ทางเดินหินแคบเริ่มกว้างออกเป็นโถงใต้ดินสูง เสาแกะสลักเป็นรูปคล้ายสัตว์ทะเลยักษ์เรียงรายอยู่สองข้าง เสียงหยดน้ำสะท้อนก้องคล้ายเสียงหัวใจเต้นช้าๆ ลึกลงไปในพื้นดิน
คาเอลเดินช้าๆ พิงไหล่นีร่า บางครั้งเขาสะดุดเพราะบาดแผลที่ยังไม่หาย ดรานเดินนำ ถือคบไฟไว้ในมือ แต่แล้ว... พรึ่บ! เปลวไฟดับลงกะทันหัน เหลือเพียงความมืดสนิทและลมเย็นเฉียบพัดผ่าน เสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้นจากรอบทิศ ก่อนที่แสงจากโคมเวทมนตร์สีน้ำเงินจะลอยขึ้นเป็นวงรอบตัวพวกเขา ส่องให้เห็นร่าง บุรุษและสตรีในผ้าคลุมสีเทาอมน้ำเงิน หน้ากากเรียบไร้อารมณ์ ตรงกลางหน้าผากมีเครื่องหมายสลักเป็นเกล็ดปลากลับหัว “หยุดอยู่ตรงนั้น” เสียงหนึ่งกล่าว—ราบเรียบแต่น่าเกรงขาม ดรานชักดาบ แต่มือแข็งค้างกลางอากาศ ราวกับถูกตรึงไว้ด้วยเวทบางอย่าง นีร่าก้าวไปขวางหน้า “เรามาเพื่อตามหาความจริง ไม่ได้หมายจะทำลายอะไรทั้งนั้น!” ชายผู้สวมหน้ากากยกมือขึ้น—และพื้นใต้เท้าก็เปิดวูบ --- ห้องขังใต้โถงพิพากษา แสงเพลิงเย็นสีฟ้าจุดขึ้นตามซอกหิน พวกเขาถูกขังในห้องหินทรงกลม มีประตูเหล็กสูงกว่าเกือบสามเมตร คาถาป้องกันซับซ้อนจนดรานไม่กล้าแตะต้อง คาเอลนั่งซบผนัง ดวงตาหลับลงครู่หนึ่ง “ข้ารู้จักที่นี่...ที่นี่คือ ‘ห้องเงา’ ที่พวกเขาใช้ตัดสินเงือกและมนุษย์ที่ ‘กลายพันธุ์’ เกินควร” นีร่าหันขวับ “หมายความว่ายังมีคนแบบเจ้ามาก่อน?” “มี...แต่ไม่รอด” เสียงประตูเหล็กดัง ครืด... หญิงชราผ้าคลุมสีหม่นที่เคยให้แผนที่ปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน — ไม่มีผู้คุม ไม่มีกุญแจ แต่เธอก้าวเข้ามาอย่างกับเป็นเจ้าของที่นี่ “เจ้าทั้งสามคน...มาถึงเร็วกว่าที่คิด” นีร่าลุกขึ้น “คุณส่งเรามาที่นี่—แล้วปล่อยให้โดนจับ?” หญิงชราหัวเราะแผ่ว “ถ้าไม่โดนขัง เจ้าจะได้ยิน ‘ความจริง’ หรือ?” ดรานก้าวเข้าขวาง “ความจริงอะไร?” เธอเดินเข้ามาช้าๆ เอามือวางบนผนังหิน “ที่นี่เคยเป็นวิหารของผู้เฝ้าสมดุลจริง...แต่เมื่อเวลาผ่านไป มันกลายเป็นเรือนจำของผู้ที่ ไม่ยอมเลือกข้าง” หญิงชราเงยมองนีร่า ดวงตาขุ่นมัวแต่แฝงประกายลึก “เจ้า...คือนางผู้สืบสายเลือดเงือกสายบริสุทธิ์ และผู้ถือครองพลังมนุษย์ เจ้าไม่ได้มาเพื่อ ‘หลบหนี’ หรือ ‘ค้นหา’ เจ้าถูกส่งมาเพื่อตัดสิน” นีร่ากลืนน้ำลาย รู้สึกเหมือนเสียงหัวใจของตนดังไปทั่วห้อง “ใคร...ส่งฉันมา?” หญิงชราหยิบเหรียญกลมเล็กๆ จากอกเสื้อ เหรียญนั้นเหมือนกับลวดลายบนศิลาที่บ่อน้ำ — สัญลักษณ์ของ ประตูแห่งการเลือก “เทพแห่งสมดุล...องค์จริง ไม่เคยหายไปจากโลกนี้ เขาเพียงหลับใหลอยู่ใต้เกลียวคลื่น รอผู้ที่กล้าจะเลือกระหว่าง ‘การรักษา’ หรือ ‘การสลาย’” คาเอลลืมตาขึ้น มองเหรียญอย่างตกตะลึง “นั่น...ข้าเคยเห็นในความฝัน” หญิงชราหันมาทางเขา “เจ้า...คือเสียงสะท้อนของผู้ที่หลุดจากเส้นทางแห่งเผ่าพันธุ์ และเพราะเจ้ายังมีหัวใจมนุษย์ เจ้าจึงรอดจากการเปลี่ยนแปลงสมบูรณ์” นีร่าถามเบาๆ “แล้วฉัน...ต้องเลือกอะไร?” หญิงชราก้าวออกจากเงามืด เผยให้เห็นด้านในผ้าคลุม — แผงเกล็ดเงือกเก่าๆ ฝังตามแนวแขนเหมือนรอยแผล “ข้าก็เคยเป็นเหมือนเจ้า...แต่ข้าไม่เลือก ข้าหนีจนกระทั่งกลายเป็นเเบบนี้” เธอหยิบกุญแจโลหะเล็กๆ จากพุ่มผมสีขาว แล้ววางมันในมือนีร่า “เมื่อประตูเปิดอีกครั้ง เจ้าเท่านั้นที่ต้องเป็นผู้ตัดสิน ว่าจะเปิด...หรือปิดตลอดไป” กุญแจเล็กในมือนีร่าส่องประกายวาบเมื่อสัมผัสแสงเพลิงสีฟ้าภายในห้องขัง เสียง “คลิก” เบาๆ ดังขึ้นเมื่อนางเสียบมันเข้ากับแผ่นหินตรงผนัง แทนที่จะไขกลอนเหล็ก—แผ่นหินทั้งแผ่นกลับ ถอยหลังและเลื่อนเปิด เผยทางเดินลับที่เต็มไปด้วยไอเย็น “ไป” นีร่ากระซิบ ดรานช่วยพยุงคาเอลแล้วพากันวิ่งเข้าไป ทางเดินนั้นแคบและลื่น เหมือนถูกตัดผ่านชั้นหินลึกมานานหลายร้อยปี ตะไคร่น้ำเรืองแสงเกาะตามผนังเป็นระยะ เสียงลมหายใจของทั้งสามดังชัดท่ามกลางความเงียบ ผ่านไปไม่นาน พวกเขาก็โผล่ออกสู่ห้องโถงอีกแห่งหนึ่ง — กว้างและเย็นจัด จนเห็นลมหายใจเป็นไอ ตรงกลางห้อง...มีแท่นหินกลมขนาดใหญ่ และ ร่างบางในชุดเงินมุก นอนนิ่งอยู่บนนั้น ดรานหยุดเดินทันที “เงือก...?” “ไม่ใช่เงือกธรรมดา” คาเอลพูดเสียงเครือ “นั่นคือ...ราชินีของทะเล—องค์สุดท้ายก่อนหายสาบสูญ” นีร่าค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ ร่างนั้นแม้เย็นชืดแต่กลับไม่มีร่องรอยเน่าเปื่อย — ผิวเป็นประกายเงินแกมฟ้า เกล็ดละเอียดราวอัญมณีคลุมลำตัว มือทั้งสองกุมด้ามสามง่ามที่หักกลาง ดวงตาหลับพริ้ม — แต่บนหน้าผากมีรอยไหม้รูป ตรากลับหัวของเทพสมดุล “พวกผู้รักษากฎ...ทำสิ่งนี้?” ดรานพูดลอดไรฟัน นีร่าแตะปลายนิ้วที่หน้าผากราชินี — และในเสี้ยววินาที ภาพนิมิตพลันถาโถมเข้ามา --- นิมิตแห่งการล่มสลาย ทะเลแตกกระจายจากเสียงคำรามของบางสิ่งที่มองไม่เห็น ราชินีเงือกองค์นี้ยืนต่อหน้ากลุ่มผู้สวมหน้ากาก พวกเขาเรียกร้องให้เธอ “เลือกฝั่ง” — สนับสนุนการปิดประตูระหว่างโลก เธอปฏิเสธ เพราะรู้ว่า...การปิดประตูจะทำลายดินแดนใต้น้ำตลอดกาล บทลงโทษจึงตามมา — ผนึกด้วยโลหิตและไฟ และก่อนที่เธอจะสิ้นใจ เธอกระซิบว่า... > “ผู้สืบสายของข้า...จงฟังเสียงคลื่นในตัวเจ้า — และเลือกด้วยหัวใจ ไม่ใช่ด้วยคำสั่งของใคร” --- กลับสู่ความจริง นีร่าผละออกจากร่างนั้น ดวงตาเบิกโพลง “เธอถูกฆ่าเพราะไม่เลือกสิ่งที่พวกเขาสั่ง...” เสียงแผ่วเบาราวกระซิบลอยมาในห้อง — เหมือนเสียงจากน้ำ > “นีร่า...เจ้ารู้แล้วว่าอะไรคือคำสาป และอะไรคือเจตจำนงของเรา” คาเอลชี้ไปที่ขอบแท่น “ดูนั่น” ใต้ร่างราชินี มีรอยสลักรูป แผนที่อีกชิ้น เชื่อมต่อระหว่าง ประตูใต้เมืองเซนเทีย กับ “โพรงหัวใจของท้องทะเล” — สถานที่ที่ยังไม่ถูกเปิดเผย นีร่ากำมือแน่น “เราต้องไปที่นั่น...ก่อนที่พวกเขาจะปิดประตูลงอีกครั้ง” เสียงฝีเท้าเริ่มดังขึ้นจากปลายทางเดิน พวกผู้รักษากฎเริ่มไล่ตาม ดรานกระชับดาบ “ต้องหนีไปให้ถึงจุดต่อไป—ไม่งั้นพวกมันจะฝังความจริงไว้ใต้ทะเลนี่อีกครั้ง!”อุโมงค์หินใต้ดินคดเคี้ยวและแคบจนแทบต้องคลาน รอยสลักเวทมนตร์เรืองแสงสีน้ำเงินริบหรี่เป็นระยะ แสงจากเปลวไฟพกพาทำให้เงาทั้งสามยาวยืดบนผนังเหมือนปีศาจในตำนานคาเอลหอบเบาๆ ขณะคลานตามหลังดราน “อย่าเข้าใจผิดนะ ข้าไม่กลัวที่มืด...แค่ไม่ค่อยถูกกับที่ที่ มีอะไรดุกว่าข้าอยู่ข้างหน้า เท่านั้นเอง”“เงียบหน่อย” ดรานสบถเบาๆ “เสียงสะท้อนมันดังไกลมากที่นี่”“โอเค โอเค ข้าจะเงียบ…หลังจากบอกว่าเข่าข้าไปบี้หอยที่พื้นนี่เข้าแล้วแน่ๆ มันแหลมเหมือนมีความแค้น!”นีร่าอดหัวเราะไม่ได้ “นี่ถ้าติดเกราะเหมือนเงือกที่เมืองใต้น้ำ คงรอดหอยได้ล่ะมั้ง”คาเอลยักคิ้วให้ทั้งคู่ แม้ในความมืด “พวกนั้นเกล็ดหนา ฉันแค่...บางกว่า นุ่มกว่า เรียกได้ว่าเป็นเงือกฉบับขนมปังปิ้ง”ดรานหลุดขำจมูก “เงือกขนมปังปิ้งเนี่ยนะ”“ใช่ และขนมปังปิ้งจะพาคุณรอดจากความตายได้ทันใดนั้น แผ่นหินใต้เท้าพังครืดลง! ทั้งสามร่วงลงไปในโพรงเบื้องล่าง ก่อนจะกระแทกพื้นน้ำตื้นเสียงดัง ซ่า!นีร่าดีดตัวลุกขึ้นก่อน มือลูบน้ำออกจากตา “ทุกคนปลอดภัยไหม!?”“ขาอยู่ แขนอยู่” ดรานคราง“ข้าเจอน้ำ...แล้วก็หอยอีก” คาเอลพูดพลางดีดเปลือกหอยออกจากคอเสื้อ “เอาจริงนะ—ข้าเริ่มคิด
ทางเดินหินแคบเริ่มกว้างออกเป็นโถงใต้ดินสูง เสาแกะสลักเป็นรูปคล้ายสัตว์ทะเลยักษ์เรียงรายอยู่สองข้าง เสียงหยดน้ำสะท้อนก้องคล้ายเสียงหัวใจเต้นช้าๆ ลึกลงไปในพื้นดินคาเอลเดินช้าๆ พิงไหล่นีร่า บางครั้งเขาสะดุดเพราะบาดแผลที่ยังไม่หาย ดรานเดินนำ ถือคบไฟไว้ในมือแต่แล้ว...พรึ่บ!เปลวไฟดับลงกะทันหัน เหลือเพียงความมืดสนิทและลมเย็นเฉียบพัดผ่านเสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้นจากรอบทิศ ก่อนที่แสงจากโคมเวทมนตร์สีน้ำเงินจะลอยขึ้นเป็นวงรอบตัวพวกเขา ส่องให้เห็นร่าง บุรุษและสตรีในผ้าคลุมสีเทาอมน้ำเงิน หน้ากากเรียบไร้อารมณ์ ตรงกลางหน้าผากมีเครื่องหมายสลักเป็นเกล็ดปลากลับหัว“หยุดอยู่ตรงนั้น” เสียงหนึ่งกล่าว—ราบเรียบแต่น่าเกรงขามดรานชักดาบ แต่มือแข็งค้างกลางอากาศ ราวกับถูกตรึงไว้ด้วยเวทบางอย่าง นีร่าก้าวไปขวางหน้า“เรามาเพื่อตามหาความจริง ไม่ได้หมายจะทำลายอะไรทั้งนั้น!”ชายผู้สวมหน้ากากยกมือขึ้น—และพื้นใต้เท้าก็เปิดวูบ---ห้องขังใต้โถงพิพากษาแสงเพลิงเย็นสีฟ้าจุดขึ้นตามซอกหิน พวกเขาถูกขังในห้องหินทรงกลม มีประตูเหล็กสูงกว่าเกือบสามเมตร คาถาป้องกันซับซ้อนจนดรานไม่กล้าแตะต้องคาเอลนั่งซบผนัง ดวงตาหลับลงครู่หนึ่ง
หมู่บ้านริมผา – เวลาสองยามเพลิงจากแนวคบไฟถูกจุดขึ้นรอบหมู่บ้าน เสียงเปลวไฟแตกพรึ่บพรับแข่งกับเสียงคลื่นที่เริ่มโหมกระหน่ำ พื้นดินสั่นเล็กๆ จนเด็กเล็กบางคนเริ่มร้องไห้ไอล่าคาดแหลงไว้ข้างเอว เดินตรวจแนวป้องกันกับอีธาน ก่อนหยุดตรงจุดที่น้ำทะเลเริ่มซึมเข้ามา“ครีบพวกมันเร็วขึ้นเรื่อยๆ...” ไอล่าพึมพำเสียงหวีดเบาๆ ดังแทรกอากาศ ราวเสียงไวโอลินขูดสายอย่างไม่ประสาน เสียงนั้นมาจากเรือดำที่ลอยเข้ามาใกล้จนเห็นได้ชัด — ไม่มีคนขับ ไม่มีเสียงฝีพาย แต่ค่อยๆ เคลื่อนเข้าหาฝั่งเหมือนถูกดูดเข้ามาทันใดนั้น เสียงคล้ายแตรเป่า — แต่ทุ้มต่ำและสะท้อนก้องเหมือนเปลือกหอยยักษ์ — ดังขึ้นจากทะเล“พวกมันเริ่มพิธีแล้ว!” อีธานร้อง “ถ้าเราไม่ขัดจังหวะตอนนี้ มันจะเปิดประตูขึ้นมาจริงๆ!”“ประตูที่พวกเงือกเผ่าเก่าเคยผนึกไว้?” ไอล่าขมวดคิ้วอีธานไม่ตอบ แต่วิ่งไปหยิบคันศรประดิษฐ์พิเศษจากศาลาไม้ที่เก็บอาวุธกลางหมู่บ้าน หัวลูกศรทำจากหินสีฟ้า...เป็นของที่นีร่าเคยทิ้งไว้เขาหันไปหาไอล่า “ถ้านีร่ายังอยู่ เธอคงรู้ว่าจะทำยังไง...แต่ตอนนี้เราต้องลองเสี่ยง”ไอล่าหยิบคันธนูขึ้นมา “งั้นยิงไปที่เรือนั่นเลย?”อีธานพยักหน้าฟิ้ว!ลูกศ
เปลวไฟจากคบไฟกระพริบสั่นไหวตามแรงลมทะเล ชาวบ้านกำลังช่วยกันกางแผงไม้เสริมแนวป้องกันรอบหมู่บ้าน หลายคนขุดดินทำคูน้ำหรือผูกตาข่ายลวดไว้กับทุ่นลอยตามแนวชายป่าไอล่าใช้มีดเล็กฝนปลายไม้แหลมอยู่ตรงลานหน้าบ้านอีธาน เสียงขูดเบาๆ ฟังแล้วเหมือนเสียงลมหอบ“ข้างศาลนั่น มีอะไรไหม?” เธอถามขณะตัดไม้โดยไม่มองหน้าเขาอีธานเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบ “มีเศษเปลือกหอย...แบบที่ไม่ควรอยู่บนฝั่ง และก็มีสิ่งนี้”เขายื่นชิ้นไม้แตกหักที่มีลวดลายแกะสลักคล้ายเกล็ดปลามนุษย์ บางส่วนถูกเผาจนดำ ไอล่ารับมาแล้วขมวดคิ้ว“นี่เป็นสัญลักษณ์ของเทพแห่งสมดุล” เธอพึมพำ “แต่กลับหัว”“เหมือนมีใครเจตนาให้คำอวยพรกลับกลายเป็นคำสาป” อีธานว่าเงียบไปชั่วครู่ก่อนที่เสียงฝีเท้าเบาๆ จะดังขึ้นจากแนวพุ่มไม้เด็กชายตัวเล็กๆ วิ่งเข้ามาหอบหายใจ หน้าเปื้อนฝุ่นดิน“อีธาน! ข้า...ข้าฝันแปลกๆ”อีธานลุกขึ้นทันที “ฝันอะไร ไค?”เด็กชายชื่อไคส่ายหน้าแล้วพูดเสียงสั่น “มีหญิงคนหนึ่ง...ผมยาวถึงเอว ตัวสีน้ำเงินเหมือนเงาในน้ำ เธอร้องเพลงเรียกข้า บอกให้...บอกให้กลับไปที่ทะเล”ไอล่ากับอีธานสบตากันโดยไม่พูด เด็กชายยังพูดไม่หยุด“ข้าตื่นขึ้นมาเจอน้ำเปียกที่ปลา
เสียงฝีเท้าดังสวบสาบของไอล่าหยุดลงหน้าประตูไม้ผุบ้านหลังหนึ่งที่ปลายหมู่บ้าน ท่ามกลางแสงยามเย็นสีทองอ่อน เธอยืนมองแผ่นไม้ที่เคยมีตราครอบครัวตรึงอยู่ แต่ตอนนี้เหลือแค่รอยไหม้ดำสนิทเป็นรูปนิ้วมือทั้งห้า“ที่นี่มันเคย...?” ไอล่าถามเสียงเบาอีธานพยักหน้า “บ้านของฉันเอง ถูกเผาเมื่อห้าปีก่อน ตอนที่พวกโจรสลัดบุกมาปล้นครั้งใหญ่”ไอล่าหยุดหายใจไปครู่หนึ่ง แล้วก้มหน้าลงช้าๆ “ขอโทษที่ถาม...”“ไม่เป็นไร ฉันชินแล้ว” เขายิ้มบางๆอย่างฝืน ก่อนหันกลับเดินไปยังลานกลางหมู่บ้านชาวบ้านเริ่มออกมารวมตัวกันหลังเสียงระฆังเตือนภัยเงียบสงบลง เด็กๆ วิ่งเล่นกันตามซอกทางแคบที่ปูด้วยหินเรียงตัวไม่เสมอ ผู้ใหญ่ต่างจับกลุ่มกระซิบกระซาบถึงข่าวลือเรื่องเรือโจรสลัดที่มีครีบปลาแหลมยื่นออกจากใต้ท้องเรือ“พวกมันไม่ใช่มนุษย์แล้ว...” ชาวประมงแก่คนหนึ่งกระซิบ “ฉันเห็นเองกับตา! มันว่ายอยู่ใต้น้ำ แล้วขึ้นมายืนบนเรือเหมือนผีทะเล!”“บ้าแล้ว แกเมาเหล้าต่างหาก!” ชาวบ้านอีกคนแย้ง แต่ก็ไม่มีใครหัวเราะตาม ทุกคนสีหน้าหนักเครียด ไม่เหมือนครั้งก่อนจู่ๆ เสียงเคร้งคร้างของโลหะก็ดังขึ้นที่ชายป่าด้านนอกหมู่บ้าน แล้วมีใครบางคนเดินโผล่ออกมาจา
กลางคืนในหมู่บ้านชาวประมงที่พักชั่วคราวของพวกอีธาน ทะเลเบื้องหน้าเงียบสงัด ลมพัดโชยกลิ่นเค็มของเกลือ อีธานนั่งอยู่นิ่ง ๆ ริมฝั่ง จุดไฟไว้ข้างตัว เสียงเปลวไม้แตกดังเบา ๆ เคล้ากับเสียงคลื่นซัดฝั่งที่เป็นจังหวะสม่ำเสมอ“ยังไม่หลับเหรอ?” ไอล่าเดินเข้ามาช้า ๆ ชุดของเธอเปียกน้ำเล็กน้อย ดูเหมือนเพิ่งล้างตัวจากทะเลอีธานหันไปมองแล้วผงกหัวให้ เขาเคลื่อนตัวออกเล็กน้อยเป็นเชิงชวนให้นั่งด้วยกัน “นอนไม่หลับเหมือนกันเหรอ?”“ก็ใช่…” ไอล่าพูดเสียงเบา เธอนั่งลงข้าง ๆ ห่างจากเขานิดหน่อย “วันนี้ทั้งวันมันเงียบแปลก ๆ เหมือนพายุจะมา...แต่พอเงยหน้ามองท้องฟ้า กลับไม่มีเมฆเลย”“พายุที่เราไม่เห็น… มันน่ากลัวกว่าที่เราคิดนะ” อีธานพูดช้า ๆ ดวงตาสะท้อนเปลวไฟ เขาดูนิ่งมากกว่าปกติ“พูดเหมือนนักปรัชญาเลย” ไอล่าหัวเราะนิด ๆ พลางกอดเข่าตัวเอง “นายเคยมีคนรักไหม?”คำถามนั้นทำเอาอีธานชะงักไปครู่หนึ่ง เขาไม่ตอบในทันที ไอล่าเห็นเขาเงียบไปก็ก้มหน้าหลบสายตา รีบพูดกลบเก้อ “เอ่อ ขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะล้วงอะไรส่วนตัว”“มี…” เขาตอบเบา ๆ แต่ออกมาในโทนเสียงที่อบอุ่นอย่างประหลาด “เธอชื่อ…นีร่า”ไอล่าเงียบไปชั่วครู่ หัวใจเธอรู้ส