เข้าสู่ระบบช่วงเย็นทิวเขามีนัดกับเพื่อนที่ผับ พอถึงเวลานัดหมายชายหนุ่มก็ซิ่งรถคันโปรดออกจากบ้าน ผู้เป็นแม่ได้แต่นั่งกุมขมับเอ่ยปากชื่นชมลูกชายยังไม่ทันข้ามวันก็ดีแตกเสียแล้ว
@ผับหรู
แสงไฟหลากสีสันกะพริบระยิบระยับสาดส่องไปทั่วทั้งผับ บรรยากาศคึกคักไปด้วยเสียงเพลงและเสียงพูดคุยของผู้คน นักท่องราตรีมากมายยืนโยกย้ายส่ายสะโพกอย่างแน่นขนัด ลูกค้าส่วนใหญ่ของผับล้วนเป็นนักศึกษาซึ่งมาจากหลากหลายสถาบัน
ร่างสูงของสี่หนุ่มตำนานคิงวิศวะของมหาลัย KU กำลังยืนโยกย้ายเบียดเสียดกับผู้คนอยู่ตรงโต๊ะด้านหน้า พอเหล้าเข้าปากสัญชาตญาณนักล่าก็เข้าสิงร่างผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันจีบสาวโต๊ะข้าง ๆ ราวกับกลัวน้อยหน้ากัน
โดยเฉพาะออสติน ที่ดูจะระริกระรี้กว่าเพื่อนในกลุ่ม แป๊บเดียวชายหนุ่มก็ควงสาวสวยนางหนึ่งเดินมาที่โต๊ะแล้วแนะนำเพื่อน ๆ ให้เธอรู้จัก
"น้องพลอยสวยจ๊ะ นี่พี่วายุ พี่เจ้าขุน และพี่ทิวเขา เพื่อนพี่จ้ะ"
"สวัสดีค่ะ"
หญิงสาวกล่าวทักทาย สายตาคู่สวยกวาดมองทั้งสี่หนุ่มแล้วยิ้มหว่านเสน่ห์
ผู้ชายโต๊ะนี้งานดีทุกคน
"นี่พลอยสวย"
ออสตินแนะนำสาวสวยให้เพื่อนรู้จักพลางยักคิ้วยิก ๆ เชิงรู้กัน หลังจากทักทายกับสามหนุ่มได้ไม่นานหญิงสาวก็กลับโต๊ะโดยมีออสตินเดินตามไปส่งสักพักเขาก็เดินกลับมา
"โต๊ะพลอยสวยมีแต่คนแจ่ม ๆ"
เมื่อกี้เขาบังเอิญเจอกับพลอยสวยระหว่างทางไปห้องน้ำ ทำความรู้จักและพูดคุยกันอยู่พักใหญ่จึงได้รู้ว่าเธอเรียนอยู่อีกมหาวิทยาลัยหนึ่งซึ่งอยู่อีกฟากฝั่งของกรุงเทพฯ
และพวกเขาทั้งสี่คนก็มีคู่อริอยู่มหาวิทยาลัยที่พลอยสวยเรียนอยู่ แม้จะรู้อย่างนั้นแต่ออสตินก็ไม่ได้บอกให้พวกเพื่อนรู้ด้วย
"แจ่ม ๆ แต่เสือกไม่เผื่อเพื่อน"
เจ้าขุนบ่นกระปอดกระแปดไม่จริงจัง เขาไม่ได้อดอยากปากแห้งขนาดนั้นแต่ถ้ามีสาว ๆ มาช่วยสร้างสีสันก็ย่อมดีกว่า
“เออจริง”
วายุพยักพเยิดหน้าเออออ ก่อนจะหันมาทางคนที่เอาแต่กระดกเหล้าลงคอราวกับตายอดตายอยากมาจากไหน ทิวเขาเหมือนคนรีบกินรีบเมาเพื่อรีบกลับบ้านไปนอน
“ไอ้นี่ก็ไม่สนใจห่าอะไรเลย แดกเอาแดกเอา”
“กูว่าเราย้ายโต๊ะไหม”
ออสตินเสนอความคิดขึ้นมา อีกสองหนุ่มพยักหน้าเห็นดีเห็นงาม ส่วนทิวเขายังไงก็ได้ทั้งนั้น
เมื่อตกลงกันได้สี่หนุ่มก็จัดการย้ายโต๊ะไปนั่งรวมกับสาว ๆ โต๊ะพวกเธอมากันสี่คนพวกเขาก็มากันสี่จับคู่ลงตัวพอดี
สาวสวยสุดเซ็กซี่ส่งยิ้มให้ทิวเขาแล้วแนะนำตัวเองว่าชื่อ แอนนา ปรายตามองแวบเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าเธอกำลังอ่อยเขาอยู่ เพื่อหลีกเลี่ยงการพูดคุยจึงแกล้งยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดไถดูอะไรไปเรื่อยเปื่อย
ทว่าขณะที่หนุ่มสาวกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน จู่ ๆ ก็มีคนกลุ่มหนึ่งมายืนล้อมรอบโต๊ะของพวกเขา
ทิวเขาละสายตาจากโทรศัพท์มือถือแล้วเงยหน้าสบตากับคนที่มาใหม่
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะไอ้ทิวเขา”
“ไอ้เจเลอร์!”
เขาเหยียดกายลุกขึ้นยืนพลางเอ่ยชื่อคนที่จ้องเขม็งมองมาแววตาเชือดเฉือนราวกับคมมีด แสยะยิ้มทักทายประหนึ่งว่าไม่ยี่หระแต่ทว่าแฝงไปด้วยความแค้นเคือง
เจเลอร์คือคู่อริเก่าของทิวเขา พวกเขาไม่กินเส้นกันมาแต่ไหนแต่ไรทะเลาะกันตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายจนเข้ามหาวิทยาลัย ขนาดแยกย้ายไปเรียนคนละฟากฝั่งของกรุงเทพฯ ก็ยังไม่วายมีเรื่องกันมาตลอด
เมื่อหลายเดือนก่อนเจเลอร์พาพรรคพวกมาท้าแข่งรถถึงสนามของเขา และไม่ได้แข่งกันเปล่า ๆ เพราะมีการวางเดิมพันด้วยเงินถึงสิบล้าน ผลปรากฏว่าวันนั้นทิวเขาชนะใส ๆ ทั้งที่ไม่ค่อยได้ออกแรงเหยียบคันเร่ง ตอนนั้นเจเลอร์ทั้งโกรธทั้งเสียหน้าเลยทำให้แค้นฝังหุ่นทิวเขาเข้าไปใหญ่
“ไม่ได้เจอกันนานสันดานก็ยังหมาเหมือนเดิมเลยนะ”
คนมาใหม่เอ่ยทักทายเพื่อนเก่า ความจริงทั้งคู่เคยเป็นเพื่อนกันมาก่อนตอนเรียนมัธยมปลาย และต้นสายปลายเหตุที่ต้องมาทะเลาะกันก็เพราะตอนนั้นเจเลอร์เข้าใจผิดคิดว่าทิวเขาไปจีบแฟนของตน
“มึงว่าใครสันดานหมา”
ทิวเขาจับคอเสื้อของคนมาหาเรื่องแล้วกระชากเข้าหาตัว เพื่อนของแต่ละฝ่ายต่างยึกยักใส่กันอย่างไม่ยอมน้อยหน้า
เจเลอร์ปัดมือของทิวเขาออกจากคอเสื้อของตัวเองแล้วกระชากแขนแอนนาให้ลุกขึ้นยืนก่อนจะพูดว่า
“มึงไงไอ้สันดานหมาชอบยุ่งกับผู้หญิงของคนอื่น”
เขาแทบไม่ได้พูดคุยกับหญิงสาวเลยด้วยซ้ำ แม้กระทั่งชื่อก็ยังจำไม่ได้แล้วตรงไหนที่เรียกว่ายุ่ง แม้จะคิดอย่างนั้นแต่ด้วยนิสัยเป็นคนไม่ยอมคน ยิ่งกับไอ้คู่อริตัวแสบอย่างเจเลอร์เขายิ่งแพ้ไม่ได้
ทิวเขาแสยะยิ้มแล้วยักไหล่กวนบาทาจากนั้นก็พูดขึ้นว่า
“กูไม่ได้ยุ่ง มีแต่เด็กของมึงนั่นแหละที่เสือกมายุ่งกับกูเอง”
“ไอ้สัตว์เอ๊ย!”
เจเลอร์สบถด้วยความโมโห กำหมัดแน่นแล้วง้างขึ้นตั้งท่าจะฟาดลงบนใบหน้าของทิวเขา ทว่าระหว่างนั้นการ์ดของผับก็เข้ามาห้ามเสียก่อน
เพราะไม่ใช่ผับประจำพวกการ์ดจึงไม่รู้จักพวกเขาเลยสักคน สุดท้ายทั้งสองกลุ่มจึงโดนไล่ออกจากร้านเหมือนกัน
เมื่อออกมานอกร้านก็ยังเขม่นกันไม่เลิก
“ถ้ามึงอยากได้อีนี่นักกูยกให้ก็ได้ แต่มึงต้องแข่งรถชนะกูให้ได้ก่อน”
เจเลอร์เอ่ยท้าทาย ก็แค่ผู้หญิงแรด ๆ คนเดียวเขาไม่เสียดายอยู่แล้วถ้าแลกกับความสะใจ
แม้จะไม่ได้อยากได้สิ่งที่เจเลอร์เสนอให้ แต่เพราะมีนิสัยแพ้ไม่ได้สุดท้ายทิวเขาเลยยอมตกลงรับคำท้า
“มึงอยากแพ้เมื่อไหร่ก็นัดวันมาได้เลย”
“ปากดีนักนะ พรุ่งนี้เลยเป็นไง”
“ได้ กูรับคำท้า”
“มึงชนะได้อีนี่ไป แต่ถ้ามึงแพ้ผู้หญิงของมึงก็ต้องเป็นของกู”
ผู้หญิงของทิวเขาที่เจเลอร์หมายถึงก็คือดาริณ เขารู้จักดาริณตั้งแต่เรียนมัธยมด้วยกัน และเจเลอร์ก็คิดว่าทิวเขาและดาริณคบกันจึงอยากได้เธอเป็นของเดิมพัน
“ถ้างั้นมึงเตรียมตัวแพ้ได้เลย”
ทิวเขารับปาก จากนั้นพวกของเจเลอร์ก็ถอยร่นออกไป
“มึงไปรับเดิมพันมันทำไม หน้าตามั่นอกมั่นใจขนาดนั้นกูว่าไอ้เจเลอร์มันคิดไม่ซื่อแน่ ๆ”
เจ้าขุนว่าให้เพื่อนสนิทที่ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง รับปากเดิมพันไปส่ง ๆ ทั้งที่ตัวเองยังไม่ได้ซ้อมแถมมือเจ็บอีก
“แล้วนี่มึงจะไปหาผู้หญิงที่ไหนไปเดิมพันกับมัน”
เพราะความวู่วามอยากเอาชนะทำให้ตอบรับคำท้าโดยไม่ทันได้คิด พอเพื่อนสนิททักท้วงเลยเพิ่งคิดขึ้นมาได้ว่าเวลากระชั้นชิดแบบนี้จะไปหาผู้หญิงที่ไหนได้ทัน ครั้นจะไปขอร้องดาริณเธอก็คงไม่ยอมแน่ คนอย่างดาริณไม่มีวันลดตัวมาเป็นสิ่งของเดิมพันของใครหรอก
ขณะที่ทุกคนกำลังระดมสมองช่วยกันคิด จู่ ๆ ริมฝีปากหนาก็ผุดรอยยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์แล้วพูดขึ้นมา
“กูคิดออกแล้ว”
“ใคร”
เพื่อนสามคนหันขวับมามองทิวเขาอย่างรอฟังคำตอบ ทว่าเจ้าของความคิดกลับไม่พูดอะไรแถมยังเดินหนีไปขึ้นรถ
อีกด้านหลังรถซูเปอร์คาร์คันงามจอดนิ่งที่ลานจอดรถของคอนโด ร่างสูงก็อุ้มแฟนสาวลงจากรถแล้วพาเข้าไปในลิฟต์ เมื่อประตูลิฟต์ปิดสนิทริมฝีปากจิ้มลิ้มก็ถูกประกบทันที ทำราวกับว่าอยู่ในห้องส่วนตัวทั้งที่ยังอยู่ในลิฟต์“อื้อ~”มือบางตีลงที่หัวไหล่ของเขาพร้อมกับครางท้วง ทิวเขาผละริมฝีปากออกมาแล้วยิ้มขำน้ำหวานทำตาเขียวปั้ดใส่คนที่ชอบทำอะไรตามใจตัวเองประตูห้องยังไม่ทันปิดสนิทริมฝีปากหนาก็ประทับลงบนริมฝีปากบาง ลิ้นร้อนผ่าวสอดแยงเข้าไปในโพรงปากนุ่มแล้วดูดเม้มปลายลิ้นเล็ก ส่งเรียวลิ้นไปเซาะซอนจนทั่วทุกมุม จูบแลกลิ้นเกี่ยวกระหวัดจนชุ่มฉ่ำไปทั่วปาก จากนั้นเขาก็วางร่างเล็กให้ยืนบนพื้นมือหนาลูบไล้ไปตามเรือนร่างบางพลางถอดเสื้อผ้าที่หญิงสาวสวมใส่ น้ำหวานเองก็ไม่น้อยหน้าจัดการปลดเปลื้องเสื้อผ้าอาภรณ์ของชายหนุ่มออกเช่นกันนัยน์ตาคมจ้องมองเรือนร่างงดงามที่อยู่เบื้องหน้าด้วยอารมณ์ปรารถนา มือหนาเคลื่อนไล้ไปตามผิวกายขาวผ่องอย่างผะแผ่วขณะดันร่างเล็กไปจนชิดกับฝาผนังจากนั้นก็พรมจูบไปตามซอกคอระหง ขณะที่มือข้างหนึ่งเคล้นคลึงตรงสะโพกมน ส่วนมืออีกข้างทำหน้าที่ปลุกเร้าตรงสองเต้าเต่งตึงลมหายใจผ่าวร้อนเป่ารดลงบนลำคอขา
“จะพากันไปไหนเหรอลูก”เสียงผู้เป็นแม่เอ่ยถามลูกชายซึ่งกำลังถือกระเป๋าสะพายเดินตามแฟนสาวลงมาจากชั้นสองของบ้านน้ำหวานนั่งลงบนโซฟาแล้วเป็นคนตอบคำถามแทนชายหนุ่ม“หวานก็ไม่รู้ค่ะ พี่ทิวเขาไม่ยอมบอกเลยค่ะว่าจะพาไปไหน”“อ้าว! จะพาน้องไปไหนทำไมไม่บอกน้องล่ะ”หันไปถามลูกชายตัวดีที่นั่งอยู่ด้านข้างหญิงสาวซึ่งตอนนี้กำลังทำท่าทางออเซาะเธอราวกับเป็นเด็กน้อยจนน่าหมั่นไส้ลูกชายสุดที่รักหันมาทางผู้เป็นแม่แล้วเอ่ยตอบ“บอกไม่ได้ครับมันเป็นความลับ”ผู้เป็นแม่ถอนหายใจเหนื่อยอกเหนื่อยใจก่อนจะตวัดมือไล่ไม่อยากสนใจ ปล่อยให้ทั้งคู่พากันไปเที่ยวตามประสาคนหนุ่มคนสาวหลังไหว้ลาทั้งคู่ก็เดินจูงมือกันไปที่รถ ทิวเขาเป็นคนคอยบริการเปิดประตูพร้อมทั้งคาดเข็มขัดนิรภัยให้น้ำหวาน จากนั้นเขาก็เดินอ้อมไปขึ้นทางฝั่งคนขับ ก่อนที่รถคันหรูจะเคลื่อนออกจากบ้านพาเธอไปยังสถานที่ที่เขานัดแนะเอาไว้กับเพื่อน ๆ@สนามแข่งรถวันนี้ที่สนามแข่งรถดูคึกคักเป็นพิเศษเพราะมีการจัดงาน รถหลายคันวิ่งวอร์มอยู่ในสนามโดยมีผู้ชมมากมายยืนรายล้อมอยู่บริเวณรอบ ๆหลังจอดรถทิวเขาก็เดินไปเปิดประตูให้น้ำหวาน หญิงสาวมีความวิตกกังวลอย่างบอกไม่ถูก ภาพความทร
“อ๊ะ~” ร่างเล็กสั่นสะท้านร้องเสียงครวญครางอย่างได้อารมณ์ สองมือที่บีบขยำเนินนมออกแรงหนักหน่วงขึ้นเรื่อย ๆแม้จะรู้สึกเจ็บแปลบ ๆ ทว่าความเสียวกลับมีมากกว่า น้ำหวานดิ้นพล่านขณะถูกดูดดึงสองเต้าอย่างหนักหน่วง ใบหน้าหล่อเหลาเคลื่อนไซ้ขึ้นไปตรงซอกคอ ใช้ฟันขบเบา ๆ ตรงลำคอระหงด้วยความมันเขี้ยว น้ำหวานเสียดเสียวจนแทบจะขาดใจ มือสองข้างเลื่อนไล้ไปตามเรือนร่างบางจนมาถึงตรงกลางกายสาว ปลายนิ้วบดคลึงตรงจุดกระสันเสียวผ่านกางเกงชั้นในตัวบางจนน้ำรสหวานไหลเยิ้มออกมาเลอะเป้าเปียกแฉะ ร่างสูงหยัดกายคุกเข่าตรงกลางระหว่างขาเนียน มือหนาจับเรียวขาสวยอ้าออกขึ้นเป็นรูปตัวเอ็ม ปลายนิ้วเขี่ยตรงจุดกระสันเสียวจนแน่ใจว่าเปียกเยิ้มเต็มที่เขาก็แหวกเป้ากางเกงชั้นในไปไว้ด้านข้าง ดวงตาคู่คมจดจ้องไปยังร่องกลีบสีชมพู ก่อนจะยกมือขึ้นมาปาดเอาน้ำลายไปถูชโลมบนแท่งเนื้อลำเขื่องของตัวเอง มือหนาชัดรูดแกนกายลำใหญ่สองสามครั้ง จ่อส่วนปลายไว้ตรงปากร่อง จับปลายหยักถูไถตรงเม็ดติ่งเสียวเพื่อเพิ่มอารมณ์ซาบซ่านให้หญิงสาว “อ๊ะ~พี่ทิวเขา หวานไม่ไหวแล้ว ใส่เข้ามาเลยได้ไหมคะ
หลังพูดคุยและทานข้าวเที่ยงร่วมกันกับแม่ครูและน้อง ๆ ในบ้านเด็กกำพร้าน้ำหวานก็เอ่ยลาทุกคนเนื่องจากทิวเขาบอกเธอว่าจะพาไปยังที่ที่หนึ่ง ซึ่งเขาไม่ได้บอกว่าเป็นที่ไหนรถคันหรูวิ่งไปตามเส้นทางที่น้ำหวานค่อนข้างคุ้นเคย เธอรู้สึกสงสัยอยู่ในใจแต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามจนในที่สุดรถคันงามก็มาจอดนิ่งที่หน้าบ้านไม้ทรงล้านนา“พี่ทิวเขาพาหวานมาที่นี่ทำไมคะ”“เดี๋ยวก็รู้ครับ”ชายหนุ่มลงจากรถแล้วเดินอ้อมมาเปิดประตูให้หญิงสาว เธอทำท่าเก้ ๆ กัง ๆ เขาจึงเอ่ยขึ้นว่า“ลงมาเถอะน่า”หญิงสาวลงจากรถตามคำชวน ดวงตาคู่สวยกวาดมองไปรอบ ๆ อาณาบริเวณบ้านหลังใหญ่ที่เธอเคยอยู่อาศัยตั้งแต่เด็กจนโตแล้วหันมามองหน้าชายหนุ่มด้วยความสงสัยทิวเขายิ้มให้หญิงสาว“เข้าไปข้างในกันเถอะ”“เดี๋ยวค่ะ เราเข้าไปข้างในไม่ได้นะคะ บ้านหลังนี้ถูกขายเป็นของคนอื่นไปแล้ว”มุมปากหนากระตุกยิ้มบางเบา เขายกกุญแจบ้านหลังใหญ่ขึ้นมาโชว์ให้หญิงสาวดู“หมายความว่าไงคะ”“บ้านหลังนี้เป็นของน้ำหวานแล้วนะ”น้ำหวานยืนนิ่งแววตาเต็มไปด้วยฉงนสงสัย ไม่นานความสงสัยทุกอย่างก็คลี่คลายด้วยคำอธิบายของคนตรงหน้า“พี่รู้ว่าน้ำหวานรักบ้านหลังนี้มาก พี่ก็เลยซื้อบ้านหลังนี้ไว้”“
หลังจากน้ำหวานโอนเงินค่าผ่าตัดไปให้แม่ครู ดินก็ได้เข้ารับการผ่าตัดในทันที การผ่าตัดเป็นไปด้วยดีเนื้อเยื่อของผู้บริจาคไตเข้ากันได้ดีกับดินเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นไม่นานดินก็ได้กลับมาพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านเด็กกำพร้า“หยุดยาวสามวันหวานจะขึ้นไปเยี่ยมนะคะ”เสียงน้ำหวานกำลังพูดคุยโทรศัพท์กับแม่ครูอยู่ตรงสนามหญ้าหน้าบ้านทิวเขาคอยเดินตามไม่ห่าง ความจริงเพราะอยากแอบฟังว่าเธอคุยกับใครมากกว่า[ดินต้องดีใจแน่ ๆ ที่รู้ว่าน้ำหวานจะมา]“แม่ครูอย่าเพิ่งบอกพี่ดินนะคะ หวานว่าจะไปเซอร์ไพรส์น่ะค่ะ”[จ้ะ แม่จะรูดซิปปากเอาไว้ให้แน่นเลยจ้ะ]“ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่า ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้มั้งคะ”[แม่ล้อเล่นจ้ะ เออ! น้ำหวานรู้เรื่องที่ทางญาติพ่อริวเขาประกาศขายบ้านแล้วใช่ไหม]คิ้วเรียวขมวดมุ่นหลังได้ยินแม่ครูพูด ความจริงก็พอรู้ว่าพวกญาติของพ่อริวอยากขายบ้านหลังนั้นจนเต็มแก่ น้ำหวานดูเศร้าลงทันทีจนคนที่ยืนอยู่ข้างกายสังเกตเห็น“หวานพอรู้ค่ะ” พูดเสียงสั่นน้ำเสียงของเธอทำให้คนปลายสายเป็นห่วง[โธ่! น้ำหวานไม่ต้องคิดมากนะลูก สิ่งของพวกนั้นมันเป็นของนอกกายไม่นานมันก็สูญสลาย ความทรงจำดี ๆ ต่างหากที่จะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต]แม่คร
“น้ำหวานเดี๋ยวก่อน น้ำหวาน” ร่างสูงวิ่งกระหืดกระหอบตามร่างเล็กไปจนถึงหน้าลิฟต์ มือหนาเอื้อมจับข้อมือเล็กแล้วดึงรั้งเอาไว้ ใบหน้าสวยหันมามองหน้าเขาอย่างไม่พอใจ เรื่องความเป็นความตายใครให้เอามาล้อเล่น “ฟังฉันอธิบายก่อน ฉันไม่ได้ตั้งใจจะหลอกเธอน่ะ” “ทุกทีคุณก็พูดแบบนี้ สรุปคือไม่เคยมีเรื่องไหนที่คุณตั้งใจสักเรื่อง” เธอสาวพยายามสะบัดแขนออกจากคนเจ้าเล่ห์ ตั้งท่าจะเดินไปกดลิฟต์ทว่ากลับถูกคนตัวสูงดึงรั้งเอาไว้อีกครั้ง วงแขนแกร่งสวมเข้าที่เอวคอดแล้วกอดรัดร่างเล็กแนบกับลำตัว “ขอโทษ ยกโทษให้ความโง่ของฉันเถอะนะ ฉันโง่เองที่คิดอะไรตื้น ๆ แต่ถ้าฉันไม่ทำแบบนี้ฉันก็ไม่รู้สักทีว่าเธอรักฉันรึเปล่า” “คุณมันชอบเล่นกับใจคนอื่น เห็นความรู้สึกของหวานเป็นเรื่องล้อเล่นรึไง” “ฉันไม่ได้เห็นความรู้สึกของเธอเป็นเรื่องล้อเล่นนะน้ำหวาน ฉันรักเธอมากวันทั้งวันฉันอาการหนักเอาแต่เพ้อถึงเธอ คุณแม่ก็เลยโทรให้เธอมาดูใจฉันไง” จับร่างเล็กให้หันมาสบตากันหลังจากอธิบายเรื่องทั้งหมด “คุณมันเจ้าเล่ห์ที่สุดเลย” เธอทุบมือ







