“คำแช่งบ้าบออะไร!” มิวหายใจหอบในขณะที่ยังคงตกอกตกใจ “นะ… นายพูดเรื่องอะไร? ละ… แล้วเรื่องเมื่อกี้อีก จู่ๆมาจูบฉันแบบนี้ได้ยังไง”
“ก็ทำไปแล้ว” ดันเต้ยักไหล่
“แบบนี้เรียกล่วงละเมิด”
“แต่นายดูชอบนะ”
“มันไม่เกี่ยวกัน นายจะไปจูบใครมั่วซั่วโดยที่เขาไม่ยินยอมไม่ได้”
“แล้วสิ่งที่ฉันทำมัสำคัญกว่าสิ่งที่ฉันบอกไปหรือไง?” ดันเต้ทอดถอนหายใจ “นายควรกังวลเรื่องที่ตัวเองโดนคำแช่งมากกว่าเรื่องที่ฉันจูบนาย”
คำพูดของดันเต้เน้นย้ำถึงปัญหาที่มิวกำลังเผชิญ ทว่ามนุษย์หนุ่มก็ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่ดี ทุกอย่างประดังประเดจนอารมณ์ของเขาแกว่งไกวเหมือนชิงช้าโต้ลมแรง ซึ่งทั้งหมดถูกนำพาเข้ามาโดยชายผิวสีเข้มตรงหน้า
“นายจำคืนก่อนในฝันได้ไหม คืนที่นายเสร็จกิจใส่มือของฉัน”
จู่ๆมิวก็เผลอพยักหน้าตอบทั้งๆที่ยังงงอยู่
“อยู่ดีๆนายก็หนีออกจากความฝันของฉันได้เฉย” ดันเต้ขยับตัวกลับไปนั่งตรงโซฟาที่เดิม “หลังจากนั้นพอฉันลองชิมน้ำของนายที่เลอะมือของฉัน ฉันก็ได้รสชาติคล้ายตะกั่วกับวานิลลาผสมอยู่”
“ดะ… เดี๋ยวก่อนนะ ย้อนกลับไปตอนที่ฝันหน่อย นายรู้ได้ไง”
“ฉันพึ่งบอกนายไปไม่ใช่เหรอว่าฉันเป็นปีศาจ” ดันเต้เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง “ปกติถ้ายังไม่ถ่ายทอดน้ำกามของฉันเข้าไปในตัว นายก็ไม่น่าจะลืมเร็วขนาดนี้”
“ปีศาจแบบไหนกันที่นายเป็น?” มิวไต่ถาม เขาลองเปิดใจดูเพราะอาจเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยตอบข้อสงสัยหลายอย่างในใจของเขาได้
“คิวบัส!!! ปีศาจที่ดูดกลืนอารมณ์ตัณหาราคะของมนุษย์” ดันเต้ตอบอย่างภาคภูมิใจ “ปกติถิ่นของฉันจะอยู่ในฝัน แต่ก็มีบ้างที่ออกมาปะปนกับคนทั่วไปอย่างตอนนี้”
“ละ… แล้วข้างนอกนั่นยังมีแบบ… พวกนายอีกไหม?”
“เยอะเลยล่ะ! มีทั้งพวกปีศาจและเทพซ่อนตัวอยู่อย่างลับๆโดยไม่ให้มนุษย์อย่างพวกนายรู้ แต่ไม่ต้องห่วงสิ่งมีชีวิตกึ่งอมตะอย่างพวกเราไม่ค่อยชอบทำร้ายมนุษย์สักเท่าไหร่ เพราะพวกนายเป็นแหล่งพลังงานของพวกเรา ถ้าไม่มีพวกนาย… พวกเราก็เก็บเกี่ยวไม่ได้… พอเก็บเกี่ยวไม่ได้… พวกเราก็สลาย”
มิวขมวดคิ้วฟังอย่างตั้งใจ ดวงตากลมโตหรี่เล็กหวังจะจับโกหกจากชายตรงหน้า
“อย่าถามมากเลยน่า ไม่เกินอาทิตย์นายก็คงลืมเรื่องพวกนี้ไปหมด” ดันเต้ตัดบท “รวมถึงลืมฉันด้วย”
“แต่ถ้าฉันไม่ยอมให้นายใส่… เอ่อ… ไอ้น้ำกามอะไรของนายเข้ามาในตัวของฉัน ฉันก็จะไม่ลืมใช่ไหม… ก็แบบนายพูดอะไรทำนองนั้น”
“หืม?” ดันเต้มองมิวอย่างสงสัย
“แล้วนายจะมาหาฉันทำไม นายจะมาทำให้ฉันป่วยแบบอาร์เต้อย่างนั้นเหรอ?”
“ไอ้หนุ่มนั่นมันไม่ได้ป่วย… เขาก็แค่ก็เหนื่อย เหมือนเวลานายไปบริจาคเลือดแล้วดันหักโหมเกินไป” ดันเต้ พยายามอธิบายอย่างใจเย็น “อะไรที่มากเกินก็ส่งผลเสียเป็นธรรมดา”
“งั้นนายคงต้องหาคนอื่นแล้วล่ะ เพราะฉันคงทำอะไรแบบที่นายทำกับอาร์เต้ไม่ได้”
“ในที่สุดฉันก็จะได้เข้าเรื่อง” ดันเต้กระแอม “อย่างที่ฉันพึ่งบอกไปว่าฉันได้กลิ่นเหมือนตะกั่วจากน้ำเชื้อของนายในฝัน ซึ่งมันไม่ควรจะมีกลิ่นนี้ และจากประสบการณ์บนโลกที่มีอย่างยาวนานของฉัน ฉันคิดว่าเรื่องนี้ต้องมีพวกเทพเข้ามายุ่มย่าม”
“แต่ฉันไม่เคยข้องเกี่ยวกับพวกเทพเลยนะ เรื่องพวกนี้ฟังแล้วควรจะเป็นปัญหาของพี่เจษมากกว่า”
“ไม่! เจ้าหนุ่มนั่นไม่น่าจะเกี่ยว เพราะฉันไม่ได้กลิ่นทะแม่งๆออกมาจากเขาเลย ถึงแม้โต๊ะนั่นจะมีแต่ของน่าเกลียดก็เถอะ”
“แล้วฉันจะรู้ได้ไงว่าใครเป็นคนทำ แล้วทำอะไร…” มิวลนลาน “แล้วฉันจะหายใช่ไหม? ที่ผ่านมาฉันคิดว่าเป็นเพราะป่วยเป็นโรคอะไรสักอย่าง หมดเงินไปตั้งเยอะ… โธ่เว้ย! เจ็บใจจริง”
“ดูเหมือนนายจะคุ้นชินกับเรื่องแบบนี้แล้วสินะ”
มิวสบตาดันเต้ เขาแทบไม่รู้สึกตัวเลยว่าคล้อยตามเรื่องราวน่าเหลือเชื่อจากปากดันเต้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือจริงๆเขาอาจจะไม่ได้เชื่อ ลึกๆ เขาอาจเพียงต้องการความหวังที่จะหายจากอาการที่แม้แต่หมอ หรือวิทยาศาสตร์แขนงไหนก็ให้คำตอบชัดเจนไม่ได้ แล้วดันเต้ก็ดันเป็นคนที่พูดในสิ่งที่ชายผู้กำลังป่วยต้องการฟัง
“ฉันช่วยได้นะ แต่ต้องรู้ให้แน่ชัดก่อนว่าเป็นฝีมือของใคร”
“ช่วยเหรอ? อยู่ดีๆนายจะมาช่วยฉันเนี้ยนะ” มิวรู้ดีว่าทุกสิ่งบนโลกย่อมต้องการการแลกเปลี่ยน
“แน่นอนว่าทุกอย่างมีราคาของมัน”
“นายจะเอากี่บาท?”
“ฉันไม่ต้องของไร้ประโยชน์แบบนั้น”
“แล้วนายอยากได้อะไร?”
“เอาจริงนายมีกลิ่นเฉพาะตัว…”
“...เหมือนพีชต้องห้ามในสวนบาบิโลน”
“ความจำนายก็ไม่ได้แย่นี่” ดันเต้แซวก่อนจะพูดต่อ “ฉันเองรู้สึกคุ้นเคยกับกลิ่นนี้ แต่ก็ลืมไปแล้วว่าเคยได้กลิ่นแบบนายจากที่ไหน อาจเป็นสักช่วงระยะหนึ่งในเวลาแสนยาวนานของฉัน”
“แล้วนายจะให้ฉันทำยังไง แค่อยู่ใกล้ๆให้นายดมกลิ่นไปวันๆเหรอ?”
“ไว้ฉันคิดออกว่าจะให้นายทำยังไงแล้วจะบอก”
“ฉันไม่ชอบข้อเสนอแบบนี้เลย” มิวกอดอก “ฉันจะตกลงได้ยังไงถ้าไม่รู้ว่าตัวเองจะเสียเปรียบหรือเปล่า”
“นายจะรอตอนอายุหกสิบก่อนแล้วค่อยมาขอความช่วยเหลือจากฉันก็ได้” ดันเต้ยิ้มเยาะ “ถ้าหากนายจะมีอายุถึงตอนนั้นนะ”
มิวหน้ามุ่ยทบทวนสิ่งต่างๆ
“มนุษย์อย่างพวกนายอายุสั้นอยู่แล้วนี่ หลับตาแป๊บเดียวความหนุ่มสาวก็ร่วงโรยไม่ต่างจากใบไม้ช่วงสารทฤดู อับเฉาและค่อยๆโปรยปรายหลุดจากลำต้น”
การพะเน้าพะนอโอ้ลมทำให้จิตใจของมิวไขว้เขว หากปีศาจไม่ได้หมายมุ่งเอาชีวิตของเขาจริง ดังนั้นข้อตกลงก็คงไม่ร้ายแรงสักเท่าไหร่
“งั้นก็ส่งสัญญาปีศาจมา” มิวยื่นมือออกไป “ฉันต้องกัดนิ้วใช้เลือดอะไรพวกนั้นด้วยไหม?”
“ไร้สาระ” ดันเต้กระแทกเสียง “ไม่จำเป็นต้องสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร ยังไงนายก็ไม่มีทางโกงฉันได้หรอก”
“แล้วแต่นายแล้วกัน… แต่ขออย่างหนึ่ง ฉันไม่อยากดูโทรมแบบอาร์เต้ ต่อให้นายเอาวิญญาณฉันไปก็ขอสภาพดีๆอย่าให้อายผีตัวอื่น”
“นายไม่เป็นอย่างนั้นหรอก… อย่างน้อยก็จนกว่านายจะพร้อมสำหรับการเก็บเกี่ยว”
ฟังแล้วทำให้มิวคิดภาพตัวเองเป็นเหมือนต้นข้าว ในผืนนากว้างไกลสีเหลืองทองสุดลูกหูลูกตา ที่รอให้ชาวนาใช้เคียวไล่ตัดจนเหลือเพียงลำต้น
“ก่อนอื่นนายต้องถอดเสื้อผ้าออกให้หมด”
“เพื่อ?”
“ส่วนใหญ่พวกคำแช่งจะถูกสลักเอาไว้บนร่างกาย ฉันต้องหาให้เจอว่ามันอยู่ตรงไหนบนตัวนาย แล้วถึงจะรู้ว่าเป็นฝีมือของเทพจนไหน”
“มันไม่มีวิธีอื่นแล้วใช่ไหม?” มิวหน้าแดง
“นายจะทำเองหรือให้ฉันทำให้ ยังไงผลลัพธ์ก็เหมือนกัน” ไฟในห้องวูบไหวตามการกระดิกนิ้วของดันเต้ “ถ้าให้ฉันลงมือเอง… รอบนี้ฉันจะทำมากกว่าการแก้ผ้าของนาย”
“ก็ได้ๆ”
เมื่อเป็นเรื่องของงานและเงิน การแก้ผ้าต่อหน้าคนอื่นมันง่ายกว่ามากสำหรับมิว
ชายหนุ่มเนื้อตัวเนียนละเอียดยืนขึ้น ก่อนใช้นิ้วมือเปล่งปลั่งค่อยๆปลดกระดุมทีละเม็ดอย่างเชื่องช้า ราวกับรอให้คำสั่งเปลี่ยนแปลง แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับนั่งถลึงตาจ้องมองอย่างใจจดจ่อ
“นายจะอายทำไม ในฝันฉันเห็นของนายจนหมดแล้ว”
“ก็นั่นมันในฝัน”
“แถมฉันยังได้จับส่วนนั้นของนายอีกด้วย”
“รู้แล้วน่า”
เมื่อกระดุมเม็ดสุดท้ายถูกปลดออก รอยสักจางๆขนาดเล็กคล้ายพยัญชนะ “Y” ซ้อนทับกับ “I” ปรากฏตรงท้องน้อยของมิว
“ตรงนั้น” ดันเต้ชี้นิ้ว “ฉันว่าแล้วมันต้องมีอยู่จริงๆ”
มิวถอดเสื้อทิ้งไว้ลงบนพื้น ดวงตาก้มต่ำลงไปด้านล่างเอวของตัวเอง
“คราวก่อนฉันมองไม่เห็นมัน” ดันเต้พูดต่อ เขาไถลตัวคุกเข่าต่อหน้ามิวด้วยความตื่นเต้น “เพราะในความฝันอำนาจของฉันอยู่เหนือทุกอย่าง แม้กระทั่งคำแช่งของเทวาก็ไม่อาจแสดงผล”
“นายจะทำอะไร” มิวร้องเมื่อใบหน้าของดันเต้เลื่อนเข้าใกล้หน้าท้องของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ
“ชู่ๆ” ดันเต้มักต้องการความเงียบสงบเมื่อต้องใช้สมาธิ
ปลายจมูกสูงโด่งสีเข้มเริ่มได้กลิ่นรุนแรงเมื่อมันเข้าใกล้ท้องน้อยที่สั่นกระเพื่อม กลิ่นคล้ายตะกั่วผสมกับวานิลลาแบบเดียวกันกับที่กวนใจดันเต้มาหลายวัน
มือคู่หนาใหญ่จับเอวคอดบางของมิวไว้แน่น ดันเต้แลบลิ้นยืดยาวออกมาพลางเลื้อยไล้ไปตามสัญลักษณ์แปลกตา
หน้าท้องของมิววูบวาบ อยู่ๆเขาก็อยากผ่อนลมหายใจหนักหน่วงออกมาจากลำคอ ตอนนี้ชายหนุ่มไม่แน่ใจแล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาเป็นผลจากตัวเองหรือสิ่งเร้าอย่างอื่น
“อึก” ดันเต้ทำท่าเหมือนอยากจะสำรอก เขาเงยหน้ามองมิวในขณะที่ปลายลิ้นยังติดอยู่กับเนื้อหนังแสนอ่อนนุ่ม รอยยิ้มเจ้าเล่ห์แสยะกว้างเปื้อนใบหน้า
ภาพเบื้องล่างชวนสยิวจนหัวใจของชายหนุ่มสั่นคลอน เขาเผลอขบกัดริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว
“ฝีมือคิวปิด” ดันเต้เช็ดคราบน้ำลายจากริมฝีปากด้วยหลังมือ “ไอ้กามเทพตัวกะเปี๊ยกนิสัยเสีย”
“ทวดของผม” โพรงปากของเด็กหนุ่มอ้าค้างจนมองเห็นลิ้นไก่ข้างในลึกสุด “นี่พี่เกิดสมัยอยุธยาเป็นเมืองหลวงเลยไหมเนี่ย?” “ไม่นานขนาดนั้น” เสียงหัวเราะร่วนของเป็นเอกดัง “พี่เกิดหลังทวดของนายไม่กี่ปี ปี พ.ศ. สองพันสี่ร้อยกว่าเห็นจะได้” “แล้วพี่เป็นใครกันแน่?… ผีบรรพบุรุษส่งให้พี่มาดูแลตระกูลของผมหรือยังไง?” “ฉันว่าเรื่องของนายเหลือเชื่อกว่าเรื่องของฉันอีก” ยังไม่ทันจะต่อความยาวสาวความยืด เสียงฝีเท้าตึงตังก็ดังมาจากบันไดไม้ หญิงสาวแรกรุ่นพรวดพราดเข้ามาในห้องนอนที่ชายทั้งคู่อยู่ เธอกระโจนเข้าหาเป็นเอกและสวมกอดรอบคอจนแน่น “คิดถึงคุณลุงจัง” น้ำเสียงของหญิงสาวสดใสพอกันกับหน้าตา ดวงตาของเธอสุกใสเป็นประกาย ผิวหนังเนียนหนุ่มอ่อนเยาว์สมกับการเป็นสาวแรกรุ่น “คิดถึงลุงหรือคิดถึงของฝากกันแน่” มือของชายผู้แก่กว่ามากลูบศีรษะอย่างเอ็นดู “ก็ต้องคิดถึงคุณลุงอยู่แล้วสิคะ” “ถ้าอย่างนั้นวันนี้ลุงไม่มีของฝาก นิดหน่อยก็จะยังคิดถึงลุงอยู่ใช่ไหม?” หญิงสาวตัวเล็กยืดตัวขึ้นทำแก้มป่อง “ไม่มีจริงเหรอ?”
ไม่ได้มีโอกาสบ่อยนักที่อาร์เต้จะได้อ้าแขนกอดรับดวงอาทิตย์ยามสาย ถึงมันออกจะร้อนสักหน่อยก็เถอะแต่สำหรับชายหนุ่มที่ไม่ค่อยชอบชีวิตช่วงกลางคืนเท่าไหร่นัก นี่ก็นับว่าเป็นคุ้มค่าที่จะแลก หลังจากได้ฟังเรื่องราวอันไกลเกินขอบเขตของความเชื่อมาแล้ว แววตาของอาร์เต้ตอนมองเป็นเอกกลับไม่ได้ต่างจากเดิมเท่าไหร่ หากไม่ใช่เพราะยังไม่เชื่ออย่างสมบูรณ์แบบบ ก็คงเป็นเพราะอคติบางอย่างที่สร้างความเอนเอียง ความรู้สึกในใจของชายทั้งสองไม่อาจถูกคั่นกลางด้วยสิ่งแปลกปลอม ระยะห่างระหว่างกันยังคงเส้นคงวา ไม่อาจใกล้มากกว่านี้หรือถอยห่างจากที่เป็น ถึงหมุดหมายของทริปนี้เป็นเอกจะบอกไว้ว่าเป็นการออกตามหาความจริง ทว่าอาร์เต้มองแตกต่างออกไป เขาคิดเงียบๆ อยู่คนเดียวว่าการเดินทางครั้งนี้เป็นเสมือนการออกเดตนอกสถานที่ครั้งแรกของพวกเขา นั่นเลยช่วยทำให้รู้สึกดีมากกว่ากังวล อาร์เต้ไม่เอ่ยถามถึงจุดหมายปลายทาง เขารู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมพูดอะไรแน่นอน ซึ่งเป็นเอกก็คิดเช่นนั้น ชายแก่ในร่างหนุ่มคิดไว้ว่าการอธิบายกลางอากาศอย่างเดียว คงไม่หนักแน่นพอจะยืนยันทุกอย่าง ท้องฟ้าปลอ
เมื่อความสุขสุดขีดพุ่งสูงจนทะลุหลอด ความเหนื่อยล้าก็เข้ามาห่อหุ้มร่างกึ่งเปลือยเปล่าของเด็กหนุ่ม หน้าอกภายใต้เสื้อตัวบางกระเพื่อมหนักหน่วง ริมฝีปากเผยออ้าเติมอากาศเข้าไปทดแทนกับที่ขาดหาย ใบหน้าฝาดก่ำด้วยสีเลือดสดๆ และเข้มมากขึ้นไปอีกเมื่อนึกถึงความดังของเสียงที่เพิ่งเปล่งออกไป ท่อนล่างโล่งโจ้งเลอะเทอะด้วยคราบของเหลวจากร่างกาย ในใจของมิวร้องตะโกนกู่ก้องเมื่อความรู้สึกที่อัดอั้นถูกระบายออกมาได้เสียที นั่นเป็นสิ่งประจักษ์แน่ชัดแล้วว่า ร่างกายและความเป็นชายได้กลับเป็นปกติอย่างที่ควรจะเป็น ทว่าก็ยังรู้สึกติดค้างบางอย่างแถวก้นบึ้งของจิตใต้สำนึก รอยยิ้มกางกว้างบนใบหน้าเรียวงาม เด็กหนุ่มรีบจัดแจงตัวเองให้เรียบร้อย ด้วยกลัวจะมีใครเปิดประตูเข้ามา การโดนมองเห็นไม่น่าหนักใจเท่ากับการโดนล้อ มิวนึกออกว่าดันเต้จะพูดอะไรบ้างหากเห็นสภาพของเขาในตอนนี้ ‘ไม่คิดจะชวนกันสักหน่อยเหรอ?’ ‘ทำไมนายถึงหนีมาสนุกคนเดียวล่ะ!’ ‘อีกรอบไหม?’ ‘คิดถึงดุ้นยักษ์ของฉันล่ะสิ!’ น้ำเสียงทะลึ่งตึงตังรวมกับสีหน้าหื่นกระหายของดันเต้ ผุดขึ้นมาใน
ความเงียบบรรเลงดนตรีกระซิบข้างใบหู ความเหนื่อยล้าขับกล่อมท่วงทำนองยืดยานจนชายหนุ่มหลับใหลไปอย่างง่ายดาย พื้นที่แสนปลอดภับโอบกอดมิวเอาไว้แน่นไปถึงความฝัน ชายหนุ่มทิ้งความหวาดระแวงเอาไว้ข้างเตียง และปล่อยความอิสระให้คืนสู่จิตใจ เวลาในกำมือหมดไปอย่างรวดเร็ว จนแอบนึกเสียไม่ได้ว่าสิ่งล้ำค่านี้ไม่เคยเพียงพอในหนึ่งชีวิต… ร่างกายของมิวนั้นฟื้นฟูได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ ทั้งความเหนื่อยล้าหรือบาดแผลบนร่างกาย อันที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องนอนเลยด้วยซ้ำหากในตัวมีเมล็ดพันธุ์ปีศาจอยู่ ความรู้สึกเบาสบายจากห้วงนิทราถูกความร้อนตรงท้องทำลาย เด็กหนุ่มกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ ลำตัวบิดงองุ่นง่าน การข่มตาให้หลับกลายเป็นเรื่องยากขึ้นทุกที การโดนร่างกายของตัวเองรังควานสร้างความหงุดหงิดนิดๆ มิวลืมตาตื่นนั่งพิงหัวเตียง ดวงตาแจ่มใสทั้งที่เพิ่งนอนไปได้แค่สองชั่วโมง ด้านล่างของลำตัวร้อนรุ่มอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนบาง ปลายเท้าบิดงอเข้าหากัน ต้นขาหนีบแน่นจนสะโพกเกร็ง อาการวูบวาบแผ่ซ่านจากศูนย์รวมความรู้สึกไปยังเส้นประสาท ดวงตาของมิวหั
เบื้องบนโปรยแสงรำไรออกมาจากมาจากรูโหว่อันดำมืดของท้องฟ้า เช้าวันใหม่นี้แสนอึมครึมไม่สดใส ส่งผลโดยตรงต่อจิตใจให้ขมุกขมัว หัวงมหรรณพแห่งเวลาสงบเสงี่ยมเฉกเช่นหนุ่มน้อยหน้าตาใสซื่อ ปกติท่าทีของอาร์เต้จะกระโดกกระเดกไม่เรียบร้อย บัดนี้กลับสงวนกิริยาขัดจากนิสัยปกติราวกับเป็นอีกคน อาจเพราะเขาถนัดการซ่อนมุมจริงจังเอาไว้เพื่อบดบังตัวตน จึงมีน้อยคนจะเคยได้เห็นอีกด้าน “ที่จริงแล้วพี่เลือกจะโกหกต่อไปก็ได้ แต่พี่ไม่อยากทำ” ชายวัยกลางคนนั่งบนโซฟาที่คุ้นเคย สายตาจับจ้องร่างเด็กกว่าตรงกันข้ามด้วยความสับสน หลังจากพยายามเลี่ยงการเปิดปากตอนอยู่ในรถอยู่นาน เขาก็มาถึงสถานที่เหมาะแก่การคายทุกอย่างออกมา “พี่รู้ว่ามันอาจจะฟังแล้วเหลือเชื่อไปหน่อย แต่พี่ก็อยากให้อาร์ตเปิดใจ” หนุ่มน้อยเอียงคอสงสัย ปกติเป็นเอกเป็นคนขึงขังอยู่แล้ว ยังมีเรื่องอะไรที่ทำให้ผู้จัดการร้านคนนี้หัวเสียได้มากกว่าเดิมอีกเหรอ “ผมเปิดใจให้พี่อยู่แล้ว… พี่รู้ใช่ไหม?” “แต่เรื่องที่พี่จะเล่ามันจะเปลี่ยนความคิดของนายที่มีต่อพี่ไปเลย” นี่คือสิ่งที่อาร์เต้ไม่ชอบ
การโดนสปอยด์ตอนจบไม่น่าอภิรมย์ของพิธีกรรมปีศาจที่ได้ยินจากปากของกามเทพ เป็นสิ่งที่มิวพกติดตัวออกจากห้องคุมขังมาด้วย หากเป็นก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มคงดวงตาเบิกโพลง จิตใจแช่มชื่นเมื่อรู้ว่าตัวเองมีส่วนพัวพันกับเรื่องราวลี้ลับที่น้อยคนจะได้พบเจอ ตอนนี้ทุกอย่างตาลปัตรกลับด้านชวนใจหาย เขาเริ่มหวาดกลัวในสิ่งเหนือธรรมชาติที่ไม่อาจคาดเดาได้ และโทษที่ตัวเองคิดน้อยเกินไป บนถนนที่แออัดไปด้วยรถยนต์อุ่นหนาฝาคั่ง ในห้องโดยสารนั้นกลับอึดอัดมากกว่าข้างนอกนั่นหลายเท่า การหายใจไม่อาจทั่วท้องเมื่อต้องนั่งชิดติดอยู่กับความหงุดหงิด บรรยากาศธรรมดาที่สามารถพบเจอได้ทุกวัน ท้องฟ้าขมุกขมัวสาดไปด้วยแสงของดวงดาว เสียงบีบแตรและไฟท้ายของรถที่สะท้อนเข้าดวงตา ทุกอย่างในการมองเห็นตอนนี้กลับพิเศษเมื่อเด็กหนุ่มขาดหายไปหลายวัน ปกติมิวไม่ค่อยชอบคนขับรถที่ซอกแซกชีวิตส่วนตัวของผู้โดยสาร ยกเว้นวันนี้… เขารู้สึกอยากกดทิปให้หลายร้อยบาทเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณที่ช่วยให้สมองวุ่นวายได้คิดเรื่องอื่นบ้าง คำพูดยาวเหยียดก่นด่าไปทั่ว ตั้งแต่ลม ฟ้า อากาศ รวมไปถึงปัญหาค่าครองชีพถูกยัด