ตอนที่
[8] ของขวัญที่ต้องส่งคืน หลังจากได้ฟังแผนการของผู้เป็นนาย ไจ้หลินก็รีบจัดการตามที่ได้รับคำสั่งทันที นางแอบนำน้ำแกงไก่ตุ๋นโสมถ้วยนั้นเททิ้งลงในหลุมที่ขุดไว้หลังเรือนอย่างระมัดระวัง ก่อนจะกลับไปจัดสำรับอาหารที่เหลือให้ดูเหมือนว่าถูกกินไปแล้วบางส่วน จากนั้นก็นำถาดอาหารออกไปคืนให้สาวใช้ที่มารออยู่ด้วยท่าทีปกติ หลี่ซ่างเอินนั่งรออยู่ในห้องนอนอย่างสงบ นางรู้ดีว่าหลังจากนี้ สาวใช้คนนั้นจะต้องนำถ้วยน้ำแกงที่ว่างเปล่ากลับไปรายงานที่เรือนใหญ่ เพื่อให้สองแม่ลูกอสรพิษนั่นตายใจว่าแผนการของพวกนางกำลังเริ่มต้นขึ้นอย่างสวยงาม “จากนี้ไปเราต้องแสดงละครให้แนบเนียนยิ่งขึ้น” หลี่ซ่างเอินกำชับไจ้หลิน “เจ้าต้องทำเหมือนข้าเริ่มมีอาการป่วยกระเสาะกระแสะ ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง เบื่ออาหาร และนอนไม่ค่อยหลับ ให้ข่าวนี้ค่อย ๆ แพร่กระจายออกไปในหมู่บ่าวรับใช้ เข้าใจหรือไม่” “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะคุณหนู บ่าวจะทำให้แนบเนียนที่สุด” ไจ้หลินพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน “ดีมาก” หลี่ซ่างเอินพยักหน้าอย่างพอใจ แผนการทำให้ตัวเองป่วยนี้ ไม่เพียงแต่จะเป็นการลวงศัตรูให้ตายใจ แต่ยังเป็นข้ออ้างชั้นดีที่นางจะสามารถหลีกเลี่ยงการออกไปไหนมาไหน หรือพบปะผู้คนที่ไม่จำเป็นได้อีกด้วย ทำให้นางมีเวลาวางแผนขั้นต่อไปได้อย่างเต็มที่ ในขณะเดียวกัน ณ ตำหนักหย่งเจิ้นของเซวียอ๋อง หยางซานฉีเดินเข้ามารายงานผลการสืบสวนเรื่องของหลี่ซ่างเอินให้ผู้เป็นนายฟังด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างแปลกใจ “ทูลท่านอ๋อง จากการสืบสวนประวัติของคุณหนูหลี่ซ่างเอิน ก็พบว่า…ชีวิตของนางช่างเรียบง่ายจนน่าประหลาดพ่ะย่ะค่ะ” ซ่งเว่ยหลิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายพูดต่อ “นางเป็นบุตรสาวที่เกิดจากอนุเหม่ยผู้ล่วงลับไปแล้ว ไม่เป็นที่โปรดปรานของบิดาและถูกหลี่ฮูหยินกับคุณหนูใหญ่หลี่ซวงอี๋กดขี่อยู่เงียบ ๆ มาโดยตลอด ชีวิตส่วนใหญ่ของนางวนเวียนอยู่แต่ในจวน ไม่เคยเรียนศาสตร์แขนงใดเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นดนตรี หมากล้อม หรือการแต่งโคลงกลอน แต่กลับมีฝีมือด้านการเย็บปักถักร้อยและทำอาหารอยู่บ้าง” หยางซานฉีหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ “สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือประวัติของนางนั้นขาวสะอาดมากพ่ะย่ะค่ะ ไม่เคยมีเรื่องอื้อฉาว ไม่มีคู่หมาย ไม่เคยแสดงท่าทีชมชอบบุรุษผู้ใดเป็นพิเศษ ในสายตาของคนในจวน นางเป็นเพียงคุณหนูที่ใสซื่อ หัวอ่อน เชื่อคนง่าย และรักใคร่เทิดทูนพี่สาวต่างมารดาอย่างหลี่ซวงอี๋เหนือสิ่งอื่นใด แม้จะถูกพี่สาวหลอกใช้หรือกลั่นแกล้ง เอ่อ อยู่บ่อยครั้ง นางก็ยังคงมองพี่สาวในแง่ดีเสมอ...” ซ่งเว่ยหลิงฟังรายงานนั้นเงียบ ๆ นิ้วเรียวยาวเคาะกับโต๊ะเป็นจังหวะช้า ๆ สตรีที่ประวัติเรียบง่ายจนน่าเบื่อ แต่กลับไปพัวพันกับเหตุการณ์สังหารโหดโจรป่าหกศพ... ช่างเป็นเรื่องที่ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง “บ่าวรับใช้ที่ชื่อไจ้หลินเล่า” เขาถามในสิ่งที่น่าสงสัย “เป็นเพียงบ่าวธรรมดาที่ครอบครัวขายตัวเข้ามาในจวนตั้งแต่เด็กพ่ะย่ะค่ะ ไม่เคยมีประวัติฝึกฝนวรยุทธ์ใด ๆ ทั้งสิ้น” หยางซานฉีตอบอย่างมั่นใจ “กระหม่อมยังคงเชื่อว่าต้องมียอดฝีมือลึกลับเข้ามาช่วยเหลือพวกนางไว้เป็นแน่ แต่เรายังหาเบาะแสของคนผู้นั้นไม่พบ” ซ่งเว่ยหลิงเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ดวงตาสีนิลทอประกายลึกล้ำยากจะหยั่งถึง สตรีซื่อ(บื้อ) ไม่ฝักใฝ่ในอำนาจหรือลาภยศ ไม่สนใจบุรุษ รักและเทิดทูนพี่สาวที่คอยรังแกตนเอง... ช่างเป็นคุณสมบัติที่... หาได้ยากยิ่งในหมู่สตรีชั้นสูงของเมืองหลวงแห่งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง... นางยังไม่มีคู่หมาย ฉับพลันความคิดหนึ่งก็พลันผุดขึ้นมาในหัวของเขาอย่างรวดเร็ว! ไทเฮาต้องการให้เขาแต่งงาน... ทว่าเขาเบื่อหน่ายสตรีเจ้ามารยาทั้งหลายที่จ้องจะจับเขา หากเขาเลือกสตรีที่ดู ‘ไม่มีพิษมีภัย’ และ ‘ควบคุมง่าย’ เช่นนี้มาเป็นพระชายา... มันอาจจะช่วยตัดความรำคาญทั้งหลายที่กำลังจะตามมาได้ใช่หรือไม่? นางดูไม่น่าจะสร้างปัญหา ไม่น่าจะเรียกร้องอะไรมากมาย และที่สำคัญที่สุด... ดูไม่น่าจะเข้ามายุ่มย่ามกับชีวิตของเขาจนเกินไปนัก “หึ” ซ่งเว่ยหลิงแค่นหัวเราะในลำคอเบา ๆ หยางซานฉีเห็นรอยยิ้มที่หาได้ยากยิ่งของผู้เป็นนายก็ถึงกับประหลาดใจ “ท่านอ๋อง... ทรงมีสิ่งใดพอพระทัยหรือพ่ะย่ะค่ะ” “ข้าแค่กำลังคิดว่า... สตรีเช่นนี้...” ซ่งเว่ยหลิงเว้นจังหวะ สายตาเป็นประกายอย่างมีเลศนัย “ดี ดียิ่ง... ข้าเลือกนาง” “หา!?” หยางซานฉีอุทานออกมาอย่างลืมตัว “ท่านอ๋อง! พะ... พระองค์ทรงหมายความว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ! เลือกนางไปทำอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ!?” ซ่งเว่ยหลิงไม่ได้ตอบคำถามนั้น เขายกยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจ แผนการที่เพิ่งผุดขึ้นมาในหัวดูเหมือนจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับสถานการณ์ของเขาในตอนนี้ แต่ก่อนอื่น... เขาคงต้องไป ‘พิสูจน์’ อะไรบางอย่างด้วยตาของตนเองเสียก่อน หลายวันต่อมา ข่าวลือเรื่องหลี่ซ่างเอินป่วยกระเสาะกระแสะก็เริ่มแพร่สะพัดออกไปในจวนตามที่หลี่ซ่างเอินวางแผนไว้ ณ เรือนใหญ่ของหลี่ฮูหยิน สองแม่ลูกกำลังนั่งจิบชาด้วยความสบายอารมณ์ “ดูเหมือนยาของท่านแม่จะได้ผลดีเกินคาดนะเจ้าคะ” หลี่ซวงอี๋กล่าวด้วยรอยยิ้มอย่างพึงพอใจ “ข้าได้ยินบ่าวไพร่พูดกันให้ทั่วว่าตอนนี้นังเด็กนั่นเอาแต่นอนซมอยู่บนเตียง ใบหน้าก็ซีดเซียวราวกับไม่มีเลือดไปหล่อเลี้ยง” “ฤทธิ์ของมันเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น” หลี่ฮูหยินจิบชาอย่างใจเย็น “อีกไม่นาน... ตุ่มหนองอัปลักษณ์ก็จะเริ่มผุดขึ้นมาบนใบหน้าและร่างกายของมัน ครานี้ต่อให้เป็นเทพเซียนก็รักษาไม่ได้” “ช่างน่าสมเพชเสียจริง” หลี่ซวงอี๋หัวเราะคิกคัก “รอให้ข้าใกล้แต่งเข้าตำหนักองค์ชายรอง ข้าจะไปขอตัวมันกับท่านพ่อให้มันมาเป็นบ่าวรับใช้ข้างกาย ให้มันได้เห็นความรุ่งโรจน์ของข้าและส่องกระจกดูสภาพอัปลักษณ์ของตัวเองไปตลอดชีวิต!” สองแม่ลูกอสรพิษกำลังวาดฝันถึงอนาคตอันสวยหรูของตนเอง โดยหารู้ไม่เลยว่า... ของขวัญที่พวกนางมอบให้หลี่ซ่างเอินนั้น กำลังจะถูกส่งคืนกลับไปในรูปแบบที่พวกนางคาดไม่ถึง!ตอนพิเศษที่[3]ทายาทของเทพสงคราม (นางมารน้อย)สามเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว...ช่วงเวลาที่เมืองเซวียเต็มไปด้วยความสงบสุขและความหวานชื่น แต่แล้วก็มีเทียบเชิญจากวังหลวงส่งมาถึง... งานฉลองวันพระราชสมภพของไทเฮากำลังจะมาถึงอีกครั้ง ทำให้ซ่งเว่ยหลิงและหลี่ซ่างเอินจำต้องเดินทางกลับสู่เมืองหลวงไทเฮาเมื่อได้เห็นหน้าสะใภ้คนโปรดก็แทบจะวิ่งเข้ามากอดด้วยความคิดถึง พระองค์จับมือหลี่ซ่างเอินเอาไว้ไม่ยอมปล่อย คอยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบอย่างละเอียดลออ ก่อนที่สุดท้าย... สายตาที่คาดคั้นจะหันไปทางโอรสองค์เล็กของพระองค์“เว่ยหลิง... เรื่องที่แม่ฝากฝังไปถึงไหนแล้ว”ซ่งเว่ยหลิงถึงกับหน้าเจื่อนลงทันที เขากระแอมไอออกมาเบา ๆ อย่างเก้อเขิน “เอ่อ... เสด็จแม่ ลูก... ลูกก็พยายามอย่างเต็มที่แล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่... มันยังไม่มีวี่แววเลย”ไทเฮาส่ายพระพักตร์อย่างระอาใจ พระองค์ขยับพระโอษฐ์แต่ไม่ได้เปล่งเสียงออกมาเป็นคำพูดที่ชัดเจนว่า ไม่ได้เรื่อง! ทำเอาเทพสงครามผู้ยิ่งใหญ่ถึงกับหน้าแดงก่ำ ไม่กล้าสบพระเนตรพระมารดางานเลี้ยงฉลองวันพระราชสมภพของไทเฮาถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ แขกเหรื่อและเชื้อพระวงศ์มากมายมาร่วมถวายพระพร ในงานนี้ห
ตอนพิเศษที่[2]การต่อสู้ในโลกที่ไม่คุ้นเคยคืนหนึ่งในตำหนักเซวียอ๋องที่เงียบสงบ...หลังจาก ‘ทำภารกิจ’ ที่ได้ให้สัญญาไว้กับไทเฮาเสร็จสิ้นลง ซ่งเว่ยหลิงและหลี่ซ่างเอินก็นอนกอดกันอยู่บนเตียงกว้างอย่างมีความสุข ความเหนื่อยล้าและเรื่องราววุ่นวายที่ผ่านมาทำให้ทั้งสองค่อย ๆ ผล็อยหลับไปในอ้อมแขนของกันและกันทว่าในนิทรานั้นเอง... จิตของพวกเขาทั้งสองกลับถูกดึงไปยังสถานที่แปลกประหลาดแห่งหนึ่ง...หลี่ซ่างเอินหลังจากที่สิ้นลมหายใจในห้องขังท้ายตำหนัก นางก็ได้ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง แต่ที่นี่ไม่ใช่ปรโลกที่นางเคยจินตนาการไว้ มันคือโลกที่เต็มไปด้วยแสงสี ตึกรามบ้านช่องสูงเสียดฟ้า นางพบว่าตนเองอยู่ในร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งที่หน้าตาเหมือนนางราวกับเป็นคนคนเดียวกัน แต่กลับไม่มีใครรู้จักนางเลยแม้แต่คนเดียว นางกลายเป็นคนแปลกหน้าในโลกที่แปลกประหลาดและแล้ววันหนึ่ง นางก็ได้เห็นเรื่องราวชีวิตของตนเองถูกฉายผ่าน ‘จอสี่เหลี่ยม’ ประหลาด มันเล่าเรื่องราวตั้งแต่เด็กจนโต ความใสซื่อ ความโง่เขลา การถูกหลอกใช้ การถูกทำร้ายจนเสียโฉม และจุดจบอันน่าสลดใจในห้องขัง... นางได้เห็นความจริงทั้งหมดด้วยสายตาของบุคคลที่สาม ได้เห็นรอยย
ตอนพิเศษที่[1]แผนการลองใจ (ที่ล้มไม่เป็นท่า)หลังจากกลับมาถึงเมืองเซวีย ชีวิตของซ่งเว่ยหลิงและหลี่ซ่างเอินก็เข้าสู่ช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้ซึ่งกันและกันอย่างแท้จริง คราวนี้ไม่มีหน้ากากแห่งความใสซื่อมาบดบัง ไม่มีภารกิจแก้แค้นมาเป็นเป้าหมายหลัก มีเพียงสามีภรรยาที่กำลังค่อย ๆ ค้นพบตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่ายซ่งเว่ยหลิงพบว่าพระชายาของเขานั้นน่าสนใจยิ่งกว่าที่เขาเคยจินตนาการไว้หลายเท่านัก นางไม่ได้มีเพียงความงามและความฉลาดหลักแหลม แต่ยังมีความแข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยวที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทีที่สงบเยือกเย็น ในยามว่างจากการช่วยเขาวางแผนพัฒนาเมือง ทั้งสองมักจะใช้เวลาอยู่ในลานฝึกซ้อมส่วนตัว“อีกครั้งนะเพคะ” หลี่ซ่างเอินในชุดฝึกซ้อมที่ทะมัดทะแมงเอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มท้าทาย ในมือของนางคือดาบไม้ที่ชี้ตรงมายังเขาซ่งเว่ยหลิงเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะตั้งท่ารับอย่างมั่นคง เขายอมรับว่าในช่วงแรกที่ประมือกัน เขายังคงออมมือให้นางอยู่บ้าง แต่หลังจากที่พ่ายแพ้ให้กับกลยุทธ์และเพลงดาบที่แปลกประหลาดแต่ร้ายกาจของนางไปหลายครั้งติด ๆ กัน บัดนี้... เขาต้องใช้ฝีมือทั้งหมดที่มีเพื่อต่อกรกับนาง!เพลงดาบของนางนั้นไม่เหมือนใคร
ตอนที่[46]บทสรุปของหนี้แค้น (ตอนจบ)วันประหารมาถึงในที่สุด...หลี่ซู่ หวังฮุ่ยจี้ และหลี่ซวงจวน รวมถึงคนที่เกี่ยวข้องถูกคุมตัวมายังลานประหารกลางเมือง ท่ามกลางสายตาของผู้คนนับพันที่มามุงดูจุดจบของตระกูลที่เคยมีหน้ามีตา บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงสาปแช่งและสมน้ำหน้าหลี่ซู่นั่งคุกเข่าอยู่บนลานประหารด้วยแววตาที่เลื่อนลอยและว่างเปล่า เขาไม่ได้สนใจเสียงก่นด่ารอบข้างแม้แต่น้อย ในหัวของเขาเอาแต่ฉายภาพเหตุการณ์เมื่อสองวันก่อนซ้ำไปซ้ำมา... เหตุการณ์ที่บุตรสาวซึ่งเขาละเลยมาตลอดชีวิตได้มาหาเขาเป็นครั้งสุดท้ายในคุกหลวงวันนั้น... ประตูห้องขังของเขาถูกเปิดออก ร่างในอาภรณ์งดงามของหลี่ซ่างเอินเดินเข้ามาอย่างสง่างาม พร้อมกับกลุ่มชายชราในชุดหมอหลวงและหมอทั่วไปอีกหลายคนหวังฮุ่ยจี้ที่ถูกขังอยู่ด้วยกัน พอเห็นหน้าหมอเหล่านั้นก็ถึงกับใบหน้าซีดเผือดราวกับเห็นผี!‘ท่านพ่อ’ หลี่ซ่างเอินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ ‘ท่านยังจำหมอเหล่านี้ได้หรือไม่ พวกเขาคือหมอที่เคยรักษาท่านแม่’ หลี่ซู่มองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ ก่อนที่เขาจะเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดต่อมาของบุตรสาว!‘และนอกจากนั้นพวก
ตอนที่[45]บทสนทนาสุดท้ายในห้องขังเดิมแสงจันทร์สีเลือดสาดส่องผ่านช่องหน้าต่างเล็ก ๆ เข้ามาในห้องขังที่อับชื้นและเหม็นคาวเลือด หลี่ซวงอี๋นอนหายใจรวยรินอยู่บนพื้นฟางสกปรก ร่างกายของนางเต็มไปด้วยบาดแผลเหวอะหวะ ใบหน้าที่เคยงดงามบัดนี้ถูกกรีดทำลายจนไม่เหลือเค้าเดิม ความเจ็บปวดแล่นปราดไปทั่วร่างจนแทบจะทานทนไม่ไหว แต่น่าแปลกที่ความเจ็บปวดทางกายนั้นยังไม่เท่ากับความเจ็บปวดและอัปยศในใจนางแพ้แล้ว... แพ้อย่างราบคาบ...ทุกสิ่งทุกอย่างที่นางเคยไขว่คว้าได้พังทลายลงในพริบตา หญิงสาวคร่ำครวญกับตนเองเพียงลำพังก่อนที่จะได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาที่ค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้... ในตอนแรกนางคิดว่าเป็นเพียงผู้คุมที่มาตรวจตรา แต่ฝีเท้านั้นกลับมาหยุดลงตรงหน้าห้องขังของนาง เงาร่างของใครผู้หนึ่งยืนนิ่งอยู่ในความมืดสลัว... ร่างนั้นสง่างามในอาภรณ์หรูหราที่ดูสูงค่า ตัดกับสภาพอันน่าสมเพชของนางโดยสิ้นเชิง “ใคร...” หลี่ซวงอี๋เค้นเสียงถามออกมาอย่างยากลำบาก ร่างนั้นค่อย ๆ ก้าวเข้ามาในแสงจันทร์ที่สาดส่องผ่านช่องลมเล็ก ๆ เผยให้เห็นใบหน้างดงามหมดจดที่นางทั้งเกลียดชังและคุ้นเคยเป็นอย่างดี... หลี่ซ่างเอิน! “น้อง... น้องรอง
ตอนที่[44]ละครฉากสุดท้ายข่าวการกลับมาของกองทัพเซวียอ๋องสร้างความโกลาหลและแตกตื่นไปทั่วทั้งตำหนักองค์ชายรอง! ซ่งซือเหยียนแทบจะสิ้นสติเมื่อได้ยินข่าวร้ายนั้น ความฝันอันหอมหวานของเขาพังทลายลงในพริบตา เขารู้ในทันทีว่าตนเองติดกับดักของเสด็จอาผู้ชาญฉลาดเข้าให้แล้ว!“เป็นไปได้อย่างไร! เขาชนะได้อย่างไร!” เขาทึ้งผมตัวเองอย่างบ้าคลั่ง “แล้วเหตุใดเขาจึงกลับมาเงียบ ๆ เขาต้องการจะทำอะไรกันแน่!”ในขณะที่องค์ชายรองกำลังสติแตกอยู่นั้น ที่คุกหลวง...หลี่ซู่ที่ถูกคุมขังมาหลายวันจนร่างกายซูบผอมและจิตใจย่ำแย่ ก็กำลังพยายามหาทางเอาตัวรอดอย่างสิ้นหวัง เขาใช้เส้นสายและเงินทองที่ยังพอมีเหลืออยู่ลักลอบส่งสารออกไปขอความช่วยเหลือจากองค์ชายรองผู้เป็นลูกเขย เขายังคงเชื่อมั่นว่าองค์ชายรองจะต้องหาทางช่วยเขาได้อย่างแน่นอนเพราะที่เขาตัดสินใจนำลงตนเองลงมาย่ำโคลนตมในครั้งนี้ก็เพราะว่าอีกฝ่ายเป็นคนยื่นข้อเสนอมา ข้อเสนอที่เย้ายวนใจทางด้านหวังฮุ่ยจี้ก็เอาแต่ร้องไห้ฟูมฟาย นางไม่ได้เป็นห่วงชะตากรรมของสามีหรือตระกูลแม้แต่น้อย แต่กลับเป็นห่วงบุตรสาวสุดที่รักอย่างหลี่ซวงอี๋ที่ถูกขังอยู่ที่ตำหนักองค์ชายรอง นางกลัวว่าบุตร