ขณะที่ทะเลมรกตค่อยๆ ห่างออกไปข้างหลัง ไรอัน ลีอา เอลเลียต และอาเรียน่าต่างรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น การเดินทางที่เต็มไปด้วยอันตรายเริ่มทิ้งร่องรอยแห่งความเหนื่อยล้าให้พวกเขา ทุกคนไม่พูดอะไรมาก เพียงแค่เดินหน้าต่อไปโดยมีความหวังว่าพวกเขาจะได้พักในไม่ช้า
ในที่สุดพวกเขาก็ถึงฝั่ง พวกเขาได้พบกับสถานที่แห่งหนึ่งที่มีทุ่งดอกไม้สีสันสวยงามมากมาย สถานที่นี้ถูกปกคลุมด้วยดอกไม้หลากสีที่ชูช่อบานสะพรั่งไปทั่ว ทุ่งดอกไม้นั้นดูเงียบสงบและน่าหลงใหลจนเหมือนภาพวาดที่เต็มไปด้วยสีสันที่สดใส พวกเขาต่างมองไปรอบๆ ด้วยความประหลาดใจและความยินดี ที่นี่ดูเหมือนจะเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการหยุดพักหลังจากการเดินทางที่ยากลำบาก “พี่ลีอา ดูนี่สิคะ” อาเรียน่าเรียกเสียงใส พลางจับจูงมือของลีอาให้เดินดูดอกไม้หลากสีเหล่านั้นอย่างร่าเริง ลีอาเดินตามเด็กน้อยพลางยิ้มอ่อน แต่ก็ดีแล้ว เธอชอบที่จะเห็นรอยยิ้มของเด็กสาวมากกว่าสีหน้าที่เป็นกังวลและหงอยเหงา ส่วนเอลเลียตและไรอันพากันเดินสำรวจทุ่งดอกไม้บริเวณนี้ เพื่อหาที่เหมาะๆทำที่ไว้นอนพัก เอลเลียตปล่อยเฟนิกซ์ให้บินออกหาอาหารและสำรวจบริเวณนี้จากมุมสูง ก่อนจะหันมาช่วยไรอันเตรียมของ และแล้วแสงสุดท้ายของวันก็ลาลับไป เอลเลียตก่อกองไฟขึ้น ขณะที่คนอื่นๆ เริ่มจัดเตรียมที่พักด้วยความเงียบสงบ ท้องฟ้ายามค่ำคืนค่อยๆ เปลี่ยนสีเป็นครามเข้ม ดวงดาวเริ่มปรากฏขึ้นทีละดวง ให้แสงสว่างที่อ่อนโยนและน่าหลงใหล “รู้สึกเหมือนนานมากแล้ว ที่ไม่ได้นั่งดูดาวแบบนี้” ลีอาเปรยขึ้น เธอนั่งเอนตัวไปข้างหลัง ทิ้งน้ำหนักไว้กับสองแขน แหงนหน้าทองท้องฟ้าที่ดารดาษไปด้วยกลุ่มดาว “ดูตรงนั้นสิ เจ้าเห็นไหม ที่สว่างกว่าดาวอื่นใด เจ้ารู้ไหมว่าชื่ออะไร” ไรอันที่นั่งชันเข่าขึ้นข้างหนึ่ง ชี้มือขึ้นไปบนท้องฟ้า ลีอามองหาอยู่สักครู่ จึงได้เห็น “นั่นไง ข้าเห็นแล้วๆ” เธอพูดด้วยความตื่นเต้น “แล้วมันชื่ออะไรหรอ” ไรอันมองมาทางลีอา “มันชื่อว่า…ดาวลีอา” ลีอาหันกลับมา เมื่อมองสบกับดวงตาของเขา ใจของเธอเต้นรัวเร็วราวกับจะกระโจนออกมานอกอก ไรอันโน้มตัวเข้าหาลีอา มือหนารวบเอวร่างแบบบางในขณะที่อีกมือก็เชยคางลีอาให้เชิดขึ้นรับจูบของเขา ริมฝีปากหนาบดเบียดกับริมฝีปางบางอย่างนุ่มนวล ปลายจมูกทั้งสองปัดป่ายกัน เรียวลิ้นร้อนของไรอันเกี่ยวกระหวัดรัดรึงลิ้นน้อยๆของลีอา เธอรู้สึกว่าส่วนลึกในตัวเริ่มเปียกชื้น สองมือเรียวสอดเข้าไปในเรือนผมของไรอัน ขยำเส้นผมของเขาตามแรงอารมณ์ของเธอ มือหนาเลื่อนลงต่ำไล่จากลำคอลงมาถึงเนินอก และเคล้นคลึงเม็ดบัวอย่างแผ่วเบา “อ๊ะ…” ลีอาครางเสียงแผ่ว เธอหายใจถี่รัว และเป็นฝ่ายรุกเข้าไปจูบไรอัน มือบางสอดเข้าไปสัมผัสกับกล้ามเนื้ออกตึงแน่น ไล้เรื่อยลงไปจนถึงส่วนสงวนที่แข็งจนดันกางเกงออกมา ไรอันไม่ยอมน้อยหน้า มือเขาล้วงเข้าไปขยำอกอวบอิ่มของลีอา เนื้อนุ่มเด้งหยุ่นพร้อมเม็ดบัวที่แข็งสู้นิ้ว “พี่ไรอัน พี่ลีอา มากินข้าวกันค่า” เสียงใสของอาเรียน่าดังขึ้นไกลๆ ไรอันตะโกนกลับไป เค้าค่อยๆละมือจากทรวงอกอิ่มอย่างเสียดาย ลีอารีบลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าและทรงผมให้เข้าที่ เธอรู้สึกร่างกายร้อนผ่าวโดยเฉพาะตรงใบหน้า ไรอันเห็นเช่นนั้น จึงรวบตัวเธอมากอด และกระซิบข้างหูน้อยๆว่า “ข้าว่าข้ารักเจ้าเข้าแล้ว” ไรอันผละออกมองตาลีอาหวานเชื่อม ก่อนจับมือเธอพาเดินกลับไปหาพวกพ้อง ตกดึก ขณะที่ทุกคนกำลังจะหลับ ดอกไม้ชนิดหนึ่งก็เริ่มเปิดกลีบของมัน ดอกไม้นี้มีชื่อว่า “ฝันราตรี” ซึ่งมีลักษณะพิเศษเป็นดอกไม้สีดำเข้มที่มีเส้นสายสีทองพันรอบกลีบดอก เมื่อมันบานเต็มที่ กลิ่นหอมหวานที่น่าหลงใหลก็เริ่มลอยฟุ้งไปในอากาศอย่างช้าๆกลิ่นของฝันราตรีนั้นไม่เหมือนกลิ่นใดๆ ที่พวกเขาเคยเจอ มันมีกลิ่นหอมที่ลุ่มลึกและซ่อนเร้นบางอย่าง ทุกคนที่สูดดมกลิ่นนั้นเข้าไปจะเริ่มเข้าสู่ห้วงฝันที่ลึกและหน่วงเหนี่ยว ห้วงฝันที่พวกเขาได้พบกับสิ่งที่พวกเขาปรารถนาที่สุดในชีวิต ไรอันเห็นตัวเองกลับมาในวัยเด็ก อยู่ในอ้อมกอดของแม่และพ่อ ครอบครัวที่เขาสูญเสียไปอย่างไม่มีวันหวนคืนกลับมาอีกครั้ง เขาได้ยินเสียงหัวเราะของน้องสาวและกลิ่นหอมของอาหารที่แม่เคยทำ ทุกอย่างดูสมบูรณ์แบบเหมือนวันเก่าๆ ที่เขาเคยฝันถึง ลีอาพบว่าตัวเองยืนอยู่ในทุ่งดอกไม้ที่เต็มไปด้วยสีสัน แต่ครั้งนี้เธอไม่ได้อยู่คนเดียว ไรอันยืนอยู่ข้างๆ เธอ ใบหน้าของเขาอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความรัก เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นจากมือของเขาที่จับมือเธอไว้ พวกเขายืนเคียงข้างกันในโลกที่ไร้ความขัดแย้งและความมืดมิด อาเรียน่าเห็นตัวเองอยู่กับพ่อแม่ พวกเขานอนกอดเธอไว้ตรงกลางเหมือนอย่างเคย แม่เล่านิทานให้เธอฟัง เสียงแม่ช่างละมุนละไม ส่วนพ่อก็จะคอยทำเสียงประกอบการเล่าของแม่ ขณะที่พวกเขาติดอยู่ในห้วงฝัน ดอกฝันราตรีก็เริ่มค่อยๆ กระชับพันธนาการของมัน หากพวกเขาไม่สามารถหลุดพ้นจากห้วงฝันนี้ได้ พวกเขาจะติดอยู่ในโลกแห่งความปรารถนาและจะไม่มีวันกลับมาสู่ความเป็นจริงได้อีกต่อไป ขณะที่เอลเลียตกำลังหลงอยู่ในฝันอันแสนสุขเช่นกัน เขาเริ่มสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่แปลกประหลาด ดวงดาวที่เคยส่องแสงในฝันเริ่มสลัวลง และเขาได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบาที่ไม่คุ้นเคย เสียงนั้นบอกให้เขา “ตื่นสิ อย่ายอมแพ้ต่อความฝัน สิ่งเหล่านี้มันไม่ใช่เรื่องจริง” เป็นเสียงที่แปลก แต่เต็มไปด้วยความจริงใจ เอลเลียตตระหนักได้ว่าพวกเขากำลังตกอยู่ในอันตราย เขาใช้พลังพิเศษที่ได้รับการฝึกฝนมาเพื่อเข้าถึงจิตใจของตนเองอีกครั้ง เขาเริ่มตระหนักได้ว่า ฝันนี้คือกับดักและเขาต้องหนีออกไป วิธีแก้พิษของฝันราตรีคือการรู้เท่าทันว่าโลกที่เห็นนั้นไม่ใช่ความจริง และต้องใช้พลังจิตใจในการตระหนักและหลุดออกจากห้วงฝันนั้น เอลเลียตจึงรวบรวมพลังใจทั้งหมดเพื่อแหกออกจากฝัน และในที่สุดเขาก็สามารถตื่นขึ้นมาในโลกแห่งความจริงได้ เมื่อเขาตื่นขึ้นมา เขารีบไปปลุกเพื่อนๆ คนอื่นให้ตื่นจากห้วงฝันด้วยคำพูดที่กระตุ้นให้พวกเขา “พวกเราต้องไปกำราบลูเซียสนะ อย่าลืมความตั้งใจสิ จงกลับมา!” ในห้วงฝันที่ดูสมจริงราวกับโลกแห่งความเป็นจริง ความฝันของลีอาเปลี่ยนฉากไป เธอพบว่าตัวเองยืนอยู่ท่ามกลางทุ่งดอกไม้ที่งดงามเกินกว่าที่เคยพบเห็น ดอกไม้สีสันสดใสกำลังชูช่อรับลม แสงแดดอบอุ่นส่องประกายลงมาจากท้องฟ้าสีฟ้าใส หัวใจของเธอรู้สึกสงบสุขอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ใบหน้าของเธอมีรอยยิ้มบางๆ เมื่อเห็นภาพของครอบครัวที่อยู่เบื้องหน้า แม่ของเธอกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ พร้อมกับยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน ในขณะที่พ่อกำลังเดินเล่นอยู่ข้างๆ เหล่าฝูงสัตว์ที่เธอเคยเล่นด้วยในวัยเด็กวิ่งไปมาอย่างร่าเริง ทุ่งหญ้าที่เธออยู่ช่างสวยงามและอบอุ่น ทำให้เธอรู้สึกอยากอยู่ที่นี่ตลอดไป แต่แล้ว เสียงของเอลเลียตดังขึ้นแผ่วเบาในหูของเธอ ราวกับเป็นเสียงสะท้อนจากอีกโลกหนึ่ง "ลีอา... พวกเราต้องไปกำราบลูเซียส จงกลับมา!" คำพูดของเอลเลียตทำให้ลีอาชะงักเล็กน้อย เธอหันมองไปรอบๆ ก่อนจะมองเห็นรอยยิ้มที่อ่อนหวานของแม่อีกครั้ง แต่ในสายตานั้นกลับมีบางอย่างที่ผิดปกติ ลึกๆ ในใจของเธอเริ่มรู้สึกถึงความขัดแย้ง ภาพที่เคยงดงามเริ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย ดอกไม้ที่เคยสวยงามเริ่มเหี่ยวเฉา เงาทะมึนเริ่มแผ่คลุมเข้ามาจากขอบฟ้า ความรู้สึกอุ่นใจที่เคยมีเริ่มสลายไปเป็นความหนาวเย็น ลีอาพยายามขยับตัวออกจากภาพนี้ แต่ยิ่งเธอพยายามหนีออกจากห้วงฝัน ความปรารถนาในใจของเธอกลับดึงรั้งเธอเอาไว้ เหมือนกับเธอกำลังถูกยึดเหนี่ยวจากพันธนาการที่มองไม่เห็น เธอมองไปรอบๆ เห็นแม่ของเธอที่ยิ้มให้เหมือนเดิม แต่ตอนนี้รอยยิ้มนั้นกลับแฝงไปด้วยความเศร้า แม่ของเธอก้าวเข้ามาใกล้ เอื้อมมือมาจับมือของลีอาแน่นขึ้น “อย่าทิ้งข้า... เจ้าไม่ต้องไปไหนอีกแล้ว อยู่กับข้าที่นี่เถิด” น้ำตาเริ่มคลอเบ้าตาของลีอา หัวใจของเธอเจ็บปวด เธออยากอยู่กับครอบครัว แต่เสียงของเอลเลียตก็ยังดังสะท้อนอยู่ในใจ ทำให้เธอต้องเผชิญหน้ากับความจริง “นี่ไม่ใช่ความจริง... นี่ไม่ใช่” เธอกล่าวกับตัวเอง แต่สายตาของแม่ที่เต็มไปด้วยความอ้อนวอนทำให้เธออ่อนแรงลง ในขณะเดียวกัน ไรอันก็กำลังติดอยู่ในห้วงฝันของตัวเอง เขายืนอยู่ท่ามกลางสนามรบที่เงียบสงบ ไม่มีเสียงกรีดร้องหรือเสียงดาบกระทบกันเหมือนเคย ในอ้อมแขนของเขาคือครอบครัวของเขา ทั้งสองยืนยิ้มให้เขา สายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ พ่อของเขายื่นดาบให้เขาอย่างนุ่มนวล “เจ้าไม่ต้องต่อสู้อีกแล้ว ไรอัน ข้าภูมิใจในตัวเจ้า” เสียงของพ่ออ่อนโยนราวกับสายลมที่พัดผ่าน ไรอันมองดูดาบที่อยู่ในมือของเขา และรู้สึกถึงความรู้สึกที่เขาเฝ้าหามาทั้งชีวิต ความสุขที่ได้อยู่ในที่ๆ เขาเป็นที่รักและได้รับการยอมรับ ทันใดนั้น เสียงของเอลเลียตก็ดังขึ้นในจิตใจ “ไรอัน พวกเราต้องไปกำราบลูเซียส! จงกลับมา!” แต่ไรอันกลับลังเล ดวงตาของเขาสับสน “ข้าควรจะไปหรือควรอยู่ที่นี่?” ท่ามกลางความสับสน เสียงของเอลเลียตย้ำเตือนให้ไรอันหันกลับมามองความจริง เขาเริ่มสังเกตเห็นบางสิ่งที่แปลกประหลาดในภาพที่สมบูรณ์แบบนี้ ดาบที่พ่อมอบให้เขาเริ่มแตกหัก พื้นดินที่เขายืนอยู่เริ่มพังทลาย ภาพรอยยิ้มของพ่อและแม่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีหม่น สิ่งที่เคยดูงดงามเริ่มแสดงออกถึงความหลอกลวง "นี่ไม่ใช่ความจริง..." ไรอันพูดกับตัวเอง "มันเป็นเพียงภาพลวงตา" แต่พ่อของเขายังคงยื่นดาบให้เขา พร้อมกับกล่าวอย่างอ้อนวอน "อย่าไปเลย เจ้าไม่ต้องการสิ่งใดนอกจากข้ากับแม่" “พี่ไรอัน พี่จะทิ้งข้าไปจริงๆหรือ” น้องสาวเข้ามากอดรั้งเขาไว้ นางเงยหน้าทองเขาพร้อมน้ำตานองหน้า ไรอันรู้สึกถึงแรงดึงรั้งจากครอบครัวที่เขาโหยหามาตลอดชีวิต เขาเกือบจะปล่อยใจให้กับภาพที่หอมหวานนั้น แต่แล้วเขาก็จำได้ถึงพันธะที่เขามีกับเพื่อนๆ และภารกิจที่ยังรออยู่ข้างหน้า เขารวบรวมพลังใจที่เหลืออยู่ หายใจลึกๆ และบังคับให้ตัวเองหันหลังจากภาพลวงตานั้น เขาหยุดอยู่ชั่วขณะก่อนจะพูดเสียงหนักแน่น "ข้าต้องไป ข้าต้องกลับไปสู้" ในจิตใจของลีอา เธอก็ทำในสิ่งเดียวกัน เธอค่อยๆ ปล่อยมือจากแม่ที่เคยรักและโหยหามาตลอด แต่ตอนนี้รู้แล้วว่านั่นเป็นเพียงความปรารถนาที่ลวงหลอก "ข้าต้องไป ข้าจะไม่ถูกขังอยู่ที่นี่" เธอกล่าวพร้อมน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม แต่ก้าวออกจากฝันนั้นด้วยความมุ่งมั่นลูเซียสยืนนิ่งอยู่ในความมืดที่แผ่ซ่านไปทั่วห้อง ความมืดนี้ไม่ใช่แค่เงาหรือความมืดธรรมดา แต่มันคือพลังที่อยู่ในตัวเขามาตั้งแต่เกิด มันเป็นพลังที่ทำให้เขาถูกตัดสินและขับไล่ออกไปจากครอบครัวตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เขาเงยหน้าขึ้นมองลีอาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าและความแค้นที่ถูกฝังลึกในใจมาเนิ่นนาน”ข้าเคยเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนั้น” ลูเซียสเริ่มเล่า น้ำเสียงของเขาแผ่วเบา แต่ทุ้มลึก “ข้าเกิดมาในตระกูลสูงส่งแห่งแอสทารา ข้าเคยมีทุกสิ่งที่เด็กคนหนึ่งต้องการ...มีบ้านที่อบอุ่น มีพ่อแม่ที่ข้าเคารพรัก แต่พวกเขาก็เปลี่ยนไป เมื่อพวกเขารู้ว่าข้ามีพลังเงามืดในตัว” ลีอานั่งฟังด้วยความตั้งใจ หัวใจของเธอหนักอึ้งเมื่อได้ยินความเจ็บปวดในคำพูดของเขา เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าลูเซียสต้องทนทุกข์กับอดีตเช่นนี้”ข้าจำได้ชัดเจน ตอนที่ข้ายังเป็นเด็กแค่ 7 ขวบ ข้าคิดว่าพลังนี้เป็นสิ่งพิเศษ ข้ารู้สึกแตกต่าง แต่ข้ากลับไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงทำให้คนอื่นๆ กลัว ข้าพยายามใช้มันเพื่อแสดงให้พ่อแม่เห็นว่า ข้าสามารถปกป้องพวกเขาได้ แต่สิ่งที่ข้าได้รับกลับเป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและรังเกียจ” ลูเซียสหยุดไปช
ชีวิตของไรอันและลีอาเดินหน้าไปสู่ความสงบสุขที่พวกเขาเคยฝันถึง หลังจากการต่อสู้ที่ยาวนานและการสูญเสียที่ทำให้หัวใจของพวกเขาต้องบอบช้ำ พวกเขาก็ได้สร้างครอบครัวเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่น หมู่บ้านที่เคยถูกครอบงำด้วยเงามืดกลับมาสดใสอีกครั้ง และชีวิตใหม่ก็เริ่มต้นขึ้นพร้อมกับงานแต่งงานเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความยินดีและความหวังลีอาและไรอันมีลูกแฝดชายหญิงที่เปรียบเสมือนดวงดาวสว่างไสวในชีวิตของพวกเขา เด็กทั้งสองคนเปี่ยมไปด้วยความไร้เดียงสาและความสดใสที่ทำให้ทุกคนในหมู่บ้านรู้สึกถึงความหวังและความสุขที่แท้จริง ครอบครัวของพวกเขาเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความรัก ไรอันเป็นพ่อที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาและปกป้องลูกๆ ด้วยชีวิต ขณะที่ลีอาเป็นแม่ที่อบอุ่นและอ่อนโยน คอยดูแลทุกคนด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความรักในขณะเดียวกัน เอลเลียตและเฟนิกซ์ก็ออกเดินทางไปผจญภัยในดินแดนใหม่ๆ เพื่อฝึกฝนตนเองและค้นหาความหมายใหม่ในชีวิต พวกเขาเลือกที่จะไม่หยุดอยู่กับที่ แต่ออกเดินทางเพื่อค้นหาประสบการณ์และความรู้ใหม่ๆ ที่จะทำให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นในทุกด้านอาเรียน่าเองก็เลือกทางเดินที่แตกต่างออกไป เธอตัดสินใจออกเดินทาง
ลูเซียสหายใจลึก รู้สึกถึงน้ำหนักที่ถูกยกออกจากบ่าของเขา แม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องง่าย และแม้ว่าความมืดในจิตใจของเขายังคงหลงเหลืออยู่ แต่ความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงและหาความสงบสุขในตัวเองก็มีมากกว่าลีอาที่ตอนนี้ยืนอยู่ข้างไรอันก็ยิ้มให้ลูเซียสด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความเห็นใจ “ข้ายังเชื่อในตัวเจ้า ลูเซียส ข้ารู้ว่าลึกๆ แล้วเจ้าไม่ได้ต้องการทำร้ายใคร เจ้าก็แค่ต้องการคนที่จะเชื่อมั่นและอยู่เคียงข้างเจ้า”อาเรียน่าก้าวเข้ามาสมทบ “เราเป็นครอบครัว... ครอบครัวที่ยอมรับกันได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ท่านไม่จำเป็นต้องต่อสู้เพียงลำพังอีกต่อไปแล้ว”ลูเซียสมองดูพวกเขาทั้งสี่คน น้ำตาที่เก็บกดไว้ตลอดหลายปีเริ่มไหลลงมาอาบแก้ม เขารู้สึกถึงความโล่งใจและความหวังที่เคยสูญเสียไปนานแล้ว“ข้าขอโทษ... ข้าขอโทษสำหรับทุกสิ่งที่ข้าเคยทำ” ลูเซียสกล่าวทั้งน้ำตา “ข้าขอโทษที่ข้าเคยเลือกทางที่ผิด และข้าขอโทษที่ข้าพยายามจะทำร้ายพวกเจ้า”“เจ้าไม่ต้องขอโทษอะไรอีกแล้ว” ไรอันกล่าวขณะที่เขาเข้ามาใกล้ลูเซียสและยื่นมือออกไป “สิ่งสำคัญคือเจ้าได้กลับมา และเราจะผ่านทุกสิ่งไปด้วยกัน” ไ
"ในคืนหนึ่ง... ข้าจำได้ว่าแม่ของข้าไม่ได้มาร่ำลาข้า ข้าเพียงเห็นแผ่นหลังของพ่อที่หันมาเอ่ยคำสุดท้ายกับข้า 'เจ้าต้องไป...เพื่อปกป้องตระกูล' คำพูดเหล่านั้นยังคงก้องอยู่ในหัวข้าตลอดมา ข้าถูกขับไล่ออกจากบ้าน ถูกส่งไปในป่าลึก โดยไม่มีแม้แต่ใครสักคนที่จะมาอธิบายว่าเหตุใด ข้าเป็นแค่เด็ก แต่ข้ากลับถูกทิ้งไว้ในความมืด โดยไม่มีที่พึ่งพิง ไม่มีความอบอุ่นของครอบครัว" เขาก้มหน้า น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความขมขื่น"ตอนที่ข้าจากไป ไรอันยังไม่เกิด พ่อและแม่ของเราคิดว่าเมื่อข้าไม่อยู่แล้ว พวกเขาจะสามารถเริ่มต้นใหม่ได้ ข้าถูกลบออกจากความทรงจำของครอบครัว...และไรอัน เขาเกิดขึ้นมาโดยที่ไม่รู้เลยว่าข้าเคยเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขา"ลีอาหันไปมองลูเซียสอย่างตกตะลึง เธอไม่เคยได้ยินเรื่องราวนี้มาก่อน ลูเซียส...พี่น้องร่วมสายเลือดของไรอัน ถูกผลักไสออกจากครอบครัวในวัยเด็ก เพียงเพราะพลังที่เขาไม่ได้เลือกที่จะมี"ข้าเร่ร่อนอยู่ในป่า เดียวดายและเต็มไปด้วยความกลัว ข้าไม่รู้ว่าข้าควรทำอย่างไร ข้ารอคอยวันที่ครอบครัวจะมารับข้ากลับ แต่วันนั้นไม่เคยมาถึง ข้าโตขึ้นมาท่ามกลางความโดดเดี่ยวและความเกลียดชัง ข้าเรียนรู้ที่จะใช้พ
แต่ลีอากลับก้าวออกมาจากเงามืดนั้นอย่างช้าๆ เธอหยุดอยู่ตรงหน้าไรอันและอาเรียน่า น้ำตาของเธอไหลลงมาเมื่อเธอรู้สึกถึงความอบอุ่นจากพวกเขา “ข้าขอโทษ... ข้าขอโทษที่ข้าเคยละทิ้งพวกเจ้า...”ไรอันยิ้มอย่างอ่อนโยนและก้าวเข้ามากอดเธอไว้ “ไม่เป็นไร ลีอา เจ้ากลับมาแล้ว นั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด” แสงสว่างที่เปล่งออกมาจากตัวอาเรียน่าเริ่มส่องประกายอย่างแรงกล้าอีกครั้ง ลูเซียสรู้สึกถึงพลังที่ถอยห่างจากตัวเขา ความมืดที่เคยทำให้เขาแข็งแกร่งกลับกลายเป็นภาระที่หนักอึ้ง เขารู้สึกถึงความอ่อนแอที่เข้ามาครอบงำ ร่างกายของเขาเริ่มสั่นไหวและอ่อนแรงลง “ไม่... ไม่!” ลูเซียสตะโกนด้วยความสิ้นหวัง แต่พลังที่เขาเคยยึดมั่นกลับหายไปทีละน้อย เงามืดที่เคยล้อมรอบตัวเขาเริ่มจางหายไป ราวกับว่ามันถูกดูดกลืนเข้าสู่แสงสว่างที่พวกเขาสร้างขึ้นมา ลีอายังคงมองไปทางลูเซียสที่ยืนอยู่ไม่ไกล ใบหน้าของเธอแสดงออกถึงความสับสน ดวงตาของเธอที่เต็มไปด้วยความสงสารและความเห็นใจสะท้อนถึงความรู้สึกที่ซับซ้อนที่เธอมีต่อลูเซียส แม้ว่าเธอจะถูกสะกดจิตในช่วงเวลาที่อยู่กับเขา แต่เธอก็สามารถจดจำทุกเรื่องราวท
พลังเงามืดของลูเซียสถูกต้านทานด้วยบาเรียน้ำของไรอันและแสงสว่างของอาเรียน่า แต่ลูเซียสก็ไม่ยอมแพ้ เขารวบรวมพลังทั้งหมดที่มีและปล่อยคลื่นพลังมืดออกมาอีกครั้ง ครั้งนี้มันรุนแรงและน่ากลัวกว่าครั้งก่อน มันเป็นพลังที่ถูกหล่อหลอมจากความแค้นและความโดดเดี่ยว คลื่นพลังมืดที่เขาปล่อยออกมานั้นไม่เพียงแต่รุนแรง แต่ยังเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดที่พร้อมจะทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า ลูเซียสไม่มีเจตนาที่จะยอมแพ้หรือยอมให้ใครเข้ามาขวางทางเขาได้อีก เอลเลียตที่เป็นด่านแรกของการป้องกัน ยังคงยืนหยัดไม่ถอย เขาใช้กระบองเหล็กของเขาฟาดลงไปที่พื้นอีกครั้งเพื่อสร้างแรงกระแทกที่พุ่งตรงเข้าไปปะทะกับพลังเงามืด แต่ความรุนแรงของพลังมืดนั้นกลับทำให้พื้นดินแตกออกเป็นรอยแยก ลมพายุจากพลังมืดกวาดเอาเศษซากและฝุ่นผงขึ้นมาหมุนวนรอบตัวเอลเลียต ทำให้การมองเห็นของเขาเริ่มพร่ามัว อย่างไรก็ตาม เอลเลียตยังคงยืนอยู่ได้ด้วยความมุ่งมั่นและความเชื่อมั่นในตัวเพื่อนร่วมทางของเขา “พวกเจ้ารีบทำสิ่งที่ต้องทำ!” เขาตะโกนด้วยเสียงที่ยังเต็มไปด้วยพลัง “ข้าจะยืนหยัดตรงนี้ ไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม!” ไรอันรู้ดีว่