แชร์

ตอนที่ 4 จะเหมือนแต่ก็ไม่

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-11-22 20:00:49

ไป๋หยุนกำลังหยิบเสื้อคลุมมาสวมยังไม่ทันผูกให้เรียบร้อยเขาก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินทั้งเสียงเรียกและเสียงทุบประตูราวฟ้าจะถล่มของบ่าวตัวน้อยนามเสี่ยวทู่

            “เกิดอะไรขึ้น!” ชายชราเปิดประตูออกผ่าง ทำให้ร่างเล็กของเด็กหญิงโถมตัวไปด้านหน้าสะดุดธรณีประตูจนเกือบจะล้มคว่ำไม่เป็นท่า ดีทีว่าชายวัยหกสิบอาศัยความไวดึงรั้งคอเสื้อด้านหลังของนางเอาไว้ได้แบบฉิวเฉียด

            เมื่อนางยืนได้เจ้าตัวก็รีบหมุนกายกลับไปหาประมุขของบ้านพลันคุกเข่าลงกับพื้นจนเกิดเสียงดัง ตึง!!

            “นายท่านผู้เฒ่าช่วยคุณหนูด้วย ฮือ ๆ” นางพูดไปพลางร้องไห้อย่างน่าเวทนา

            “หลานข้าเป็นอะไร เจ้าช่วยพูดให้รู้เรื่องก่อนร้องไห้ไม่ได้หรือ” ชายชราเอ่ยอย่างร้อนใจ

            ซึ่งจังหวะนั้นเองคนในครอบครัวทั้งบุตรชาย ลูกสะใภ้รวมถึงหลานชายอีกสองคนก็มาได้ยินเข้าพอดี

            “ท่านพ่อ เกิดเรื่องอันใดขึ้นขอรับ” ไป๋ซวนถามเข้าเรื่องพลางสาวเท้าเข้ามาบริเวณหน้าประตูสีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล

            “ข้าเองก็ไม่รู้ ข้าว่าพวกเราไม่ต้องรอแล้วรีบไปดูเป่าเปากันเถอะ” ชายชราส่ายศีรษะปฏิเสธเดินด้วยความว่องไวไปทางห้องของหลานสาวตัวน้อยที่บัดนี้นางกำลังดิ้นทุรนทุรายไปมาบนเตียงจากความเจ็บปวด

            เสียงร้องโหยหวนตะโกนฟังไม่ได้สรรพออกมาจากห้องของนางยิ่งทำให้ผู้ที่ตามชายชรามารู้สึกไม่วางใจ

            “เสี่ยวทู่! เกิดสิ่งใดกับบุตรข้า” ไป๋ซวนถามพลางเร่งฝีเท้าเพื่อไปให้ทันบิดาของตนที่ตอนนี้กำลังเปิดประตูห้องของไป๋เสวี่ย

            “บ่าวไม่รู้เจ้าค่ะ ตอนที่บ่าวส่งของสองสิ่งให้คะ..คุณหนู นางรับไปจากนั้นก็มีแสงสีทองโอบคลุมร่างของนางละ..แล้วก็คุณหนูก็กรีดร้องฮือ ๆ” เสียงของเสี่ยวทู่ขาด ๆ หาย ๆ เนื่องจากนางพูดไปร้องไห้ไป

            ครอบครัวไป๋ทั้งสี่คนแสดงสีหน้าฉงนคิ้วของเขาพากันขมวดด้วยความไม่เข้าใจว่าบ่าวตัวน้อยพูดถึงเรื่องอะไรจนกระทั่งพวกเขาได้มาถึงหน้าห้องของไป๋เสวี่ย

            ดวงตาของทุกคนเบิกกว้างเช่นเดียวกับไป๋หยุนในคราแรกที่เห็น ทว่าสำหรับชายชรานั้นในตอนนี้เขาได้หลับตาลงและนำมือของตนขึ้นมาพนมกลางอกเขาได้ท่องคาถาที่ไม่มีใครเข้าใจความหมายออกมา

            ตัวอักษรสีทองของเขาไม่สามารถเข้าไปแทรกพลังอันลึกลับที่ปกคลุมร่างของหลานสาวได้แม้แต่เศษเสี้ยวกลับกัน “อั๊ก!” ของเหลวสีคล้ำพุ่งออกจากปากของเขา “ท่านพ่อ! ท่านปู่ พ่อสามี! นายผู้เฒ่า!” คนในครอบครัวรีบพุ่งตัวเข้าไปหาเขาพร้อมกัน

            “ข้าไม่เป็นไร” น้ำเสียงของเขาฟังดูเหนื่อยหอบ

            ในระหว่างนั้นเองที่ไป๋หยุนกำลังจะหลับตาและบริกรรมคาถาของตนอีกครั้งฉับพลันท้องฟ้าด้านนอกก็เกิดเหตุการณ์แปลกประหลาด

            เมฆหมุนวนก่อตัวกันเป็นเกลียวคลื่นสีดำบริเวณเหนือเรือนของพวกเขา สายลมพัดรุนแรงต้นไม้รอบด้านพากันสลัดใบของตนปลิวเคว้งคว้างกลางอากาศก่อนจะมีบางสิ่งบางอย่างโผล่พ้นกลุ่มเมฆก้อนนั้นออกมาอย่างเชื่องช้า

            “พวกเราออกไปด้านนอก” ชายชราพูดขึ้นเมื่อสัมผัสถึงพลังงานบางอย่างที่มีอิทธิฤทธิ์มากจนน่าประหวั่นพรั่นพรึง

            ความน่าอัศจรรย์พันลึกเช่นนี้น่าแปลกที่ไม่มีชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงรับรู้ ยกเว้นเพียงคนบ้านไป๋ที่ตอนนี้กำลังยืนเกาะกันเป็นกลุ่มก้อนเมื่อพวกเขาออกมาด้านนอกแล้วพบว่าฟ้าในยามเช้าได้ถูกความมืดเข้ากลืนกินทำให้คล้ายกับยามวิกาล

            “ท่านปู่! ดูตรงนั้นสิขอรับ” ไป๋ตงชี้นิ้วของตนขึ้นไปบนท้องฟ้าที่ในตอนนี้มีแสงสีทองสว่างเป็นเส้นกระจายกันเป็นวงกว้าง

            ไป๋หยุนเริ่มมีสีหน้ากังวลอย่างยิ่งยวดทั้งนี้เป็นเพราะเขาผ่านหนาวมาถึงหกสิบรอบในปีนี้ก็ไม่เคยพบเห็นเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนนั่นเอง ดังนั้นเจ้าตัวจึงได้หลับตาและยกมือขึ้นมานับนิ้วเพื่อคำนวณบางสิ่งบางอย่าง

            เจ้าไม่อาจฝืนชะตาฟ้าอย่าได้คิดท้าทาย มีเสียงเตือนดังอยู่ในหัวของเขาก่อนที่เจ้าตัวจะลืมตาและปล่อยมือของตนลง

            ในตอนนี้ไป๋เสวี่ยเองก็หยุดดิ้นไปมาอีกทั้งยังเปิดเปลือกตาของตนขึ้นด้วยดวงตาของนางในตอนนี้หาใช่สีเดิมอีกต่อไป

            “ปวดหัวชะมัด ท่านอาจารย์นะท่านอาจารย์ ช่างทำศิษย์รักอย่างข้าได้ลงคอ” นางกล่าวตัดพ้อพลางยันกายลุกขึ้นนั่งโดยที่ไม่รู้เลยว่ากลางลานบ้านของตนในเวลานี้คนในครอบครัวกำลังตกตะลึงพรึงเพริดจนแทบดวงตาจะถลนออกจากเบ้า

            “ใครเรียกข้ามา?” น้ำเสียงอันทรงอำนาจนั้นทำให้พวกเขาทั้งหกขาสั่นเมื่อตั้งสติได้ทุกคนก็คุกเข่าลงบนพื้นดินอย่างพร้อมเพรียง

            “ทะ..ท่านผีซิว” ไป๋หยุนส่งเสียงเรียกด้วยความเคารพ

            “ใช่ ข้าเองว่าแต่เจ้ายังไม่ตอบเลยว่าใครเรียกข้ามา” สัตว์ประหลาดที่นับได้ว่าเป็นสัตว์เทพเอ่ยปากซ้ำ

            รูปลักษณ์ของเขาเป็นสีเหลืองดุจทองคำปีกที่กางออกค่อย ๆ ร่อนลงบนพื้นดินด้วยความละมุนละม่อม เมื่อเท้าทั้งสี่ติดพื้นเจ้าตัวก็หยัดกายองอาจดวงตาสีแดงราวกับทับทิมไล่เรียงมองครอบครัวไป๋ทีละคนอย่างพินิจพิเคราะห์

            “ไม่ใช่พวกเจ้าแล้วใคร” สัตว์เทพเอียงคอเปรยอย่างฉงน

            “ข้าเอง!” น้ำเสียงราวระฆังอันสดใสของเด็กหญิงวัยแปดปีตะโกนขึ้นเสียงดัง

            “จะ...เจ้า เป็นเจ้าได้ยังไง ข้าจะกลับ” ผีซิวมองคนพูดพลางขยับปีกกำลังจะบินขึ้นฟ้า”

            “เดี๋ยว! เจ้าไม่กลัวว่าบิดาของเจ้าจะลงโทษเจ้าอีกเหรอ แต่ถ้าเจ้าอยู่ช่วยข้ารับรองได้เลยว่าใต้หล้านี้ไม่มีใครทำอะไรพวกเราได้อย่างแน่นอน” ไป๋เสวี่ยรีบเดินมาทางสัตว์เทพผู้ยิ่งใหญ่ก่อนที่นางจะเอามือกอดคอของเขาแน่นด้วยความคิดถึง

            “ข้ากลัวเจ้าจะพาข้าซนจนบิดาต้องทำโทษข้าอีกซะมากกว่า” ลมหายใจอุ่นร้อนของผีซิวพ่นออกมาอย่างอึดอัด

            “เอาน่า ในเมื่อเราสองต่างก็มีวาสนา ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็มาร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันเถอะ” คนตัวเล็กกว่ายังคงเกลี้ยกล่อม

            หนึ่งสัตว์เทพกับหนึ่งเทพในร่างมนุษย์ตัวจ้อยกำลังสนทนากันอย่างออกรสโดยหลงลืมคนทั้งหกไปเสียสิ้น

            “เป่าเปา” ไป๋หยุนเอ่ยเรียกหลานสาวเสียงเบาด้วยความกริ่งเกรงต่อสัตว์เทพตัวใหญ่เบื้องหน้า

            “เจ้าค่ะ ท่านปู่” เด็กหญิงหาได้ปล่อยมือออกจากสัตว์เทพแต่อย่างใดในขณะหันศีรษะมาทางต้นเสียงที่ได้ยิน

            “นี่มันเรื่องอะไรกัน! ทำไม...ถึง” ชายวัยชราเว้นช่วงการพูดก่อนกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอพลางปรายตามองมาทางสัตว์เทพที่กำลังอ้าปากหาว

            “อ๋อ! ข้าจะแนะนำให้ทุกท่านได้รู้จักกับผีซิวนะคะ แม้ว่าเขาจะมีชื่อและหน้าตาเหมือนกับสัตว์เทพปีเซียะก็ตาม กระนั้นเขาหาได้มีอันใดเกี่ยวข้องกับสัตว์เทพผู้สง่างามที่ทุกคนให้ความเคารพนับถือแต่อย่างใดนะเจ้าคะ ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่นั้น ข้าคิดว่าเอาไว้หลังกินมื้อเช้าเรียบร้อยข้าค่อยเล่าให้ฟังดีหรือไม่”

            “ที่นี่มีอะไรให้ข้ากิน” สัตว์เทพผู้ชื่นชอบการกินรีบถามอย่างสนใจ

            “ข้าเองก็ไม่รู้ คงต้องถามท่านแม่” คำตอบจากไป๋เสวี่ยทำให้หลินเหมยกุ้ยใบหน้าแดงก่ำด้วยความอาย ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพราะอาหารของเรือนนั้นเป็นอะไรที่เรียบง่ายดูไม่เหมาะสมกับฐานะของสัตว์เทพที่แม้ว่าท่านจะไม่ใช่ท่านปีเซียะตามที่ตนนับถือก็ตาม

            “เรียนนายท่าน วันนี้มีโจ๊กข้าวฟ่างเพียงเท่านั้นเจ้าค่ะ” นางตอบเสียงสั่นด้วยเกรงโทสะของแขกคนสำคัญ

            “เฮ้อ! เอาเถอะโจ๊กข้าวฟ่างก็ยังดีกว่ากินดินละนะ ในยามนี้ทุกหย่อมหญ้าเพิ่งจะลามือจากสงครามระหว่างแคว้นได้ไม่นานมนุษย์อย่างพวกเจ้านี่ช่างน่าสงสารเสียเหลือเกิน ทว่าต่อไปในอนาคตมีข้าอยู่รับรองว่าพวกเจ้าย่อมได้กินดีนอนอุ่นอย่างแน่นอน” รูปลักษณ์ของสัตว์เทพสีทองย่อตัวลงให้เหลือเพียงลูกแมวตัวน้อยพูดขึ้นด้วยความเห็นใจ

            “ขอบคุณ ท่านเทพที่เข้าใจเจ้าค่ะ/ขอรับ” ผู้ใหญ่ทั้งสามของครอบครัวพากันก้มศีรษะลงกล่าวพร้อมกัน

            ไป๋เสวี่ยคิดว่าหากให้คนในครอบครัวพากันเกรงกลัวต่อผู้ช่วยที่ท่านอาจารย์ส่งมาให้ตนดูท่าจะไม่ดี ดังนั้นนางจึงได้กระซิบเข้ากับข้างหูของผีซิวเสียงเบา “เจ้าช่วยทำให้ทุกคนเห็นเจ้าเป็นลูกแมวได้ไหม”

            สัตว์เทพถลึงตาใส่นางแสดงอาการฉุนเฉียว “ข้าเป็นถึงลูกหลานมังกรผู้ยิ่งใหญ่แม้ว่าจะสืบเชื้อสายมาห่าง ๆ ก็เถอะ แต่เจ้าจะให้ข้าลดตัวลงไปเป็นสัตว์หน้าขนนี่นะ เห็นทีว่าข้าคงรับไม่ไหว”

            “ถ้าไม่อย่างนั้นเจ้าแปลงเป็นลูกสิงโตดีไหมเยี่ยงไรซะสิงโตก็นับได้ว่าเป็นเจ้าป่าถือว่ามีอำนาจยิ่งใหญ่เหนือกว่าสัตว์ทุกตัว อ๊ะ! เจ้าอย่าเพิ่งโกรธข้าสิอย่าลืมว่าที่นี่คือโลกมนุษย์นะ” ไป๋เสวี่ยรีบพูดออกมายืดยาวคราวเดียวทั้งเหตุและผลหลังได้ยินคำตอบอันไม่พอใจของสหาย

            “ก็ได้ เจ้าไม่ต้องพูดต่อแล้วข้ารู้ว่าจะต้องทำสิ่งใด” หลังจบประโยคของผีซิวก็ปรากฏแสงสีทองอาบไล้เรือนดินหลังนี้ทั้งหลังอยู่ชั่วครู่ก่อนที่ปฏิกิริยาของคนทั้งหกจะเปลี่ยนไป

            “เกิดอะไรขึ้น! ทำไมพวกเราถึงมานั่งคุกเข่าอยู่ตรงนี้” สีหน้าของไป๋ซวนมึนงงถามขึ้นในขณะเข้าไปช่วยประคองบิดาผู้ชราและในความมึนงงของทุกคนเสียงของไป๋เทียนก็ดังขึ้นด้วยความอยากรู้

            “พี่รอง ท่านไปได้เจ้าตัวนี้มาจากไหน” ไป๋เทียนถามเมื่อเขามองเห็นสัตว์ตัวเท่ากับตนที่มีขนสีทองอาบไล้ไปทั้งลำตัวด้วยดวงตาเป็นประกาย

            “มันหลงทางเข้ามาตอนที่ทุกคนกำลังนั่งคุกเข่า ว่าแต่เหตุใดทุกคนถึงได้มาอยู่ตรงนี้กันล่ะเจ้าคะ” ไป๋เสวี่ยถามขึ้นด้วยท่าทางไร้เดียงสา

            “ปู่จำได้ว่ากำลังอยู่ในห้องแล้วจู่ ๆ เหมือนว่าจะเห็นปรากฏการณ์อันแปลกประหลาดบนท้องนภาจึงได้ตามทุกคนมาคุกเข่าเพื่อขอพร” ในความทรงจำของไป๋หยุนนั้นเป็นเรื่องราวเช่นนี้

            การสนทนาหยุดลงเนื่องจากไป๋ซวนจะต้องไปทำงานเช่นเดียวกับสมาชิกในบ้านคนอื่น

            “ไม่กินอาหารเช้ากันก่อนหรือเจ้าคะ” ไป๋เสวี่ยถามด้วยความสงสัย “พี่รองท่านเลอะเลือนอย่างนั้นเหรอ พวกเราจะกินข้าวเช้ากันยามซื่อ[1] หากพวกเรากินกันตอนนี้จะมีเรี่ยวแรงทำงานกันตอนบ่ายได้เยี่ยงไร”

            “อย่างนั้นเหรอ ดูเหมือนว่าตั้งแต่ข้าสลบไปจะหลงลืมอะไรไปมากจริงนั่นแหละ ถ้ายังไงน้องเล็กเจ้าช่วยอยู่เป็นเพื่อนข้าและบอกเรื่องต่าง ๆ ให้พี่สาวคนนี้รับรู้ได้หรือไม่” การที่ไป๋เสวี่ยพูดเช่นนี้เพราะเห็นว่าทุกคนในครอบครัวต่างก็มีงานในมือจะมีก็แต่น้องชายคนนี้นี่แหละที่ไม่น่าจะยุ่งเช่นเดียวกับคนอื่น

            เด็กชายร่างผอมมองหน้าปู่ พ่อ แม่ จนถึงพี่ใหญ่เมื่อเห็นว่าทุกคนผงกศีรษะเจ้าตัวจึงได้ถอนลมหายใจก่อนจะตอบตกลง “เท้าของข้ายังไม่หาย ดังนั้นข้าจึงพอมีเวลาสนทนากับท่านหรอกนะ อย่าคิดว่าข้าจะเป็นคนว่างงานเล่า” ความท่ามากของเด็กชายทำให้ไป๋เสวี่ยอมยิ้มมองเขาอย่างเอ็นดู

            “ท่านอยากรู้อะไรก็ถามมา หากข้าตอบได้ข้าจะตอบ แต่หากไม่ได้ท่านก็เอาไว้ถามพี่ใหญ่ หรือไม่ก็ท่านปู่กับท่านพ่อเอาเองเถอะ” ไป๋เทียนเอ่ยคล้ายรำคาญซึ่งในตอนนี้ทั้งสองพี่น้องรวมถึงสัตว์ตระกูลแมวได้เข้ามาอยู่ในห้องของคนพูด

            “ได้ ตอนนี้เราอยู่บนแผ่นดินอะไร ปีที่เท่าไหร่ ใครเป็นผู้ปกครอง” ไป๋เสวี่ยยิงคำถามที่ตนเองสงสัยทันที

            “เมืองที่เราอยู่เรียกว่าเมืองฟงอวิ๋น รัฐฉิน ปีนี้เป็นปีชุนชิวที่เจ็ดร้อยเจ็ดสิบเอ็ด ผู้ครองรัฐคือฉินอ๋องส่วนนามจริงนั้นไม่มีใครรู้แม้แต่ท่านพ่อเพราะท่านเกรงว่าหากตัวตนถูกเปิดเผยจะเป็นจุดอ่อน สืบเนื่องมาจากตอนนี้ในเมืองต่าง ๆ มักมีสงครามกันอยู่ตลอดโชคดีที่เมืองของพวกเราห่างไกลกระนั้นผู้คนก็ยังไม่อาจกินอิ่มนอนอุ่น” คนเป็นน้องร่ายยาว ไป๋เสวี่ยนิ่งฟังกึ่งเข้าใจกึ่งไม่เข้าใจ

            ทำไมถึงแตกต่างจากประวัติศาสตร์ที่เราเคยรู้มาล่ะ แม้ว่าผู้ปกครองรัฐจะใช้แซ่ฉินเหมือนกันทว่าไม่เคยมีเรื่องปกปิดชื่อนี่ อีกทั้งเมืองฟงอวิ๋นในประวัติศาสต์ก็หาได้มีกล่าวถึง สรุปว่าตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหน ส่วนเรื่องราวบางอย่างก็ดูเหมือนคล้ายกันทว่าก็ไม่เหมือนซะทีเดียวตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ไป๋เสวี่ยคิดขึ้นด้วยความว้าวุ่นใจ

            โดยที่นางคงลืมไปแล้วกระมั้งว่าครั้งหนึ่งเรื่องราวประหลาดพันลึกเช่นนี้ก็เคยเกิดขึ้นกับใครคนหนึ่งมาก่อนแล้วเช่นกัน

[1] เวลา9.00-11.00

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ข้านี่แหละคุณหนูผู้ร้ายกาจ   ตอนที่ 17 เจ้าไม่หิว?

    กว่าคนกลุ่มใหญ่จะเดินป่ากันลงจากภูเขาได้ดวงตะวันก็เริ่มอ่อนแสงลงลับทิวไม้ไปทุกขณะ “ท่านยาย ไหวหรือไม่เจ้าคะ อดทนหน่อยอีกไม่ไกลพวกเราก็จะถึงแล้ว” ไป๋เสวี่ยเอ่ยปลอบหญิงวัยกลางคนผู้อายุมากอย่างเป็นห่วง “ไหว ยายยังไม่แก่มากปานนั้นนะเป่าเปา” แม้บนหน้าผากจะเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ทว่านางเกาก็ยังคงตอบอย่างอารมณ์ดี สำหรับชายชราที่มีอายุมากก็ได้ไป๋ตงกับเฟยชิวรวมถึงเด็กชายอีกหลายคนช่วยกันพยุง คนเหล่านี้ล้วนแต่มีร่างกายผ่ายผอมเกรงว่าหากมีลมพัดแรงพวกเขาก็คงจะปลิวดั่งใบไม้ถูกปลิดออกจากขั้ว “ท่านตาเหนื่อยหรือไม่ จะนั่งพักก่อนดีไหมขอรับ” ไป๋ตง ถามขึ้นอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นท่าทางอันเหนื่อยหอบของคนที่ตนช่วยเหลือ “บ่าวยังเดินไหวขอรับ คุณชาย

  • ข้านี่แหละคุณหนูผู้ร้ายกาจ   ตอนที่ 16 กำจัดเหาง่ายนิดเดียว (หรือเปล่า)

    “ท่านแม่ ตอนนี้ท่านเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ พอจะเดินไหวหรือไม่” ไป๋เสวี่ยถามมารดาเลี้ยงหลังจากกลุ่มของพวกเธอเดินย้อนกลับมา “แม่คิดว่าพอไหว” ผู้ถูกถามกัดฟัดตอบ “ข้าว่าไม่ได้แน่ เอาอย่างนี้เถอะเจ้าค่ะ ท่านนั่งบนหลังของผีซิวเถอะ ได้ไหมสหายรัก” ประโยคแรกไป๋เสวี่ยกล่าวกับมารดาก่อนจะบ่ายหน้าไปถามสหายสัตว์เทพที่กำลังเบิกตามองนาง หลังข้า ไม่ได้! แต่ข้ามีอีกตัวที่ดีกว่า จบคำของสัตว์เทพเจ้าตัวก็อ้าปากคำรามเสียงดังจนนกแตกฮือบินขึ้นฟ้า ฉับพลันในทันใดก็มีสายลมหอบหนึ่งพัดมาพร้อมกับการปรากฏร่างของสัตว์ชนิดหนึ่ง “ชงหลง”[1] ใช่! เป็นเจ้านี่แหละภูเขาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้เป็นที่อยู่ของพวกมันข้าไปเจอมาด้วยความบังเอิญ สัตว์เทพผู้มีดวงตาสีทับทิมตอบเสียงเนือย “พี่รอง! มันคือตัวอะไร

  • ข้านี่แหละคุณหนูผู้ร้ายกาจ   ตอนที่ 15 จำต้องตกใจขนาดนี้?

    กระต๊าก! กระต๊าก! ไก่ตัวใหญ่ตีปีกพั่บ พั่บ พุ่งตัวออกมาจากพุ่มไม้ ไป๋ตงที่ตั้งท่ารอเขาได้เงื้อมือขึ้นสูงก่อนลงมืออย่างเฉียบขาด ฉับ! สัตว์โชคร้ายไม่ทันได้ร้องขอชีวิตของเหลวสีแดงสดจากตัวไก่ไหลราวน้ำหลาก “ไก่ ของข้า” เสียงร้องโหยหวนของคนผู้หนึ่งดังขึ้นก่อนที่เจ้าตัวในชุดหนังสัตว์จะโผล่พ้นออกมา ไป๋ตงเปิดปากเมื่อเห็นใบหน้าของชายคนนี้ “เป็นเจ้า” “เจ้า!! เหตุใดถึงเป็นพวกเจ้าอีกแล้วล่ะ” คนป่าถามพลางนั่งยองมองไก่ผู้โชคร้ายด้วยน้ำตานอง ไป๋ตงมองไก่กับเด็กหนุ่มที่เคยเจอด้วยสายตาเรียบเฉย “เจ้าควรฝังร่างไก่ตัวนั้นนะ ที่มันยอมรับกระบี่ของข้าแทนร่างของเจ้า” “มันถึงคราวเคราะห์เองต่างหาก ในเมื่อมันตายแล้ว ข้าคิดว่าแทนที่จะให้มันต้องกลายเ

  • ข้านี่แหละคุณหนูผู้ร้ายกาจ   ตอนที่ 14 ทะ..ท่านเป็นคนลามก

    สองวันถัดมาหลังจากหยูไห่ได้ไปดำเนินการตามที่ไป๋ซวนสั่ง ในวันนี้เขาก็ได้เดินทางมาหาผู้เป็นนายที่ได้ย้ายเข้ามาทำงานที่เรือนแทนที่ว่าการอำเภอ “ใต้เท้านี่คือรายชื่อของชาวบ้านทั้งหมดมีทั้งสิ้นสามร้อยห้าสิบชีวิต แบ่งเป็นหมู่บ้านจงซานแปดสิบชีวิต หมู่บ้านตงซานห้าสิบ หมู่บ้านถงซานหกสิบ หมู่บ้านไห่ซานเก้าสิบ หมู่บ้านไป๋ซานเจ็ดสิบคนขอรับ” “หมู่บ้านไห่ซานคนเยอะกว่าหมู่บ้านอื่นพวกเขายึดอาชีพอะไรอย่างนั้นหรือ” ไป๋ซวนหยิบม้วนไม้ไผ่ออกมาอ่านพลางถามขึ้นด้วยความอยากรู้ “ก็คล้ายกับชาวบ้านทั่วไปนั่นแหละขอรับ ทว่าพื้นที่บริเวณนั้นอยู่ใกล้ป่ามากกว่าที่อื่น ดังนั้นพวกเขาจึงได้ยึดอาชีพหาของป่า แต่หลังจากเมืองของเราได้กลายเป็นแบบนี้พวกเขาก็ได้แต่เก็บของป่ามาประทังชีวิต หากจะล่าสัตว์นั้นยิ่งเป็นไปไม่ได้เพราะส่วนใหญ่ตอนนี้เหลือแต่ผู้หญิง เด็ก และคนชรา”&n

  • ข้านี่แหละคุณหนูผู้ร้ายกาจ   ตอนที่ 13 ไม่รู้จะตกใจอะไรก่อนดี

    เหอะ! ข้าไม่ง้อเจ้าก็ได้ ช่วงนี้คนที่ข้าพบเจอก็มีไม่มากนักข้าจะลองค่อย ๆ นึก เอ๋! หรือว่าจะเป็นเด็กคนนั้น “พี่ใหญ่ที่ท่านพูดคงจะไม่ใช่หมายถึงเขาหรอกนะเจ้าคะ” ไป๋เสวี่ยไม่ปล่อยผ่านจึงถามสิ่งที่ตนนึกได้ออกไป “อืม เขานั้นแหละ” ไป๋ซวนผู้ฟังการสนทนาของบุตรทั้งสองรู้สึกเกิดความสงสัยและกำลังตั้งใจจะเอ่ยปากถาม ทว่าเขาก็มองเห็นทหารนายหนึ่งขี่ลามาฝุ่นตลบ ทหารนายนั้นรีบกระโดดลงจากสัตว์พาหนะของตนวิ่งมาทางไป๋ซวนหน้าตาแตกตื่นจึงทำให้ชาวบ้านพากันตกใจ “หรือว่ามีข้าศึกบุกมาแล้ว” หนึ่งในกลุ่มคนคาดเดา ครานี้จากที่พวกเขากำลังนั่งสงบก็กลับส่งเสียงฮือราวผึ้งแตกรัง&n

  • ข้านี่แหละคุณหนูผู้ร้ายกาจ   ตอนที่ 12 เรื่องปากท้องสำคัญที่สุด

    เสียงหาวลากยาวของสัตว์เทพทำให้นกกาที่พากันหลับใหลแตกตื่นพากันแตกฮือบินขึ้นฟ้าส่งเสียงร้องกันดังจ้าละหวั่น กา กา พึ่บ พับ “พวกมันคงคิดว่าแผ่นดินไหวเป็นแน่” “เหอะ! ข้าแค่หาวเพียงหาวเดียวมันยังพากันตกใจถึงเพียงนี้หากว่าเกิดภัยพิบัติขึ้นมาจริงนกใจเสาะพวกนี้คงไม่แคล้วร่วงหล่นจากฟ้าเพราะหัวใจล้มเหลวเป็นแน่” สัตว์เทพตอบโต้สหายผู้อยู่บนหลังของตนอย่างถือดี “จ้า จ้า เจ้าพูดสิ่งใดล้วนถูกต้อง อดทนอีกนิดก็แล้วกันตอนนี้เราเหลือเพียงทิศอุดรภารกิจของเราก็สิ้นสุดสามารถกลับไปนอนเอกเขนก” คนพูดเองก็ตาปรือไม่แพ้กัน “ข้าจะนอน นอน และก็นอน ต่อให้แผ่นฟ้าถล่มหรือว่าบิดาของข้ามาข้าก็จะไม่สนใจ” สัตว์เทพสีทองเร่งฝีเท้าเพื่อให้ถึงเป้าหมายจนลมเย็นตีเข้าหน้าของไป๋เสวี่ย&nbs

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status