เมื่อเข้ามาในบ้านตง ทั้งสามได้แต่มองหน้ากันไปมา แม้แต่เกาซื่อหลินก็เงียบปากสนิท จนตงเหวินหมิงคิดว่าเรื่องนี้มันซับซ้อนเกินไป และคิดให้หญิงสาวทั้งสองคนพูดคุยกันเลยลุกขึ้นยืนและจะเดินเลี่ยงไปทางหลังบ้าน แต่ทว่าหยางเหมยจินกลับรั้งเขาไว้
“คุณไม่ต้องไปไหนหรอกค่ะ ฉันไม่รู้ว่าคุณเการู้ได้อย่างไรว่าเราไม่ได้เป็นคู่หมั้นกัน ฉันคิดว่าคุณอยู่ฟังด้วยดีกว่าค่ะ”
หยางเหมยจินเวลานี้คิดว่าชายหนุ่มคือคนในครอบครัว อย่างไรเธอคิดว่าเขาควรจะอยู่ด้วย
เกาซื่อหลินไม่พูดอะไรเมื่อหยางเหมยจินทำแบบนี้ แต่ทว่าใบหน้างามกำลังอาบไปด้วยน้ำตา ไม่คิดว่าสามวันที่เธออยู่ที่นี่อย่างเดียวดาย สุดท้ายแล้วก็เจอเข้ากับหวางเฟยอีกครั้ง เกาซื่อหลินคุกเข่าตรงหน้าหยางเหมยจิน จนทำให้ทั้งสองคนตกใจ ก่อนที่จะยิ่งตกใจมากขึ้นไปอีก เมื่อเธอจะคลานเข้าไปกอดขาหญิงสาวเอาไว้ ก่อนจะเรียกเธอเบาๆ ว่า “หวางเฟยของบ่าว”
เมื่อพบว่าอีกฝ่ายใบหน้าอาบไปด้วยน้ำตาและพยายามกลั้นเสียงร้องไห้ไว้ก็ยิ่งตกใจ แม้แต่ตงเหวินหมิงยังแปลกใจกับการกระทำของหญิงสาวจากบ้านเกา
“เดี๋ยวก่อนคุณเกานี่คุณกำลังทำอะไร อย่าทำแบบนี้เลย ว่าแต่เมื่อครู่นี้คุณเรียกฉันว่าอะไรนะ” หยางเหมยจินพยายามห้าม เมื่อเห็นเกาซื่อหลินเข้ามากอดขาเธอไว้ แต่เพราะได้ยินประโยคนั้นไม่ชัดเลยถามย้ำอีกครั้ง
“หวางเฟย หวางเฟยของหม่อมฉัน ชาตินี้หม่อมฉันไม่คิดว่าจะได้พบกับหวางเฟยอีกแล้วเพคะ”
เพียงคำพูดประโยคนี้ก็ทำให้หยางเหมยจินตัวแข็งทื่อ ก่อนจะสบตาอีกฝ่ายคล้ายกับค้นหาบางอย่าง เมื่อเกาซื่อหลินเงยหน้าสบตาไม่ยอมหลบและฉายแววตาที่คุ้นเคยออกมา หยางเหมยจินจึงเอ่ยเรียกชื่อบ่าวคนสนิทออกไปอย่างตื่นตกใจ
“จิงจิง นี่เจ้าใช่หรือไม่”
“ฮือ ๆ เพคะหวางเฟย หม่อมฉันลู่จิงจิงเอง หม่อมฉันดีใจที่สุดเลยที่เจอพระองค์อีกครั้งเพคะ” เกาซื่อหลินหรือนางกำนัลจิงจิงร้องไห้โฮออกมาทันทีและเรียกอีกฝ่ายด้วยสถานะเดิม
แม้จะดีใจที่เจอคนสนิท แต่หยางเหมยจินก็ไม่ลืมว่าตอนนี้ตนเองนั้นอยู่ที่ไหน เลยรีบเอ่ยห้ามออกไปทันที
“จิงจิงอย่าพูดอย่างนี้แล้วก็ลุกขึ้นมาก่อน เวลานี้เราไม่อยู่สถานที่คุ้นเคย อีกอย่างตอนนี้เธอก็เป็นลูกหลานสกุลเกา ดังนั้นเราทั้งสองคนใช้สำเนียงและภาษาของคนที่นี่เถอะ และเรียกฉันว่าพี่สาวเหมยจินก็พอ ว่าแต่เธอมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร วันนั้นฉันได้ให้ทหารองครักษ์พาเธอหนีแล้วไม่ใช่หรือ”
แม้จะข้ามเวลามาเพียงไม่กี่วัน แต่เพราะนอนกับตงฟางลี่เลยทำให้เด็กน้อยสอนการพูดและเล่าถึงชีวิตของคนที่นี่แทบจะทั้งคืน บวกกับระหว่างทางที่ตกลงจากฟ้าหยางเหมยจินได้ผ่านห้วงเวลาของคนยุคนี้มาพอสมควร จึงมีการซึมซับมาไม่น้อย ทำให้เธอพูดและทำกิริยาท่าทางเหมือนคนยุคนี้ได้อย่างไม่ขัดเขิน
“ใช่ค่ะ วันนั้นทหารองครักษ์ได้พาฉันหนีไปแล้ว แต่เพราะเป็นห่วงเจ้านายฉันเลยหนีกลับมา แต่ไม่คิดว่าหวางเฟยจะกระโดดหน้าผาและตัดขาดสัมพันธ์รักกับท่านอ๋อง ฉันตัวคนเดียวไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน เลยคิดว่าขอตายกับหวางเฟย จะได้อยู่รับใช้หวางเฟยในปรโลก แต่เรื่องกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเมื่อฟื้นขึ้นมาอีกครั้งก็อยู่ในร่างนี้แล้วค่ะ ฉันอยู่ในร่างนี้จึงทำให้ได้ภาษาและความทรงจำของร่างนี้มาด้วยค่ะ”
จากนั้นหญิงสาวจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดของร่างนี้และสิ่งที่เธอพบเจอให้หยางเหมยจินฟัง โดยไม่สนใจเลยว่าเวลานี้จะมีตงเหวินหมิงร่วมวงสนทนาอยู่ด้วย ส่วนชายหนุ่มก็ดีใจที่อีกฝ่ายเท่ากับมีญาติสนิทแล้ว
เมื่อฟังเรื่องราวอย่างละเอียด หยางเหมยจินก็ดีใจจนบอกถูกที่เธอไม่ได้โดดเดี่ยวเหมือนครั้งแรก ไม่คิดว่าสาวใช้ที่อยู่กับตนมาตั้งแต่วัยเยาว์จะข้ามมิติมาด้วยเช่นกัน ส่วนเธอก็เล่าเรื่องของตนเองเช่นกันโดยเฉพาะเรื่องที่เธอมีมิติ แต่ก็แปลกใจเมื่อเห็นว่ารูปลักษณ์ของอีกฝ่ายเปลี่ยนไป
“แต่ก็น่าแปลกนะซื่อหลิน ฉันข้ามเวลามาทั้งตัว แต่เธอกลับเข้ามาอยู่ในร่างของคนอื่น” เธออดคิดเรื่องนี้ไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่คิดว่าตนเองตายจากที่นั่นแล้ว แต่ทำไมเมื่อข้ามเวลามาที่นี่ถึงได้มาทั้งตัวล่ะ ซึ่งต่างจากสาวใช้ข้างกายของชาติก่อนที่มาอยู่ในร่างของคนอื่น
“เรื่องราวเหล่านี้ไม่มีใครตอบได้หรอกค่ะ ทุกอย่างคงเป็นบัญชาสวรรค์” เกาซื่อหลินเอ่ยขึ้นอย่างไม่อยากคิดหาสาเหตุ
“คงจะเป็นอย่างที่เธอบอก เอาเป็นว่าเราทั้งสองคนไม่ว่าจะข้ามเวลามาด้วยรูปลักษณ์ใด แต่เราก็ตายจากที่เดิมแล้ว หลังจากนี้คงทำได้เพียงเริ่มต้นชีวิตใหม่เท่านั้น อย่างน้อยนอกจากบ้านตงแล้ว ฉันคงมีเพียงเธอนี่แหละที่เหมือนครอบครัว ต่อไปเรามาเป็นคนในยุคนี้กันเถอะนะ ลืมเรื่องชาติที่ผ่านมาให้หมดเลย” หยางเหมยจินพูดออกมาอย่างเศร้าใจ เธอต้องการลืมเรื่องราวในอดีตทั้งหมด
“พี่สาวเหมยจินอย่าคิดมาก อดีตสอนไม่ต่างจากบทเรียน ยุคสมัยนี้แม้ว่าจะยังมีบางคนที่มีภรรยาหลายคน แต่ก็ยังมีบุรุษที่รักเดียวใจเดียว อยู่แบบผัวเดียวเมียเดียวมากมาย สมัยนี้การคบชู้ถือว่าเป็นเรื่องผิดยิ่งนัก หากวันใดพี่สาวพบเจอรักแท้ พี่สาวจะมีคู่ชีวิตอย่างที่ต้องการมาตลอดแน่นอนค่ะ”
เกาซื่อหลินเข้าใจว่าหญิงสาวดูเศร้าลงนั้นคงคิดถึงท่านอ๋อง จึงพูดปลอบโยน และบอกว่ายุคนี้ไม่มีอนุหรือสาวใช้ข้างเตียงกันแล้ว ที่นี่ล้วนแต่แต่งงานผัวเดียวเมียเดียวทั้งนั้น สิ่งที่นายสาวใฝ่ฝันตั้งแต่ชาติก่อนนั้นล้วนมีที่ยุคนี้
“แม้ว่าฉันจะข้ามเวลามา แต่เธออย่าลืมสิว่าร่างกายนี้ได้ผ่านการแต่งงานแล้ว แม้ว่าคนทั่วไปไม่รู้แต่ตัวฉันรู้ดี ฉันคิดว่าคงอยู่ไปแบบนี้แหละดีแล้ว ว่าแต่ที่นี่สามารถทำการค้าได้หรือไม่ ในเมื่อฉันมีมิติเลยคิดว่าจะเย็บและปักชุดขาย รวมถึงขายอาหารเพื่อหารายได้” หยางเหมยจินไม่อยากจะคิดเรื่องการแต่งงาน เพราะคิดว่าตัวเองเป็นคนมีมลทิน เธอต้องการสร้างตัวและหารายได้มากกว่า
“เรื่องการค้าในยุคนี้ยังทำไม่ได้อย่างเสรี นอกจากคนที่มีสัมปทานและใบอนุญาตจากรัฐเท่านั้นจึงจะทำได้อย่างเปิดเผย อย่างเช่นหมู่บ้านข้าง ๆ ที่เจ้าหน้าที่รัฐอนุญาตให้เปิดตลาดนัดวันเสาร์อาทิตย์เท่านั้น สัปดาห์ละสองวัน ที่นั่นสามารถค้าขายอาหารและขายวัตถุดิบที่หาจากป่าได้ แต่การค้าส่วนใหญ่จะเป็นการแอบทำกันมากกว่า และส่วนมากจะค้าขายหรือว่าซื้อของกันที่ตลาดมืด เพราะที่นั่นมีเพียงเงินก็ซื้อได้ แต่ต้องระวังทหารแดงไว้บ้าง เพราะบางคนก็ชอบกลั่นแกล้งกันเพราะไม่อยากให้คนอื่นได้ดีกว่าตนเอง”
คราวนี้เป็นตงเหวินหมิงที่ตอบคำถามเรื่องนี้เอง เพราะยุคนี้น่าจะไม่เหมือนกับยุคโบราณที่สามารถค้าขายได้อย่างเสรี
“ชอบกลั่นแกล้งกันเหรอคะ” พอได้ยินแบบนี้หยางเหมยจินมีสีหน้าตกใจเล็กน้อยและสงสัยว่าคนในยุคนี้ใช้ชีวิตกันอย่างไร
“ก็เหมือนอย่างร่างนี้อย่างไรล่ะคะ เธอเป็นลูกหลานคนใหญ่คนโต มีการศึกษาที่ดี แต่เพราะแม่เลี้ยงไม่ต้องการให้ลูกเมียเก่าของสามีได้ดี เลยส่งมาใช้แรงงานที่นี่แทน” เกาซื่อหลินเอ่ยขึ้นมาอีกคน เพราะร่างนี้ก็ถูกกลั่นแกล้งจากแม่เลี้ยง
“การใช้ชีวิตในที่แห่งนี้ลำบากเหมือนกันนะ แต่เมื่อมีตลาดนัดให้ขายอาหารได้ ฉันจะลองดู” เธอตั้งมั่นว่าจะทำการค้า อย่างน้อยก็ยังพอหาเงินเข้ากระเป๋าได้บ้าง
“ถ้าอย่างนั้นผมจะลองไปคุยกับผู้นำหมู่บ้านนั้นให้ว่าจะขอแบ่งเช่าพื้นที่ได้หรือเปล่า ว่าแต่คุณจะทำอะไรขายหรือ”
ตงเหวินหมิงเมื่อเห็นว่าหญิงสาวตรงหน้ามีความมุ่งมั่นอย่างมาก เลยคิดว่าจะออกหน้าช่วยจัดการเรื่องนี้ให้เอง
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ขอบคุณมากค่ะ แต่คุณอาจจะต้องเดือดร้อนเพราะสิ่งที่เราได้โกหกไป” หยางเหมยจินหันมาพูดกับชายหนุ่มด้วยความรู้สึกดี ๆ แต่ก็ยังกังวลว่าอาจจะทำให้เขาเดือดร้อนได้
“ไม่เป็นไรหรอก เรื่องเอกสารส่วนตัวของคุณพอถึงกำหนดผมจะไปเอามาให้ รับรองว่าไม่มีปัญหาแน่นอน ส่วนเรื่องค้าขายในตลาดมืด ผมไม่ค่อยแนะนำเท่าไร คนซื้อกับคนขายนั้นต่างกัน เข้าใจที่ผมพูดหรือไม่ ยิ่งคุณเป็นเพียงผู้หญิง การไปสถานที่แห่งนั้นมันไม่ควรเท่าไรและก็มีอันตรายมากอีกด้วย”
“ได้ค่ะ ฉันจะค้าขายเพียงแค่ที่ตลาดนัดในหมู่บ้านที่ได้รับอนุญาต ส่วนวันธรรมดาฉันจะลองตัดเย็บชุดดูก่อน เผื่อว่าจะสามารถนำไปฝากขายตามร้านเสื้อผ้าได้ ว่าแต่ที่นี่มีร้านขายเสื้อผ้าใช่ไหม แต่...ฉันขอให้คุณพาไปในเมืองสักครั้งได้หรือเปล่า อย่างน้อยให้ฉันได้เห็นว่าคนที่นี่ใส่เสื้อผ้ากันแบบไหน จะได้ตัดเย็บถูก”
หญิงสาวรับปากว่าจะค้าขายแค่ในตลาดนัดและตัดชุดขายเท่านั้น แต่ในเมื่อตัดสินใจว่าจะตัดเย็บเสื้อผ้าขาย ดังนั้นก็ควรจะเห็นการแต่งตัวของคนยุคนี้เสียก่อน จึงขอให้เขาพาเข้าไปในเมืองด้วย
“ได้สิ เดี๋ยวผมจัดการเรื่องเอกสารส่วนตัวของคุณเรียบร้อยเสียก่อนค่อยพาไปก็แล้วกัน เผื่อโดนทหารแดงตรวจเรื่องเอกสาร” เมื่อเจอแววตาอ้อนวอนของอีกฝ่าย ชายหนุ่มจึงได้ตกปากรับคำอย่างง่ายดาย
เกาซื่อหลินที่นั่งอยู่เงียบ ๆ ก็มองการกระทำของทั้งคู่อย่างไม่ละสายตา
ตอนพิเศษ 4 คุณพ่อจอมหวงวันเวลาล่วงเลยมาถึงวันที่สองพี่น้องฝาแฝดอย่างตงจี้หยวนและตงฟางลี่ก็เติบโตขึ้นและแม้ว่าทั้งสองคนจะรู้ว่าตัวเองเป็นใคร แต่ทั้งสองคนก็ยังคงใช้แซ่ตงเหมือนเดิม ส่วนแซ่เดิมของพ่อแม่นั้นจะเอาไว้ให้ลูก ๆ ในอนาคตเป็นผู้สืบทอด ตอนนี้ทั้งสองคนใกล้จะเรียนจบระดับมหาวิทยาลัยแล้ว คนพี่นั้นเริ่มเข้ามาช่วยดูแลงานในบริษัทของพ่อ และสมบัติที่พ่อแม่ที่แท้จริงทิ้งไว้ให้ เลยไม่ค่อยมีเวลาตัวติดกับน้องสาวเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งวันนี้ก็เหมือนกัน ชายหนุ่มจะต้องเข้าไปดูงานที่บริษัท แต่น้องสาวขอไปดูหนังกับเพื่อน“พี่ใหญ่ วันนี้ฉันขอไปดูหนังได้ไหม” ตงฟางลี่เอ่ยขอพี่ชายอย่างออดอ้อน“พี่น่ะให้ไปได้ ว่าแต่เราโทรขออนุญาตพ่อหรือยัง แล้วจะดูหนังรอบไหนกัน นี่ก็เย็นมากแล้วนะ”ชายหนุ่มตอบกลับน้องสาวอย่างไม่คิดอะไร สำหรับตัวเขานั้นไม่เท่าไร แต่พ่อนี่สิคงไม่ยอมอนุญาตง่ายๆ แน่ เพราะพ่อเป็นคุณพ่อจอมหวงลูกสาวเสียเหลือเกิน ดูอย่างน้องสาวคนเล็กที่อายุแค่ไม่เท่าไรสิ พ่อยังแทบจะไม่ให้ผู้ชายอุ้มแล้ว ความหวงของพ่อที่มีต่อน้องสาวเกินขอบเขตจริง ๆ และนี่ก็ไม่ต้องพูดถึงอาอี้ข่ายที่เป็นเหมือนกันราวกับถอดแบบกันมาเลยทีเ
ตอนพิเศษ 3 คุณพ่อลูกดกหลังจากจบเรื่องตระกูลเกา ทุกคนกลับมาใช้ชีวิตกันตามปกติ ซึ่งเกาเทียนอี้และเกาซื่อหลินก็ไม่คิดจะกลับไปเหยียบตระกูลเกาอีกเลย และได้ข่าวว่าเกาเสี่ยวจิงถูกคนตระกูลหุ้ยบอกเลิกการหมั้นหมายและไม่คิดจะสานต่อความสัมพันธ์ส่วนสองแม่ลูกแม้จะอยู่ตระกูลเกาต่อ แต่สถานะของทั้งสองก็อยู่ยิ่งกว่าสาวใช้ สาเหตุที่ท่านนายพลไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป ก็เพราะไม่ต้องการอับอายคนในสังคม และที่สำคัญเขาได้เอาผู้หญิงที่เลี้ยงไว้นอกบ้านเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์และยกเป็นนายหญิงคนใหม่ เลยทำให้เฟ่ยเจียแค้นใจอย่างมากแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ต้องยอมรับชะตากรรมที่ตนเองได้ก่อไว้พอเกิดเหตุการณ์ในครั้งนั้น ตงเหวินหมิงคิดจะจัดงานเลี้ยงเปิดตัวเองและภรรยารวมถึงทุกคนให้สังคมได้รับรู้ แต่กลับถูกภรรยาห้ามไว้ เพราะเธอกำลังท้องเลยไม่อยากจัดงานเลี้ยงขึ้นมา โดยได้บอกกับสามีว่าค่อยจัดงานเปิดตัวตอนเธอคลอดลูกแล้วก็ยังไม่สายแต่เมื่อถึงเวลา หยางเหมยจินก็บ่ายเบี่ยงอีก เพราะเธออยากอยู่อย่างสงบกับลูกไม่อยากวุ่นวายกับใคร เพราะการเปิดตัวนั้นคงทำให้มีแต่คนเข้าหาเธอในฐานะนายหญิงตงจนเวลานี้เธอตั้งท้องครั้งที่สามแล้ว เพราะสองท้องที่ผ่
ตอนพิเศษ 2 ทวงคืนสินเดิมของแม่หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น สองแม่ลูกจากตระกูลเกาแทบจะนอนไม่หลับ เพราะกลัวว่าตงเหวินหมิงจะบุกมาพบกับท่านนายพลถึงตระกูลเกา แต่เมื่อเวลาผ่านมาเป็นสัปดาห์ก็ยังไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ทำให้ทั้งสองคนกลับมาเชิดหน้าเหมือนเดิม“คุณมีเรื่องอะไรหรือเปล่า เหมือนว่าสัปดาห์ก่อนคุณจะพูดอะไรเหรอ” นายพลเกาเอ่ยถามภรรยาหลังจากสะสางงานตนเองเสร็จแล้ว ตอนนั้นเขากำลังวุ่นกับงานอยู่ เลยไม่ได้ฟังอะไรเธอมากมายนัก“ไม่มีอะไรแล้วค่ะ เรื่องไม่สำคัญแล้วล่ะ คุณทำงานของคุณเถอะ จริงสิ ฉันลืมบอกคุณไปว่าต้นเดือนหน้าทางตระกูลหุ้ยจะเข้ามาพูดคุยเรื่องหมั้นหมายระหว่างลูกชายบ้านนั้นกับเสี่ยวจิงของเรานะคะ” เฟ่ยเจียตอบกลับไปอย่างอ่อนหวานและเปลี่ยนเรื่องไปพูดในเรื่องที่เธอมีความยินดีอย่างมากจะว่าไปเรื่องที่สำคัญที่สุดสำหรับเฟ่ยเจียไม่ใช่เรื่องของตระกูลตงจะเข้ามาที่นี่หรือไม่ แต่เป็นเรื่องการแต่งงานและหมั้นหมายของลูกสาวมากกว่าพอท่านนายพลเกาได้ยินเรื่องการแต่งงานของลูกสาวคนเล็ก ก็อดคิดถึงลูกสาวคนโตที่หายไปจากบ้านหลายปีแล้ว รวมถึงลูกชายที่ไปเป็นทหาร ซึ่งไม่รู้เวลานี้ทั้งสองเป็นอย่างไรบ้างเพราะขา
ตอนพิเศษ 1 หาเรื่องใส่ตัวหลังจากที่ย้ายมาอยู่ที่ปักกิ่ง เกาซื่อหลินก็ยังคงช่วยงานของหยางเหมยจินเหมือนเดิมพร้อมกับดูแลพี่สาวบุญธรรมไปด้วย วันนี้ทั้งสองออกมาซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าเพียงลำพัง เพราะสองแฝดไปเรียนหนังสือ ตงเหวินหมิงกับตู้อี้ข่ายก็ไปทำงาน“นี่เสี่ยวหลิน ไม่ต้องคอยระมัดระวังขนาดนั้นก็ได้ พี่แค่ท้องนะไม่ใช่คนป่วยสักหน่อย” หยางเหมยจินพูดพึมพำออกมาอย่างอ่อนอกอ่อนใจ เพราะตั้งแต่เธอตั้งท้อง ทุกคนก็แทบจะไม่ให้เธอทำอะไรเลย เธอแทบจะเป็นง่อยอยู่แล้ว“พี่เหมยจินก็พูดไป ถ้าเกิดพี่เดินไม่ระวังแล้วสะดุดล้มขึ้นมาจะทำอย่างไรล่ะ ต่อให้มีคนของพี่เขยติดตามมาด้วย ใช่ว่าจะมีคนกล้าแตะต้องตัวพี่นะ หน้าที่นี้เป็นของฉัน อย่างไรฉันก็ต้องคอยดูไว้ก่อน” เกาซื่อหลินโต้แย้งกลับทันที เพราะเธอต้องระวังความปลอดภัยให้กับพี่สาวคนนี้ เลยทำให้ต้องดูเหมือนทำเกินจริงไปหน่อย แต่ป้องกันไว้ก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดไม่ใช่เหรอ“เอาเถอะ แล้วแต่เธอก็แล้วกัน นั่นร้านขายขนมฝรั่งเปิดใหม่หรือเปล่า เราลองเข้าไปดูกันเถอะ” หยางเหมยจินคร้านจะเถียงกับอีกฝ่าย เมื่อเห็นร้านขนมเปิดใหม่จึงชวนอีกฝ่ายไปดู เนื่องจากขนมพวกนี้เธอกินแล้วติด
บทส่งท้าย ครอบครัวที่ต้องการสามปีต่อมา... หลังจากวันนั้นวันที่ตงเหวินหมิงกลับมา นั่นจึงทำให้หยางเหมยจินคลายความกังวลและรู้สึกดีใจที่เขาปลอดภัย โดยที่ตงเหวินหมิงเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟังเธออย่างละเอียด แล้วยังบอกอีกว่าเวลานี้เขาล้างมลทินให้ตระกูลตงเรียบร้อยแล้ว รวมถึงตระกูลของพี่เขยด้วย ก่อนจะบอกความจริงกับเด็กน้อยทั้งสอง ซึ่งแม้ทั้งสองคนจะรับรู้ว่าตนเองนั้นไม่ใช่ลูกแต่เป็นหลาน แต่ทั้งสองก็ยังคงเรียกตงเหวินหมิงว่าพ่อ และเรียกหยางเหมยจินว่าแม่เหมือนเดิมส่วนเรื่องบ้าน ทั้งหมดได้ย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองเรียบร้อยแล้ว ชาวบ้านที่รู้ความจริงว่าตงเหวินหมิงคือนายท่านหยางก็พากันตกใจ บางคนก็เสียดาย ที่ก่อนหน้านี้พวกตนน่าจะทำดีกับบ้านตงไว้ ส่วนซูหว่านแทบจะเสียสติ ที่ชายที่เธอหมายปองนั้นคือคนที่มีอิทธิพลของเมืองนี้ แถมยังร่ำรวยมากอีกด้วยแต่เพราะทางบ้านซูของเธอไม่อยากมีปัญหากับบ้านตงและรู้ว่าซูหว่านคงไม่จบเรื่องบ้านตง บ้านซูจึงตัดสินใจหาสามีที่อยู่ต่างเมืองให้เธอทันทีทำให้สามปีที่ผ่านมาไม่มีใครคอยมาวุ่นวายกับสองสามีภรรยามากนัก ทุกวันนี้ตงเหวินหมิงจึงรู้สึกสบายใจอย่างมาก“ตอนนี้เรื่องราวทุกอย่างที่
บทที่ 52 จบสิ้นปัญหาหลายวันต่อมา...ในหมู่บ้านมีคนแปลกหน้าเข้ามาทำงานในคอมมูนไม่น้อยเลย แถมหัวหน้าคอมมูนยังให้ชาวบ้านช่วยกันสร้างที่พักให้ นี่จึงทำให้ใครหลายคนพากันแปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะก่อนหน้านี้หัวหน้าคอมมูนบอกเองว่าทางการยังไม่ได้ส่งคนเข้ามา แต่ทำไมวันนี้กลายเป็นว่ามีคนมากมายเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านล่ะ“พวกเราคิดว่ามันแปลกหรือไม่ ที่จู่ ๆ ก็มีคนเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านจำนวนไม่น้อยเลย” ชาวบ้านคนหนึ่งถามขึ้น“จะขี้สงสัยไปทำไมกัน คนมาทำงานจะคิดมากไปทำไม หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น หัวหน้าหมู่บ้านคงบอกแล้วล่ะ” อีกคนตอบกลับไปอย่างไม่ใส่ใจการพูดคุยของกลุ่มชาวบ้านแม้ว่าแปลกใจและสงสัยแต่ก็เลือกที่จะไม่ถาม เพราะรู้ดีว่าทุกคนมีหน้าที่การงานของตนเองซึ่งเรื่องนี้มีแค่หัวหน้าคอมมูนเท่านั้น ที่รู้ว่าเป็นคนของใครที่ถูกส่งเข้ามา เขาไม่คิดว่าคนเคยปลอมเป็นชาวบ้านมางานแต่งของตงเหวินหมิงกับหยางเหมยจินจะเป็นถึงนายท่านหลู่ นายท่านผู้ลึกลับแต่ทรงอิทธิพล และเขาก็ไม่คิดว่าท่านจะส่งคนมาบอกเรื่องที่จะให้ คนมาทำงานในคอมมูน โดยปลอมเป็นชาวบ้านที่มาทำงานในคอมมูนที่หมู่บ้านแห่งนี้เพื่อที่จะปกป้องใครบางคน ซึ่งต่อให้ช