Share

ประลองรสชาติ

last update Terakhir Diperbarui: 2025-06-06 23:04:05

เช้าตรู่วันประลอง ท้องฟ้าเหนือเมืองหลวงยังคงมืดสลัวด้วยไอหมอกจางๆ แต่ใจกลางเมืองกลับคึกคักไปด้วยผู้คนมหาศาลที่หลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศ เพื่อเป็นสักขีพยานในศึกประลองรสชาติครั้งประวัติศาสตร์นี้ ไม่ใช่เพียงแค่การแข่งขันทำอาหารธรรมดา แต่มันคือการปะทะกันระหว่าง อำนาจ และ ความสามารถ ระหว่าง ศักดิ์ศรี ของเจ้าเมืองผู้ยิ่งใหญ่ กับ ความกล้าหาญ ของแม่ครัวสามัญชน

เหม่ยหลินและครอบครัวเดินทางมาถึงลานประลองที่ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ มีเวทีขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลาง รายล้อมด้วยที่นั่งสำหรับแขกผู้มีเกียรติและประชาชนทั่วไป กลิ่นหอมของเครื่องหอมปะปนกับกลิ่นไอของตลาดสดอบอวลไปทั่วบริเวณ

"ท่านแม่! คนเยอะมากเลยขอรับ!" หลี่เฟยหยางเกาะแขนเหม่ยหลินแน่น ดวงตากลมโตสอดส่ายมองไปรอบๆ ด้วยความตื่นเต้นปนหวาดหวั่น

"ไม่ต้องกลัวหรอกลูก" เหม่ยหลินยิ้มให้กำลังใจลูกชาย เธอเองก็รู้สึกตื่นเต้นไม่แพ้กัน แต่ความมุ่งมั่นในใจกลับแข็งแกร่งกว่าสิ่งใด

เมื่อเดินไปถึงหลังเวที พวกเขาก็เห็นเจ้าเมืองหลี่กวงหมิงยืนอยู่พร้อมกับพ่อครัวประจำจวนของเขา และชายชุดดำสองคนที่คุ้นหน้าคุ้นตา ใบหน้าของหลี่กวงหมิงเรียบตึง แต่แววตาของเขากลับฉายแววไม่พอใจที่เห็นเหม่ยหลินและครอบครัวมาปรากฏตัว

"หึ! คิดว่าจะไม่มาเสียแล้ว!" หลี่กวงหมิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย

เหม่ยหลินเพียงแค่ยิ้มบางๆ ไม่ได้ตอบโต้ใดๆ เธอหันไปตรวจดูวัตถุดิบและอุปกรณ์ที่ถูกจัดเตรียมไว้บนโต๊ะปรุงอาหารของเธอ ซึ่งถูกแบ่งแยกออกจากโต๊ะของเจ้าเมืองอย่างชัดเจน

"ท่านแม่! วันนี้เราจะทำให้ดีที่สุดเลยนะขอรับ!" หลี่เฟยหลงกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แววตาของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น

"ใช่แล้วลูก" เหม่ยหลินตอบ พลางลูบศีรษะของเขาเบาๆ

ไม่นานนัก เสียงกลองก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณเปิดการประลอง ขุนนางผู้ใหญ่และผู้พิพากษาซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการตัดสินขึ้นไปยืนบนเวที ผู้คนต่างส่งเสียงเฮด้วยความตื่นเต้น

"ขอเรียนเชิญท่านเจ้าเมืองหลี่กวงหมิง และท่านแม่เจียงเหมยลี่ ผู้ท้าประลอง ขึ้นสู่เวที!" เสียงประกาศดังก้องไปทั่วลานประลอง

หลี่กวงหมิงเดินขึ้นไปบนเวทีด้วยท่าทางสง่างาม ท่ามกลางเสียงปรบมือจากประชาชนบางส่วน เหม่ยหลินก้าวขึ้นไปบนเวทีอย่างมั่นคง ท่ามกลางเสียงซุบซิบและสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยปนชื่นชม

"การประลองในวันนี้ จะตัดสินโดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และพ่อครัวหลวงจากวังหลวง!" ผู้พิพากษาประกาศ "ทั้งสองฝ่ายจะต้องปรุงอาหารสองเมนู โดยใช้เวลาทั้งหมดสามชั่วโมง! เมนูแรกจะต้องเป็นอาหารคาว และเมนูที่สองจะต้องเป็นอาหารหวาน! ขอให้ทั้งสองฝ่ายเตรียมตัว!"

เหม่ยหลินพยักหน้าเล็กน้อย เธอหันไปมองเจ้าเมืองหลี่กวงหมิงที่กำลังมองมาที่เธอด้วยสายตาเย็นชา

"เริ่มได้!"

เมนูแรก: การปะทะแห่งรสชาติ

เมื่อเสียงสัญญาณเริ่มต้นดังขึ้น ทั้งสองฝ่ายก็เริ่มลงมือปรุงอาหารอย่างรวดเร็ว

หลี่กวงหมิงภายใต้คำแนะนำของพ่อครัวประจำจวนของเขา เลือกที่จะทำ "เป็ดย่างซอสพริกหม่าล่า" ซึ่งเป็นเมนูที่ขึ้นชื่อของจวนเจ้าเมือง และเป็นที่ชื่นชอบของคนในยุคนั้น พ่อครัวของเจ้าเมืองเริ่มต้นด้วยการเลาะกระดูกเป็ดออกอย่างรวดเร็ว นำเป็ดไปหมักกับเครื่องเทศนานาชนิด ก่อนจะนำไปย่างบนเตาถ่านจนหนังเป็ดกรอบเป็นสีทอง ส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วบริเวณ

ด้านเหม่ยหลิน เธอเลือกที่จะทำ "มังกรซ่อนกายในทะเลบุปผา" ตามที่วางแผนไว้ เธอเริ่มต้นด้วยการหุงข้าวอย่างพิถีพิถัน โดยใช้ข้าวที่ได้จากการแลกเปลี่ยนและผสมกับมันเทศเล็กน้อย เพื่อให้ข้าวมีเนื้อสัมผัสที่เหนียวนุ่มและมีรสหวานธรรมชาติ จากนั้นเธอนำข้าวที่หุงสุกแล้วมาบดอย่างละเอียด ปรุงรสด้วยเกลือและน้ำมันงาเล็กน้อย แล้วปั้นเป็นรูปมังกรตัวเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ผักลวกที่จัดเรียงเป็นรูปดอกไม้สีสันสดใส ราดด้วยซอสเต้าเจี้ยวโบราณที่เธอปรุงขึ้นเป็นพิเศษ

กลิ่นหอมของเป็ดย่างและกลิ่นหอมละมุนของซอสเต้าเจี้ยวผัดลอยคละคลุ้งไปทั่วลานประลอง ผู้คนต่างส่งเสียงซุบซิบและถกเถียงกันถึงเมนูของทั้งสองฝ่าย

"เป็ดย่างของท่านเจ้าเมืองช่างหอมยั่วยวนนัก!"

"แต่อาหารของแม่เจียงก็ดูแปลกตาและน่าสนใจไม่แพ้กันเลยนะ!"

เมื่อหมดเวลาสำหรับเมนูแรก ทั้งสองฝ่ายก็นำอาหารไปวางบนโต๊ะให้คณะกรรมการได้ชิม คณะกรรมการเริ่มต้นด้วยการชิมเป็ดย่างซอสพริกหม่าล่าของเจ้าเมือง รสชาติที่เข้มข้นของเนื้อเป็ดที่หมักจนเข้าเนื้อ ผสานกับความเผ็ดร้อนของซอสพริกหม่าล่า ทำให้พวกเขาพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

จากนั้น พวกเขาก็หันมาลองชิม "มังกรซ่อนกายในทะเลบุปผา" ของเหม่ยหลิน เมื่อพวกเขาตักข้าวปั้นรูปมังกรเข้าปาก คำแรกที่พวกเขาได้ลิ้มรสคือความเหนียวนุ่มของข้าวที่ถูกปรุงรสอย่างกลมกล่อม ความหวานธรรมชาติของมันเทศ และความกรอบสดของผักลวกที่เข้ากันอย่างลงตัวกับซอสเต้าเจี้ยวโบราณที่หอมละมุน มันเป็นรสชาติที่เรียบง่าย แต่กลับสร้างความประทับใจให้แก่พวกเขาอย่างมาก

"นี่มัน...อร่อยอย่างไม่น่าเชื่อ!" พ่อครัวหลวงจากวังหลวงเอ่ยชมด้วยความประหลาดใจ "ข้าวปั้นที่ดูธรรมดาๆ กลับมีรสชาติที่ล้ำลึกและหอมละมุนถึงเพียงนี้!"

เมนูที่สอง: การทดสอบใจและกลิ่นอายแห่งเซียน

เมื่อถึงเมนูที่สอง การแข่งขันก็เริ่มเข้มข้นขึ้นกว่าเดิม

หลี่กวงหมิงและพ่อครัวของเขาเลือกที่จะทำ "ขนมบัวลอยน้ำขิงไส้งาดำ" ซึ่งเป็นขนมหวานยอดนิยมที่แสดงถึงฝีมือในการทำขนมได้อย่างดีเยี่ยม พวกเขาปั้นบัวลอยอย่างปราณีต ใส่ไส้งาดำที่ปรุงรสอย่างหอมหวาน ก่อนจะนำไปต้มในน้ำขิงที่หอมร้อน

ด้านเหม่ยหลิน เธอเลือกที่จะทำ "ซุปแห่งชีวิตอมตะ" ตามที่วางแผนไว้ เธอเปิดหม้อซุปที่เธอเคี่ยวมาตั้งแต่เช้าตรู่ กลิ่นหอมของเห็ดหลินจือดำหายาก สมุนไพรจีนหลากหลายชนิด และกลิ่นหอมของ "น้ำทิพย์เซียน" ลอยฟุ้งไปทั่วลานประลอง สร้างความตกตะลึงให้แก่ผู้คนและคณะกรรมการอย่างมาก

"นี่มันกลิ่นอะไรกัน! ทำไมมันถึงได้หอมขนาดนี้!"

"กลิ่นนี้...ราวกับกลิ่นของสมุนไพรโบราณ! เป็นกลิ่นที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนเลย!"

หลี่กวงหมิงถึงกับขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ เขาจำกลิ่นของ "ซุปบำรุงเซียน" ที่เขาเคยดื่มที่จวนของเขาได้ และเขาก็รู้ว่าเหม่ยหลินกำลังใช้เมนูนี้ในการประลองครั้งนี้

เมื่อหมดเวลาสำหรับเมนูที่สอง ทั้งสองฝ่ายก็นำอาหารไปวางบนโต๊ะให้คณะกรรมการได้ชิม คณะกรรมการเริ่มต้นด้วยการชิมขนมบัวลอยน้ำขิงไส้งาดำของเจ้าเมือง รสชาติหวานมันของไส้งาดำ ผสานกับความเผ็ดร้อนของน้ำขิง ทำให้พวกเขารู้สึกอบอุ่นในอก

จากนั้น พวกเขาก็หันมาลองชิม "ซุปแห่งชีวิตอมตะ" ของเหม่ยหลิน เมื่อพวกเขาตักซุปเข้าปากคำแรก ดวงตาของทุกคนก็เบิกกว้างด้วยความทึ่ง รสชาติที่ล้ำลึก หอมหวาน และมีกลิ่นอายของสมุนไพรที่แตกต่างจากซุปใดๆ ที่เคยลิ้มลอง มันเป็นรสชาติที่ทำให้รู้สึกสดชื่น มีพลังงาน และจิตใจสงบ ราวกับได้ดื่มน้ำทิพย์จากสวรรค์

"นี่มันซุปอะไรกัน! มันไม่ใช่แค่ซุปธรรมดา!" พ่อครัวหลวงจากวังหลวงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น "มันมีพลังบางอย่างอยู่ในนั้น! ราวกับซุปที่ปรุงโดยเซียน!"

เหตุการณ์ไม่คาดฝันและการตัดสิน

ขณะที่คณะกรรมการกำลังชิมซุปแห่งชีวิตอมตะอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นจากกลุ่มผู้ชมด้านหน้า

"ท่านเจ้าเมือง! นั่นมันเห็ดหลินจือดำที่ท่านสั่งให้คนไปหามาไม่ใช่หรือขอรับ!" ชายชราคนหนึ่งในกลุ่มผู้ชมตะโกนขึ้นมา

เสียงนั้นทำให้ทุกคนหันไปมอง เจ้าเมืองหลี่กวงหมิงถึงกับหน้าซีดเผือด เขารู้ว่าเห็ดหลินจือดำที่ใช้ในซุปของเหม่ยหลินนั้น เป็นเห็ดที่เขาเคยสั่งให้ลูกน้องไปหามาเพื่อบำรุงตัวเอง แต่เหม่ยหลินกลับนำมันมาใช้ในการประลองครั้งนี้

"ไม่จริง! นั่นมันเห็ดของข้า!" หลี่กวงหมิงตะโกนขึ้นอย่างโมโห

"ท่านเจ้าเมืองกล่าวอะไรหรือเจ้าคะ?" เหม่ยหลินยิ้มบางๆ "เห็ดหลินจือดำเป็นของธรรมชาติ ใครหามาได้ก็เป็นของผู้นั้น และข้าก็ได้รับเห็ดเหล่านี้มาจากลูกๆ ของข้าที่เสี่ยงชีวิตขึ้นไปหามาจากบนภูเขาเจ้าค่ะ"

คำพูดของเหม่ยหลินทำให้ผู้คนในตลาดต่างส่งเสียงฮือฮา พวกเขาเริ่มเข้าใจว่าเห็ดหลินจือดำที่อยู่ในซุปของเหม่ยหลินนั้นมีที่มาอย่างไร

หลี่กวงหมิงถึงกับพูดไม่ออก ใบหน้าของเขาแดงก่ำด้วยความโกรธและความอับอาย

ในที่สุด เมื่อคณะกรรมการได้ชิมอาหารของทั้งสองฝ่ายครบถ้วนแล้ว ผู้พิพากษาและขุนนางผู้ใหญ่ก็ปรึกษาหารือกันอย่างเคร่งเครียดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับมายืนอยู่หน้าเวที

"เอาล่ะ! ทุกท่าน! การประลองรสชาติครั้งนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว!" ผู้พิพากษาประกาศด้วยน้ำเสียงก้องกังวาน "บัดนี้...ถึงเวลาประกาศผลการตัดสิน!"

บรรยากาศในลานประลองเงียบสงัดลงทันที ผู้คนต่างกลั้นหายใจรอฟังผลลัพธ์

"จากการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว...คณะกรรมการขอประกาศให้ ท่านแม่เจียงเหมยลี่ เป็นผู้ชนะการประลองรสชาติในครั้งนี้!"

เสียงเฮลั่นและเสียงปรบมือดังสนั่นไปทั่วลานประลองราวกับพายุ ลูกๆ ของเหม่ยหลินโผเข้ากอดเธอด้วยความดีใจ ชิวลี่ฮวาก็เข้ามาจับมือเธออย่างซาบซึ้งใจ

หลี่กวงหมิงถึงกับตัวแข็งทื่อ ใบหน้าของเขาซีดเผือดราวกับไร้ซึ่งเลือดฝาด เขาไม่เคยคิดว่าเขาจะพ่ายแพ้ให้กับแม่ครัวสามัญชนอย่างเหม่ยหลินได้ เขาถูกหยามเกียรติอย่างรุนแรงที่สุดเท่าที่เคยมีมา

"ไม่จริง! มันเป็นไปไม่ได้!" หลี่กวงหมิงตะโกนขึ้นอย่างบ้าคลั่ง "เจ้าโกง! เจ้าต้องโกงแน่ๆ!"

"ท่านเจ้าเมือง! โปรดสำรวม!" ผู้พิพากษาเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงหนักแน่น "ผลการตัดสินเป็นไปอย่างยุติธรรม โดยมีพยานหลักฐานและคณะกรรมการเป็นผู้ยืนยัน!"

หลี่กวงหมิงกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ เขาหันไปมองเหม่ยหลินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความแค้น และในแววตาของเขาก็ปรากฏประกายบางอย่างที่เหม่ยหลินไม่เคยเห็นมาก่อน มันคือประกายของ ความบ้าคลั่ง และ ความพยาบาท

"เจ้า...เจ้าจะต้องเสียใจ! เจ้าจะต้องเสียใจที่กล้ามาหักหน้าข้า!" หลี่กวงหมิงกล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำและเต็มไปด้วยความอาฆาต ก่อนจะเดินจากเวทีไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับพ่อครัวและชายชุดดำของเขา

แม้จะได้รับชัยชนะ แต่เหม่ยหลินก็รู้สึกได้ถึงความอันตรายที่กำลังจะมาถึง เธอรู้ว่าหลี่กวงหมิงจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ และเขาจะต้องหาทางแก้แค้นเธอและครอบครัวอย่างแน่นอน

แต่ในตอนนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเธอได้ปกป้องครอบครัวของเธอไว้ได้ และเธอได้แสดงให้ทุกคนเห็นแล้วว่า ความสามารถและความจริงใจนั้นยิ่งใหญ่กว่าอำนาจและศักดิ์ศรีจอมปลอม

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • ข้านี้แหละที่จะทำให้ตระกูลนี้ร่ำรวย   พลังงานลึกลับ

    หลายเดือนหลังจากการเอาชนะภัยแล้งและความร่วมมือกับเผ่าหินทมิฬ ความสงบสุขก็กลับมาสู่แคว้นอีกครั้ง เหม่ยหลินยังคงทำหน้าที่เชฟหลวงและครูสอนทำอาหารอย่างไม่ย่อท้อ แต่ในใจของเธอ เธอรู้ว่าความสงบสุขนี้เป็นเพียงช่วงเวลาที่ยืมมาจากโชคชะตาเท่านั้น พลังงานลึกลับ ที่คุณหมอชลธีกล่าวถึง เริ่มแสดงอาการที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆพลังงานที่ปั่นป่วนและอาการผิดปกติของธรรมชาติในคืนหนึ่งที่เงียบสงบ เหม่ยหลินกำลังนั่งสมาธิอยู่ในสวนหลวงเพื่อฝึกจิตให้สงบตามที่คุณหมอชลธีแนะนำ ทันใดนั้น เธอก็รู้สึกได้ถึงคลื่นพลังงานประหลาดที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย คลื่นพลังงานนั้นทำให้เธอรู้สึกวิงเวียนศีรษะ และได้ยินเสียงกระซิบที่เธอไม่เข้าใจ ความรู้สึกนี้คล้ายกับความรู้สึกในวันที่เธอเดินทางข้ามมิติมายังโลกนี้!เธอรีบไปยังที่พักของคุณหมอชลธีทันที และพบว่าเขากำลังยืนอยู่หน้าต่างด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด"คุณหมอชลธี! คุณรู้สึกไหมคะ!?" เหม่ยหลินถามด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก"ครับ...ผมรู้สึก" คุณหมอชลธีตอบ "มันไม่ใช่แค่ในร่างกายเราแล้วนะครับคุณเหม่ยหลิน...แต่ผมรู้สึกว่ามันกำลังปั่นป่วน มิติ นี้อยู่"อาการผิดปกติเริ่มปรากฏขึ้นทั่วแคว้น สัตว์เลี้ยง

  • ข้านี้แหละที่จะทำให้ตระกูลนี้ร่ำรวย   มิตรภาพกลางทะเลทราย

    การเผชิญหน้าระหว่างสองอารยธรรมที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ได้ถูกตัดสินด้วยเงื่อนไขที่แปลกประหลาดที่สุด นั่นคือ "อาหาร" เหม่ยหลินไม่รู้สึกหวาดหวั่นเลยแม้แต่น้อย เธอมองไปยังไป๋เฟิงและคุณหมอชลธีด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ ส่วนหัวหน้าหินทมิฬและพรรคพวกของเขาก็จ้องมองเธอด้วยความสงสัยระคนดูถูก"ท่านหัวหน้าหินทมิฬ" เหม่ยหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สงบ "ก่อนที่ข้าจะเริ่มทำอาหาร ข้าอยากจะขอให้ท่านแสดงน้ำใจแก่พวกข้าเสียก่อน โปรดนำน้ำมาให้พวกข้าสักเล็กน้อยเพื่อใช้ในการปรุงอาหาร และถ้าท่านอนุญาต...ข้าอยากจะขอให้พวกท่านช่วยนำทางพวกเราไปหาวัตถุดิบบางอย่างในพื้นที่ของท่านเพคะ"หัวหน้าหินทมิฬหัวเราะในลำคอ "เจ้ากล้าขอของจากข้าอย่างนั้นรึ! ก็ได้! แต่ถ้าเจ้าปรุงอาหารให้ข้าไม่พอใจ...เจ้าจะต้องถูกโยนลงไปในทะเลทรายที่ร้อนระอุจนกลายเป็นอาหารของสัตว์ร้าย!"เขาสั่งลูกน้องให้นำน้ำมาให้เหม่ยหลินเพียงน้อยนิด และให้ชายหนุ่มคนหนึ่งนำทางเธอไปหาวัตถุดิบ เหม่ยหลินรับน้ำมาด้วยรอยยิ้ม แล้วเดินนำไป๋เฟิงและคุณหมอชลธีออกไปพร้อมกับผู้ช่วยจากเผ่าหินทมิฬการล่าวัตถุดิบในแดนทุรกันดารการเดินทางไปหาวัตถุดิบในดินแดนของเผ่าหินทมิ

  • ข้านี้แหละที่จะทำให้ตระกูลนี้ร่ำรวย   ภัยแร้ง

    บรรยากาศระหว่างคนทั้งสามตึงเครียดราวกับสายธนูที่ถูกน้าวสุดแรง ไป๋เฟิงมองเหม่ยหลินและคุณหมอชลธีสลับไปมาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม เหม่ยหลินรู้สึกเหมือนถูกบีบรัดด้วยความลับที่ปกปิดมานานหลายปี เธอรู้ว่าไม่อาจหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าในครั้งนี้ได้อีกต่อไป"ไป๋เฟิง" เหม่ยหลินเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเธอสั่นเครือแต่แฝงด้วยความเด็ดเดี่ยว "ข้าจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ท่านฟัง แต่ท่านต้องให้สัญญากับข้าว่า ท่านจะไม่ตัดสินข้า และจะเชื่อในสิ่งที่ข้าพูด"ไป๋เฟิงพยักหน้าอย่างช้าๆ "ข้าให้สัญญาขอรับ"เหม่ยหลินจึงเริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมด ตั้งแต่วันที่เธอเป็นเชฟในโรงพยาบาลในโลกที่เธอจากมา เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันที่ทำให้เธอหลุดข้ามมิติมายังโลกนี้ การได้พบกับครอบครัวของเจียงเหวิน และการใช้ความรู้จากโลกเดิมเพื่อเอาชีวิตรอดและสร้างชีวิตใหม่ เธอไม่ได้ละเว้นแม้แต่เรื่องราวที่เธอเคยบอกไปแล้วอย่างเรื่องการทำอาหารจากวัตถุดิบประหลาด หรือเรื่องราวของโลกที่เทคโนโลยีเจริญก้าวหน้าไปไกลกว่าโลกนี้มากไป๋เฟิงฟังอย่างเงียบสงบ สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนจากความสงสัยเป็นความเข้าใจและตกตะลึง ในขณะที่คุณหมอชลธีก็เสริมข้อมูลบางอย่างที่เหม่ยห

  • ข้านี้แหละที่จะทำให้ตระกูลนี้ร่ำรวย   กองโจรกับการหลับมา

    หลายปีผ่านไปนับตั้งแต่เหตุการณ์โจรสลัดหมาป่าทมิฬ ทุกมุมของแคว้นได้ฟื้นคืนชีวิตชีวาอย่างเต็มที่ภายใต้การนำอันชาญฉลาดของเหม่ยหลินและองค์จักรพรรดิ ตระกูลหลี่ได้กลายเป็นตระกูลที่มีเกียรติยศสูงสุดในแผ่นดิน หลี่เฟยหลงก้าวขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่ผู้แข็งแกร่งและซื่อสัตย์ ชิวลี่ฮวาเป็นที่รู้จักในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านพืชพรรณและศิลปะในวัง ส่วนหลี่เฟยหานก็เติบโตเป็นข้าราชการหนุ่มผู้ซื่อตรงและเปี่ยมด้วยความสามารถ หลี่เฟยหยาง น้องสุดท้องก็เป็นหนุ่มน้อยผู้ร่าเริง มีสติปัญญา และมักจะสร้างเสียงหัวเราะให้กับทุกคนในวังเสมอมิตรภาพระหว่างแคว้นของเหม่ยหลินกับแคว้นเยว่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเหล็กกล้า ไป๋เฟิงยังคงเป็นราชทูตผู้ทรงอิทธิพล และมักจะเดินทางมาเยี่ยมเยียนเหม่ยหลินและครอบครัวอยู่เสมอ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเหม่ยหลินนั้นลึกซึ้งเกินกว่าคำว่ามิตร และเป็นที่รับรู้กันในหมู่คนใกล้ชิดว่าไป๋เฟิงมีใจให้กับเชฟหลวงผู้นี้อย่างสุดซึ้ง แต่ความแตกต่างของสถานะและแคว้นทำให้เรื่องนี้ยังคงเป็นเพียงความรู้สึกที่งดงามในใจเท่านั้นแม้ทุกสิ่งจะดูสมบูรณ์แบบ แต่บางครั้ง เงาจากอดีต ก็มักจะคืบคลานกลับมาทักทาย โดยเฉพาะอดีตที่เ

  • ข้านี้แหละที่จะทำให้ตระกูลนี้ร่ำรวย   โจร

    ความรุ่งเรืองของแคว้นที่ฟื้นคืนชีพจากวิกฤตภัยธรรมชาติ เป็นดั่งแสงสว่างที่ดึงดูดสายตาจากทุกทิศทุกทาง ชื่อเสียงของ "ซุปแห่งชีวิตอมตะ" และความอุดมสมบูรณ์ที่กลับคืนมาอย่างรวดเร็วภายใต้การนำของ เชฟหลวงเหม่ยหลิน ไม่ได้สร้างความชื่นชมยินดีไปทั่วทุกสารทิศเสมอไป ในดินแดนที่ห่างไกลออกไป ความโลภ กำลังเริ่มคืบคลานเข้าปกคลุมจิตใจของผู้คนบางกลุ่ม เสียงกระซิบของความมั่งคั่งและแผนการร้ายจากแดนเถื่อน ทางทิศตะวันออกไกลโพ้นจากแคว้นที่กำลังฟื้นฟู มีกลุ่มโจรขนาดใหญ่ที่เรียกตัวเองว่า "หมาป่าทมิฬ" อาศัยอยู่ พวกมันเป็นที่หวาดกลัวของผู้คนในแถบนั้น ด้วยความโหดเหี้ยม ป่าเถื่อน และความสามารถในการปล้นสะดมอย่างรวดเร็วราวกับฝูงหมาป่าที่หิวโหย หัวหน้ากลุ่ม คือชายร่างยักษ์ผู้มีใบหน้าดุร้ายและรอยแผลเป็นพาดผ่านดวงตา "ไคเฟิง" เขาได้ยินข่าวลือเรื่องความมั่งคั่งของแคว้นที่ฟื้นคืนชีพ รวมถึงเรื่องอาหารวิเศษที่ทำให้ผู้คนมีพละกำลังและสุขภาพดี "พวกแกได้ยินข่าวลือเรื่องแคว้นทางตะวันตกนั่นรึไม่!" ไคเฟิงคำรามเสียงดังในค่ายโจรที่เต็มไปด้วยกองไฟและเสียงเอะอะโวยวาย "มันว่ากันว่าแคว้นนั้นมีอาหารวิเศษที่ทำให้คนไม่เจ็บไม่ป่วย!

  • ข้านี้แหละที่จะทำให้ตระกูลนี้ร่ำรวย   การฟื้นฟู

    เสียงโห่ร้องยินดีดังกึกก้องไปทั่วลานประลอง เมื่อขันทีหลงและผู้นำพรรคอัคคีทมิฬถูกคุมตัวออกไป ภาพของประชาชนที่ดื่มด่ำ "ซุปแห่งแสงตะวัน" และฟื้นคืนพลังขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ ได้สยบทุกความแคลงใจ ทุกเสียงกระซิบกระซาบของความไม่พอใจมลายหายไปสิ้น แทนที่ด้วยประกายแห่งความหวังและความเชื่อมั่นที่กลับคืนมาองค์จักรพรรดิทรงเดินลงจากบัลลังก์ มาประทับยืนข้างเหม่ยหลิน พระหัตถ์ของพระองค์วางลงบนบ่าของเธอด้วยความเมตตาและภาคภูมิใจ"ประชาชนของข้า!" องค์จักรพรรดิรับสั่งด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยพลัง "วันนี้! พวกเจ้าได้เห็นแล้วถึงความจริงใจของวังหลวง! พวกเจ้าได้ลิ้มรสแล้วถึงความเมตตาของสวรรค์! และพวกเจ้าได้ประจักษ์แล้วถึงพลังแห่งความสามัคคี! เราจะร่วมกันฟื้นฟูแคว้นของเราให้กลับมารุ่งเรืองยิ่งกว่าเดิม!"เสียงกู่ก้อง "ทรงพระเจริญ!" ดังกึกก้องไปทั่วทั้งลานประลอง ประชาชนต่างคุกเข่าลงด้วยความเคารพและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแผนฟื้นฟูแผ่นดิน: เมล็ดพันธุ์แห่งความหวังหลังเหตุการณ์จลาจล องค์จักรพรรดิได้เรียกประชุมเหล่าขุนนางและผู้เชี่ยวชาญทุกสาขา เพื่อวางแผนฟื้นฟูแคว้นครั้งใหญ่ เหม่ยหลิน ไป๋เฟิง

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status