“โอ๊ย เยว่ถาน ๆ โอ๊ย ๆ เบา ๆ ซี้ด ” ซูเหยาร้องโอดโอยเมื่อเยว่ถานเปิดผ้าพันแผลที่หลังขึ้นแต่มันกับเกี่ยวติดเนื้อบางส่วนของนางขึ้นไปด้วย ด้วยแผลยังมิได้สมานดีนัก
“ฮื้อ คุณหนูเจ็บมากรึไม่เจ้าคะ คุณหนูอดทนอีกนิดนะเจ้าคะ เยว่ถานจะใส่ยาให้” เยว่ถานเลือกหยินยาแก้อักเสบไป๋เซี่ยนเกาที่ท่านหมอให้มาค่อย ๆ เคาะเทลงบนบาดแผล ในใจได้แต่เฝ้าภาวนาให้แผลที่แผ่นหลังของผู้เป็นนายหายไปเสียทีนี่ก็ร่วมสัปดาห์แล้วแต่แผลยังดูเหมือนจะยังใหม่อยู่ตลอดเวลา และเมื่อเสียงของผู้เป็นนายเอ่ยถามแล้วนั้นนางยิ่งมีสีหน้าลำบากใจ
“เยว่ถานนี้ก็เกือบสัปดาห์แล้ว แผลข้าใกล้หายแล้วใช่รึไม่ แต่เหตุใดข้ายังเจ็บมาก ๆ อยู่เลยเล่า” ซูเหยาพลิกหน้ากลับมามองเยว่ถาน และเมื่อเห็นว่าสีหน้าเยว่ถานนั้นดูคล้ายกึ่งร้องไห้กึ่งยิ้ม คิ้วเรียวงามก็พลันขมวดมุ่น และซูเหยามิใช่คนโง่ที่จะไม่รู้ว่าตอนนี้แผลตนนั้นเป็นเช่นไร ซูเหยาบัดนี้ในใจนางรู้สึกเดือดดาลซูฉี นางจะทำลายกันให้ได้เลยใช่รึไม่ ข้าอยู่ของข้าดี ๆ กลับทำร้ายกาจเช่นนี้กับข้าได้ ได้สิ!
“เยว่ถานเอายานี่ไปให้อาเจิ้น ให้เขาตรวจดูหน่อยว่ายานี่มีสิ่งใดผิดปกติ และเจ้าออกไปหาซื้อยาที่ตลาดมาให้ข้าใช้แทน แต่เยว่ถานเจ้าต้องทำแบบเงียบ ๆ ห้ามให้แม่รองของข้านางรู้ทำได้รึไม่”
“ได้เจ้าค่ะคุณหนู แล้วเหตุใด รึว่า หา! นี่พวกนางหึ! ช่างร้ายกาจนัก คุณหนูเยว่ถานจะรีบไปจัดการให้เดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” เยว่ถานที่เดินใกล้พ้นประตูกลับต้องชะงักเมื่อคุณหนูของนางเขียนสิ่งหนึ่งลงกระดาษแล้วฝากให้นางไปส่งที่ตำหนักหยางจวิ้นอ๋อง
ซูเหยามองจดหมายที่ส่งให้เยว่ถานอย่างชั่งใจเพียงครู่ นางนั้นลังเลอยู่ในใจทั้ง ๆ ที่คำที่เขียนลงไปนั้นทั้งอยากรู้คำตอบและก็กลัวในสิ่งที่จ้าวหยางจะตอบกลับมา
‘ชั่งเถอะไม่ว่าเช่นไรข้าก็จะยอมรับมัน เฮ้อ’ ซูเหยาถอนหายพรืดใหญ่ก่อนจะตัดใจส่งซองกระดาษลงชื่อตนเองให้เยว่ถานในที่สุด สายตามองตามหลัง เยว่ถานอย่างคาดหวัง นางได้แต่หวังว่าคำตอบของจ้าวหยางจะตรงกับสิ่งที่ใจนางอยากให้เป็น
“จ้าวหยางข้าหวังว่าเจ้าจะมีความรู้สึกให้ข้าเฉกเช่นข้าที่รักพระองค์เสมอมา ไม่เคยที่จะมองหรือสนใจบุรุษอื่น” ดวงตาเมล็ดซิ่งไหวระริกเมื่อถูกกระแสความอึดอัดเสียใจจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตีรวนขึ้นมาในใจ
ไม่แตกต่างกันนัก ณ ตำหนักเทียนจื่อซึ่งเป็นตำหนักเดิมขององค์ชายใหญ่รัชทายาทผู้ล่วงลับ บัดนี้นั้นมีองค์ชายรองจ้าวหยางมาประทับอยู่แทนก็เกิดวุ่นวายเมื่อเหล่าขันทีและนางกำนัลมิอาจมีผู้ใดเข้าหน้าองค์ชายติดเลยซักคน ไม่รู้ว่าพระองค์ไม่พอพระทัยในสิ่งใดจึงเอาแต่บึ้งตึง มิพูดมิจาหนำซ้ำสิ่งที่มักให้หานกงกงทำอยู่เป็นประจำก็กลายเป็นว่าไม่ถูกใจไปซะทุกอย่าง จนบัดนี้หานกงกงกลัดกลุ้มใจจนหลายวันมานี้ร่างกายผ่ายผอมลงไปมากเลยทีเดียว
“ไงกงกง ไฉนมายืนเป็นไม้ใกล้ฝั่งอยู่เช่นนี้เล่า”
“หยุดเลยเหยียนเฟิง เจ้าลองมาเป็นข้าสินี่ข้ากลุ้มจะอกแตกตายอยู่แล้วนะ เหอะ” หานกงกงเอ่ยเสียงเล็กสูงทำท่าทางฟึดฟัดใส่เหยียนเฟิง ทั้งสองกำลังยังมิทันได้สนทนากันดีเสียงทุ่มเข้มก็เรียกหานกงกงให้เข้าไปหาในห้องทรงงาน สิ้นสุดเสียงหยางจวิ้นอ๋องทั้งกงกงและองครักษ์ก็ลอบมองหน้ากันก่อนที่เหยียนเฟิงจะส่งยิ้มแห้ง ๆ ให้กงกง แล้วเดินไปตรวจจุดอื่นของตำหนัก ทิ้งให้กงกงต้องสูดหายใจ ลึก ๆ เพื่อเรียกขวัญกำลังใจก่อนรีบเดินเข้าไปด้านในด้วยใจหวาดหวั่น
“องค์ชาย”
“เรื่องที่ให้ทำไปทำแล้วรึยัง” หยางจวิ้นอ๋องเงยหน้าจากฎีกาที่อ่านมองหานกงกงด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง และนั่นยิ่งทำให้บรรยากาศทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบจนหานกงกงรู้สึกเย็นไปถึงสันหลัง
“เอ่อ กระหม่อมให้คนนำไปวางที่ร้านเถ้าแก่ชิงเป็นที่เรียบร้อยแล้วขอรับ”
“เช่นนั้นก็ดี หมดธุระแล้วเจ้าออกไปเถอะข้าอยากอยู่คนเดียว” จ้าวหยางเมื่อได้ยินว่าสิ่งที่ตนต้องการนั้นได้จัดการเรียบร้อยก็ถึงกับลอบยกยิ้ม
“พ่ะย่ะค่ะ”
‘พรู่’ หานกงกงถอนหายใจเฮือกใหญ่พลอยโล่งใจที่เห็นว่าผู้เป็นนายเริ่มมีเคล้าว่าอารมณ์ใกล้กลับมาเป็นปกติ และคล้ายสวรรค์กลั่นแกล้งเมื่อไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็มีนางกำนัลนำจดหมายจากคุณหนูใหญ่จวนเสนาบดีหลินมาส่ง คุณหนูที่องค์ชายทำให้นางถูกลงโทษจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ความรักช่างซับซ้อนเสียจริง หานกงกงนึกขอบคุณที่ตนนั้นถูกตอนเสียจนอารมณ์ตายด้านไร้ความรู้สึกไม่เช่นนั้นแล้วเขาก็อาจจะวุ่นวายไปเสียหมดเช่นองค์ชายเป็นอยู่ในเวลานี้
“องค์ชาย”
“ว่ามา”
“คือว่า จดหมายจากคุณหนูใหญ่สกุลหลินพ่ะย่ะค่ะ” หานกงกงเอ่ยเสียงกล้า ๆ กลัว ๆ
“จริงรึ! อะฮึ่ม เอ่อนางเขียนว่าเช่นไร” จ้าวหยางเผลอแสดงอาการลิงโลดดีใจเพียงครู่ก็กลับมาเป็นนิ่งขรึมปกติเช่นเดิม แต่เมื่อเห็นกงกงงก ๆ เงิ่น ๆ ไม่ทันใจก็เกิดนึกขัดใจยิ่งนักช่างขัดหูขัดตาเสียจริง
“หานกงกงเจ้านี้ช่างชักช้าเสียจริง เอามาให้ข้าเจ้ามีสิ่งใดก็ไปทำเสียเถอะ” จ้าวหยางที่อยากรู้ว่านางเขียนสิ่งใดมาเกิดใจร้อนที่นึกขัดตาที่หานกงกงช่างชักช้ากว่าจะเปิดจึงแย่งมาเปิดดูเสียเอง
เมื่อเห็นว่าหานกงกงออกไปแล้วมือใหญ่ก็รีบหยิบซองจดหมายขึ้นมาเปิดด้วยท่าทางภายนอกเงียบสงบแต่ในใจกลับร้อนรุ่มตื่นเต้น
‘หากพระองค์เป็นดั่งจันทรา ข้าจะขอเป็นเมฆาคอยติดตามมิร้างรา หากพระองค์เป็นผกาข้าก็จะขอเป็นผีเสื้อที่คอยติดตามไม่ห่างหาย...ได้รึไม่’
จ้าวหยางเมื่ออ่านจดหมายจบก็ได้แต่นิ่งงัน แต่ใบหน้ากับกดยิ้มน้อย ๆ เฝ้าถามตนเองว่าเขานั้นคิดกับนางเช่นไร แต่ก็ไม่อาจค้นพบว่าหาได้รู้สึกใด ๆ ไม่ เพียงแค่นางปรนนิบัติถูกใจเพียงเท่านั้นจึงได้กินเต้าหู้นางเสียอยู่บ่อยครั้ง แต่นางบอกจะให้เวลาเขามิใช่รึนางเป็นคนเสนอเองนี่ และตอนนี้จ้าวหยางก็ยังมิได้รู้สึกเป็นอื่นนอกจากความรู้สึกเพียงบุรุษปรารถนาในสตรีงามเฉกเช่นนางกำนัลอุ่นเตียงทั่วไป
จ้าวหยางหยิบดอกมู่ตานที่ถูกทับไว้จนแห้งขึ้นมาพลิกมอง หากเขาจำมิผิดดอกไม้นี้คือ
‘ท่านอ๋องดอกมู่ตานนี่งดงามนัก ตั้งแต่ซูหยางเกิดมายังไม่เคยเห็นดอกมู่ตานที่ไหนงดงามเพียงนี้’
จ้าวหยางพลันนึกถึงใบหน้าเล็กพิสุทธิ์ที่คลี่ยิ้มกว้างเต็มวงหน้า ครั้งนั้นจ้าวหยางเองก็ถึงกับนิ่งงันเช่นกัน เขาราวหลงอยู่ในห้วงฝันกับรอยยิ้มของนางที่ช่างงดงามจับใจจนเขาตะลึงงันเลยทีเดียว
‘อยากได้รึ เช่นนั้นข้าอนุญาตให้เจ้าหนึ่งดอก เลือกสิ’
‘จริงรึเพคะ’
‘เห็นข้าเป็นคนเช่นไร’
‘เช่นนั้นท่านอ๋องช่วยเลือกให้ซูหยางได้รึไม่’
เมื่อถูกรบเร้าจากเสียงหวานมิเลิกเขาจึงเลือกเด็ดดอกมู่ตานสีขาวดอกหนึ่งส่งให้นาง ก่อนเลือกนั้นพลันในความคิดเกิดหวนคิดถึงค่ำคืนวสันต์คราแรกระหว่างเขาและนางขึ้นมาพอดี
“หึ” เมื่อคิดถึงความหลังใบหนาคมพลันกระตุกยิ้มขึ้นมาน้อย ๆ อย่างนึกขันในนางที่เพียงบุปผาเพียงดอกหนึ่งกลับทำให้นางแย้มยิ้มไม่หยุดประหนึ่งคนเสียสติ และเขาเองคงเสียสติมิต่างกันกระมังที่ชื่นชอบในรอยยิ้มของนางนัก แถมหลังนางกลับจวนยังให้หานกงกงแบ่งดอกมู่ตานเสียหลายต้นส่งไปเรือนของนางอีก
จ้าวหยางเมื่อมิรู้จะตอบสิ่งใดจึงมิได้ตอบกลับ เขาเก็บจดหมายไว้แต่ดอกมู่ตานแห้งนั้นประทานให้หานกงกงนำกลับไปคืนนาง ในเมื่อเป็นดอกไม้ดอกแรกที่เขาให้นาง เช่นนั้นนางก็ควรเก็บไว้มิใช่ส่งคืนมาเช่นนี้
หลังจากดูถูกหยางจวิ้นอ๋องครานั้นซูเหยาก็ไม่คิดจะทำอีกเลย เขาพละกำลังล้นเหลือราวม้าศึกมิรู้จักเหน็ดเหนื่อยจนซูเหยาประจักษ์แจ้งแก่ใจนัก หลังจากวันนั้นนางก็ร่างกายอ่อนแรงนี่ก็เข้าเดือนที่สองแล้วกระมังที่นางมักเวียนศีรษะอยู่บ่อย ๆ อีกทั้งยังต้องเทียวไปมาระหว่างจวนตระกูลหลินกับตำหนักป่าไผ่ทำให้หลายวันมานี้นางถึงกับทนไม่ไหวเวียนศีรษะจนสำรอกออกมาเสียกลางทาง ทั้งร่างกายมิมีแรงไหนจะทั้งรู้สึกง่วงนอนอยู่ตลอดเวลาอีกเล่าแต่อาการเหล่านี้นั้นช่างน่าประหลาดยิ่งซูเหยาค้นพบว่าอาการนางจะทุเลาลงถึงขั้นหายไปเมื่อได้สูดดมกลิ่นกายของหยางจวิ้นอ๋อง ซึ่งน่าประหลาดนักทำให้หลัง ๆ มานี้จากที่เขาติดนางกลายเป็นนางที่ติดเขาแทนไปเสียแล้ว“ท่านอ๋อง”“ซูเหยาลุกขึ้นก่อนเถิดท่านหมอมาแล้ว” ซูเหยาฝืนอาการเวียนศีรษะหน้ามืดนางพยายามมองดูจ้าวหยางแต่กลับพบว่าบัดนี้มิได้มีเพียงหมอหลวง กลับมีญาติฝั่งนางมาครบอีกแม้กระทั่งพระชายาและท่านปู่ของเขาก็ยังมาด้วย นางเห็นเช่นนั้นก็พยายามลุกขึ้นเพื่อถวายความเคารพ แต่ก็ถูกผู้ใหญ่ทัดทานเอาไว้เสียก่อนเมื่อเห็นใบหน้านางซีดเผือดมิสู้ดีนัก“ซูเหยาเจ้าไม่ต้องลุก ๆ นอนลง ๆ เดี๋ยวให้หมอหลวงตรวจให
[จวนตระกูลหลิน]ซูเหยาบัดนี้รู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมากเมื่อบิดาเอาแต่จ้องตนแต่มิยอมพูดจา นางจึงได้แต่ก้มหน้าแล้วจับชายอาภรณ์พลิกไปพลิกมาแทนเมื่อเริ่มรู้ถึงสถานการณ์กดดัน และเป็นนางที่เป็นฝ่ายทนไม่ไหวต้องยอมเอ่ยปากกับผู้เป็นบิดาก่อน ส่วนท่านย่านั้นมิได้ถูกเชิญออกมากลัวว่าได้ยินเรื่องราวของนางแล้วเดี๋ยวเป็นการซ้ำเติมอาการเข้าไปใหญ่“ท่านพ่อ...”“เจ้ารู้ความผิดตัวเองรึไม่!” หลินเจียงเอ่ยด้วยใบหน้าเข้มน้ำเสียงราบเรียบจนซูเหยานึกขยาดเสียวสันหลังวาบดวงตาเริ่มแดงก่ำเจือด้วยหยาดน้ำวาววับ“ทะท่านพ่อลูกผิดไปแล้วเจ้าค่ะ ขะข้าทำให้ท่านต้องเสื่อมเสีย ละลูก”“นางมิผิด หากจะผิดล้วนเป็นข้าที่ผิด” จ้าวหยางที่นึกเป็นห่วงนางหลังพูดคุยกับมารดาเสร็จก็รีบควบม้าวิ่งทะยานตรงมาหานางที่จวนในทันที“ทะท่านอ๋อง” เสนาบดีเจียงลุกขึ้นทำความเคารพตามปกติแต่บรรยากาศโดยรอบนั้นกลับเต็มไปด้วยเมฆหมอกอึมครึม“ท่านหลินเป็นข้าทั้งนั้นที่ผิดเจ้าอย่าได้โทษนาง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนถูกล่อลวงจากข้าทั้งนั้น”“ไม่ใช่นะเจ้าคะท่านพ่อ มิใช่เช่นนั้นเป็นข้าเองที่ชอบท่านอ๋องมาก” ซูเหยาที่นึกกลัวผู้เป็นพ่อที่มีท่าทางเอาจริงเอาจังอย่างที่ไม
การที่องค์ชายรองประคองมารดาเดินมาชมบุปผาในอีกด้านนั้นก็พอดีกับเหล่าขุนนางที่ว่าราชการจบ ไท่จื่อเฟยจึงได้ถือโอกาสเชิญพวกเขามาดื่มชา ชมบุปผางามเพื่อผ่อนคลายจากงานราชกิจ โดยทุกอย่างนั้นล้วนถูกจ้าวหยางและมารดาจัดแจงความเป็นไปไว้เสียหมดสิ้น“ท่านแม่ ๆ ท่านแม่ว่าป่านนี้พี่สาวของข้านางจะเป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ หึ!”.”ก็คงนอนตายอยู่ใต้หน้าผาลึกแล้วกระมัง ฮ่า ๆ ช่างเถอะคนมันไม่มีวาสนาก็เหมือนแม่นางนั้นแหละ ชะตาอาภัพผู้ใดจะคิดกันเล่านังเด็กซูเหยานั้นออกจะเก่งกาจจะมาตายง่ายดายถึงเพียงนี้ หึ ๆ”“แต่ท่านแม่หากท่านพ่อรู้เล่าเจ้าคะ ท่านพ่อต้องถามหานางแน่ ๆ” ชิงเยว่เมื่อนึกถึงผู้เป็นพ่อขึ้นมาก็กลับเกิดหวาดกลัวขึ้นในใจ“พ่อเจ้าหนะรึโง่สิ้นดีหนะสิ ขนาดฮูหยินใหญ่นางตายเพียงข้าโกหกเพียงนิด บีบน้ำตาเสียหน่อยเขาก็คิดเสียแล้วว่าการตายของนางเป็นอุบัติเหตุ” ซูฉีที่นางมั่นใจเพียงนี้นั้นก็เพราะตระกูลนางกว้างขวางซ้ำร่ำรวยทำสิ่งใดจึงมิต้องได้เปลืองแรงมากนัก สองแม่ลูกพูดคุยกันเพลิดเพลินโดยหารู้ไม่ว่าบัดนี้คนที่อยู่นอกห้องนั้นได้ยินถ้อยคำพวกนางเสียหมดสิ้น“ซูฉี! หลินชิงเยว่! ” เสนาบดีหลินเดินออกมาอย่างเลื่อนลอยแต่ใ
“ท่านแม่ ๆ มีเทียบเชิญเข้าเฝ้าพระชายาเช่นนั้นรึเจ้าคะ” ชิงเยว่รีบวิ่งหน้าตั้งมาหาผู้เป็นมารดาที่เรือน หลายวันมานี้นางมิต้องสำรวมสิ่งใด ท่านย่าป่วย ท่านพ่ออยู่ว่าช่วยราชกิจฝ่าบาทในวัง อีกทั้งนังพี่สาวตัวดีหายสาบสูญ ดูเถิดคนในเรือนนางยังคิดว่านายหญิงพวกมันอยู่ที่ตำหนักป่าไผ่ หึ! เป็นซากศพเฝ้าหน้าผาลึกต่างหากเล่า ช่วยมิได้ใครใช้ให้เจ้ากล้ามาแย่งชิงความชอบขององค์ชายรองกับข้า“ใช่ ๆ เจ้าหนะหัดสำรวมเสียบ้าง ไม่เช่นนั้นเกิดผู้ใดทะเล่อทะล่าเข้ามาเห็นเข้าแล้วเอาไปพูดต่อละก็ไม่ดีแน่” ซูฉียิ้มปริ่มนึกปลาบปลื้มในใจที่เทียบเชิญเขียนชื่อชิงเยว่กับนางเพียงสองคน ไม่มีชื่อนังเด็กซูเหยา ใช่สิ! จะมีได้เช่นไรในเมื่อนางส่งมันไปหาแม่มันด้วยมือตนเอง หึ!“แม่นมอวิ๋นเร็วเข้าไปเตรียมรถม้าให้เร็ว ข้าจะพาลูกข้าไปซื้อหาอาภรณ์ใหม่เสียหน่อยเข้าวังครานี้จะน้อยหน้าสตรีอื่นได้เช่นไร”“เจ้าค่ะฮูหยิน”“ท่านแม่ดีที่สุด วันพรุ่งลูกต้องโดดเด่นกว่าใครในงานชมบุปผาให้ได้” ชิงเยว่ยิ้มอีกทั้งกอดแขนมารดาอย่างออดอ้อน[ตำหนักเทียนจื่อ]“ท่านอ๋องพระองค์อยู่นิ่ง ๆ เถิดเลิกกลั่นแกล้งข้าเพียงครู่ ข้าขอดูเหล่าบรรดาคุณหนูพวกนั้น
“แค่ก ๆ” เสียงไอแห้ง ๆ ติดกันเรียกความสนใจให้จ้าวหยางที่อ่านฎีกาต้องรีบวางมือและเข้ามาโอบประชิดร่างบางเข้าแนบอก พร้อมฝ่ามือใหญ่ที่ลูบตามตัวนางไปมาอย่างต้องการปลอบประโลม“ซูเหยาเป็นเช่นไร ยังเจ็บส่วนใดอยู่รึไม่ ข้าขอโทษ ๆ ข้าไม่น่าเอาแต่ใจนัดเจ้าออกมาวันนี้เลยจริง ๆ ข้าขอโทษ หากว่าข้าไปช่วยไว้ไม่ทันป่านนี้ ๆ เกรงว่าข้าคงจะเสียเจ้าไปแล้ว” จ้าวหยางพูดทั้งหมดความที่มีอยู่ในใจเสียหมดสิ้นจนทำให้ซูเหยาที่ถูกกดศีรษะให้แนบชิดฝังแน่นกับอกแกร่งต้องลอบยิ้มกับแผ่นอกกว้างทั้งน้ำตา พร้อมกับมือบางที่ค่อย ๆ ยกขึ้นทำทีคล้ายจะกอดตอบ นางชั่งใจอยู่เพียงครู่ก่อนจะตัดสินใจโอบกอดร่างหนาไว้เฉกเช่นกัน“ซูเหยา” จ้าวหยางที่รับรู้ว่านางกอดตอบตนมาเช่นนั้นก็เผยยิ้มดีใจ ทั้งสองตกอยู่ในห้วงภวังค์ของกันและกันมีเพียงเสียงลมหายใจระหว่างกันให้ได้ยิน ซ้ำไร้การเอื้อยเอ่ยบทสนทนาใด ๆ ออกมาใช้เพียงใจและกายสื่อความรู้สึกถึงกันและกัน“องค์ชาย...อะเอ่อคือกระหม่อม คือกระหม่อมว่าควรออกไปดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ” เหยียนเฟิงที่บังเอิญเข้ามาถูกจังหวะก็รีบหันตัวกลับแทบจะในทันที ก่อนจะเอ่ยเสียงตะกุกตะกักจนจ้าวหยางเอ่ยออกคำสั่งให้รายงานได้จึงได้
หลังจากวันนั้นซูเหยาก็รู้สึกหายใจโล่งนักที่หยางจวิ้นอ๋องมิได้มาตามตื้อก่อกวนนาง แต่นั้นเพียงกลางวันกลางคืนเล่าท่านอ๋องกลับทำตัวเป็นโจร บุปผาลอบเข้าออกเรือนนางราวเรือนตน ทั้งที่นางจ้างคนมาเฝ้าเรือนนางมากขึ้นแต่นั่นก็มิได้เป็นอุปสรรค ทั้งนางข่มขู่ก็แล้ว ต่อว่าก็แล้ว นางใช้สารพัดวิธีแต่ก็มิอาจขัดขวางเขาได้ และเหตุผลที่ให้แก่นางคือ ทำลูกและวันนี้เป็นอีกวันที่นางถูกเขาเชิญให้ไปตำหนักป่าไผ่เหตุผลแกมข่มขู่คือให้หมอหลวงตรวจชีพจรว่านางนั้นท้องแล้วรึไม่ และเป็นนางเองที่เริ่มคิดแล้วว่าสรุปเป็นผู้ใดกันแน่ที่อยากมีลูกเขานั้นดูจริงจังกว่านางมากนัก ซ้ำยังน่าไม่อายกลับกางตำรากามสูตรบ้าบอนั่นให้นางดูถึงท่วงท่าทำรักที่ว่าท่าใดได้บุตรชายท่าใดได้บุตรสาวอีกทั้งให้นางเลือก องค์ชายรองผู้นี้เดิมทีสุขุมเยือกเย็นมาบัดนี้นางกลับค้นพบอีกตัวตนหนึ่งของเขาเข้าเสียอย่างนั้น“คนหน้าไม่อายชิ!” ซูเหยาที่เดินทางมาเพียงลำพังโดยเข้าใจว่าขึ้นรถม้าที่นางขึ้นนั่งนั้นเป็นของตำหนักป่าไผ่ส่งมารับ จึงได้แต่บ่นต่อว่าหยางจวิ้นอ๋องกับลมกับฟ้าโดยหารู้ไม่ว่ารถม้าที่ตนนั่งมานั้นหาใช่ของตำหนักป่าไผ่ไม่“ท่านแม่จะได้ผลแน