LOGINเจ้าหน้าที่สอบสวนหันไปปรึกษากัน อเล็กซิสมองสำรวจไปรอบห้อง เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายทำหน้านิ่งราวกับรูปปั้นหินอ่อน อเล็กซิสพยายามมองหาชื่อของตำรวจสาวเหมือนที่เคยทำกับเจ้าหน้าที่คนอื่น แต่ผมเปียหางปลาของหญิงสาวบังป้ายชื่อเธอเอาไว้
ไม่กี่นาทีต่อมา เจ้าหน้าที่สาวกลับมาสอบสวนอเล็กซิสต่อ
“คุณเดวิส โปรดมองที่หน้าจอนี้นะ” อเล็กซิสเงยหน้า จ้องแผนผังภายในสถานีตำรวจบนจอภาพแบนขนาดประมาณหนังสือเล่มใหญ่เล่มหนึ่ง เธอไม่เคยเห็นเทคโนโลยีล้ำสมัยเช่นนี้มาก่อน เพราะว่าเพียงแค่เจ้าหน้าที่สัมผัสหน้าจอ ทุกอย่างก็ปรากฏขึ้นเองราวกับมีเวทมนตร์ เพียงแค่สัมผัสก็ควบคุมแอปพลิเคชันต่าง ๆ ได้ผ่านหน้าจอเท่านั้น เจ้าหน้าที่สอบสวนหญิงนับหนึ่งถึงสิบแล้วส่งสัญญาณให้นายตำรวจโจเซฟปลดล็อกข้อมือข้างขวาของเธอ “ช่วยวาดแผนผังเมื่อครู่ให้ทีนะจ๊ะ” เธอสั่งแล้วคว่ำหน้าจอลง
“ข้างซ้ายค่ะ” อเล็กซิสบอกกับนายตำรวจ เขาพยักหน้าแล้วเปลี่ยนมาปลดล็อกมือข้างซ้ายแทน
พวกเขาให้กระดาษใสกับปากกาสีดำมาอย่างละหนึ่ง อเล็กซิสเริ่มวาดแผนผังตามความจำของเธอ ซึ่งใช้เวลาประมาณห้านาทีเท่านั้น จากนั้นเธอจึงส่งรูปวาดให้กับนายตำรวจ เขาล็อกแขนเธออีกครั้ง
เจ้าหน้าที่สาววางรูปวาดลงบนจอแล้วยกขึ้นให้ดูเพื่อแสดงให้เห็นว่ารูปวาดของอเล็กซิสนั้นตรงกับแผนผังตัวอย่างพอดิบพอดี
“คุณค้นพบทักษะนี้ตั้งแต่เมื่อไร”
“น่าจะประมาณเจ็ดขวบ ไม่ค่อยแน่ใจนะคะ”
“แล้วคิดว่าตัวเองเก่งกว่าคนอื่นหรือแปลกกว่าคนอื่นหรือเปล่า”
“ไม่ค่ะ มันก็แค่ทักษะการจำ มีคนอีกหลายคนที่มีทักษะหลายอย่างเก่งกว่าของฉันเสียอีก หรืออาจจะแปลกกว่าก็ได้ ฉันชอบความสามารถนี้นะคะ โดยเฉพาะเวลาทำข้อสอบ มันสะดวกดี”
เจ้าหน้าที่สาวหัวเราะเบา ๆ “ก็จริงนะ แล้วพ่อแม่ของคุณทราบหรือเปล่า”
อเล็กซิสชะงักราวสองสามวินาที เพราะกลัวว่าคนพวกนี้จะพยายามหาข้ออ้างจับพ่อแม่ของเธอ “ค่ะ...ทราบค่ะ พวกเขาบอกว่าพระเจ้ามอบพรสวรรค์ที่แสนวิเศษให้กับฉัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะแตกต่างหรือเก่งกว่าคนอื่น”
“พวกเขาพูดอย่างนั้นหรือจ๊ะ ไม่ใช่ว่า พวกเขาพยายามช่วยปกปิดหรอกนะ”
อเล็กซิสพยายามหาคำพูดที่ดีที่สุด “ไม่ค่ะ ถ้าพวกเขาพยายามจะปกปิดพรสวรรค์นี้ พวกเขาคงบอกให้ฉันซ่อนมันไว้ให้มิด แต่พวกเขาไม่ได้บอกแบบนั้น พวกเขามองว่ามันเป็นของขวัญล้ำค่า” มันเป็นความจริงครึ่งเดียว แต่ไอ้เครื่องช็อกไฟฟ้าก็ไม่ได้ทำอันตรายออสโล่เลย
“เธอกับครอบครัวของเธอคิดว่าสิ่งนี้ปกติ” เจ้าหน้าที่ชายที่เพิ่งสอบสวนเวดแทรกขึ้น รวมทั้งเจ้าหน้าที่คนอื่นพยักหน้าว่าเห็นด้วย ท่าทางที่เหมือนกันหมดของพวกเขาทำให้เธอเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดในช่องท้อง คนพวกนี้ดูเหมือนกับหุ่นยนต์ที่ออกมาจากโรงงานเดียวกัน
อเล็กซิสพยายามไม่ปล่อยให้ความวิตกกังวลรบกวนความคิด เด็กสาวพูดความจริงและความจริงนั้นจะไม่ทำอันตรายเธอทีหลัง หากพวกเขาพยายามที่จะแจ้งข้อหาแปลก ๆ ล่ะก็ ไม่มีทาง เธอมั่นใจ ไม่เป็นอะไรหรอก เราก็แค่มีความจำดีเท่านั้นเอง พ่อมักบอกว่ามันเป็นพรสวรรค์ที่พิเศษแต่ไม่ได้อันตราย แต่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณสตีเว่นกันแน่ ทำไมพวกเขาถึงเอ่ยชื่อของเธอ
“คุณเดวิส คุณมีอาการอย่างไรเวลาอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยฝุ่น”
“ก็คัน ๆ น้ำมูกไหล ผื่นขึ้นที่ผิวหนังค่ะ”
เธอเกลียดเวลาพวกเขาสบตากัน
สุดท้าย เจ้าหน้าที่หญิงประกาศคำตัดสินออกมาจนได้ “สำหรับกรณีของคุณ เราไม่อาจบอกได้อย่างเต็มปากว่าคุณมีอาการไฮโปคอนดริเอซิสหรืออาการที่คนไข้คิดไปเองว่าป่วย เพราะว่าคุณถูกทำให้เชื่อตั้งแต่เด็กว่าตัวเองเป็นโรคภูมิแพ้ฝุ่น บางครั้ง ร่างกายของเราก็เล่นตลกกับเรานะจ๊ะ แต่ว่าจากผลตรวจเลือด คุณไม่มีอาการแพ้สารใดเลย ซึ่งหมายความว่า ร่างกายของคุณแข็งแรงร้อยเปอร์เซ็นต์ ดังนั้นแมรี่ สตีเว่นจงใจกรอกข้อมูลเท็จลงในประวัติการรักษาของคุณเพื่อปกปิดบางสิ่งในตัวคุณ...จากสายตาของพวกเรา”
“มันเป็นพรสวรรค์ธรรมดาเท่านั้น” เวดโพล่งออกมา อีกครั้งที่กระแสไฟฟ้าช็อกเข้าร่างอเล็กซิส “ขอโทษ ๆ ฉันขอโทษ”
“ไม่ต้องพูดอะไรอีกนะ” อเล็กซิสขอร้องเพื่อนชาย แม้รู้อยู่เต็มอกว่าเขาแค่อยากปกป้องเธอและตัวเขาเอง นั่นเป็นเพราะว่า ถ้าทางการไม่พบกลุ่มต้องสงสัยหรือกลุ่มเสี่ยงเข้าสักคน เวดแค่เพียงจ่ายค่าปรับแล้วกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ
“เราเสียใจนะจ๊ะที่ต้องแจ้งว่า คุณเข้าข่ายกลุ่มต้องสงสัย”
มันเป็นอาการเดียวกับเมื่อครั้งที่เธอเห็นจูนกับเดวี่อยู่ด้วยกัน ความว่างเปล่าเฉียบพลันที่เกิดขึ้นในอก หลังจากนั้นคลื่นแห่งความผิดหวังซัดเข้าใส่
“ฉันพูดความจริง และทักษะนี้ก็เป็นเพียงทักษะปกติไม่ได้แปลกประหลาดอะไรเลย”
อเล็กซิสบอก พยายามควบคุมน้ำเสียงและระดับให้เป็นปกติ“เด็กน้อย พวกเรามีความเห็นตรงกันว่าคุณมีคุณสมบัติที่จะอยู่ในกลุ่มต้องสงสัยและจำเป็นต้องเข้าโปรแกรมบำบัด อย่าห่วงเลยจ้ะ เราจะรักษาคุณเอง”
รักษาเหรอ ตลกสิ้นดี ฉันไม่ได้ป่วย แล้วฉันจะโต้แย้งคำตัดสินผิด ๆ แบบนี้ไม่ได้เหรอไง อเล็กซิสพยายามควบคุมตัวเองให้สงบ หายใจเข้า หายใจออก
มันเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับคำตัดสินง่าย ๆ เหมือนที่อเล็กซิสเคยทำ เพราะว่าคำตัดสินส่งผลกระทบที่มากกว่านั้น เมื่อไม่กี่วันก่อน หากไม่นับเรื่องที่เธออกหักซึ่งกลายเป็นเรื่องเก่าแรมปีไปแล้ว อเล็กซิสยังคงเห็นตัวเองในฐานะนักศึกษาปีหนึ่งที่กำลังจะเดินเข้าวิทยาลัยการแพทย์ในเดลฟี ในกรณีที่เธอไม่ได้ทุนการศึกษา แม้จะไม่มีเดวี่กับจูน แต่เส้นทางชีวิตของเธอยังโรยด้วยกลีบกุหลาบ อเล็กซิสจะเข้าสโมสรหญิงล้วนสักกลุ่ม แล้วก็สมัครเข้าทีมบาสเกตบอลของมหาวิทยาลัย เธอยังรับงานถ่ายแบบให้กับนิตยสารเพื่อหารายได้เล็ก ๆ น้อย ๆ จากนั้นกลับบ้านทุกวันหยุด การถูกตีตราว่าเป็นกลุ่มต้องสงสัยหมายถึงอนาคตทั้งหมดดับวูบ หมดสิ้นทั้งอิสรภาพและความฝัน โปรแกรมบำบัดที่พวกเขาอ้างว่าจะรักษาคนพวกนี้ไม่เคยประสบความสำเร็จว่าสามารถรักษาคนที่ถูกกล่าวหาได้ ไม่มีใครกลับมาเล่าความจริงว่าพวกเขาเจออะไรและถูกกระทำเช่นไร อเล็กซิสไม่อาจกลับบ้านได้อีกแล้ว ทั้งที่ บ้าน คือ สถานที่ที่ดีที่สุด เธอไม่อาจกลับไปอยู่กับคนที่เธอรักได้อีกแล้ว
นี่เหรอ...อิสรภาพครั้งใหม่
“คุณมีอะไรจะพูดกับพวกเราอีกหรือเปล่า”
“เชื่อฟังพวกเขา” เสียงของเจสซี่เตือน ไม่ หัวใจของเธอแย้ง แต่...แล้วฉันจะทำอะไรได้เหรอ ฉันจะเปลี่ยนใจพวกเขาได้อย่างไร ถ้าฉันพยายามที่จะปกป้องตัวเอง ออสโล่ก็จะบาดเจ็บ
“ไม่มีค่ะ” อเล็กซิสฝืนใจตอบ น้ำตาคลอเบ้า
เธอเป็นเด็กดีและเชื่อฟังผู้ใหญ่เสมอ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ช่วยให้เธอพ้นภัย อเล็กซิสไม่ใช่คนเดียวที่ร้องไห้ เบลินดาและเวดก็ร้องเหมือนกัน เพราะทั้งสองทราบชะตากรรมตัวเองแล้ว พวกเราเป็นเพียงทาสของระบบที่เสื่อมทราม
“...เหรอ ถ้าพวกคุณพบว่ามีกลุ่มต้องสงสัยหรือกลุ่มเสี่ยง ผมต้องเข้าโปรแกรมด้วยใช่หรือเปล่า”
เธอมองเวด แต่เขาไม่ได้มองหน้าใคร เด็กหนุ่มเอาแต่จดจ่ออยู่กับเท้าของเขา ฉันขอโทษ ฉันขอโทษที่สู้เพื่อตัวเองไม่ได้ ฉันขอโทษที่ลากนายเข้ามาด้วย
คนสุดท้ายคือออสโล่ เธอหวังว่าเขาจะรอดจากความอยุติธรรมนี้ แต่ถึงกระนั้น ชายที่สัมภาษณ์เขากลับยกตัวอย่างความผิดปกของเกรดที่ครูโดบี้ส์ ผู้เป็นคุณครูสอนวิชาคณิตศาสตร์บันทึกไว้ เธอยังเป็นพี่สาวของนางพยาบาลสตีเว่นด้วย
“...คุณเจสเซ่น เราแน่ใจว่ากรณีของคุณเหมือนกับกรณีของคุณเดวิส นั่นคือคุณนายโดบี้ส์พยายามที่จะปกปิดความสามารถของคุณ ตามประวัติแล้ว เป็นไปได้ที่ว่าคุณจะมีคุณสมบัติเข้าข่ายกลุ่มต้องสงสัย พวกเรามีความเห็นตรงกันว่าคุณควรเข้ารับโปรแกรมบำบัดเช่นเดียวกับคุณเดวิส”
“มันไม่ชัดเลยสักนิดว่าผมเป็นกลุ่มต้องสงสัย ไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่าผมจะเข้าข่าย ผมไม่คิดว่าตัวเองสมควรได้รับ...”
เสียงร้องของเบลินดาดังโหยหวนเหมือนกับเสียงของเวดและอเล็กซิสก่อนหน้านี้ ออสโล่ปิดปากตัวเองสนิท อเล็กซิสเหลือบเห็นน้ำตาไหลจากหางตาของเขา แต่เขาพยายามกลั้นน้ำตาไว้อย่างอดทน ในห้องนี้ ทุกคนสมควรได้รับการปล่อยตัวจากเคสเอชโอวันบ้าบอคอแตกมากกว่าถูกตัดสินว่าเป็นกลุ่มต้องสงสัยเสียเอง พวกเขากล้ำกลืนความขมขื่นลงไปข้างใน เพราะว่าบางครั้ง น้ำตาไม่อาจช่วยปลดปล่อยความเศร้า แล้วอนาคตของพวกเขาล่ะ ใครจะรับผิดชอบ พวกเขาจะถูกทำอะไรบ้าง ใครจะรู้
มันไม่ใช่เรื่องตลก
นี่มันเรื่องบ้าชัดๆ
“แต่คุณบอกว่ามันจะใช้คุณเป็นตัวประกัน” ไมเคิลเถียง“ใช่ ตัวฉัน เพียงแค่ร่างกายที่ยังมีลมหายใจ”อเล็กซิสเข่าอ่อนจนทรุดตัวลง ก้มหน้าซ่อนสะอื้นลงกับตักหญิงสาว นาฮีมานาอาจไม่ใช่แม่ของกลุ่มเสี่ยง แต่เปรียบเหมือนกับผู้ใหญ่หรือไม่ก็พี่สาวที่พวกเขารู้สึกสบายใจเวลาเห็นเธอ เปรียบดั่งต้นไม้ที่ให้ร่มเงาทางจิตใจ“แต่ว่า...ก่อนจะออกไป ฉันมีเรื่องจะขอร้อง”เมื่อนั้นเธอจึงเงยหน้าขึ้น นาฮีมานาจับมืออเล็กซิสกับไมเคิล“เผาทุกอย่างในนี้”ทั้งสองพยักหน้า“ถ้าเห็นอะไร ทำใจไว้นะ แต่ฉันคิดว่าอย่าปล่อยไปเลย พวกเขายังไม่รับรู้อะไรหรอก”ทว่าประโยคหลังนั้น ทั้งสองไม่เข้าใจ นาฮีมานาคะยั้นคะยอให้พวกเขาออกไปจากที่นี่อีกครั้ง มืออีกข้างหยิบปืนที่พวกนั้นทิ้งไว้ เธอพยักหน้าให้ทั้งสองเห็นว่าไม่เป็นไร“พวกเธอไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว ไปเถิด”“เหลืออีกห้านาที”นาฮีมานาไม่ต้องการให้พวกเขามอง หรือรับรู้ ทั้งสองจึงเดินออกไปหน้าลิฟต์ ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นจึงได้ยิน
“พาตัวเธอมา” เธอหันไปสั่งเพื่อนร่วมงานหรือลูกน้อง อเล็กซิสไม่มีวันรู้ไม่ถึงหนึ่งนาทีได้ คนของอาร์คาเดียจึงประคองนาฮีมานาออกมา เธออยู่ในสภาพอิดโรย ผมสีดำยุ่งเหยิง แก้มที่ตอบอยู่แล้วลึกลงไปราวกับผิวหนังปกคลุมเพียงโครงกระดูก เธอออกจากกลุ่มไปก่อน อเล็กซิสไม่รู้เลยว่าหญิงสาวโดนจับไปเมื่อไร“ได้โปรด เราพาเธอมาแล้ว”“เหลืออีกสิบนาที” พวกเขามองหน้ากันอย่างตื่นตระหนกเพราะกลัวหนีไม่ทัน“ทำไม ที่นี่จะระเบิดหรือ”พวกเขาส่ายหน้า ทั้งสองไม่เชื่อ แต่เมื่อเห็นนาฮีมานาพยักหน้าให้มั่นใจว่าเป็นเรื่องจริง อเล็กซิสจึงหันไปพยักหน้ากับไมเคิล เขาจึงบอกให้คนที่เหลือออกไป ทั้งหมดทิ้งอาวุธแล้วรีบวิ่งหนี บางคนแย่งกันออกไปจนมีเสียงโวยวายล้มลุกคลุกคลาน ส่วนพวกเขารีบไปประคองนาฮีมานาที่ถูกทิ้งลงกับพื้น“มานา...”หญิงสาวสบตากับทั้งสองแล้วยกมือจับแก้มคนทั้งคู่ เพียงสัมผัสอเล็กซิสกลับรู้สึกสบายตัว อากาศปวดตามตัวและที่หน่วงอยู่ในท้องก็อันตรธานหายไปทันใด เมื่อเธอมองไมเคิลจึงเห็นว่าบาดแผลบนใบหน้
“เหลืออีกยี่สิบนาที”สิ่งที่อเล็กซิสเกลียดที่สุดคือการไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน และเกิดอะไรขึ้น แม้เข้าใจจุดประสงค์ของผู้ลักพาตัว แต่ไม่สามารถรู้ได้ว่าตัวการเป็นใคร ทั้งสองยืนมองนักวิทยาศาสตร์วิ่งหนีออกจากตึกจากบานหน้ากระจกขนาดใหญ่บนชั้นลอยเปิดสู่โถงด้านล่าง ประตูทางออกนั้นไม่ได้เปิดออกไปแล้วเห็นด้านนอก แต่ไปยังลิฟต์ที่เคลื่อนตัวขึ้นไปด้านบน โถงด้านล่างกินพื้นที่ถึงห้าชั้น มันกว้างใหญ่ พวกเขาวิ่งหนีขึ้นลิฟต์ บ้างแย่งกัน แต่เพราะจำนวนมีจำกัดจึงไม่อาจขนส่งคนออกไปได้ทันทีแต่ก็ทำให้เธอรู้ว่าทั้งหมดอยู่ใต้ดินขณะนั้นไมเคิลปรายตามองทีมรักษาความปลอดภัยที่อยู่ด้านล่าง พวกเขาไม่ได้สวมชุดทหารสีเทาแต่เป็นสีน้ำตาล ในมือถือปืนเลเซอร์ขนาดใหญ่เล็งมาแต่ยังไม่ได้ยิง หรือพูดไม่ถูกคือไม่กล้ายิงเพราะกลัวผลโต้ตอบที่รุนแรงกว่า อีกกลุ่มคอยอพยพและจัดระเบียบ พวกเขามองขึ้นมาอย่างหวาดผวา ส่วนเธอกับไมเคิลมองลงไปด้วยสายตาว่างเปล่า“ปล่อยไปเถอะ เราต้องการเพียงมานา”อเล็กซิสไม่ได้ใจดี เธอแค่ไม่อยากเสียเวลาไมเคิลพยักหน้าแต่สายตายังจับจ้อง
แม้สายตาจะคอยชำเลืองมองแฝดที่ยืนจังก้าอยู่ด้านหน้าประตูรอให้พวกมันเข้ามา อเล็กซิสใช้เวลานี้เรียกข้อมูลขึ้นมาเรื่อย ๆ นอกจากจะเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอของพวกเขาแล้ว พวกมันต้องการเซลล์ไข่ของเธอและสเปิร์มของแฝดเพื่อผสมเทียม สมมติฐานของคนพวกนี้นั่นคือ เธอและไมเคิลเป็นกลุ่มเสี่ยงคู่เดียวที่สามารถให้กำเนิดทายาทที่มีลักษณะพิเศษได้ เหมือนอย่างที่ลูก้าและเจมม่าเคยให้กำเนิดคนทั้งสอง เนื่องจากกลุ่มเสี่ยงคนอื่นล้วนมีภาวะมีบุตรยากหรืออาจจะถึงขนาดไร้ประสิทธิภาพที่จะมีทายาทเลยก็ว่าได้เพื่ออะไร ผลิต...ผลิตกองทัพผู้มีพลังพิเศษด้วยตัวเองหรือปัญหาคือ เธออยากรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง เอไลโตทั้งหมด หรือบางคน? ที่แน่ ๆ พวกมันใช้คาเรลที่สมควรถูกประหารชีวิตไปแล้วปลอมตัวเป็นไมเคิลมากหลอกเธอเสียงฝีเท้ามากมายมาเป็นโขยงโดยที่แฝดชายยืนรออยู่ อเล็กซิสถอยห่างจากโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน“อยู่เฉย ๆ” คนข้างนอกตะโกนเข้ามา “อย่าขยับไม่อย่างนั้นพวกเราจำเป็นต้องยิง!”ชายหนุ่มผมเงินหัวเราะดูแคลนคนข้างนอก พริบตาเดียวเปลวเพลิงลุกโถมเข้าใส่ประตูด้านหน้า ทีมรักษาความป
ความเงียบกลับมาปกคลุมอีกครั้งพร้อมกับสภาพเครื่องมือล้มระเนระนาด รวมทั้งจานที่บรรจุเซลล์ไข่แตกละเอียด เพียงเธอมอง ของเหลวในนั้นแห้งเหือดตรงมุมขวาของห้องมีกล้องวงจรปิดอยู่ อเล็กซิสยกมือขึ้นทำท่าบิด มันแตกแล้วตกลงมา เพียงเท่านั้นเธอรีบลุกออกจากเตียงเพื่อไปหาไมเคิล แต่เพียงขยับก็เจ็บหน่วงที่ท้อง สุดท้ายกลั้นใจหยิบผ้าคลุมมาพันตัวแล้วเดินไปหาน้องชาย มันไม่ได้เจ็บมากนัก แต่แปลบ ๆ หน่วง ๆ เหมือนเวลาที่เธอเคยมีประจำเดือน“ไมเคิล” เธอจับแก้มที่มีแผลไหม้แล้วสงสารจับใจ ใบหน้าของเขาคือของขวัญล้ำค่าที่ไม่ว่าใครก็อยากจะถนอมดูแล แล้วดูตอนนี้สิ อเล็กซิสดึงเครื่องรัดออกแล้วสวมกอดคนที่นอนอยู่แน่นเพื่อให้เขาฟื้นตัว “ไมเคิล ตื่นสิ ไมเคิล”ชายหนุ่มส่งเสียงครางอือ ๆ เบา ๆ เธอถอนตัวขึ้นมาเพื่อรอให้เขาฟื้น เขาเริ่มขยับริมฝีปาก “รอ...”“ไม่ต้องรอ” เธอบอกพลางกุมมือเขาแน่น น้ำตาเอ่อขึ้นมาเมื่อมองแฝดชายราวกับเห็นร่างของซีโน่ที่กำลังจะตาย “ตื่นขึ้นมา ฉันจะปกป้องนายเอง”เขากะพริบตาก่อนจะลืมตามอง ดวงตาสีฟ้าเข้มสบกับของเ
มีกี่เรื่องที่ทำให้คนเราฝันร้าย แต่เมื่อตื่นเหมือนกับโผล่ขึ้นผิวน้ำปีศาจในความทรงจำล้วนมีมากหน้าหลายตา และกลุ่มแรกมีชื่อว่าคาเมรอนกับบรูซ ยังดีที่โชคยังเข้าข้าง ต่างกับตอนนี้ที่ตกอยู่ในเงื้อมมือปีศาจใต้หน้ากาก หมดสิ้นอิสรภาพโดยสิ้นเชิงสติไปไหน เหตุใดจึงรู้สึกล่องลอย บางครั้งตื่นตัว บางครั้งไม่รู้สึกมันมากันเป็นกลุ่ม จับร่างของอเล็กซิสขึงเพื่อเอาบางสิ่งจากกาย หากขัดขืนดิ้นรนก็จะได้รับความเจ็บปวดสาหัสจนไม่อาจขยับได้ไปหลายนาที คงเป็นเพราะกายหยาบนี้ทนทานต่อยาสลบจึงตื่นเร็วเกินไป แต่ต่อให้ทนได้เพียงใดก็ไม่ได้แปลว่าไม่เจ็บปวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมรุกล้ำเข้ามาเสียงกรีดร้องอ้อนวอนขอให้พวกมันหยุดไม่เป็นผล แม้เมื่อมันได้สิ่งที่ต้องการก็ยังไม่ปล่อยอเล็กซิสกับไมเคิลไป พวกมันเอาขาหยั่งออกแล้วปล่อยให้ขาเธอนอนเหยียดยาวโดยมีเครื่องล็อกตรึงไว้ไม่ให้ขยับ“พวกแกต้องชดใช้” เสียงที่ตะโกนออกไปกลั่นออกมาจากความแค้นที่อยู่ลึกสุด แต่กลับฟังดูอ่อนแอเกินกว่าจะขู่ให้ผู้ใดกลัว ตรงกันข้ามกลับเรียกเสียงหัวเราะขำขันแทนเธอหันไปมอง







