หมออัยเน่หรือนายแพทย์อัยเน่ วานิชศิริ อายุ 34 ปีมีอาชีพเป็นหมอผ่าตัดศัลยแพทย์อันดับต้น ๆ ของประเทศตั้งแต่อายุยังน้อย พร้อมพ่วงมาด้วยตำแหน่งคุณพ่อมือใหม่ ที่ไม่เคยรู้สึกยินดีกับภรรยาคนนี้ตั้งแต่จดทะเบียนจนกระทั้งเธอตั้งท้องลูกของเขา คนภายนอกที่มองเข้ามาต่างก็บอกว่าอิจฉาภรรยาของเขามิหนำซ้ำยังมองว่าเธอไม่คู่ควรที่ได้สามีเป็นถึงอาจารย์หมอสุดหล่อ ทว่าที่เขายอมมีอะไรกับเธอก็เพื่อให้แม่ของเขาสบายใจและเลิกยุ่งเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของเขาก็เท่านั้น ขณะที่เขากำลังนั่งเดิมอยู่ในผับแห่งหนึ่งกับเพื่อนสนิทอย่างวาฬเห็นว่าเขาไม่มีทีท่าว่าจะกลับบ้านจึงถามออกไปด้วยความเป็นห่วงว่า
“มึงไม่รีบกลับบ้านไปหาลูกหาเมียมึงเหรอไอ้หมอ” เขาหันไปมองค้อนเพื่อนด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะถอนหายใจแรง ๆ และพูดตอกหน้าวาฬไปว่า “มึงอย่าเอ่ยถึงได้ไหม ฟังแล้วเสียบรรยากาศ” “เชี่ย! แรงไปหรือเปล่าวะไอ้หมอเน่กูพูดแค่นี้ มึงจะอารมณ์เสียอะไรขนาดนั้น ถ้าน้องเขามาได้ยินน้องเขาจะเสียใจนะเว้ย” “เลิกพูดถึงได้ยัง!..ต่อหน้าเธอกูพูดหนักกว่านี้อีก มึงไม่ต้องพูดมากเลยไอ้วาฬรีบ ๆ แดกเป็นเพื่อนกูเลยมา ๆ ” “อืม ๆ ชนก็ชน” ขณะที่สองหนุ่มนั่งดื่มอยู่กันอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีสาวสวยผมยาว หุ่นแซ่บเดินสับเข้ามาหาที่โต๊ะทั้งคู่พร้อมกับส่งสายตาเย้ายวนให้กับเขา “อุ้ย!..สวัสดีค่ะพี่หมอเน่ พี่วาฬ วันนี้พี่หมอสามไม่มาด้วยเหรอคะ” เขาหันไปสบตากับเธอก่อนจะส่งรอยยิ้มหวานให้เธอไป ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นให้กับสาวสวย “พอดีวันนี้หมอสามติดเวรครับ เหลือแค่หมอเน่คนเดียวพอจะแทนได้ไหมครับ” “วันนี้นมนัว โดนเพื่อนเท กะว่าจะมานั่งชิว ๆ ระบายความเครียดสักหน่อย พี่หมอเน่จะรังเกรียจไหมคะถ้านมนัวจะขอนั่งด้วยคน” เขามองเด็กสาวตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะเม้มปากหนาพร้อมกับส่งสายตาที่พร้อมจะกลืนกินเธอไปทั้งตัว เขากระตุกยิ้มที่มุมปากและตบโซฟาเบา ๆ ให้เธอมานั่งข้าง ๆ เขา “ มาสิคะ มานั่งข้างพี่มา” “ไอ้หมอเน่มึง!” พอเด็กสาวมานั่งข้างเขา เขารินเหล้าเพียว ๆ ก่อนที่เขายกแก้วเหล้ามาดื่มรวดเดียวจากนั้นเขาก็หันไปมองหน้าน้องนมนัวก่อนจะโน้มตัว ใช้ริมฝีปากหนาประกบปากริมฝีปากบางเพื่อถ่ายของเลวให้กันและกันโดยไม่แคร์สายตาใคร จนวาฬที่เหลืออดก็สบถออกมาเพราะรู้สึกไม่ดีที่เห็นว่าเขายังคงไม่เปลี่ยนนิสัยเพราะสถานะของเขามันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว..แต่วาฬที่รู้สถานะว่าตัวเองเป็นแค่คนนอกจึงทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ส่ายหน้าด้วยความเอือมระอา บ้านหมออัยเน่ คนโปรดหรืออีกตำแหน่งคือภรรยาของหมออัยเน่ เธอมีอายุเพียงแค่ 20 ปีเป็นนักศึกษาปี 3 ที่ตอนนี้ต้องดรอปเรียนเพราะเธอกำลังตั้งท้องลูกของหมออัยเน่ ขณะที่เธอกำลังทำกับข้าวให้คุณหมอสามีของเธออยู่นั้นก็มีสายเรียกเข้าซึ่งเป็นชื่อเพื่อนสนิทของเธอ เธอจึงรีบกดรับสาย “จ้ะดรีม” “แกเห็นรูปที่ฉันส่งให้แกดูหรือยังคนโปรด” “อืม เห็นแล้ว” “เห็นแล้ว?..แล้วยังไง แกจะปล่อยพี่หมอเน่เป็นแบบนี้เหรอ แกไม่หึงไม่หวงไม่คิดที่จะทวงสิทธิ์เมียหลวงบ้างเลยหรือไงกัน” ขณะที่ดรีมเพื่อนสนิทโกรธเป็นฟื่นเป็นไฟ เธอกลับมีน้ำเสียงสดใสราวกับว่าเธอชินชา จนดรีมรู้สึกโมโหเธอขึ้นมาแทน “ฉันคงให้ความสุขกับพี่เขาไม่ได้มั่งดรีม แกก็รู้หนิว่าฉันท้อง” “ท้องแล้วยังไง ยิ่งแกท้อง พี่หมอเน่เขาก็ยิ่งไม่มีสิทธิมาทำแบบนี้กับแกไหมอ่าคนโปรด แกเป็นแบบนี้สักวันแกจะเสียพี่หมอเน่ไปนะเว้ย แกไม่เจ็บบ้างเลยหรือไง” “เจ็บสิทำไมฉันจะไม่เจ็บ แต่ฉันรักพี่หมอและฉันก็เป็นคนเลือกเอง ฉันทนได้ดรีม” “เฮ้ออ..ตามใจแกแล้วกันนะ แต่ถ้าไม่ไหวเมื่อไรแกออกมาจากจุดนั้นได้นะ แล้วพรุ่งนี้แกทำขนมขายไหมเนี่ย” ดรีมรู้ดีว่าต่อให้พูดอะไรไป คนโปรดก็ยังคงหนักแน่นในสิ่งที่เธอเลือก ดรีมจึงลือกเปลี่ยนเรื่องคุยแทน “ ทำจ้ะ พรุ้งนี้มีออเดอร์ตอนเย็นที่จะต้องไปส่งที่งานเลี้ยงนะ ฉันขอบใจนะดรีมที่แกเคารพการตัดสินใจของฉัน แกเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดแถมยังเป็นเพื่อนคนเดียวที่ฉันมีด้วย ฉัเนรักแกนะ” “จ้า..รักเหมือนกันนะคะคิดถึงด้วย มีอะไรก็โทรหาฉันนะไม่ต้องเกรงใจ กูดไนท์จ้ะ” “จ้ะ” ติ้ด หลังจากวางสายจากดรีมไปเธอก็ลูบหน้าท้องที่นูนขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มและคุยกับลูกน้อยที่อยู่ในครรภ์ “เมื่อไรนะพ่อหนูเขาจะยอมรับแม่สักที แม่แค่อยากดูแลทำให้พ่อของหนูมีความสุขและอยากได้หัวใจของพ่อเขาก็เท่านั้นเอง” เธอพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือก่อนจะย้อนคิดถึงคำพูดของเขาเมื่อก่อนได้ดี “นี้จะเป็นคำขอเดียวที่ฉันจะให้เธอ แต่จำไว้อย่างหนึ่งว่าพี่ไม่เคยรักเธอ..คนโปรด” ประโยคนี้เธอไม่เคยลืมเพราะเธอรู้ว่าเขาไม่เคยรักเธอเลยสักครั้งต่างจากเธอที่ตกหลุมรักตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอเขา เธอได้แต่หวังว่าความดีและความรักสักวันเขาอาจจะเห็นคุณค่าของมัน แม้ว่าคนรอบข้างจะไม่มีใครสนับสนุนกับความคิดนี้เท่าไรก็ตาม แต่ความดื้อรั้นและความเชื่อมั่นของเธอที่หวังว่าลูกจะเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาให้กลายเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบอย่างที่เธอใฝ่ฝันยิ่งเขาห้าม น้ำตาเธอก็ไหลออกมาจนเขาโผล่เข้าไปกอดเธอ เพื่อปลอบใจพลางคิดว่าเขาทำอะไรผิดร้ายแรงต่อเธอหรือเปล่าพอคิดแบบนั้นเขาเองก็รู้สึกเจ็บหัวใจขึ้นมา เธอปาดน้ำตาก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “หนูอยากมั่นใจในตัวพี่หมอกว่านี้อีกหน่อยได้ไหมคะ หนูแค่อยากลองสัมผัสกับความรักที่ค่อย ๆ พัฒนาความสัมพันธ์ ไม่ใช่การเริ่มต้นความที่รวบรัดเหมือนเมื่อก่อน” “แน่นอนค่ะ ขอแค่คนคนนั้นเป็นพี่ พี่ก็จะให้หนูได้สัมผัสความรักเต็มที่ไปเลยค่ะ” เขาลูบหัวเธอเบา ๆ ก่อนจะจับมือเธอสอดเข้าไปข้างในเสื้อเพื่อให้เธอได้สัมผัสกับหน้าท้องแกร่งของตัวเอง จนเธอต้องชักมือออกจากเสื้อของเขาก่อนจะถลึงตาใส่เขาก่อนจะกลั้นขำ “พี่หมอ!” “จะว่าไปพี่มีความลับอีกอย่างที่ยังไม่ได้บอกหนูเลยนะ คือพี่..ชอบรสชาติบนเตียงของหนูทุกครั้งพี่แทบจะคลั่งอยู่แล้วนะคะ รู้ไหมว่าที่พี่ไม่ยอมกลับบ้านพี่ต้องพยายามที่จะข่มอารมณ์ความต้องการของตัวเองเพื่อแกล้งทำเป็นไม่สนใจหนู พอเอาเข้าจริงมันไม่ง่ายเลยนะคะ” เขาโน้มใบหน้าเขามาใกล้ ๆ ต้นคอก่อนจะลากสันจมูกโด่งมาที่ติ่งหูลมหายใจที่ร้อนผ่าวและน้ำเสียงกระเส่าของเขามันก็ยิ่งทำให้เธอขน
สันจมูกโด่งถูไถกับปลายจมูกของเธออย่างหยอกเย้าเขาพูดด้วยน้ำเสียงกระเซ่าทำเอาเธอขนลุกซู่รู้สึกหัวใจวาบหวิวตื่นเต้นขึ้นมาจนเขาจับได้ นิ้วเรียวยามจึงสอดนิ้วเข้าไปในเสื้อคลุมสัมผัสกับผิวเนียนลูบไลไปทั่วแผ่นหลังของเธอ จนเธอกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากลมหายใจของทั้งคู่ก็เริ่มติดขัดหายใจแรงและถี่ขึ้นเรื่อย ๆ “น้องโปรดให้โอกาสพี่ได้ไหมครับ พี่รักหนูนะ” เธอรู้สึกเขินจนเลือกที่จะไม่ตอบเอาแต่กับเอาแต่ก้มหน้าจนเขาเชยคางเธอขึ้นมาก่อนที่ทั้งคู่จะสบตากันแววตาที่ดูอ่อนโยนของเธอทำให้เขาฉีกยิ้มก่อนจะโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ ๆ ริมฝีปากหนาประกบริมฝีปากบางซึ่งการขบเม้มของเขาเต็มไปด้วยความรุนแรงและความปรารถนา ริมฝีปากของเขาขบริมฝีปากของเธออย่างแนบแน่นขณะที่ลิ้นสากสัมผัสกับลิ้นของเธออย่างโหยหาทั้งคู่ค่อย ๆ เพิ่มระดับความร้อนแรงมากขึ้น ทันใดนั้นเสียงเรียกลูกชายก็ดังขึ้นขัดจังหวะทั้งคู่ อาจ้า..จ้ะ “ทะเล/ทะเล” ทั้งคู่ผละออกจากกันก่อนที่เขาจะใช้นิ้วโป้งเช็ดน้ำลายข้างริมฝีปากบาง จนเธอก้มหน้าด้วยความเขินอายและไม่กล้าสบตากับเขา เขาจึงจับมือเธอเดินไปหาลูกชายและแม่ของเขา “หนูโปรดเปลี่ยนใจยังทันนะลูก ผู้ชายไม่ได
“มองน้องขนาดนี้ ระวังตาจะบอดนะอัยเน่” เขาหลุดหัวเราะก่อนจะส่งยิ้มและตอบผู้เป็นแม่โดยที่ตายังคงจ้องมองไปที่เธอ ที่วันนี้สวมชุดทูพีช สีน้ำตาลเข้มโดยที่เสื้อคลุมซีทูสีขาวบาง ๆ คลุมไว้อีกชั้นแต่นั่นมันก็ทำให้เขาคลั่งเธอจะตายอยู่แล้ว “สวยขนาดนี้ก็ต้องมองสิครับแม่” “จ้ะ ตอนมีไม่เห็นค่า แม่นี่สมน้ำหน้าลูกจริง ๆ นะอัยเน่” “แม่..” กรี๊ดดด “อร้ายยย…ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย” “เสียงใครคะเหมือนจะขอความช่วยเหลือเลยค่ะ” พวกเขาที่ได้ยินต่างก็ชะเง้อมองไปทางต้นเสียงว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งเสียงโว้ยวายกรีดร้องที่ห้องพักหลังหนึ่งก็ยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกไม่สบายใจเท่าไรนัก “พวกลูกเดินไปดูหน่อย เพื่อลูก ๆ จะช่วยอะไรพวกเขาได้ เดี๋ยวแม่ดูทะเลให้เอง” “งั้นแม่พาทะเลเข้าไปในบ้านพักก่อนนะครับ” แม่พยักหน้าและอุ้มหลานเข้าไปในบ้านพัก ทั้งสองคนก็มองหน้ากันก่อนที่เธอจะเดินจับมือเขาเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น “เราไปดูกันเถอะค่ะ” เขาที่เห็นว่าเธอเดินจับมือใจก็เต้นถี่รัว ๆ ก่อนจะเดินไปทางต้นเสียง ซึ่งพอเขาเห็นภาพว่ามีผู้ใหญ่หลายคนยืนล้อมวงรอบตัวเด็กผู้หญิงอายุประมาณ 4 ขวบนอนแน่นิ่ง หน้าเริ่มถอดสีดูซีดเซียว
“เสียงอะไร..ดึกดื่นขนาดนี้แล้วใครทำอะไรอยู่อีกนะ” เธอที่นอนไม่หลับเพราะได้ยินเสียงด้านนอกเหมือนมีใครทำอะไรอยู่บางอย่าง ด้วยความหงุดหงิดและอยากรู้เธอจึงแอบไปเปิดม่านส่องหน้าต่างมองดูซึ่งภาพที่เห็นคือเขากำลังว่ายน้ำอยู่ที่สระ เธอจึงพึมพำออกมาก “เกิดคึกอะไรของพี่เนี่ย! มันจะห้าทุ่มแล้วยังไปว่ายน้ำตากหมอกอีก” หลังจากนั้นเธอก็เดินกลับไปนอนที่เตียงนอนก่อนจะถอนหายใจพลิกตัวไปมาเพราะเป็นห่วงกลัวว่าเขาจะป่วย จนสุดท้ายเธอก็อดไม่ได้จึงเดินไปหาเขาที่สระว่ายน้ำ ตึก ตึก “พี่อัยเน่!” “อ้าว..หนูยังไม่นอนอีกเหรอคะ” เขากระตุกยิ้มที่มุมปากก่อนแกล้งทำเป็นเพิ่งเห็นเธอ ซึ่งเธอก็ยืดกอดอกทำหน้าหงุดหงิดใส่เขา “รีบขึ้นมาได้แล้วค่ะ พี่จะมาว่ายน้ำอะไรตอนนี้คะ” “พี่แค่เหนื่อย ๆ น่ะอยากผ่อนคลาย ขอว่ายต่ออีกหน่อยไม่ได้เหรอคะหรือว่าพี่เสียงดังจนไปรบกวนหนู” “แต่พี่ว่ายมาเกือบยี่สิบนาทีแล้วนะคะ เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอกขึ้นมาได้แล้วค่ะ” เขาว่ายน้ำมาฝั่งเธอก่อนจะใช้คางเกยขอบสระ และยิ้มแป้นทำตาละห้อย ส่วนเธอก็เปลี่ยนท่ามาเป็นยืนเท้าสะเอว “จะขึ้นหรือไม่ขึ้นคะ!” “ขึ้นครับ พี่ขอผ้าขนหนูหน่อยได้ไหมครับ”
พอเขาพูดจบเขาก็ประคองใบหน้าก่อนจูบเธอปากเธออย่างคนโหยหารสชาติจูบที่แสนหอมหวาน เธอที่ยังหงุดหงิดและย้อนคิดถึงอดีตอยู่ก็ไม่ทันตั้งตัวเมื่อถูกลิ้นสากซุกซนสำรวจโพรงปาก รสชาติที่น่าหลงใหลนี้แม้เธอเองจะรู้สึกดีไม่ต่างจากเขาแต่เธอก็พยายามข่มความต้องการของตัวเองและคิดว่าสถานที่มันไม่เหมาะสมและเขาก็ไม่ควรทำอะไรในที่แบบนี้เธอจึงออกแรงผลักอกแกร่งของเขาอย่างแรง จนเขายอมถอนจูบและมองหน้าเธอด้วยความรู้สึกเสียดายแต่ก็ไม่อยากบังคับเธอไปมากกว่านี้ “อย่าทำแบบนี้ค่ะ คนโปรดไม่ชอบ!” “ทำไมรสชาติจูบของพี่มันสู้ไอ้อาจารย์นั่นไม่ได้เลยเหรอ” “พี่อัยเน่พอเถอะค่ะ คนโปรดจะไปหาลูกแล้วเรื่องนี้เอาไว้ค่อยคุยกันนะคะ” “คนโปรด!” เขาจับมือเธอไว้ ก่อนที่เธอจะสะบัดมือและเดินกลับไปที่โต๊ะ ซึ่งเขาขยี้ผมตัวเองก่อนจะถอนหายใจด้วยความท้อใจและเดินตามเธอไปติด ๆ ก่อนที่ทั้งคู่จะนั่งตรงข้ามกัน แม่สังเกตเห็นว่าสีหน้าของเธอไม่ค่อยดีเท่าไรจึงถามเข้าด้วยน้ำเสียงที่เข้ม “ตาอัยเน่ไปตามน้องถึงไหนทำไมนานจัง อาหารมาเสิร์ฟจนจะเย็นหมดแล้ว รีบมานั่งทานข้าวกันเถอะ” เขาเหลือบมองเธอก่อนจะตอบแม่กลับไป ซึ่งแม่เขามองดูสีหน้าของทั้งคู่
(มารหัวใจกูจริง ๆ นะมึง) หลังจากที่เขาวางสายวิทย์ไปแล้วนั้นเขาก็เหมือนคิดอะไรได้ จึงหยิบมือถือตัวเองมาขึ้นมาถ่ายรูปแม่ลูก ก่อนจะเซลฟี่ตัวเองพร้อมคนโปรดและทะเล เข้าโน้มตัวเข้าไปนอนใกล้ ๆ เธอ ก่อนที่ใบหน้าของทั้งสองคนจะแนบชิดกันมาก ๆ เขาฟังเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอของเธอจากนั้นก็เอาใบหน้าเข้าไปแนบชิดแก้มเนียน ก่อนจะถ่ายรูปเก็บไว้และขยับมานอนอีกฝั่งโดยให้ทะเลเป็นคนนอนกลาง แต่มือหนาก็โอบกอดเอื้อมมาจับมือของเธอก่อนจะเผลอหลับไป คนโปรด เธอลืมตาขึ้นมามองเขาขณะที่กำลังหลับอยู่ ซึ่งทุกการกระทำของเขาเธอรู้สึกตัวตั้งแต่ที่เขาห่มผ้าให้เธอแล้ว แม้ว่าภายในใจเธอจะรู้สึกมีความสุขที่เขาดูแลเธอและลูกอย่างที่เธอเคยใฝ่ฝัน แต่ตั้งแต่วันที่ลูกของเธอได้ลืมตาดูโลกความคิดของเธอมันก็ได้เปลี่ยนแปลงไป “ไม่นะ ไม่ พี่หมอไม่มีสิทธิ์อะไรในตัวหนูกับลูกทั้งนั้น” “เอาลูกมาหนูมา เอามา!” “คนโปรด คนโปรด” หืออ เธอสะดุ้งตื่นจากฝันร้ายก็รีบมองไปรอบ ๆ เพื่อที่จะหาลูกชายของเธอก่อนจะจับแขนเขาเขย่า “ทะเลอยู่ไหนคะพี่อัยเน่” “แม่เพิ่งพาทะเลออกไปรับลมเมื่อกี้ครับ หนูฝันร้ายเหรอ” เธอยังคงหายใจอย่างเหนื่อยหอบ เหง