วันนี้นางคงไม่ต้องเดินออกกำลังแล้ว แค่เข้าๆ ออกๆ มิติ จัดเรียงข้าวของที่นำออกมาก็เหนื่อยจนเหงื่อโทรมหน้า จึงได้อาบน้ำจากในมิติเสียจนเย็นชุ่มฉ่ำแล้วค่อยออกมาแต่งกายด้วยชุดฮั่นฝู่สีเขียวใบบัว ที่คาดว่าคงเป็นอนุเจียวจัดหาไว้ให้อีกตามเคย
เมื่อนางแต่งกายเสร็จเรียบร้อย เสี่ยวมี่ก็เข้ามารายงานว่ามีอนุส่วนหนึ่งมาถึงแล้ว และเมื่อมองออกไปตามทางที่เดินมาสู่เรือนริมบึงก็เห็นสตรีวัยเยาว์ทยอยเดินกันมาเป็นกลุ่มเล็กบ้างใหญ่บ้าง นางจึงได้ออกไปรอที่ระเบียงที่ใช้เป็นที่พบปะกันเมื่อเช้าเพราะยังมิได้เคลื่อนย้ายเก้าอี้ประธานและโต๊ะน้ำชา จากนั้นจึงสั่งให้ปี้หรูพาสาวใช้ที่ติดตามเหล่าอนุมาเข้าไปช่วยกันขนโต๊ะญี่ปุ่นกับเสื่อรองนั่งไปจัดเรียงเป็นรูปครึ่งวงกลมบริเวณลานกลางน้ำ ซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของเรือนริมบึง
โดยจัดที่นางของนางให้อยู่กึ่งกลางระหว่างซ้ายและขวา ด้านซ้ายเป็นเสี่ยวมี่ ด้านขวาเป็นปี้หรู ซึ่งนั่งถัดลงไปด้านหลังนางสองก้าว และด้านหลังของเหล่าอนุก็ให้จัดที่นั่งสำหรับสาวใช้ที่ติดตามมาด้วยเช่นกัน ด้านหน้าโต๊ะที่นางนั่งมีกล่องสีดำแบ่งวางซ้ายขวา นั่นก็คือก็คือถ้วยร้อนที่กำลังเป็นที่นิยมในภพที่นางจากมา โดยแตกเป็นแบบเผ็ดและไม่เผ็ด มีถังใส่น้ำดื่มพร้อมกระบวยวางอยู่สองถัง ส่วนผักดองและผลไม้นางให้จัดไว้บนโต๊ะคนละหนึ่งชุดก่อน
จนกระทั่งเกือบยามโหย่วก็ขาดเพียงอนุม่านที่ยังไม่กลับมาจากงานศพมารดาและอนุเจียวที่คาดว่าคงจะแกล้งลืมงานเลี้ยงนี้ไปเพื่อจะได้สมเหตุสมผลกับที่แกล้งทำเป็นลืมรายการอาหารสำหรับจัดเลี้ยงมื้อนี้ นางนำอนุทุกนางไปยังลานกลางบึงโดยให้ทุกคนเลือกนั่งตามความพอใจ แต่พวกนางกลับนั่งตามลำดับอาวุโสในเรือน เริ่มจากอนุซีที่นั่งอยู่ด้านขวามือของนาง
“ทุกคนทำตัวตามสบายเถอะ ก่อนที่จะแนะนำตัวกันต่อข้าขอแสดงการเตรียมอาหารสำหรับมื้อนี้ก่อน เบื้องหน้าพวกเจ้าทุกคนจะมีถาดสีขาวกับถ้วยสีขาวใบเล็กอยู่คนละชุด ส่วนของคาวนั้นวางอยู่ด้านหน้าของข้า มีทั้งที่มีรสเผ็ดและแบบที่ไม่เผ็ด ขอให้พวกเจ้ามาเลือกกันไปคนละถ้วย หากไม่อิ่มสามารถมารับไปเพิ่มได้” ตู้จินจินพูดพร้อมผายมือไปทางถ้วยร้อนทั้งสองแบบ
“รสหมาล่า รสต้มยำกุ้ง รสแกงเขียวหวาน เหล่านี้มีรสเผ็ดหรือเพคะพระชายา” อนุนางหนึ่งถามขึ้น ที่มั่นใจว่านางเป็นอนุเพราะนางนั่งอยู่โต๊ะด้านหน้า มีบ่าวรับใช้ 2 นางนั่งอยู่ด้านหลัง แถมโต๊ะของนางยังอยู่ถัดจากอนุซี เมื่อเช้านี้ตู้จินจินสังเกตเห็นนางแล้วแต่ไม่แน่ใจเพราะนางยังเยาว์นัก อายุน่าจะสิบหรือสิบเอ็ดปี หรือองค์ชายรองจะมีรสนิยมวิปริตกันนะ
“ใช่แล้วน้องสาว หมาล่าเผ็ดผสมเค็ม เผ็ดมากที่สุดจากทั้งสามรส ต้มยำกุ้งนั้นมีรสเปรี้ยวเค็มเผ็ดกลมกล่อม ส่วนแกงเขียวหวานนั้นเผ็ดนิดหน่อยแต่จะมีความหอมกลมกล่อมจากกะทิ พวกเจ้าสามารถค่อยๆ เติมเครื่องปรุงเพื่อเพิ่มระดับความเผ็ดไปทีละน้อยได้ ส่วนรสไม่เผ็ดนั้นคือรสก๋วยจั๊บญวน รสชาบูน้ำดำ รสชาติจะออกหวานน้ำซุปและมีความเค็มผสมนิดหน่อย โดยพวกเจ้าสามารถเติมพริกป่นเพื่อเพิ่มความเผ็ดได้” ตู้จินจินตอบด้วยรอยยิ้มเอ็นดู
เมื่อทุกคนกลับไปนั่งประจำที่ต่างพลิกถ้วยร้อนดูทุกด้านซึ่งด้านบนจะมีป้ายบอกรสชาติแต่ด้านอื่น ๆ จะถูกหุ้มไว้ด้วยพลาสติกใสซึ่งพวกนางไม่รู้จัก
“วางลงก่อนเถอะ ข้าจะแสดงวิธีปรุงให้ดู ก่อนอื่นแกะสิ่งที่เป็นเยื่อบางๆ ที่ห่อหุ้มอยู่รอบกล่องอาหารจากนั้นเปิดฝากล่องออกวางไว้ก่อน จากนั้นพวกเจ้าดูในกล่อง จะมีกล่องชั้นในใส่วัตถุดิบไว้ ให้พวกเจ้ายกออกมาวางไว้ก่อน ส่วนที่อยู่ด้านล่างของกล่องชั้นนอกนั้นจะมีซองทำความร้อนอยู่ในซองที่เป็นเยื่อใส สิ่งนี้จะช่วยให้วัตถุดิบของอาหารพวกนี้สุกจนรับประทานได้ ตอนนี้มันจะยังไม่ร้อนแต่หากโดนน้ำมันจะร้อนทันที พวกเจ้าห้ามเอามือหรืออวัยวะใดไปโดนเด็ดขาด มันจะลวกพองได้เลยทีเดียว” นางหยุดพูดแล้วมองไปรอบๆ ทุกคนเริ่มแกะถ้วยร้อนตามที่นางสาธิต รอจนทุกคนมีถุงทำความร้อนสีขาวที่ยังไม่ได้แกะอยู่ในมือ นางจึงเริ่มการสาธิตต่อ
“เจ้าแกะซองใสนี้ออก เอาถุงสีขาวใส่ลงในกล่องชั้นนอก จากนั้นมาดูที่กล่องชั้นในจะมีวัตถุดิบที่อยู่ในกล่องและในซองเล็กๆ ซองใบใหญ่จะเป็นเนื้อสัตว์ ซองใบกลางจะเป็นซุปแบบเข้มข้น ส่วนซองใบเล็กจะเป็นผงปรุงรสเผ็ด อันนี้จะใส่หรือไม่ใส่ก็ได้”
“มีแต่ของแข็งๆ แห้งๆ และเย็นชืดแบบนี้จะรับประทานได้อย่างไรเพคะพระชายา” อนุน้อยคนเดิมโพล่งถามด้วยความสงสัย คาดว่านางคงเห็นว่าพระชายาให้ความเป็นกันเองจนถึงขั้นเรียกนางว่าอนุน้อย
“ใจเย็นๆ เถิดอนุน้อย เมื่อพวกเจ้าใส่ทุกอย่างลงในกล่องชั้นในแล้วให้ดูที่กล่องชั้นในให้ดีจะมีเส้นขีดที่ก่อนถึงขอบกล่อง ให้เอาน้ำใส่ลงไปจนถึงขีดนั้น จากนี้พวกเจ้าจงตั้งใจดูและจำให้ดี เพราะเป็นขั้นตอนที่ต้องระวังความร้อนและต้องใช้ความเร็วสักนิด ส่วนอนุน้อยขอให้บ่าวของเจ้าช่วยเถิด ข้าเป็นห่วงเจ้านัก เอาละพวกเจ้าดูให้ดี” หลังจากที่นางเตือนในสิ่งที่พึงระวังแล้วยังกำชับให้บ่าวของอนุน้อยทำในส่วนนี้แทน นางจึงเทน้ำลงในกระบวยใส่ลงไปในกล่องชั้นนอกสองกระบวยแล้วยกกล่องชั้นในลงไปวางและนำฝากล่องมาปิดไว้โดยใช้เวลาเพียงไม่นาน จากนั้นจึงให้ปี้หรูและเสี่ยวมี่เดินถือถังน้ำและกระบวยไปทางอนุทุกนาง โดยเริ่มจากหัวแถวทั้งซ้ายและขวา
“เอาละ ต่อจากนี้จะมีความร้อนเกิดขึ้นในกล่องอาหาร หากดูให้ดีจะมีควันพุ่งขึ้นจากรูบนฝากล่อง กว่าอาหารจะสุกต้องใช้เวลาประมาณ 1 เค่อ เมื่อทุกคนทำเสร็จแล้วก็ให้ออกมาแนะนำตัวต่อจากเมื่อเช้านี้เถอะ คาดว่าเมื่อครบทุกคนคงได้รับมื้อเย็นพร้อมกันพอดี” เมื่อพระชายากล่าวเตือนว่าจะมีควันพุ่งขึ้นจากรูบนฝากล่องและกล่องจะมีความร้อน อนุบางคนเริ่มเอานิ้วจิ้มที่ด้านข้างของกล่องว่าจะเป็นจริงหรือไม่ พวกนางไม่เห็นมีไฟ เพียงซองผ้าสีขาวใบเล็กกว่าฝ่ามือจะทำให้อาหารร้อนจนสุกได้จริงหรือ แต่ในเมื่อพระชายาให้พวกนางออกไปแนะนำตัวจึงต้องพักความสงสัยไว้ก่อน
แล้วตู้จินจินก็ต้องตกใจจนแทบเก็บอาการไม่อยู่ พราะคนแรกที่เดินออกมาคืออนุน้อยวัยเยาว์ที่เพิ่งซักถามนางไปเมื่อสักครู่ นางคิดว่าด้วยความเยาว์วัยอนุซีจึงอยากให้นั่งใกล้เพื่อช่วยดูแล แต่กลับมิใช่อย่างที่นางคิด
“บ่าวชื่อกงซุนเสี่ยวเม่ยเพคะ ปีนี้อายุสิบสองปีเข้าจวนหลังจากพี่ซีเหมินหนึ่งเดือนเพคะ ท่านพ่อของบ่าวเป็นพระอาจารย์ขององค์ชายรอง ก่อนท่านพ่อจะจากไปด้วยโรคร้ายได้ถวายบ่าวให้องค์ชายรอง เพราะท่านแม่ของบ่าวได้จากไปก่อนหน้าท่านพ่อสองปี บ่าวไม่มีญาติที่ไหนอีกเพราะท่านพ่อและท่านแม่เป็นลูกคนเดียวของท่านตาและท่านปู่ เพื่อให้ท่านพ่อจากไปอย่างสงบองค์ชายรองจึงได้ยอมรับบ่าวในฐานะอนุ แต่บ่าวคิดว่าองค์ชายรองคงเมตตาบ่าวในฐานะน้องสาวมากกว่าเพคะ” อนุกงซุนพูดจบก็ส่งยิ้มเจือแววทะเล้นมาทางพระชายา
เพื่อนร่วมรุ่นม.ต้นที่สนิทสนมและรักกันมาก จำนวน 4 คนพร้อมทั้งน้องสาวของเพื่อนอีกหนึ่งคนในกลุ่มที่อายุไล่เลี่ยกันทำให้พลอยสนิมสนมกับเพื่อนๆ ของพี่สาวไปด้วย ทั้ง 5 คนมีจุดร่วมกันอีกอย่างที่คนภายนอกไม่ทราบนั่นก็คือความความเคารพนับถือในท่านเทพไฉ่ซิงเอี๊ยะเทพเจ้าแห่งโชคลาภนั่นเองวันนี้ห้าสาวนัดรวมกันไปกินข้าวกลางวันที่ห้างดังแห่งหนึ่งในอำเภอเมือง หนุงหนิงที่พาอุ๊งอิ๊งลูกสาวจินไปประชุมผู้ปกครองที่โรงเรียนประจำจังหวัดแทนจินที่ติดประชุมผู้ถือหุ้นก่อนจะมารวมตัวกับทุกคน เป็นเหตุให้ได้เห็นนายเจนภพสามีจอมเจ้าชู้ของจินที่อ้างว่าป่วยต้องไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลพากิ๊กและลูกติดไปประชุม บังเอิญว่าลูกติดของผู้หญิงคนนั้นเป็นเพื่อนห้องเดียวกับน้องอุ๊งอิ๊งลูกสาวของจิน เธอเลยให้อุ๊งอิ๊งทำทีถามทางไปบ้านของเด็กคนนั้นและเอามาบอกให้จินฟังหลังทานข้าวเสร็จ เพราะกลัวเพื่อนจะไม่ได้กินข้าวกินปลา แต่กระนั้นจินก็รีบร้อนออกไปหาเจนภพตามที่อยู่นั้นทันทีที่หนุงหนิงเล่าจบเนื่องจากเธออนุญาตให้เจนภพสามีจอมเจ้าชู้มีภรรยาน้อยได้ตลอดขอเพียงให้บอกเธอ เธอจะได้พาเจ้าหล่อนไปตรวจร่างกายเพื่อหลีกเลี่ยงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และได้จ
“ตั้งแต่วันที่ข้าฟื้นขึ้นมาก็พบว่ารอบๆ ตัวของข้าเปลี่ยนไป ข้าต้องใช้ชีวิตในร่างของใครอีกคนหนึ่ง ดีที่ได้รับการช่วยเหลือจากท่านเทพไฉ่ซิงเอี๊ยะที่ข้านับถือ และยังได้พบเจอสหายดีๆ ที่ช่วยฟื้นฟูสุขภาพกายและใจให้ข้าเช่นฮัวตั่วเอ๋อ และไป๋เหลียนฮวาที่ปรึกษาในการใช้ชีวิต รวมถึงหวงเฟิ่งและจินหลิงหลิง ทั้งสี่นางทำให้ข้าคิดถึงสหายสนิททั้งสี่ในภพเดิม และต้องไม่ลืมกล่าวถึงอาเม่ยที่ทำให้ข้าหายคิดถึงอุ๊งอิ๊งลูกสาวข้าที่มีวัยใกล้เคียงกับนาง ท่านตาบอกข้าว่าคำอธิฐานของข้าทำให้ข้าได้ย้อนกลับมาแก้ไขชะตาของตนเอง ข้าจึงมิได้เสียใจนักที่ตู้จินจินคนเดิมตายไปเพราะนางก็คือข้าและข้าก็คือนาง เพียงแต่นี่คงจะเรียกว่าว่า ‘อดีตชาติ’ คงมิได้ แต่มันน่าจะเรียกว่า มัลติเวิร์ส1 ที่มีตัวตนของเราอีกคนหนึ่ง ในโลกอีกใบหนึ่ง ซึ่งมีจุดกำเนิด แนวคิด วีถีชีวิต และจุดจบแต่งต่างกันไป และมิจำเป็นว่าต้องมีแค่หนึ่งหรือสองตัวตนเท่านั้น และแม้ว่าแต่ละตัวตนในแต่ละโลกจะต่างฝ่ายต่างดำรงชีวิตกันไปโดยไร้ซึ่งความเกี่ยวข้องซึ่งกันและกัน แต่หากมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นในภพใดภพหนึ่งอาจส่งกระทบถึงภพอื่นๆ ไปด้วยได้เช่นกัน” หลังจากที่เล่าเรื่องราวโดยละเ
“นังหนู นังหนูจิน อย่ามัวแต่นอนอยู่เลย สงสารสวามีเจ้าบ้างเถิด เคราะห์ครั้งสุดท้ายของเจ้าผ่านไปแล้ว” เสียงอ่อนโยนของเทพชราปลุกให้จินมีสติขึ้นมาในความฝัน “ท่านตาเจ้าขา ท่านตาช่วยหลานไว้ใช่ไหมเจ้าคะ หลานกราบขอบคุณเจ้าค่ะ” พร้อมคำพูดร่างแน่งน้อยกุลีกุจอลุกขึ้นยอบกายลงกราบแทบเท้าท่านเทพที่นางเคารพยิ่ง “คราวนี้นับว่าเป็นกุศลที่เจ้าช่วยหลีกเลี่ยงสงครามครั้งใหญ่ทำให้ผู้คนมากมายรักษาชีวิตไว้ได้ เรียกว่าเป็น ‘บุญรักษา’ อย่างแท้จริงก็ว่าได้” “เป็นเช่นนี้เอง ว่าแต่นี่หลานเข้ามาในมิติได้แถมยังพาสวามีมาได้อีกด้วย เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้เจ้าคะ ท่านตาเคยบอกหลานว่ามีเพียงหลานเองที่สามารถเข้าออกมิติแห่งนี้ได้” แม้ว่าจะดีใจที่พาสวามีหลบภัยเข้ามามิติได้แต่ก็ยังไม่วายสงสัยจนต้องตั้งคำถาม “ในภพเดิมของเจ้าก็มีคำกล่าวว่า ‘สามี-ภรรยา เหมือนดั่งคนคนเดียวกัน’ มิใช่รึ” เสียงตอบเรียบๆจากท่านเทพชราพาให้จินคิดตามและเมื่อคิดได้ว่า นางและเขาได้ผ่านการเข้าหอซึ่งถือว่าเป็นสามี-ภรรยากันแล้ว ใบหน้าเรียวพลันขึ้นสีแดงด้วยความขวยเขิน “ข้ามิได้หมายถึงเรื่องนั้น แต่หมายถึงการที่
หลังสรุปผลการชิงธง และรับประทานมื้อเช้าอันอุดมสมบูรณ์ที่พระชายาตู้สั่งมาจากภัตตาคารชิมเมฆา แม้กับข้าวจะมีเพียงต้มจืดซี่โครงหมูกับผักกาดดองไว้ซดให้คล่องคอ และผัดกะเพราหมูสับไข่ดาวที่เติมได้ไม่อั้นครานี้การพรางตัวเป็นไปอย่างง่ายดายเพราะองครักษ์เงานั้นมีการฝึกแปลงโฉมกันอยู่ก่อนแล้ว ตู้จินจินให้ช่างแต่งหน้าจากคณะละครของไป๋เหลียนฮวามาสอนเพิ่มเติมอีกนิดหน่อยก็เรียกได้ว่าไร้ที่ติ เป้สัมภาระถูกซุกซ่อนในหีบเสื้อผ้า อาหารแห้งปะปนกันทั้งจริงและหลอก อาหารทะเลตากแห้งและเกลือในปริมาณตามที่ได้รับอนุญาตถูกบรรจุไว้ในถังไม้ หรือแม้กระทั่งห่อกระดาษน้ำมันที่ตีตราว่าเป็นใบชา ด้านในกลับเป็นเกาเฟยคั่วบดในซองผ้ากับน้ำตาลอ้อยชนิดผงกองกำลังถูกแบ่งกลุ่มและพรางตัวเพื่อออกเดินทางแล้วแยกย้ายกันไปในรูปลักษณ์ต่างๆ โดยแบ่งกำลังออกเป็น 5 กลุ่ม ทำทีเป็นพ่อค้าบ้าง เป็นคณะละครที่กลับจากแคว้นต้าจินบ้าง ทุกกลุ่มเดินทางทั้งกลางวันกลางคืน เมื่อถึงเมืองชายแดนหลังออกเดินทาง 3 วัน จึงตั้งค่ายพักผ่อนให้เต็มที่ 2 วัน จากนั้นจึงเดินทางเข้าประชิดเป้าหมายคือค่ายโจรเผ่าปาสู่แผนการรบถูกวางและซักซ้อมกันไปแล้วในการฝึกพิเศษ ตู้จินจินถ
เมื่อทุกคนตื่นมารับประทานอาหารเย็นในยามโหย่ว เหตุการณ์ที่พวกเขารับรู้ได้ก็ยังไร้วี่แววการบุกหรือถูกบุกจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยสิ้นเชิง ดีที่มื้อเย็นวันนี้เป็นอาหารปิ้งย่างที่ตู้จินจินให้ทางภัตตาคารชิมเมฆาส่งเนื้อสัตว์เสียบไม้สลับกับผักและผลไม้และมีน้ำหมักที่เอาไว้ทาไปย่างไปมาอีก 2 แบบ คือแบบเผ็ดมากและเผ็ดน้อย ส่วนคนที่ไม่เผ็ดนั้นคือเนื้อสัตว์แต่ละชนิดก่อนจะนำมาเสียบสลับกับผักผลไม้ที่ถูกหมักกับน้ำมันงาและเหล้าอย่างดีมาก่อนแล้ว “เจ้าว่าพวกเขาจะเริ่มบุกกันเมื่อใดหรือ” ฮัวตั่วเอ๋อที่ไม่ได้พักผ่อนยามบ่ายเอ่ยถามขึ้น และอีกหลายคนก็ยังจัดการงานในมือมิแล้วเสร็จ “หลังกลางยามโฉ่วไปแล้วกระมัง หากให้คำนวณตามหลักการของคนปกติ ช่วงนี้จะเป็นเวลาที่กำลังหลับลึกที่สุด แต่ว่าข้าก็มิอาจยืนยันได้เพราะพวกเขาผ่านการฝึกให้ต่างจากคนทั่วไป หากใครต้องการพักผ่อนก็ตามสบาย หากมีความเคลื่อนไหวข้าจะให้คนไปปลุกพวกท่านเอง” ตู้จินจินเองก็เพิ่งพักสายตาไปไม่นานเพราะมัวแต่ถูกก่อกวนจากพระสวามีก็รู้สึกง่วงอยู่ไม่น้อย แม้ว่าจะไม่ได้มีอะไรเกินเลยเพราะต่างก็เกรงใจดวงตะวันที่ยังไม่ตกดิน ทั้งยังมิได้พักอยู่ในจวน
“กลุ่มเลขคี่ประชุมด่วน” เสียงเรียกประชุมดังขึ้นกลางสวนผลไม้ในชมเมฆา แต่กลับไร้วี่แววของกำลังพลกลุ่มเลขคี่ที่ควรจะมารวมตัวกันเพื่อรับฟังการประชุม องค์ชายรองและพระชายามองหน้ากัน ในสายตามีรอยยิ้มน้อยๆ จนเมื่อหยางต้าซานหยิบนกหวีดทองเหลืองออกมาเป่าเป็นจังหวะสั้นยาวสลับกันสามครั้งจึงเริ่มมีกำลังพลทยอยกันมารวมกลุ่มจนครบทุกนายภายในเวลาเพียงชั่วอึดใจ แสดงให้เห็นได้ชัดถึงระเบียบวินัยและความมั่นคงในจิตใจของกำลังพลที่มิเชื่อคำสั่งของผู้ใดโดยง่าย “ทุกคนพรางตัวได้ดีมาก เรื่องบทลงโทษจึงละเว้นให้ แต่อย่าลืมว่าในยามศึกการลงโทษคือชีวิต คืนนี้ฝ่ายเลขคี่เลือกเป็นฝ่ายบุก ดังนั้นภารกิจที่พวกเจ้าได้รับคือ บุกไปชิงธงสัญลักษณ์ของฝ่ายเลขคู่มาให้ได้ก่อนฟ้าสาง โดยที่ต้องรักษาธงสัญลักษณ์ของฝ่ายตนเองเอาไว้ให้ได้ด้วย โดยทั้งสองฝ่ายต้องสร้างหอธงขึ้นมาในส่วนใดก็ได้ของค่ายพัก และภารกิจจะเริ่มเมื่อตะวันตกดิน นี่คือพลุสีเหลือง พวกเจ้าติดตัวไว้คนละ 1 ดอก หากชิงธงมาได้แล้วให้จุดพลุขึ้นทันทีแล้วภารกิจจะเป็นอันเสร็จสิ้น ส่วนแผนการทั้งหมดให้พวกเจ้าหารือกันเอง ครูฝึกและพวกข้าจะคอยสังเกตการณ์ ห้ามมิให้ถึงแก่ชีวิตและห