ก่อนหน้าที่จะมาที่ศาลาว่าความแห่งนี้เฉินเจียวเจียวผู้เป็นบุตรสาวของนางเคยบอกกับนางมาก่อนแล้วว่าไม่ต้องเกรงกลัวคนสกุลจ้าว ระหว่างจวนผิงกั๋วกงกับคนสกุลจ้าวนั้นสกุลที่ฝ่าบาททรงเห็นว่าเป็นศัตรูและอยากจะลงดาบเพื่อกำจัดกลับกลายเป็นสกุลจ้าว สกุลจ้าวกำเริบเสิบสานกระทำการเหิมเกริมจาบจ้วงพระราชอำนาจอยู่หลายครั้งหลายคราส่วนจวนผิงกั๋วกงแม้ว่าจะมีทหารอยู่ในมือนับแสนนายแต่กลับเป็นสกุลที่ฝ่าบาทไม่ทรงละทิ้งได้ การที่มีเรื่องมีราวกันในคราวนี้นับเป็นโอกาสที่ดีที่ฝ่าบาทจะสามารถหาหนทางลดอำนาจของจวนสกุลจ้าวลง อย่างน้อยการปลดจ้าวซีเฉิงลงจากตำแหน่งก็ทำให้นางรู้แจ้งแล้ว
แค่เพียงพาตนเองไปยุ่งเกี่ยวกับขัดแย้งและความริษยาของสตรีแต่กลับถูกปลดออกจากตำแหน่งโดยไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในงานราชการเลยสักนิด แต่ฝ่าบาทกลับสามารถหาเรื่องมาตำหนิและปลดเขาออกจากตำแหน่งได้เช่นนี้นับว่านี่คือการเริ่มหาหนทางลดทอนอำนาจของฝ่าบาทแล้ว ยังมีราชโองการตำหนิจ้าวฉีที่มีพร้อมกับราชโองการชื่นชมโม่เจานี่เท่ากับว่าเป็นการตบหน้าจ้าวฉีฉาดใหญ่ เป็นการชี้ให้เห็นว่ายามนี้ฝ่าบาทเริ่มต้นที่จะลงดาบกับสกุลจ้าวแล้ว นางจึงไม่คิดจะเกรงกลัวจ้าวฉีเลยสักนิด
“ท่านเสนาบดีจ้าว ท่านเจ้ากรมอาญาโม่ ในเมื่อคดีนี้มีการตัดสินโทษแล้วเช่นนั้นข้าและน้องสะใภ้ทั้งสองของข้าคงต้องขอตัว” เมื่อเอ่ยจบพวกนางทั้งสามก็ทำการคารวะแล้วเดินออกจากศาลาว่าความของกรมอาญา เพียงแต่ยังไม่ทันจะพ้นศาลาว่าความโม่ซื่อก็หันมาขว้างกระบี่ใส่คนผู้หนึ่งแล้วก้เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงดุดัน
“คิดจะลักลอบติดตามพวกข้าก็โปรดเลือกใช้คนที่มีความสามารถมากกว่านี้ ท่านเจ้ากรมอาญาอย่าลืมสอบสวนชายผู้นั้นเล่าว่าเขาคิดจะติดตามพวกข้าไปทำไม” เมื่อโม่ซื่อเอ่ยเช่นนี้โม่เจาก็รีบส่งคนไปควบคุมชายผู้นั้นที่ถูกกระบี่ของน้องสาวของตนเสียบอยู่ที่หน้าอก
“หากอยากให้ข้าสอบสวนวันหน้าก็อย่าได้เล็งจุดตาย” โม่เจาเอ่ยกับน้องสาวด้วยสีหน้าไม่พอใจโม่ซื่อแค่เพียงส่งยิ้มให้เขาแล้วหันไปใช้สายตาข่มขู่จ้าวฉี
“หากจะว่ากันด้วยวรยุทธ์และกำลังคนท่านสู้พวกข้าไม่ได้หรอก แม้ว่าสามีของพวกข้าจะไม่อยู่แต่ก็อย่าได้ดูแคลนพวกข้า” เมื่อโม่ซื่อเอ่ยจบก็หันไปพยักหน้าเฉียวซื่อแล้วพวกนางจึงได้เดินออกจากศาลาว่าความไปท่ามกลางสายตาชื่นชมของผู้คนโดยรอบ
ทุกคนต่างรู้ดีว่าฮูหยินของนายท่านสามจากจวนผิงกั๋วกงเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่มีฝีมือยอดเยี่ยม แถมยังมีข่าวลือกล่าวว่านางฝีมือดีกว่าสามีของนางเสียอีก นายท่านสามหวาดกลัวฮูหยินของตนเป็นอย่างยิ่งจนต้องรับสาวงามอ่อนหวานมากมายเข้าจวนเพื่อปลอบประโลมจิตใจอันบอบช้ำของตนเอง… ยามนี้พวกเขาได้เห็นความห้าวหาญของฮูหยินสามกับตาแล้วจึงลงความเห็นว่าข่าวลือน่าจะเป็นความจริง
ในขณะที่ทางกรมอาญากำลังตัดสินโทษและลงโทษคนทางฝังวังหลวงสองพ่อลูกสกุลหลี่ก็กำลังปรึกษากันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ข้าตัดสินใจออกราชโองการเช่นนี้วันหน้าในราชสำนักคงยากจะสงบ” เมื่อหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงตรัสออกมาเช่นนี้องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงก็พลันทอดถอนใจออกมาแล้วเอ่ยกับพระบิดาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ทรงตัดสินพระทัยที่จะลงมือแล้วก็อย่าได้ทรงลังเล หากเสด็จพ่อไม่ลงพระอาญาเขาในวันนี้วันพรุ่งนี้ลูกก็จะไปหาเรื่องทำให้เขาต้องร้องขอชีวิตอยู่ดี”
“คิดไม่ถึงว่าเพียงเพื่อสตรีที่ยังไม่ทันจะได้เข้าพิธีปักปิ่นคนหนึ่งจะทำให้เจ้าออกหน้าเช่นนี้ นางกำนัลที่มาเล่าเรื่องราวในวันนี้คงเป็นคนของเจ้ากระมัง”
“ลูกไม่ได้ทำเพื่อสตรีนางนั้นเสียหน่อย ลูกทำเพื่อชื่อเสียงอันดีงามของลูกต่างหาก เพียงแต่ไม่เข้าใจเลยแค่ถูกเนื้อต้องตัวกันใต้นำเพียงเล็กน้อยเพียงเท่านั้น ยังไม่ทันจะได้รู้สึกอันใดเลยก็บอกว่าลูกทำลายความบริสุทธิ์ของสตรีคนหนึ่งไปเสียแล้ว นี่ออกจะเป็นการใส่ร้ายลูกจนเกินไปแล้ว”
“เจ้าเด็กคนนี้!” หลี่เซียวหลงถึงกับโยนม้วนราชโองการที่ถืออยู่ในมือใส่พระโอรสในทันทีแล้วทรงตำหนิหลี่ไท่หลงด้วยพระสุรเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“จะพูดจาอันใดก็ควรจะให้เกียรติสตรีด้วย ข้าหรือก็เป็นคนที่ระมัดระวังคำพูดของตนเองมาโดยตลอดแต่เหตุใดเจ้าที่ถูกข้าเลี้ยงดูและอบรมสั่งสอนมากับมือจึงได้กลายเป็นคนที่เมื่อเอ่ยวาจาออกมาแต่ละครั้งล้วนทำผู้อื่นทนฟังไม่ได้เช่นเจ้าออกมาได้กันนะ” เมื่อหลี่เซียวหลงเอ่ยเช่นนี้หลี่ไท่หลงก็ทำเป็นไม่สนใจเขาหยิบราชโองการฉบับนั้นขึ้นมาอ่านแล้วก็ขมวดคิ้ว
“ราชโองการฉบับนี้เจ้าจะคัดค้านหรือไม่” เมื่อหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงตรัสถามเช่นนี้องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงก็ระบายลมหายใจออกมาแล้วจึงได้ม้วนราชโองการฉบับนั้นกลับคืนสู่สภาพเดิมด้วยสีหน้านิ่งสนิท
“ลูกเคยขัดราชโองการของเสด็จพ่อด้วยหรือ”
“บ่อยครั้ง จนแทบจะนับไม่ถ้วน”
“...” สองพ่อลูกสกุลหลี่จ้องมองกันอยู่ครู่หนึ่งแล้วสุดท้ายหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ก็สั่งให้หลีกงกงรีบนำราชโองการฉบับนั้นไปที่จวนผิงกั๋วกง
“ว่าที่พ่อตาของเจ้าผู้นี้ไม่อาจจะล้อเล่นได้ เขาไม่มีทาลักลอบเล่นงานเจ้าลับหลังแบบท่านลุงจ้าวของเจ้าแน่ วันหน้าจะทำอันใดจงคิดไตร่ตรองให้รอบคอบอย่าได้เลียนแบบน้องรองของเจ้าเป็นอันขาด” หลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงตรัสออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง
“เสด็จพ่อทรงวางใจเถิด ลูกไม่ใช่คนเขลา” หลี่ไท่หลงเอ่ยออกมาพลางจ้องมองกองฎีกาที่วางอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาเลื่อนลอย พลางคิดในใจว่า ‘นางจะกล้าขัดราชโองการหรือไม่’
หลังจากเฉียวซื่อกลับไปรายงานเรื่องในศาลาว่าความให้ฮูหยินผู้เฒ่าและสตรีรุ่นเยาว์ทั้งสามของจวนผิงกั๋วกงฟัง พวกนางรวมตัวกันนั่งจิบน้ำชาแล้วพูดคุยกันถึงเรื่องนี้ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความผ่อนคลาย
“หลังจากวันนี้ไปพวกเจ้าทุกคนต้องระมัดระวังตัวให้มาก ไม่อาจจะออกข้างนอกได้ตามปกติอีกต่อไปแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ท่านแม่วางใจเถิดลูกเขียนจดหมายไปขอกองกำลังอารักขาจากค่ายสกุลเฉินที่อยู่ใกล้เมืองหลวงมากที่สุดแล้ว ลูกเน้นย้ำว่าคนที่ส่งมาขอให้เป็นคนที่มีความสามารถในการต่อสู้และการป้องกันมากเป็นพิเศษ อีกทั้งยังแจ้งให้กองกำลังทุกค่ายที่อยู่ใกล้เมืองหลวงให้เตรียมตัวให้พร้อมตลอดเวลา หากคนสกุลจ้าวกล้าลงมือลูกก็มีข้ออ้างที่จะเคลื่อนกำลังพล” เมื่อเฉียวซื่อเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็พลันหัวเราะออกมา
“ประเดี๋ยวฝ่าบาทที่อยู่ในวังก็จะเข้าใจผิดคิดว่าท่านแม่จะก่อการบกบฏหรอกเจ้าค่ะ”
“จะเข้าใจผิดได้อย่างไร หากสกุลจ้าวกล้าลงมือพวกเราย่อมจะต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่เสียก่อน จะจัดการกับพวกปัญญาชนที่นิสัยเสื่อมทรามอย่างเช่นสกุลจ้าวต้องใช้กำลังแก้ไขปัญหาเพียงเท่านั้น” โม่ซื่อเอ่ยด้วยสีหน้าไม่เกรงกลัว ส่วนหวงที่นั่งฟังอยู่ซื่อก็พลันหัวเราะออกมา
“ถึงยามนั้นอาสะใภ้รองของเจ้าผู้นี้จะเขียนสารแจ้งความจำเป็นในการเคลื่อนกำลังพลส่งให้ฝ่าบาทด้วยตนเอง เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก อีกทั้งฝ่าบาทก็ไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล” เมื่อหวงซื่อเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็วางใจ นางพึ่งจะรู้ว่าหลี่เซียวหลงฮ่องเต้เคยได้ร่ำเรียนร่วมกับหวงหอซื่อ บิดาของนางนอกจากจะเป็นอดีตราชครูแล้วยังเป็นอดีตไท่ฟู่คนสำคัญของฝ่าบาทอีกด้วย เพียงแต่พวกนางนั่งคุยกันได้ไม่นานหลีกงกงก็อัญเชิญราชโองการจากฝ่าบาทที่พวกนางกำลังเอ่ยถึงมาที่จวน
“เฉินเจียวเจียวรับราชโองการ คุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงเฉินเจียวเจียวเป็นสตรีที่ดีพร้อมทั้งรูปโฉม คุณธรรมและจริยธรรม อีกทั้งยังมีความสามารถรอบด้าน เราจึงมีความเห็นว่านางเหมาะสมที่จะคอยควบคุมดูแลตำหนักบูรพา จึงได้ออกราชโองการแต่งตั้งให้เฉินเจียวเจียวคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงเป็นพระชายาขององค์รัชทายาท หลังพ้นพิธีปักปิ่นไปแล้วจึงจะกำหนดพิธีมงคลขึ้น”
เมื่อหลีกงกงอ่านราชโองการจบทุกคนในจวนผิงกั๋วกงก็พลันนิ่งงันกันไปอย่างพร้อมเพรียง หลีกงกงยื่นม้วนราชโองการให้แก่เฉินเจียวเจียวแต่นางกลับไม่ยื่นมือมารับราชโองการไปเสียที เขาจึงได้เอ่ยเตือนเสียงเบา
“คุณหนูใหญ่ผิงกั๋วกง ท่านจะไม่รับราชโองการหรือ” เมื่อได้ยินถ้อยคำนี้จากหลีกงกงเฉินเจียวเจียวจึงพลันได้สติ นางยื่นมือออกไปรับราชโองการอันหนักอึ้งมาถือไว้พร้อมเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอันเลื่อนลอย
“เฉินเจียวเจียวน้อมรับราชโองการ”
“ขอแสดงความยินดีต่อคุณหนูใหญ่ด้วย ทั้งฝ่าบาทและองค์ราชทายาทกังวลว่าคุณหนูใหญ่จะรู้สึกสะเทือนใจกับข่าวลือในวันนี้ นอกจากจะมีราชโองการพระราชทานสมรสแล้วยังทรงพระราชทานแล้วแหวนเงินทองและเครื่องประดับมาเพื่อปลอบใจคุณหนูด้วย สองหีบนั้นคือของพระราชทานจากฝ่าบาท ส่วนอีกสิบกว่าหีบนั้นเป็นของประทานจากองค์รัชทายาท”
หลีกงกงเอ่ยพลางพยายามเก็บงำรอยยิ้มเอาไว้ แม้ว่าองค์รัชทายาทจะมีท่าทางว่าไม่สนใจแต่กลับรีบสั่งให้ของตำหนักบูรพาคนจัดเตรียมสิ่งของมาประทานให้แก่คุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงอย่างเร่งด่วน แถมยังกำชับเสียงดังว่าต้องมากกว่าและเลอค่ากว่าของพระราชทานจากฝ่าบาทอีกด้วย ตอนที่หลีกงกงออกจากตำหนักคังหมิงมายังได้ยินเสียงก่นด่าของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้อยู่เลย
“ปากแข็ง” นี่คือความเห็นของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ซึ่งเขาเองก็มีความเห็นเช่นเดียวกับเจ้านายแต่ไม่กล้าเอ่ยอันใดออกมา
หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห
เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน
พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น
พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว
เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ