เข้าสู่ระบบหลังจากเพื่อนของเขาลุกออกไป เหลือเพียงแค่นักพัฒนาเกมคน ที่ใบหน้าหมองลง จากคำดูถูกของเพื่อน และภาระที่เขาแบกเอาไว้ เอสลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะของเขา
“สวัสดีครับ ผมขอนั่งด้วยได้ไหม” น้ำเสียงสุภาพ เขาขยับแว่นก่อนจะมองดูเอสให้ชัด ดูจากสีหน้าของเขา ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ การแต่งตัวของเอสไม่ได้หรูหรา ออกจะธรรมดา เพราะไม่มีโลโก้แบรนด์ดังสักชิ้น “ได้ครับ...” “ขอเข้าเรื่องเลยแล้วกัน” เอสพูดต่อ หลังจากย่อยตัวลงนั่ง ด้วยความมั่นใจ ต่างจากตัวเขาเมื่อหลายวันก่อน ที่ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าคนอื่น “มีอะไรหรือเปล่าครับ...หรือว่า” เขาย้อนนึกถึงหลายเดือนที่ผ่านมา มีคนเสนอซื้อเกมของเขาหลายคน แม้จะเป็นแค่ต้นแบบ ยังต้องพัฒนาอีก แต่ข้อเสนอที่ได้กับต่ำจนตัดสินใจไม่ได้ “ถ้าเป็นเรื่องเกม...ผมคงต้องขอปฏิเสธ” ยังไม่ฟังข้อเสนอ ก็ปฏิเสธไปแล้ว แต่เอาไม่ยอมง่าย ๆ หรอก จากสายตาของเขา เกมแนวนี้เคยเห็นผ่านตามาบ้าง เขาจะปล่อยให้เงินลอยหายไปได้ไง “ผมชื่อเอสครับ เมื่อครู่พอจะได้ฟังเรื่องที่คุยกันแล้ว” เอสพูดด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “ผมสนใจนะ...แน่นอนว่าไม่คิดจะทำให้นายลำบากใจ” “เอ่อ...ผมชื่อบอลครับ ถ้างั้นผมจะเอาตัวเกมให้ดู” เขาหยิบแล็ปท็อปออกมา เปิดเกมต้นแบบให้เอสดู สีหน้าของเขาหลังจากสัมผัสกับเกมตัวเอง ก็เปลี่ยนไปราวกับปลาได้น้ำ “นี้เป็นแค่ต้นแบบ...คุณคิดว่าไง” เอสเงียบไปสักพัก...กำลังคิดวิเคราะห์รายละเอียดของเกม และ แนวโน้มการตลาด ว่าจะสามารถทำเงินได้หรือเปล่า แต่แล้วสายตาของเขาก็สว่างขึ้น “เท่าไหร่” “อะไรครับ คุณจะให้ผม ขายเกมให้เหรอ” “เปล่า...เงินทุนที่นายอยากได้” เอสตอบเสียงเรียบ สายตาคมเข้ม ทำเอาบอลเหงื่อเย็นออกจากแผ่นหลัง ไม่คิดว่าจะมีคนเสนอแบบนี้ ราวกับตัวเองกำลังฝันอยู่เลย “แค่...สิบล้านครับ” สิบล้านสำหรับเขาก็มากแล้ว นี้คือราคาที่เขาไม่ได้อะไรมาก เขาแค่อยากให้เกมที่สร้างเสร็จสมบูรณ์ แต่เอสยังคงนิ่ง เขาจึงพูดต่อ “ถ้าแพงไป...ผมลดลงสักหน่อย...” เขายิ้มตอบ ท่าทางไม่มั่นใจ “ร้อยล้าน...ฉันให้นายทำเต็มที่...ไม่ต้องหักโหมเร่งงาน ฉันแค่อยากได้คุณภาพ” “ร้อยล้าน...เหรอ?” บอลดวงตาเบิกกว้าง ไฟของนักพัฒนาเกม เริ่มลุกโชน “ฟังไม่ผิดหรอก...เราไปทำสัญญากันตอนนี้ได้เลย” “ได้ครับ ๆ” หลังจากผ่านไปไม่ถึงสิบนาที เรื่องสัญญาก็สำเร็จ เอสโอนเงินให้บอลทัันที ที่เหลือก็รอเงินออกดอกออกผล อย่างไม่ต้องเหนื่อยลงแรง “ฉันตั้งตารอ...จะได้เห็นผลงานของนายอยู่นะ” “ขอบคุณครับ...ที่เชื่อใจผม” ทั้งสองจับมือกัน...ดิลนี้ก็สำเร็จไปด้วยดี เอสนั่งรอไม่นาน มินนี่ก็มาถึงที่ร้าน เธอยังสวมชุดพนักงานขายรถ ใบหน้าหวานของยิ้มมาแต่ไกล เร่งฝีเท้าดินมานั่งตรงข้ามเอส “รอนานไหม...ขอโทษที่มาช้านะ” รอยยิ้มของเธอยังคงหวานฉ่ำ มัดผสมสูง ดวงตาเป็นประกาย หนุ่ม ๆ มองตามหลังเป็นแถว ๆ “ไม่หรอก...มาไม่นานเอง สั่งอาหารก่อนสิ” “วันนี้พี่เลี้ยงใช่ไหม...ไม่เกรงใจแล้วค่ะ” ยิ้มแก้มปริ แต่พอเห็นราคาอาหารแต่ละอย่างก็ทำเอาสีหน้าของเธอเปลี่ยนไป มินนี่โน้มใบหน้าแดงระเรื่อ ขยับเข้ามาใกล้ ก่อนจะพูดเสียงเบา ๆ “ทำไม...แพงจังเลย” เธอไม่ใช่ผู้หญิงวัตถุนิยม กินอะไรก็ได้ ไม่อยากให้เอสจ่ายแพง เดี๋ยวหมดตัว เอส อมยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าของเธอ “พี่เลี้ยงไหว...จะกินเยอะเท่าไหร่กัน” “เตื่อนแล้วนะ...ถ้ากระเป๋าตังค์พี่ฉีกก็อย่าโทษหนูแล้วกัน” เธอทำหน้าดุไปหนึ่งที ก่อนจะยิ้มหวานให้ แล้วหยิบเมนูขึ้นมา เลือกสิ่งที่ชอบ “รอสักครูนะคะ” พนักงานรับออเดอร์เสร็จก็ออกไป “มินนี่...ใช่ไหม?” เสียงดังมาจากด้านหลัง มินนี่หันไปดู สีหน้าของเธอเปลี่ยนเมื่อเจอเพื่อนที่เคยเรียนมหาลัยเดียวกัน “จ๋ากับก้อยเองเหรอ...บังเอิญจังเลยนะ” เธอยิ้มตามมารยาท ดูจากสีหน้าคงไม่ค่อยสนิทกับสิงสาวที่มาใหม่ “นั้นสิ...พอดีเลยขอนั่งด้วยได้ไหม” สองสาวไม่รอคำตอบ นั่งลงอย่างไม่เกรงใจ มินนี่จึงขยับมานั่งฝั่งเดียวกับเอส “อ้าว...สวัสดีค่ะพี่เอสใช่ไหม” จ๋าถามขึ้น สายตาประเมินราวกับเครื่องสแกน พอเห็นเสื้อผ้าของเอาไม่ใช่ของแพง ก็แอบเบะปากใส่ “อย่าบอกนะว่าคบกันอยู่...” จ๋าถามต่อ “จริงสิ...ได้ข่าวว่าพี่เอสว่างงานเหรอคะ...ให้ช่วยหางานให้ไหม” ก้อยที่เงียบมานานจึงถามแบบไม่เกรงใจ คำพูดแบบนี้เป็นการดูถูก คนที่ว่างงานยุคนี้ได้ดีเลย “ใช่แล้ว...เราคบกันอยู่” เอสจับมือนุ่มของมินนี่ ทั้งสองจ้องตากันก่อนจะยิ้มให้กัน “ก็ตามนั้น...” มินนี่หน้าแดง หัวใจเต้นเร็วจนแทบจะทะลุออกมา แม้จะรู้ว่านี้เป็นแค่การแสดงเท่านั้น “เพื่อนของพี่เอส...มีแต่คนได้งานดี ๆ นะคะ” เธอหยิบมือถือขึ้นมา ให้ดูรูปคนอื่น “นี้เป็นงานเลี้ยงรุ่นครั้งก่อน มีคนเอาข้อมูลมาลงด้วย เป็นผลสำเร็จของรุ่นเลยนะเนี่ย” เอาใบหน้านิ่ง ไม่สนใจคำพูดพวกนั้น ก่อนจะแสร้งทำเป็นคนหัวอ่อน “ใช่แล้ว พวกเขาคงจะประสบความสำเร็จจริง ๆ ฉันเองก็ดีใจด้วย” เมื่อเห็นว่าเอาไม่รู้สึกสะทกสะท้านอะไร จึงหันมาพูดกับมินนี่แทน “แล้วเธอ...ยังทำงานอยู่ที่เดิมหรอ” จ๋าถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ใช่...ที่เดิมแหละ งานอื่นก็หายาก อีกอย่างที่เดิมก็ดีด้วย” มินนี่พูดตามความเป็นจริง “ไม่คิดว่าเงินเดือนแค่นั้น...ยังกล้ามากินร้านนี้” ทั้งสองคนยิ้มให้กัน ก่อนจะถามมินนี่อีกครั้ง “อย่าบอกนะว่าเธอ...รับงานนอกเหรอ” สองสาวยิ้มเยาะ ถ้าไม่ใช่แล้วจะมีอะไรได้อีก “ฉันเลี้ยงเธอเอง...อย่าว่าแต่ร้านนี้เลย ต่อให้เป็นร้านดังที่สุดในเมืองก็ไหว” เอสตอบเสียงเรียบ รวบเอวเล็กเข้ามาจนมินนี่สะดุ้ง ใบหน้าแดงกว่าเดิม “ทะลึง...อยากโดนหนูตีใช่ไหม” เธอกระซิบข้าง ๆ เอสยิ่งลูบไล้ไปมา โดยที่ทั้งสองคนที่นั่งอยู่ไม่เห็น เพราะโต๊ะบังเอาไว้อยู่ มินนี่ไม่ได้ขัดขืน แต่กลับรู้สึกแปลก ๆ ตรงหว่างขา ใบหน้าสวยหันมาอ้อนวอนขอให้เอสหยุด ไม่งั้นคงจะทนไม่ไหว “พอก่อน...” เอสยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะหยุดตามที่เธอขอ เพื่อนของเธอคิดว่าเอสก็แค่โม้ เพราะทั้งตัวมีแต่ของตลาดนัด แถมว่างงานจะเอาอะไรมาเลี้ยง นอกจากธุรกิจสีเทา ยุคนี้คนชอบทำกันเยอะ แต่จุดจบก็มีให้เห็นทุกวัน “แบบนี้เองสินะ...ไม่งั้นคงไม่เห็นเธอมาที่นี่” “เอาเถอะ...งั้นก็เลี้ยงพวกเราด้วยสิคะ” เอากำหมัดแน่น ไม่คิดว่าสองคนจะหน้าหนาแบบนี้ พูดจาไม่ให้เกียรติคนอื่น ยังจะมาขอทานอีก แต่ก่อนจะได้พูดอะไร มินนี่ก็พูดเสียงแข็ง “โทษทีนะ พี่เขาจ่ายให้แค่ฉัน” พูดจบก็เอาความนุ่มนิ่มมาถูแขนของเอส ทำเอาแทบจะอยากจับกดเธอตรงนี้ไปเลย คนอะไรยั่วจริง ๆ “ช่างดถอะ...แค่พูดไปงั้นแหละ” “แฟนของพวกเรารวยจริง ๆ ไม่ใช่รวยชั่วคราวเหมือนบางคน” เป้าหมายชัดเจนว่าพูดถึงใคร ถ้าไม่ใช่เพื่อนของมินนี่ เขาคงไม่ทนแน่ แต่ด้วยนิสัยรักสงบ ไม่ชอบพูดเยอะ ก็ให้พวกนั้นมโนไปแล้วกัน อาหารมาพอดีได้โอกาสกินโชว์ “อร่อยจังเลย” มินนี่ยิ้มสวยให้ หลังตักอาหารเข้าปากไปหนึ่งคำ “อร่อยก็กินเยอะ ๆ” “ค่ะ...” พอเห็นทั้งสองสวีทหวานกัน พวกเธอยิ่งไม่พอใจ ทันใดความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้น “มินนี่อย่าลืมพาแฟนมาแนะนำนะ พรุ่งนี้เพื่อนรุ่นเดียวกันจัดงานเลี้ยงนะ” “เธอคงว่างใช่ไหม...ถ้าอายก็ไม่เป็นไร” มินนี่กัดฟันพูด “เรื่องนั้นคงไม่....” “ได้สิ...ผมคงต้องไปเจอเพื่อนของที่รัก สักหน่อยแล้วสิ” เอสยิ้มให้เธอ เขาไม่อยากยุ่งคนอื่นจะหาเรื่องให้ คราวนี้ก็รอดูแล้วกันว่าพวกเธอจะทำอะไร “จะดีเหรอ” มินนี่ถามเสียงเบา “ดีสิ...ไม่อยากเปิดตัวแฟนเหรอ” มินนี่หน้าแดงหันไปอีกทาง ใช่ว่าเขาจะเป็นแฟนเธอจริง ๆ ถ้าใช่ก็ดีสิ"อย่าเพิ่งรีบร้อนตัดสินใจ ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากช่วยเหลือประเทศ หรือเห็นแค่กำไรเหมือนบางคนพูด เพราะมีแค่ทางนี้ที่พอเป็นไปได้"เอสพูดน้ำเสียงหนักแน่น ตรงไปตรงมาที่สุด พร้อมกับหันมาส่งสายตามองยาหยีเธอกำลังจะตอบกลับ แต่ถูกบิดาห้ามเอาไว้ก่อน คราวนี้เธอยอมเชื่อฟัง แล้วส่งสายตาไม่พอใจใส่เอส'ก็แค่พวกเห็นแก่ตัว จะหวังดีอะไร'เอสนั่งรอคำตอบจากทั้งสองคนที่กำลังปรึกษากัน แน่นอนว่าเรื่องแบบนี้ไม่ง่าย ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะให้เขากู้เงินไปทำการวิจัย แต่เพราะระบบห้ามณัทพงศ์ครุ่นคิดเงียบ ๆ เขาจะสามารถไว้ใจคนอื่นได้เหรอ เพราะแม้แต่ในหน่วยงานรัฐยังมีคนของพวกนั้นแฝงตัวอยู่ ถ้าหากสิ่งที่กำลังจะผลิตหลุดออกไป พวกนั้นคงรู้ตัว และลงมือจัดการเสียก่อน'จะทำไงดี...ไม่มีทางอื่นอีกเหรอ'"เอาเป็นว่าเรื่องนี้ฉันคงต้องปรึกษากันก่อน แล้วจึงให้คำตอบนะ"เข้าดูลังเลจริง ๆ เพราะยังไม่ไว้ใจเอส จึงอยากขอเวลาคิดอีกหน่อย"ได้ครับ...ผมยินดีช่วย""ขอบคุณมาก มีคนแบบนะเธอประเทศชาติคงพัฒนาไปอีกระดับแน่"เอสยิ้มตอบก่อนจะขอตัวกลับ พร้อมอเล็กซ์ที่เดินออกมา ทว่าก่อนจะออกจากบ้าน ทั้งสองต้องหยุดเท้าที่จะเดินไปข้างหน้า เพราะสาวสวยเดินมาขวา
ทหารติดอาวุธพอเห็นหน้าทั้งสองก็เหมือนจะรู้จักอเล็กซ์ พวกเขาไม่ได้ห้าม พร้อมกับเปิดประตูให้ทั้งสองเข้าไปข้างใน ก่อนจะปิดประตูไว้เหมือนเดิมเอสมองรอบห้องโถงขนาดใหญ่ ราวกับพระราชวัง ทุกซอกทุกมุมตกแต่งด้วยของเก่า ทำให้ได้กลิ่นบรรยากาศของยุคนั้น เอสสะดุดกับชุดโซฟาตรงกลางชุดโซฟาดูไม่ธรรมดา มีลวดลาย และดีไซน์สวยงาม เข้ากับการตกแต่งห้อง และคนสองคนที่นั่งอยู่ ทำให้เอสประหม่าเล็กน้อย"มาแล้วเหรอ นั่งก่อนสิ" ชายวัยหกสิบกว่า รูปร่างกำยำเอ่ยปากเชิญ"สวัสดีครับ"ทั้งสองคนกล่าวทักทายอย่างนอบน้อม ก่อนจะนั่งลงช้า ๆ ด้วยความตื่นเต้น โดยเฉพาะเอส ที่เพิ่งเคยเจอคนใหญ่คนโตของประเทศ ทำให้รู้สึกประหม่าเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้รนรานมาก"นี่คือ...คนที่พูดถึงเหรอ"ชายคนนั้นถามขึ้น พร้อมกับสายตาที่มองสำรวจเอส เขาดูตกใจไม่น้อย หลังจากสืบข้อมูลของเขา จากคนที่ล้มเหลวที่สุด กลายเป็นคนที่รวยเทียบเท่ามหาเศรษฐี ในเวลาไม่ถึงเดือน ทำให้นายทหารทึ่งในตัวเขามาก'เบื้องหลังของคุณคืออะไรกันนะ คนที่ฉันไม่สามารถตรวจสอบได้เลยเหรอ'ประธานใหญ่ BKAS หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะแนะนำตัวให้ทั้งสองคนรู้จัก คนที่ถามก่อนหน้า คือผู้บัญชาการทหารสูงสุด
ในระหว่างที่งานเลี้ยงกำลังดำเนินไป อย่างครื้นเครงแม้ว่าบริษัทซัพพลายเออร์หลายแห่งจะทยอยกลับ แต่ก็ยังมีอีกหลายบริษัทที่ยังอยู่ แต่น้อยจนนับนิ้วได้ทำให้สีหน้าของวิโรจน์ไม่ค่อยพอใจ เพราะแบบนี้บริษัทจะไปรอดยังไง แต่ในสถานการณ์ตอนนี้เขาไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว นอกจากเตรียมตัวปรับโครงสร้าง และ ประธานใหญ่ไม่ใช่เขา แต่คือตัวแทนบริษัท BBOSSพนิดาเดินมานั่งพัก หลังจากทักทาย และสานสัมพันธ์กับแขกในงาน เธอดื่มไปเยอะจนแก้มแดงทั้งสองข้าง"หึ...แกคงพอใจสินะ บริษัทกำลังจะจมลงเหวแบบนี้ พวกแกจะทำให้บริษัทพังไม่เป็นท่า"อนันต์นั่งอยู่ข้างวิโรจน์ ที่ยังนั่งอยู่ กับหลานชาย และคนอื่นที่ยอมรับความจริงไม่ได้ พวกเขาไม่อยากกลับไป เพราะไม่สามารถข่มตาหลับลงได้"ทำไมคุณลุงพูดแบบนั้นละคะ การปรับโครงสร้างเป็นวิธีบริหารแบบสากล มีความโปร่งใส และ ทำให้บริษัทก้าวหน้ากว่าเดิม นี่ถึงจะเป็นประโยชน์ของบริษัท"'ทำไมยังไม่เข้าใจ หรือไม่อยากเสียผลประโยชน์ที่เคยได้ มากกว่าเงินปันผลเหรอ'พนิดาตอบกลับ พร้อมสีหน้าสงสัยในตัวของลุง เธอไม่เคยเห็นเขาคิดเพื่อบริษัทสักครั้ง คิดแต่จะทำยังไงให้ได้เงินเข้ากระเป๋ามากขึ้นพอเธอพูดแบบนั้นยิ่งท
"เรื่องนี้พิสูจน์ง่ายมาก ใช่ไหม" เอสหันไปพูดกับอเล็กซ์"หมายความว่าไง ก็เห็นชัดว่าแกทำธุรกิจสีเทา หรือไม่ก็แกล้งรวยยังไง" มังกรอดไม่ได้รีบตอบเอสยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหยิบบัตรธนาคารสีดำด้านขึ้นมา เขาวางไว้บนโต๊ะ และดึงดูดความสนใจไม่น้อย พวกเขาอยู่ในวงการธุรกิจมานาน ย่อมรู้ดีว่าบัตรธนาคารที่ใช้ หมายถึงอำนาจทางการเงินของคนนั้น"เอาบัตรธนาคารกระจอกมาทำไม หรือจะบอกว่าแกรวยเพราะมีมันเหรอ" มังกรพูดเสียงดังในขณะที่คนอื่นเงียบกริบ แม้แต่ภัทรกับวิโรจน์ยังไม่กล้าเอ่ยปากพูดอะไร"หุบปากก่อนไอ้ลูกเวร นั่งลง" อนันต์ตวาดด่าลูกชายที่โง่จนมองไม่ออกประธานใหญ่คนอื่น ๆ ต่างจับจ้องที่บัตรธนาคารของเอส แค่เห็นชื่อของธนาคารพวกเขาก็เหงื่อตก รู้โล่งที่ไม่ทำอะไรมากไปกว่านี้แต่พอมองดูวิโรจน์ที่ปากดีตั้งแต่ต้น ดูถูกเขาทุกอย่าง ก็ทำให้พวกนั้นยิ้มเยาะ คราวนี้บริษัท F&M คงได้เปลี่ยนมือแล้วละ"คุณอเล็กซ์...เกิดอะไรขึ้นทำไมถึง..." ภัทรพูดติดขัด รู้สึกงุนงงกับเรื่องที่เกิดขึ้น"อ่อ...เขาเป็นลูกค้าวีวีไอพีของเรานะครับ คงสามารถพิสูจน์ได้ว่าเขารวยจริง"ทุกคนอ้าปากค้างกับคำว่าวีวีไอพี ลูกค้าที่มีเงินในบัญชีแสนล้านขึ้นไปวิโรจ
"ได้...เรามาเริ่มกันดีกว่า พวกคุณบอกว่าผมไม่รวยจริง และ ไม่ได้เป็นตัวแทนของบริษัท BBOSS คุณทุกคนก็พิสูจน์ได้เลย" เอสพูดยืดยาว"แน่นอน พวกเรามีเบอร์ติดต่อของบริษัท BBOSS แค่โทรไปก็รู้แล้ว" ภัทรหยิบมือถือขึ้นมา"คราวนี้แกจะแก้ตัวยังไง ก็หนีไม่รอดหรอก" อนันต์กัดฟันพูด พร้อมกำหมัดขว่าแน่น"เตรียมตัวได้เลย รปภ รีบไปคุมตัวเขาไว้ก่อน เดี๋ยวพอถึงเวลาแล้วจะหนีไปได้" มังกรยิ้มมุมปาก แววตาแฝงไปด้วยแผนการพนิดานั่งฟังอย่างใจเย็น แต่ถึงขั้นนี้เธอคิดว่าเกินไป"หยุดนะ...เขายังไม่ผิดพวกคุณไม่มีสิทธิ์ทำอะไร"รปภ ร่างกำยำสามคนหยุดนิ่ง เพราะไม่กล้าขัดคำสั่ง ตอนนี้จึงรอให้ผู้มีอำนาจตัดสินกันเองค่อยลงมือตาม"เธอกล้าดียังไง คิดว่าตัวเองเป็นใครเหรอ หลังจบเรื่องนี้เธอต้องถูกทำโทษแน่ ใช่ไหมครับคุณภัทร"อนันต์ตะคอกใส่ ไม่ไว้หน้าประธานเลยสักนิด ก่อนจะหันไปส่งรอยยิ้มให้ภัทร เพราะรู้ว่าชายหนุ่มคิดอะไรกับ หลานสาวตน"ฉันจะจัดการเธอทีหลัง ตอนนี้จับตัวมันไว้ได้แล้ว"รปภ รับคำสังจึงเดินเข้าไปหาเอส แต่พวกเขาก็ต้องหยุดทันทีที่ได้ยินเสียงของอเล็กซ์"พวกคุณไม่ให้เกียรติผมเลยนะครับ อยู่ต่อหน้าผมยังทำตัวแบบนี้ได้เหรอ" เขาพู
"คุณอเล็กซ์ครับ ผมขอยืมเงินคุณได้ไหม พอดีอยากเอาไปพนันเล่นนิดหน่อย" เอสหันไปพูดกับอเล็กซ์อเล็กซ์อดขำในใจ คนที่มีเงินเยอะกว่าเขาเนี่ยนะ จะมาขอยืมเงิน แต่ถึงยังไงก็ต้องเล่นไปตามน้ำ เรื่องสนุกต่อจากนี้ต่างหาก"ได้สิ ผมจะรับประกันเอง อยากรู้ว่าเขาจะจัดการยังไง ถ้าความจริงถูกเปิดเผย""ขอบคุณ...ได้ยินแล้วใช่ไหม"ทั้งสามคนยิ้มเยาะก่อนจะกันมาหาอเล็กซ์ พวกเขาไม่คิดว่าเอาจะถูกช่วยไว้ เพราะภัทรอยากให้เอาเดิมพันชีวิต เขาจะได้ทรมานให้สาสมที่กล้ามาขวางทาง"เอ่อ...ผมว่าไม่ต้องถึงมือคุณอเล็กซ์ก็ได้ครับ เอาอย่างนี้เดิมพันชีวิตของนาย" มังกรหันไปพูดกับเอสในตอนท้าย"ใช่แล้ว ถึงแพ้เขาก็ไม่มีปัญญาจ่าย ให้เขาใช้ชีวิตตัวเองแทนดีกว่า""ได้...ใครกลัว"ทุกอย่างเข้าแผนของพวกเขา ตอนนี้มีอเล็กซ์เป็นพยาน ไม่ว่ายังไงพวกเขาคงคิดว่าชนะร้อยเปอร์เซ็นต์เอสนั่งเผชิญหน้ากับทั้งสามคน โดยมีคนอื่น ๆ ที่มีหน้ามีตาในวงการธุรกิจ นั่งเป็นพยานด้วย อย่างเช่น อเล็กซ์ กับประธานใหญ่บริษัทอื่นจากการสังเกตพวกเขา มานานเอาจึงไม่แปลกใจว่าทำไมถึงเข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย ทั้งหมดเป็นเพราะนิสัย และ สันดานเดิมคล้ายกัน ไม่ว่าใครก็เลวพอกัน ต







