฝันแปลกๆ”อีธานลุกขึ้นทันที “ฝันอะไร ไค?”เด็กชายชื่อไคส่ายหน้าแล้วพูดเสียงสั่น “มีหญิงคนหนึ่ง...ผมยาวถึงเอว ตัวสีน้ำเงินเหมือนเงาในน้ำ เธอร้องเพลงเรียกข้า บอกให้...บอกให้กลับไปที่ทะเล”ไอล่ากับอีธานสบตากันโดยไม่พูด เด็กชายยังพูดไม่หยุด“ข้าตื่นขึ้นมาเจอน้ำเปียกที่ปลา
เสียงฝีเท้าดังสวบสาบของไอล่าหยุดลงหน้าประตูไม้ผุบ้านหลังหนึ่งที่ปลายหมู่บ้าน ท่ามกลางแสงยามเย็นสีทองอ่อน เธอยืนมองแผ่นไม้ที่เคยมีตราครอบครัวตรึงอยู่ แต่ตอนนี้เหลือแค่รอยไหม้ดำสนิทเป็นรูปนิ้วมือทั้งห้า“ที่นี่มันเคย...?” ไอล่าถามเสียงเบาอีธานพยักหน้า “บ้านของฉันเอง ถูกเผาเมื่อห้าปีก่อน ตอนที่พวกโจรสลัดบุกมาปล้นครั้งใหญ่”ไอล่าหยุดหายใจไปครู่หนึ่ง แล้วก้มหน้าลงช้าๆ “ขอโทษที่ถาม...”“ไม่เป็นไร ฉันชินแล้ว” เขายิ้มบางๆอย่างฝืน ก่อนหันกลับเดินไปยังลานกลางหมู่บ้านชาวบ้านเริ่มออกมารวมตัวกันหลังเสียงระฆังเตือนภัยเงียบสงบลง เด็กๆ วิ่งเล่นกันตามซอกทางแคบที่ปูด้วยหินเรียงตัวไม่เสมอ ผู้ใหญ่ต่างจับกลุ่มกระซิบกระซาบถึงข่าวลือเรื่องเรือโจรสลัดที่มีครีบปลาแหลมยื่นออกจากใต้ท้องเรือ“พวกมันไม่ใช่มนุษย์แล้ว...” ชาวประมงแก่คนหนึ่งกระซิบ “ฉันเห็นเองกับตา! มันว่ายอยู่ใต้น้ำ แล้วขึ้นมายืนบนเรือเหมือนผีทะเล!”“บ้าแล้ว แกเมาเหล้าต่างหาก!” ชาวบ้านอีกคนแย้ง แต่ก็ไม่มีใครหัวเราะตาม ทุกคนสีหน้าหนักเครียด ไม่เหมือนครั้งก่อนจู่ๆ เสียงเคร้งคร้างของโลหะก็ดังขึ้นที่ชายป่าด้านนอกหมู่บ้าน แล้วมีใครบางคนเดินโผล่ออกมาจา
กลางคืนในหมู่บ้านชาวประมงที่พักชั่วคราวของพวกอีธาน ทะเลเบื้องหน้าเงียบสงัด ลมพัดโชยกลิ่นเค็มของเกลือ อีธานนั่งอยู่นิ่ง ๆ ริมฝั่ง จุดไฟไว้ข้างตัว เสียงเปลวไม้แตกดังเบา ๆ เคล้ากับเสียงคลื่นซัดฝั่งที่เป็นจังหวะสม่ำเสมอ“ยังไม่หลับเหรอ?” ไอล่าเดินเข้ามาช้า ๆ ชุดของเธอเปียกน้ำเล็กน้อย ดูเหมือนเพิ่งล้างตัวจากทะเลอีธานหันไปมองแล้วผงกหัวให้ เขาเคลื่อนตัวออกเล็กน้อยเป็นเชิงชวนให้นั่งด้วยกัน “นอนไม่หลับเหมือนกันเหรอ?”“ก็ใช่…” ไอล่าพูดเสียงเบา เธอนั่งลงข้าง ๆ ห่างจากเขานิดหน่อย “วันนี้ทั้งวันมันเงียบแปลก ๆ เหมือนพายุจะมา...แต่พอเงยหน้ามองท้องฟ้า กลับไม่มีเมฆเลย”“พายุที่เราไม่เห็น… มันน่ากลัวกว่าที่เราคิดนะ” อีธานพูดช้า ๆ ดวงตาสะท้อนเปลวไฟ เขาดูนิ่งมากกว่าปกติ“พูดเหมือนนักปรัชญาเลย” ไอล่าหัวเราะนิด ๆ พลางกอดเข่าตัวเอง “นายเคยมีคนรักไหม?”คำถามนั้นทำเอาอีธานชะงักไปครู่หนึ่ง เขาไม่ตอบในทันที ไอล่าเห็นเขาเงียบไปก็ก้มหน้าหลบสายตา รีบพูดกลบเก้อ “เอ่อ ขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะล้วงอะไรส่วนตัว”“มี…” เขาตอบเบา ๆ แต่ออกมาในโทนเสียงที่อบอุ่นอย่างประหลาด “เธอชื่อ…นีร่า”ไอล่าเงียบไปชั่วครู่ หัวใจเธอรู้ส