ในขณะที่เครื่องบินทะยานสู่ฝากฟ้า เธอหันไปมองเขาเป็นระยะ ๆ ตลอดการเดินทาง แต่อาจารย์หนุ่มกลับไม่รู้ตัวเลยสักนิด อิงดาวกำลังต่อสู้กับหัวใจของตนเองอย่างหนัก
ใจหนึ่งก็บอกให้เธอรีบทักทายและบอกขอบคุณไปเสีย ทุกอย่างจะได้จบ ๆ เธอจะได้ไม่ต้องคิดถึงเขาทุก ๆ วัน อีกใจหนึ่งก็ค้าน เธอจะทักทายเขาว่าอะไร แม้แต่ชื่อเธอเขาก็ยังไม่รู้จัก เขาคงคิดว่าหล่อนเป็นผู้หญิงเสียสติ หรือไม่ก็พวกคลั่งไคล้ผู้ชายหล่อ ๆ ที่หาโอกาสคุยด้วย
อิงดาวหลับตาลง แล้วตัดสินใจอย่างแน่วแน่ จากนั้นก็ลืมตาขึ้นแล้วหันหน้าไปยังเป้าหมายทันที ริมฝีปากบางขยับขึ้นลงพร้อมกับเสียงที่หลุดออกมาอย่างแผ่วเบาว่า
“อะ อาจารย์คะ”
เสียงของเธอเบามาก มากจนเพียงแค่เสียงรถเข็นบริการอาหารว่างบนเครื่องบินเลื่อนผ่าน ก็กลบเสียงของเธอไปจนหมด
และเมื่อเธอพยายามจะเรียกอาจารย์ธาวินให้รู้ตัวอีกที เขาก็หลับตาลงแล้ว ร่างสูงเอนศีรษะพิงพนักเบาะอย่างสบาย ท่าทีของเขาทำให้อิงดาวไม่กล้าที่จะรบกวนเขาอีกต่อไป เธอจึงได้แต่เฝ้ามองเขานอนหลับตา มองจากด้านข้างจะเห็นจมูกโด่งเป็นสันอย่างชัดเจน ขับให้ใบหน้าเรียว สมส่วนหล่อเหลาปานรูปปั้นของเทพบุตรที่ลงมาจุติบนโลกมนุษย์ เรือนผมดกดำ ภายใต้กรอบแว่นตานั้นแลเห็นขนตายาวเป็นแพ ริมฝีปากบาง ผิวพรรณขาวผ่องไร้จุดตำหนิใด ๆ ขาวยิ่งกว่าเธอที่เป็นผู้หญิงด้วยซ้ำ
ยิ่งมองเธอก็ยิ่งรู้สึกเหมือนมีแรงกดดันบางอย่างบีบที่หัวใจ มันให้ความรู้สึกเศร้าโศกอย่างสุดแสนจะทรมาน แม้จะอยู่ใกล้กันแค่เอื้อมมือถึง แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนกับอยู่กันคนละฟากฟ้า
...
“... อายุ วันโน สุขะ พละ....”
อิงดาวพนมมือขึ้นจรดเหนือศีรษะ เมื่อสิ้นเสียงพระให้พร เธอก็อธิษฐานในใจว่า
“..ขอให้ผลบุญกุศลที่ได้ตักบาตรในยามเช้านี้ ดลบันดาลให้แม่สุขภาพแข็งแรง เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรอยู่กับหนูและน้องไปนาน ๆ ขอให้น้องสอบติดโรงเรียนเตรียมทหาร และขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลายจงเป็นสุข ๆ ทุกถ้วนหน้ากันเถิด...”
นี่เป็นสิ่งที่เธออธิษฐานขอพรจากพระยามเช้าทุกวันหลังตักบาตรเสร็จ เธอมักจะขอพรให้คนอื่นเสมอ แต่วันนี้เธอมีเพียงพรข้อเดียวที่อยากขอให้ตัวเองนั่นคือ...
“ขอให้หนูได้มีโอกาสได้พูดคุยกับอาจารย์ธาวินสักครั้งด้วยเถอะ สาธุ”
....เมื่อสิ้นบุญวาสนาต่อกันแล้ว ชาตินี้ก็เหมือนเป็นคนแปลกหน้าของกันและกัน....
เสียงเย็นดุจน้ำใสก้องกังวานขึ้นคล้ายดังมาจากที่ไกลแสนไกล แต่กลับได้ยินชัดทุกถ้อยคำ เสียงนั้นทำให้อิงดาวรีบลืมตาขึ้น แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า พระสงฆ์สามรูปที่ให้พรกับเธอเมื่อสักครู่เดินจากไปนานแล้ว เธอหันซ้ายแลขวากวาดสายตามองไปรอบ ๆ เพื่อหาต้นตอของเสียง ในตลาดยามเช้าตรู่เช่นนี้มีเพียงพ่อค้าแม่ค้าและคนที่มาจับจ่ายซื้อของที่ตะโกนโหวกเหวกซื้อขายกัน
“หรือว่าเราจะหูฝาดนะ”
อิงดาวขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด ขณะที่เดินกลับไปหามารดาที่แผงขายข้าวแกง
เมื่อวานเธอเดินทางกลับมาจากเชียงใหม่ถึงบ้านประมาณ สองทุ่ม กว่าจะจัดการธุระส่วนตัวเสร็จได้เข้านอนเกือบเที่ยงคืน จากนั้น ตีสามเธอต้องลุกขึ้นมาช่วยแม่ทำกับข้าวไปขายที่ตลาด ราว ๆ ตีห้าครึ่ง เธอและแม่ก็ช่วยกันเข็นรถกับข้าวออกจากบ้าน เมื่อถึงตลาดเธอจะรีบช่วยแม่จัดร้านให้เสร็จก่อนหกโมงครึ่ง จากนั้นก็จะนำอาหารที่เธอเตรียมไว้เป็นพิเศษมาตักบาตรที่หน้าตลาดก่อนไปทำงานทุกเช้า
“นั่นกับข้าวสำหรับไว้ทานตอนเที่ยง แม่ห่อไว้ให้แล้ว เอาไปแบ่งเพื่อนกินด้วย”
นางจันทร์ชี้บอกลูกสาว เมื่อเห็นเธอวางถาดสำหรับใส่ของตักบาตรลง แล้วหยิบกระเป๋าสะพายเตรียมจะไปทำงาน
“ขอบคุณค่ะแม่”
อิงดาวยัดห่อข้าวลงในกระเป๋า เธอเลือกสะพายกระเป๋าเป็นแบบเป้ เพราะจุของได้เยอะกว่า และเดินทางสะดวกกว่าการใช้กระเป๋าสะพายข้างใบเล็ก ๆ แบบที่สาว ๆ วัยทำงานนิยมกัน
“แม่ หนูขอเอาน่องไก่ทอดไปฝากนังนวลสักสองสามชิ้นนะแม่”
อิงดาวหยิบน่องไก่ลงในถุงอีกใบ
“ตามใจ”
นางจันทร์เอ่ยในขณะที่มือกำลังตวัดไม้ตีแมลงวัน ไล่เจ้าพวกหัวเขียวตัวโตออกจากหม้อข้าวแกง นับวันตลาดสดแห่งนี้ยิ่งมีประชากรแมลงวันเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะขยะบริเวณด้านหลังตลาดมีมากขึ้น
“แม่คะ หนูไปแล้วนะคะ เดี๋ยวตอนเย็นหนูจะรีบกลับมาช่วยเก็บร้านค่ะ”
อิงดาวยกมือไหว้มารดา ก่อนจะที่จะเดินที่หน้าตลาดเพื่อรอรถเมล์ไปทำงาน
ด้านหลังตึกสำนักงานอธิการบดี
อิงดาวกำลังวางน่องไก่ทอดชิ้นโตให้กับนังนวลเพื่อนสี่ขาของเธอ
“กินเยอะ ๆ นะนวล จะได้มีน้ำนมให้ลูกกิน”
ดวงตาใสแจ๋วของอิงดาวเปี่ยมไปด้วยความเมตตา มองดูหมาแม่ลูกอ่อนสีขาวออกเหลือง เต้านมทั้งแปดบวมเต่งเพราะเพิ่งคลอดลูกได้ไม่กี่อาทิตย์ ตอนที่เธอเจอมันครั้งแรก มันผอมมากจนเห็นกระดูกซี่โครงเป็นริ้ว ๆ กำลังคุ้ยถังขยะที่หน้าตึก ด้วยความสงสารจับใจอิงดาวจึงแบ่งข้าวที่ห่อมาในวันนั้นให้มันกิน
“ฉันไปละนะ เดี๋ยวเข้าทำงานสาย”
อิงดาวบอกกับนังนวลที่กำลังแหว่งหางดิ๊ก ๆ เหมือนรับรู้ในสิ่งที่เธอบอกกับมัน ก่อนที่จะเดินขึ้นไปยังสำนักงานวิจัย
งานด้านการบริหารจัดการโครงการวิจัยของมหาวิทยาลัย เกี่ยวกับมาตรฐานด้านจริยธรรมการวิจัย ที่อิงดาวเป็นคนดูแลนั้น ส่วนใหญ่เป็นงานด้านเอกสารที่จะต้องทำบันทึกข้อความส่งต่อให้คณะกรรมการเป็นผู้พิจารณา ดังนั้น หากเธอทำให้ทันเวลาก็ไม่มีปัญหาใดต้องกังวล
ตอนเที่ยงหลังจากรับประทานอาหารกับเพื่อน ๆ เรียบร้อยแล้ว พี่นกอยากทานผลไม้แต่ไม่อยากฝ่าแดดร้อน ๆ เดินไปที่โรงอาหาร อิงดาวจึงอาสาไปซื้อผลไม้ให้พี่ ๆ และเพื่อน ๆ ในสำนักงาน
อิงดาวเดินลัดสนามฟุตบอลฝ่าแสงแดดร้อนระอุไปโรงอาหาร เมื่อมาถึงที่ร้านผลไม้ที่อยู่บริเวณหน้าของโรงอาหาร เธอกวาดสายตามองดูผลไม้หลากหลายชนิดที่วางเรียงเป็นแถวภายในตู้กระจกใส มีน้ำแข็งโรยรองพื้นอีกทีเพื่อรักษาความสด
แล้วหางตาก็เหมือนเห็นเงาร่างวูบไหวขึ้นที่มุมร้าน เธอจึงหันไปมองโดยอัตโนมัติ ผู้ชายร่างสูงเดินเข้ามาในร้านผลไม้ ใบหน้านั้นแม้จะมีแว่นตาสวมบดบังเอาไว้ แต่ความหล่อเหลาของเขาไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย ยิ่งเขาเป็นผู้ชายที่ผิวขาวสะอาด ยิ่งทำให้เขาดูเหมือนมีรังสีเปล่งประกายรอบตัว จนทำให้สาว ๆ หลายคนต้องหันมามองเขาครั้งแล้วครั้งเล่า เสื้อเชิ้ตสีขาวที่เขาสวมอยู่เรียบกริบ กางเกงสีดำที่ถูกรีดจนขึ้นจีบด้านหน้าคู่กับรองเท้าหนังสีดำที่ถูกขัดจนมันวาว เรียกได้ว่าแต่งตัวเนี้ยบทุกระเบียบนิ้ว เมื่อเธอเห็นใบหน้าหล่อเหลาของผู้มาใหม่อย่างเต็มตา อิงดาวก็รู้สึกว่าเหมือนถูกกระแสไฟฟ้าวิ่งตรงเข้าสู่หัวใจ ทำให้เต้นแรงขึ้น พร้อมกับเลือดร้อน ๆ สูบฉีดขึ้นไปทั้งหน้า
- อาจารย์ธาวิน –
ความจริงที่ซ่อนไว้ 8ฉันอาจจะเป็นผู้หญิงคนเดียวในโลกที่ Unlucky in love , Unlucky in gameเมื่อถึงรอบการประเมินเพื่อเลื่อนตำแหน่งจากพนักงานมหาวิทยาลัยระดับฝึกหัดเป็นระดับปฏิบัติการหากผ่านจะมีฐานเงินเดือนที่สูงขึ้น และมีความก้าวหน้าในสายงานอาชีพมากขึ้นปรากฏว่าฉันถูกประเมินว่า “ไม่ผ่าน” ซึ่งหัวหน้าสำนักงาน (พี่ณี) และท่านรองฯ ให้เหตุผลกับฉันว่า...เพราะเธอไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่ (คงจะเป็นเมื่อครั้งที่ฉันรั้นจะจัดอบรมนอกมหาวิทยาลัย) มาสาย และบ่นลงเฟสบุ๊คเหตุผลแต่ละข้อที่กล่าวมา ทำให้ฉันหัวเราะทั้งน้ำตาการเลื่อนขั้นขึ้นเงินเดือนไม่ได้ดูที่ผลงานหรืองานที่พัฒนาขึ้น แต่วัดกันที่เหตุผลส่วนบุคคลของคนบางกลุ่ม จนบางครั้ง ฉันรู้สึกหมดแรงกับการทำงานตั้งใจทำงานเพื่ออะไร พัฒนางานไปเพื่ออะไรทำงานให้เสร็จเรียบร้อยเพื่ออะไรเพราะทำไปเงินเดือนก็ไม่ขึ้น ตำแหน่งก็ไม่ได้ สู้เอาแรงกายแรงใจไปนั่งเลียแข้งเลียขาเจ้านายดีกว่าไหมสุดท้าย....ฉันก็ต้องยอมรับกับผลการประเมินที่ไม่เป็นธรรมแต่จะให้เปลี่ยนตนเองเป็นคนเลียแข้งเลียขา หรือเช้าชามเย็นชามก็ไม่ไหวเพราะสิ่งที่ฉันยึดมั่นอยูในใจเสมอมา คือค่าของคนอยู
ความบังเอิญครั้งที่ 4วันนั้น ฉันจัดประชุมคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์กว่าการประชุมจะสิ้นสุดลง ก็กินเวลาจวนเจียนจะบ่ายข้าวเที่ยงยังไม่ตกถึงท้อง น้ำย่อยในกระเพาะมันร่ำร้องให้ฉันพาตนเองไปทานข้าวที่โรงอาหารกลางเมื่อกินข้าวเสร็จก็ลุกขึ้นเพื่อเอาจานไปวางไว้ที่อ่างสำหรับเตรียมล้างนึกไม่ถึงเลยว่าจะเจออาจารย์ A กำลังนั่งทานข้าวอยู่ที่ด้านหลังเขานั่งหันหลังให้ฉันแม้หัวใจมันร่ำร้องอยากจะเข้าไปทักแต่สถานะที่เป็นอยู่ทำให้ฉันต้องข่มใจ แล้วเดินผ่านอาจารย์ไปฉันเดินออกจากโรงอาหารไปด้วยหัวใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวรู้สึกว่ายังไม่พร้อมที่จะขึ้นสำนักงาน จึงแวะที่ร้านกาแฟก่อนระหว่างที่นั่งรอกาแฟนั้น นึกไม่ถึงเลยว่าอาจารย์ A จะมาที่ร้านกาแฟเหมือนกันอาจารย์ A เปิดประตูเข้ามา ใบหน้าเรียบเฉย มองฉันแค่แวบเดียวแล้วมองผ่านเลย เหมือนคนไม่เคยรู้จักกันฉันกลืนก้อนแข็ง ๆ ลงคอในเมื่อเขาไม่อยากรู้จัก เราก็จะไม่ทักเขาให้ต้องระคายเคืองใจเมื่อได้กาแฟแล้ว ฉันก็รีบเดินออกจากร้านทันทีและสิ่งที่ทำให้ฉันตัดใจไม่ได้สักที คือผลจากแผนการที่วางเอาไว้ตั้งแต่ต้นที่ฉันเที่ยวไปประกาศปาว ๆ ว่างานอะไรที่เกี่ยวข้องก
ความจริงที่ซ่อนไว้ 7ยิ่งคุยกัน.....ระยะห่างระหว่างเรายิ่งสั้นลงเรื่อย ๆไม่รู้ทำไม...ทุกครั้งที่จบการสนทนาในแชทบล็อกเราต้องนั่งอมยิ้มคนเดียวแล้วในหัวก็จะมีเรื่องของเขาวนเวียนอยู่ในหัวทันทีที่เริ่มรู้สึกรัก ฉันก็เริ่มรู้สึกเจ็บปวดอกหักทันทีที่รัก เพราะรู้ดีแก่ใจว่า รักครั้งนี้ไม่มีทางเป็นไปได้ฉันตั้งใจขุดหลุมล่อหลอกอาจารย์ให้ตกลงไปเพื่อใช้อาจารย์เป็นเครื่องมือในการแก้แค้นหัวหน้ากลับกลายเป็นฉันที่ตกลงไปในหลุมเสียเองจนอยากที่จะปีนขึ้นไปในขณะที่ฉันเริ่มรู้ตัวว่าหลงรักอาจารย์จนยากจะตัดใจอาจารย์ก็เริ่มรู้ตัวว่าถูกฉันตามจีบการสนทนากันในแชทจึงเริ่มน้อยลง อาจารย์ A ถามคำตอบคำจนฉันเริ่มรู้ถึงการรักษาระยะห่างของเขาฉันจึงพยายามตัดใจจากเขา เพราะเข้าใจดีว่า ผู้ชายที่เพียบพร้อมทุกอย่าง ไม่มีทางมองผู้หญิงระดับต่ำกว่าแน่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา การศึกษา หรือฐานะดังนั้น ฉันจึงห้ามใจไม่ทักแชทไปอีก และหักดิบโดยการเลิกเป็นเพื่อนกับเขาทาง F******k เพื่อที่จะไม่ต้องรับรู้เรื่องราวอะไรเกี่ยวกับเขาอีกแต่ดูเหมือนฟ้าจะยังคงสนุกกับการทรมานหัวใจของฉันยิ่งอยากตัดใจ ก็ยิ่งให้ฉันต้องบังเอิญ
จนกระทั่งรถวิ่งผ่านสวนป่าข้างหนองน้ำ...“ ด้านซ้ายมือ... จะเห็นเครื่องออกกำลังกาย... สำหรับออกกำลังกายตอนเย็นๆ รอบหนองน้ำเป็นทางวิ่ง เขาเรียกกันว่า.... หนอง... หนอง....”อาจารย์ A หันมาสบตาฉันเพื่อขอความช่วยเหลือ...“หนองอิเจมค่ะ”ฉันตอบทันทีอย่างรู้งาน“ทำไมถึงชื่อ หนองอิเจมหรือครับ”วิทยากรสงสัย.......และแล้วอาจารย์ A ก็ได้รับอีก 1 หน้าที่ นั่นคือ นักเล่าประวัติศาสตร์หนองอิเจมของมหาวิทยาลัยจนกระทั่งในที่สุดรถก็เลี้ยวเข้าตึกสำนักงานอธิการบดีที่รถอาจารย์ A จอดไว้เครื่องมือแก้แค้นหัวหน้ากำลังจะลงจากรถแล้ว !ฉันเหลือบมองกระเป๋าอาจารย์ A ที่วางอยู่บนเบาะข้าง ๆสวรรค์ช่างเข้าข้างนัก !ฉันจึงถือกระเป๋าใบนั้นขึ้นมา ในขณะที่อาจารย์ A กำลังไหว้ลาวิทยากร แล้วเปิดประตูลงจากรถ“อาจารย์คะ กระเป๋าค่ะ !”ฉันตะโกนเรียกอาจารย์ พร้อมกับชูกระเป๋าให้ดู“อ๋อ... ขอบคุณครับ”ฉันยื่นกระเป๋าให้.....มือหนึ่งจับด้านข้าง.... อีกมือสอดไว้ใต้กระเป๋าอย่างจงใจ...อาจารย์ A ยื่นมือมารับกระเป๋า...มือนุ่มๆ ยาวเรียวของเขาประกบกับมือเล็ก ๆ ที่ฉันจงใจสอดไว้ใต้กระเป๋าหนังใบโต...Yes !เป็นไปตามแผน !... ฉันลิงโลดในใจ
ความจริงที่ซ่อนไว้ 5และแล้ววันอบรมก็มาถึง !ฉันต้องดีดตัวเองลุกจากที่นอนตั้งแต่ไก่โห่ !แล้วแจ้นไปรับวิทยากรที่สนามบิน !….ส่วนอีกทีมหนึ่งฝากให้น้องนก กับพี่เกด คอยต้อนและรับเหล่าอาจารย์ ที่เข้าร่วมอบรมให้ขึ้นรถบัส แล้วไปสมทบกันที่ รีสอร์ต The best orchid….เริ่มต้นการอบรม เป็นไปอย่างสวยงาม ผู้เข้าร่วมอบรมต่างประทับใจวิทยากรกันยกใหญ่...ทึ่งกับความคิดที่ไม่เหมือนใครทึ่งกับแนวทางการก้าวสู่ “ตำแหน่งศาสตราจารย์” ที่อายุยังน้อยและทึ่งกับฉันที่สามารถขุดค้นศาสตราจารย์ท่านนี้มาได้น้อง ๆ พี่ทีมงานที่มาช่วยจัดอบรมต่างรู้กันดีว่า ฉันกำลังวางแผนจีบอาจารย์ A เพื่อแก้แค้นหัวหน้า ดังนั้น ทุกคนต่างสนับสนุนช่วยเหลือฉันอย่างเต็มที่ไม่ว่าจะเป็น ช่วยถ่ายรูปอาจารย์ A เอาไว้แทบจะทุกช็อตในระหว่างที่นั่งอบรมกันในห้องประชุมนั้นอาจารย์ A ขอน้ำดื่มเพิ่ม พี่เกดก็มาสะกิดฉันให้ยกน้ำดื่มไปเสิร์ฟอาจารย์แม้กระทั่งตอนพักเที่ยง....ฉันแอบชำเลืองมองไปที่โต๊ะอาหารที่กลุ่มอาจารย์คณะวิศวะฯ นั่งอยู่ เมื่อเห็นว่า กลุ่มอาจารย์กำลังลุกออกจากโต๊ะฉันจึงรวบช้อน รีบกลืนข้าวที่ยังเคี้ยวไม่ละเอียดให้ลงคอ แล้วตามด้วยน้ำ“หนู
ความจริงที่ซ่อนไว้ 41 สัปดาห์ผ่านไป !อาจารย์ท่านอื่นๆ สมัครมาเกือบจะเต็มจำนวนที่เปิดรับแล้วอาจารย์ A ยังไม่ตอบรับมาเลย >เอาไงดี ๆ -ฉันกระวนกระวายในใจ“พี่เกด !” (นามสมมุติ)ฉันร้องเสียงหลง... ทันทีที่เห็นพี่เกดเดินเข้ามาในออฟฟิศ....ยังเช้าตรู่ ทั้งออฟฟิศมีแค่ฉันกับพี่เกด ดังนั้น ฉันจึงโหวกเหวกได้ตามใจ“แวะ ๆ แวะ โต๊ะหนูก่อน”ฉันลากพี่เกดมาที่โต๊ะ“พี่เกด หนูจะเชิญอาจารย์ A ไปอบรมกับหนูแบบเนียน ๆ”“หือ....”พี่เกดลากเสียง ตาวาว เพราะไม่มีใคร ไม่รู้จักความฮอต ของอาจารย์ผู้นั้น“หนูอยากจะทำความรู้จักกับอาจารย์ A ค่ะ”ฉันรีบบอกความต้องการของตนเองไปอย่างตรงไปตรงมา เพราะตอนนี้ความอยากแก้แค้น และเอาคืน มันมีมากกว่าความรู้สึกกระดากอาย“เอาจริง”“จริงแท้ แน่นอน”“เปลี่ยนเป้าหมายใหม่เถอะ ! เขาเป็นถึงตัวท๊อปของคณะวิศวะเลยนะ ! เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์เลยนะคะ”พี่เกดพูดพร้อมกับจะขยับตัวลุกขึ้น แต่คนมือไวคว้าหมับ รั้งไว้“ไม่เปลี่ยนใจค่ะ ! ให้หนูลองดูสักตั้งนะคะ”วินาทีนี้ ไม่มีอะไรจะเปลี่ยนความตั้งใจของฉันได้ !สุดที่รักของหัวหน้าใช่ไหม ! คอยดู ! แล้วฉันจะสอยลงมาอยู่ในกำมือ