คราเมื่อร่างใหญ่ผลักนางออกจากอ้อมอกซูเหยาก็ผวาตามแต่ไขว้คว้าไว้ไม่ทัน ดวงตานางพลันสั่นไหวระริกส่งสายตาตัดพ้อต่อว่าแต่มิอาจเอ่ย ในใจเกิดกระแสเสียใจตีตื้น ท่านอ๋องจะดูมิออกเชียวหรือว่านางบัดนี้ต้องการสิ่งใด สุราที่เขาให้นางดื่มนั่นเกรงว่าจะไม่ใช่เพียงสุราธรรมดาเป็นแน่ ทั้งวันนี้ที่เอาใจนางสารพัดนั่นอีก กะจะกลั่นแกล้งนางจนถึงคราสุดท้ายก่อนจากลาเลยรึไร
‘หยางจวิ้นอ๋องท่านเห็นเพียงข้าเป็นตัวตลกรึเช่นไร นึกอยากนำพาก็เข้าหา นึกเบื่อหน่ายก็ผลักไสเช่นนั้นหรือ’
ซูหยางกล้ำกลืนในอกจนต้องแหงนเงยใบหน้าขึ้นกลั้นหยดน้ำตา นึกขอบคุณหยาดสายฝนอยู่มิน้อยที่ช่างตกได้ถูกเวลาดีนัก มันช่างช่วยปกปิดความอ่อนแอของนางได้เสียดิบดี
ซูเหยามิได้ก้าวเข้าหาแต่นางกลับพยายามยกมือขึ้นลูบตามเนื้อตัวของตนเองไปมาอย่างทรมาน นางมองจ้าวหยางอย่างตัดพ้อเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะปิดเปลือกตาลงอย่างกล้ำกลืนและนั่นเองที่หยดน้ำตาที่กักเก็บไว้ร่วงหล่นลงมาแข่งกับหยาดสายฝน ร่างบางสะอื้นจนตัวโยนอย่างน่าสงสาร นางกลั้นใจหันหลังให้ หยางจวิ้นอ๋องคิดฝืนพาร่างอันสั่นเทาขึ้นจากน้ำด้วยตนเอง
จ้าวหยางที่เห็นนางกระทำเช่นนั้นซ้ำแผนที่วางไว้ก็ไม่เป็นไปดั่งใจนึกก็เกิดใจไหวอ่อนยวบ ในใจร้อนรนดั่งไฟเผารีบเดินฝ่าน้ำไปคว้าเอาร่างบอบบางเข้าแนบอกเพื่อถามไถ่ให้รู้แจ้วว่าเกิดอันใดขึ้นกับนางกันแน่ ถึงขั้นยอมทรมานตนเองไม่เข้าหาเขาซ้ำยังร้องไห้หนักจนไหล่บาง ๆ ของนางสั่นไหวรุนแรงเสียขนาดนี้
“ฮึก ๆ ปะปล่อยข้านะ ฮือ ปล่อยสิ ฮึก” ซูเหยาร้องไห้จนแสบหูแสบตาไปหมด บัดนี้ภาพด้านหน้าเลือนรางจนมิอาจมองรู้ว่าจ้าวหยางนั้นมีสีหน้าเช่นไร
“ซะซูเหยาเจ้าเป็นอะไร” จ้าวหยางครางต่ำเสียงเบารีบคว้าเอาร่างนางเข้าแนบอก เขากดหัวนางให้แนบจมไปกับอ้อมอกกดจูบที่ผมของนางอย่างปลอบประโลม ปฏิกิริยาที่เป็นไปอย่างธรรมชาติ ความร้อนรนเมื่อครู่ที่เกิดขึ้นกับตนนั้นจ้าวหยางเองก็ถึงกับชะงัก
“ฮึก ๆ ” ซูเหยาร้องไห้เงียบ ๆ ทรมานทั้งกายทรมานทั้งจิตใจ ร่างบางสั่นเทารู้สึกต้องการเติมเต็มจากเจ้าหยางมากกว่าการโอบกอด ซึ่งเจ้าหยางเองก็ไม่ต่างกัน และก่อนสติจะเลือนหายซูเหยาได้เอ่ยหนึ่งประโยคเพื่อตัดรอนสัมพันธ์และตัดพ้อกับสิ่งที่นางพานพบ เป็นถ้อยคำที่นางอยากได้ยินจากปากของเขาเองกับหู และดูให้เห็นกับตา
“ข้าเป็นเพียงมนุษย์หาใช่ของเล่นไร้ความรู้สึก หยางจวิ้นอ๋องข้าเองก็เจ็บเป็น ข้าเองก็มีความรู้สึกในเมื่อท่านอ๋องเห็นข้าเป็นของเล่นไร้ชีวิตจิตใจ หากเล่นข้าจนเบื่อแล้วก็ได้โปรดปล่อยข้าไป ให้ข้าฮึก ไปตามทางของข้าถะเถิด ฮึก” ซูหยางฝืนผงกหัวขืนตัวออกจากอ้อมอกแกร่ง นางแหงนเงยพยายามจ้องฝ่าน้ำตามองสบดวงตาคมเข้มของบุรุษที่นางรักอย่างหมดใจ เปิดเปลือยความรู้สึกที่มีผ่านดวงตากลมโตที่วาววับด้วยหยาดน้ำตาอย่างหมดสิ้น
“ไม่ซูเหยาไม่ใช่” เป็นจ้าวหยางที่ไม่อาจทนต่อสายตาตัดพ้อของนางได้ เขารีบหลบตานางในทันทีดวงตาคมแดงก่ำน้อย ๆ ในใจเกิดหนักอึ้งเมื่อเห็นท่าทีของนางเขาโอบกอดนางแน่นอย่างหวงแหนคล้ายกับกลัวว่านางจะสลายหายไปเสียเดี๋ยวนั้น
“ฮะอึก ชะเช่นนั้นดะได้โปรดบอกว่าทะท่าน ฮะฮึก ระรักข้าทะที” ซูเหยาฝืนกลั้นกระแสเสียงสะอื้นเรียบเรียงเสียพูดเจือสะอื้นกระท่อนกระแท่นแทบฟังไม่ได้ศัพท์ และนางก็หมดแล้วซึ่งความหวังเมื่อจ้าวอ๋องเพียงกระชับอ้อมกอดแต่มิยอมเอ่ยสิ่งใด นั่นเองแขนเรียวที่เคยโอบกอดตอบอ้อมกอดแกร่งถึงกับอ้อนแรงตกลงแนบข้างลำตัว
จ้าวหยางนั้นเวลานี้มิอาจรู้แน่ว่ารักนางรึไม่ เกิดมายังมิเคยได้รักสตรีนางใดนอกเสียจากผู้เป็นมารดา รักเป็นเช่นไรมิอาจรู้ได้แน่ ในตอนนี้รู้เพียงว่าเขานั้นหวงแหนนางจนไม่อยากปล่อยไป และยังมิทันที่เขาจะได้คิดสิ่งใด ริมฝีปากหนาก็ถูกริมฝีปากบางเย็นเฉียบสั่นน้อย ๆ ของนางประกบเข้าอย่างรวดเร็ว มือเล็กปัดป่ายลูบคลำไปทั้งกายแกร่งก่อนจะวกมาโอบรอบลำคอของเขาแน่น
จ้าวหยางนิ่งงันไปเพียงครู่ก็ดูดดึงจู่โจมกลับอย่างรวดเร็ว ในเวลานี้ด้วยฤทธิ์รักรึความใคร่รึฤทธิ์จากยากำหนัดที่เขาลอบใส่ในสุราไม่อาจรู้แน่ รู้แต่เพียงว่ากายแกร่งร้อนลุ่ม เลือดสูบฉีดจนหอบหายใจหนักซ้ำตื่นเต้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เขากระหายนางจนแทบบ้าคลั่งและต้องเป็นนาง นางคนเดียวเท่านั้น
“อื้อ อ๊า” ซูหยางครวญคราไม่ได้ศัพท์เมื่อร่างนางอุ้มขึ้นจากน้ำก่อนจะถูกทาบทับจากคนตัวใหญ่ ท่อนล่างนางถูกนิ้วร้ายกาจจู่โจม ส่วนท่อนบนอกอวบใหญ่นั้นก็ถูกปากหนาครอบครองดูดดึงราวทารกที่กำลังหิวกระหาย ก่อนจะเปลี่ยนมาประกบจูบดูดดึงริมฝีปากนางอีกครั้งอย่างเร่าร้อนทั้งดุดัน
สองร่างกอดก่ายโรมรันกันไปมา สองขาเรียวเสลาเกาะเกี่ยวเอวสอบด้วยกระแสอารมณ์ร้อนเร่ากระหายสวาท เสียงหอบหายใจหนัก ๆ ทั้งคำรามต่ำราวสัตว์ใหญ่บาดเจ็บสลับเสียงครวญครางแว่วหวานดังประสานไปทั่วตำหนักป่าไผ่อันเงียบสงบ พายุพิศวาสโหมกระหน่ำรุนแรงแข่งกับสายฝนคราแล้วคราเล่าจนกว่าจะสงบลงก็เกือบรุ่งสางของอีกวัน
ยามอิ๋น [04.00 น.] ยังมิทันที่จ้าวอ๋องที่พึ่งผ่านศึกรักอย่างหนักหน่วงได้พักผ่อนดี เหยียนเฟิงก็รีบเข้ามาแจ้งว่ามีม้าเร็วจากวังหลวงส่งข่าวมาว่าบัดนี้ด่านติดแดนทางเหนือที่กั้นระหว่างแคว้นเฮ่ยหลงและเฉิงหยางบัดนี้ได้แตกลงอย่างมิมีสาเหตุ ทั้งที่ด่านนี้นั้นหลายปีมานี้เงียบสงบมานาน อีกทั้งด้านใหญ่ทหารเฝ้าเวรยามอยู่ตลอดเวลาเหตุใดถึงได้แตกพ่ายง่ายเฉกเช่นนี้
จ้าวหยางตกใจมากกับข่าวที่ได้รับ แม้เหน็ดเหนื่อยและสูญเสียพลังไปมากกับศึกรักแต่เรื่องนี้เกี่ยวพันกับบ้านเมืองแม้ในใจนึกอยากกกกอดร่างนุ่มนิ่มของนางต่อ แต่ภาระของเขานั้นมิอาจให้ทำเฉกเช่นใจต้องการได้
“เหยียนเฟิงเจ้ารุดหน้ากลับเข้าวังหลวงไปก่อน และเรียกรวมทหารของเรารอข้าไว้ เมื่อกลับไปถึงต้องเร่งเดินทัพในทันทีด่านแดนเหนือสำคัญ อีกทั้งหากพวกเฮ่ยหลงตีฝ่าด้านหมู่บ้านเซี่ยหลิงไปได้ละก็เท่ากับมันต้องเข็ญข้าชาวบ้านทั้งจับไปเป็นตัวประกันแน่ เช่นนั้นหากเราเร่งเดินทางอาจจะทันที่ทหารที่ด่านเหนือจะรั้งต้านไว้ได้ เร็วเจ้าไปก่อน เร็วสิ!” เหยียนเฟิงลังเลจะถวายอารักขาแต่เมื่อท่านอ๋องสั่งเช่นนั้นจึงจำรับคำสั่งแล้วควบม้าเร่งกลับวังในทันที
จ้าวหยางเองก็ลุกขึ้นเร่งแต่งอาภรณ์อย่างลวก ๆ ก่อนจะก้มจุมพิตที่กระหม่อมซูเหยาหนัก ๆ เสียหลายครา จากไปในครานี้ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตรอดกลับมารึไม่
พวกเฮ่ยหลงนั้นทั้งโหดร้ายทั้งป่าเถื่อนแต่ไม่ว่าเช่นไรเขาก็จะต้องกลับมาพบนางให้จงได้ จ้าวหยางมองใบหน้าเล็กงดงามของซูเหยาด้วยสายตาสื่อความหมาย ก่อนจะค่อย ๆ สวมใส่เสื้อผ้าให้กับนางเมื่อเห็นว่าเรียบร้อยดีก็โอบอุ้มขึ้นแนบอกพาขึ้นม้าทะยานควบกลับเข้าเมืองหลวง โดยที่ตลอดทั้งการเดินทางกลับนั้นซูเหยาหลับลึกเสียจนมิรู้สึกกระมังว่าบัดนี้ตนนั้นถูกพาไปที่ใด
ท่าทางอ่อนปวกเปียกไร้เรี่ยวแรงของนาง ดวงตาหลับพริ้มใบหน้าไร้พิษสงน่ารักใคร่เสียจนจ้าวหยางอดใจมิไหวจนก้มลงจุมพิตไปเสียหลายคราในใจแกร่งยากจะอยากห่าง และเมื่อถึงจวนเสนาบดีหลินเขาได้อาศัยวิชาตัวเบาอุ้มนางกลับเข้าในเรือน วางนางนอนราบลงอย่างทะนุถนอมก่อนจะรีบเร้นกายหายไปอย่างรวดเร็ว โดยที่เยว่ถานที่นอนคอพับหลับอยู่ก็ยังมิอาจได้รู้ตัว
หลังจากดูถูกหยางจวิ้นอ๋องครานั้นซูเหยาก็ไม่คิดจะทำอีกเลย เขาพละกำลังล้นเหลือราวม้าศึกมิรู้จักเหน็ดเหนื่อยจนซูเหยาประจักษ์แจ้งแก่ใจนัก หลังจากวันนั้นนางก็ร่างกายอ่อนแรงนี่ก็เข้าเดือนที่สองแล้วกระมังที่นางมักเวียนศีรษะอยู่บ่อย ๆ อีกทั้งยังต้องเทียวไปมาระหว่างจวนตระกูลหลินกับตำหนักป่าไผ่ทำให้หลายวันมานี้นางถึงกับทนไม่ไหวเวียนศีรษะจนสำรอกออกมาเสียกลางทาง ทั้งร่างกายมิมีแรงไหนจะทั้งรู้สึกง่วงนอนอยู่ตลอดเวลาอีกเล่าแต่อาการเหล่านี้นั้นช่างน่าประหลาดยิ่งซูเหยาค้นพบว่าอาการนางจะทุเลาลงถึงขั้นหายไปเมื่อได้สูดดมกลิ่นกายของหยางจวิ้นอ๋อง ซึ่งน่าประหลาดนักทำให้หลัง ๆ มานี้จากที่เขาติดนางกลายเป็นนางที่ติดเขาแทนไปเสียแล้ว“ท่านอ๋อง”“ซูเหยาลุกขึ้นก่อนเถิดท่านหมอมาแล้ว” ซูเหยาฝืนอาการเวียนศีรษะหน้ามืดนางพยายามมองดูจ้าวหยางแต่กลับพบว่าบัดนี้มิได้มีเพียงหมอหลวง กลับมีญาติฝั่งนางมาครบอีกแม้กระทั่งพระชายาและท่านปู่ของเขาก็ยังมาด้วย นางเห็นเช่นนั้นก็พยายามลุกขึ้นเพื่อถวายความเคารพ แต่ก็ถูกผู้ใหญ่ทัดทานเอาไว้เสียก่อนเมื่อเห็นใบหน้านางซีดเผือดมิสู้ดีนัก“ซูเหยาเจ้าไม่ต้องลุก ๆ นอนลง ๆ เดี๋ยวให้หมอหลวงตรวจให
[จวนตระกูลหลิน]ซูเหยาบัดนี้รู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมากเมื่อบิดาเอาแต่จ้องตนแต่มิยอมพูดจา นางจึงได้แต่ก้มหน้าแล้วจับชายอาภรณ์พลิกไปพลิกมาแทนเมื่อเริ่มรู้ถึงสถานการณ์กดดัน และเป็นนางที่เป็นฝ่ายทนไม่ไหวต้องยอมเอ่ยปากกับผู้เป็นบิดาก่อน ส่วนท่านย่านั้นมิได้ถูกเชิญออกมากลัวว่าได้ยินเรื่องราวของนางแล้วเดี๋ยวเป็นการซ้ำเติมอาการเข้าไปใหญ่“ท่านพ่อ...”“เจ้ารู้ความผิดตัวเองรึไม่!” หลินเจียงเอ่ยด้วยใบหน้าเข้มน้ำเสียงราบเรียบจนซูเหยานึกขยาดเสียวสันหลังวาบดวงตาเริ่มแดงก่ำเจือด้วยหยาดน้ำวาววับ“ทะท่านพ่อลูกผิดไปแล้วเจ้าค่ะ ขะข้าทำให้ท่านต้องเสื่อมเสีย ละลูก”“นางมิผิด หากจะผิดล้วนเป็นข้าที่ผิด” จ้าวหยางที่นึกเป็นห่วงนางหลังพูดคุยกับมารดาเสร็จก็รีบควบม้าวิ่งทะยานตรงมาหานางที่จวนในทันที“ทะท่านอ๋อง” เสนาบดีเจียงลุกขึ้นทำความเคารพตามปกติแต่บรรยากาศโดยรอบนั้นกลับเต็มไปด้วยเมฆหมอกอึมครึม“ท่านหลินเป็นข้าทั้งนั้นที่ผิดเจ้าอย่าได้โทษนาง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนถูกล่อลวงจากข้าทั้งนั้น”“ไม่ใช่นะเจ้าคะท่านพ่อ มิใช่เช่นนั้นเป็นข้าเองที่ชอบท่านอ๋องมาก” ซูเหยาที่นึกกลัวผู้เป็นพ่อที่มีท่าทางเอาจริงเอาจังอย่างที่ไม
การที่องค์ชายรองประคองมารดาเดินมาชมบุปผาในอีกด้านนั้นก็พอดีกับเหล่าขุนนางที่ว่าราชการจบ ไท่จื่อเฟยจึงได้ถือโอกาสเชิญพวกเขามาดื่มชา ชมบุปผางามเพื่อผ่อนคลายจากงานราชกิจ โดยทุกอย่างนั้นล้วนถูกจ้าวหยางและมารดาจัดแจงความเป็นไปไว้เสียหมดสิ้น“ท่านแม่ ๆ ท่านแม่ว่าป่านนี้พี่สาวของข้านางจะเป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ หึ!”.”ก็คงนอนตายอยู่ใต้หน้าผาลึกแล้วกระมัง ฮ่า ๆ ช่างเถอะคนมันไม่มีวาสนาก็เหมือนแม่นางนั้นแหละ ชะตาอาภัพผู้ใดจะคิดกันเล่านังเด็กซูเหยานั้นออกจะเก่งกาจจะมาตายง่ายดายถึงเพียงนี้ หึ ๆ”“แต่ท่านแม่หากท่านพ่อรู้เล่าเจ้าคะ ท่านพ่อต้องถามหานางแน่ ๆ” ชิงเยว่เมื่อนึกถึงผู้เป็นพ่อขึ้นมาก็กลับเกิดหวาดกลัวขึ้นในใจ“พ่อเจ้าหนะรึโง่สิ้นดีหนะสิ ขนาดฮูหยินใหญ่นางตายเพียงข้าโกหกเพียงนิด บีบน้ำตาเสียหน่อยเขาก็คิดเสียแล้วว่าการตายของนางเป็นอุบัติเหตุ” ซูฉีที่นางมั่นใจเพียงนี้นั้นก็เพราะตระกูลนางกว้างขวางซ้ำร่ำรวยทำสิ่งใดจึงมิต้องได้เปลืองแรงมากนัก สองแม่ลูกพูดคุยกันเพลิดเพลินโดยหารู้ไม่ว่าบัดนี้คนที่อยู่นอกห้องนั้นได้ยินถ้อยคำพวกนางเสียหมดสิ้น“ซูฉี! หลินชิงเยว่! ” เสนาบดีหลินเดินออกมาอย่างเลื่อนลอยแต่ใ
“ท่านแม่ ๆ มีเทียบเชิญเข้าเฝ้าพระชายาเช่นนั้นรึเจ้าคะ” ชิงเยว่รีบวิ่งหน้าตั้งมาหาผู้เป็นมารดาที่เรือน หลายวันมานี้นางมิต้องสำรวมสิ่งใด ท่านย่าป่วย ท่านพ่ออยู่ว่าช่วยราชกิจฝ่าบาทในวัง อีกทั้งนังพี่สาวตัวดีหายสาบสูญ ดูเถิดคนในเรือนนางยังคิดว่านายหญิงพวกมันอยู่ที่ตำหนักป่าไผ่ หึ! เป็นซากศพเฝ้าหน้าผาลึกต่างหากเล่า ช่วยมิได้ใครใช้ให้เจ้ากล้ามาแย่งชิงความชอบขององค์ชายรองกับข้า“ใช่ ๆ เจ้าหนะหัดสำรวมเสียบ้าง ไม่เช่นนั้นเกิดผู้ใดทะเล่อทะล่าเข้ามาเห็นเข้าแล้วเอาไปพูดต่อละก็ไม่ดีแน่” ซูฉียิ้มปริ่มนึกปลาบปลื้มในใจที่เทียบเชิญเขียนชื่อชิงเยว่กับนางเพียงสองคน ไม่มีชื่อนังเด็กซูเหยา ใช่สิ! จะมีได้เช่นไรในเมื่อนางส่งมันไปหาแม่มันด้วยมือตนเอง หึ!“แม่นมอวิ๋นเร็วเข้าไปเตรียมรถม้าให้เร็ว ข้าจะพาลูกข้าไปซื้อหาอาภรณ์ใหม่เสียหน่อยเข้าวังครานี้จะน้อยหน้าสตรีอื่นได้เช่นไร”“เจ้าค่ะฮูหยิน”“ท่านแม่ดีที่สุด วันพรุ่งลูกต้องโดดเด่นกว่าใครในงานชมบุปผาให้ได้” ชิงเยว่ยิ้มอีกทั้งกอดแขนมารดาอย่างออดอ้อน[ตำหนักเทียนจื่อ]“ท่านอ๋องพระองค์อยู่นิ่ง ๆ เถิดเลิกกลั่นแกล้งข้าเพียงครู่ ข้าขอดูเหล่าบรรดาคุณหนูพวกนั้น
“แค่ก ๆ” เสียงไอแห้ง ๆ ติดกันเรียกความสนใจให้จ้าวหยางที่อ่านฎีกาต้องรีบวางมือและเข้ามาโอบประชิดร่างบางเข้าแนบอก พร้อมฝ่ามือใหญ่ที่ลูบตามตัวนางไปมาอย่างต้องการปลอบประโลม“ซูเหยาเป็นเช่นไร ยังเจ็บส่วนใดอยู่รึไม่ ข้าขอโทษ ๆ ข้าไม่น่าเอาแต่ใจนัดเจ้าออกมาวันนี้เลยจริง ๆ ข้าขอโทษ หากว่าข้าไปช่วยไว้ไม่ทันป่านนี้ ๆ เกรงว่าข้าคงจะเสียเจ้าไปแล้ว” จ้าวหยางพูดทั้งหมดความที่มีอยู่ในใจเสียหมดสิ้นจนทำให้ซูเหยาที่ถูกกดศีรษะให้แนบชิดฝังแน่นกับอกแกร่งต้องลอบยิ้มกับแผ่นอกกว้างทั้งน้ำตา พร้อมกับมือบางที่ค่อย ๆ ยกขึ้นทำทีคล้ายจะกอดตอบ นางชั่งใจอยู่เพียงครู่ก่อนจะตัดสินใจโอบกอดร่างหนาไว้เฉกเช่นกัน“ซูเหยา” จ้าวหยางที่รับรู้ว่านางกอดตอบตนมาเช่นนั้นก็เผยยิ้มดีใจ ทั้งสองตกอยู่ในห้วงภวังค์ของกันและกันมีเพียงเสียงลมหายใจระหว่างกันให้ได้ยิน ซ้ำไร้การเอื้อยเอ่ยบทสนทนาใด ๆ ออกมาใช้เพียงใจและกายสื่อความรู้สึกถึงกันและกัน“องค์ชาย...อะเอ่อคือกระหม่อม คือกระหม่อมว่าควรออกไปดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ” เหยียนเฟิงที่บังเอิญเข้ามาถูกจังหวะก็รีบหันตัวกลับแทบจะในทันที ก่อนจะเอ่ยเสียงตะกุกตะกักจนจ้าวหยางเอ่ยออกคำสั่งให้รายงานได้จึงได้
หลังจากวันนั้นซูเหยาก็รู้สึกหายใจโล่งนักที่หยางจวิ้นอ๋องมิได้มาตามตื้อก่อกวนนาง แต่นั้นเพียงกลางวันกลางคืนเล่าท่านอ๋องกลับทำตัวเป็นโจร บุปผาลอบเข้าออกเรือนนางราวเรือนตน ทั้งที่นางจ้างคนมาเฝ้าเรือนนางมากขึ้นแต่นั่นก็มิได้เป็นอุปสรรค ทั้งนางข่มขู่ก็แล้ว ต่อว่าก็แล้ว นางใช้สารพัดวิธีแต่ก็มิอาจขัดขวางเขาได้ และเหตุผลที่ให้แก่นางคือ ทำลูกและวันนี้เป็นอีกวันที่นางถูกเขาเชิญให้ไปตำหนักป่าไผ่เหตุผลแกมข่มขู่คือให้หมอหลวงตรวจชีพจรว่านางนั้นท้องแล้วรึไม่ และเป็นนางเองที่เริ่มคิดแล้วว่าสรุปเป็นผู้ใดกันแน่ที่อยากมีลูกเขานั้นดูจริงจังกว่านางมากนัก ซ้ำยังน่าไม่อายกลับกางตำรากามสูตรบ้าบอนั่นให้นางดูถึงท่วงท่าทำรักที่ว่าท่าใดได้บุตรชายท่าใดได้บุตรสาวอีกทั้งให้นางเลือก องค์ชายรองผู้นี้เดิมทีสุขุมเยือกเย็นมาบัดนี้นางกลับค้นพบอีกตัวตนหนึ่งของเขาเข้าเสียอย่างนั้น“คนหน้าไม่อายชิ!” ซูเหยาที่เดินทางมาเพียงลำพังโดยเข้าใจว่าขึ้นรถม้าที่นางขึ้นนั่งนั้นเป็นของตำหนักป่าไผ่ส่งมารับ จึงได้แต่บ่นต่อว่าหยางจวิ้นอ๋องกับลมกับฟ้าโดยหารู้ไม่ว่ารถม้าที่ตนนั่งมานั้นหาใช่ของตำหนักป่าไผ่ไม่“ท่านแม่จะได้ผลแน