“อีกนานเลยกว่าจะหาย”
คิริวไม่สนใจเสียงของเธอเลย เขากำลังสำรวจบาดแผลที่มุมปากของเธอ แผลใหญ่ไม่เบา ต้องตบแรงขนาดไหนพราวนภาถึงได้ปากแตกขนาดนี้ แล้วทะเลาะอะไรกัน ถึงต้องลงไม้ลงมือกับลูก “เดี๋ยวก็หาย แต่เสียดาย อดกินชาบูเลย” พราวนภาเลือกเก็บความไม่สบายใจเรื่องผู้หญิงคนนั้นไว้ จะผิดอะไรถ้าเขาจะคบกับเด็กคนนั้น เธอกับเขาแค่แอบเผลอมีอะไรกัน ยังไม่ได้ตกลงเป็นอะไรกันเลย เธอย่อมไม่มีสิทธิ์อะไรในตัวเขาอยู่แล้ว “ปากแตกแบบนี้กินไม่ได้หรอก ไปกินอย่างอื่นไหม?” คิริวออกเดินนำโดยมีพราวนภาเดินตาม เขารู้ว่าเธอพยายามทำให้ทุกอย่างเป็นเหมือนเดิม ทำราวกับไม่มีเรื่องในคืนนั้นเกิดขึ้น เขาเองก็เช่นกัน ถ้าพราวไม่ต้องการให้รับผิดชอบ เขาก็ไม่มีสิทธิ์อะไรทั้งนั้น “เดี๋ยวไวท์งอน” พราวนภาเดินนำกลับไปที่ร้านชาบู ไม่อยากทำให้ใครเข้าใจผิดทั้งนั้น จึงเลือกเดินกลับมานั่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่งฝืนทนกินหมูสไลด์แบบไม่จิ้มน้ำจิ้ม ก็อร่อยแหละ อร่อยแบบจืดๆ หนึ่งชั่วโมงต่อมา “กินเสร็จแล้วจะไปไหนกันต่อ?” พราวนภาถามทุกคน เมื่อเห็นว่าบนโต๊ะอาหารเริ่มไม่มีอะไรอยู่ในจานแล้ว เด็กพวกนี้กินเก่งชะมัด เวลาหนึ่งชั่วโมงของทุกอย่างหมดเกลี้ยง นี่ขนาดสั่งมารอบที่สองนะ ของที่มีอยู่บนโต๊ะจะหมดอีกแล้วอะ “วินคงกลับหอแหละ อ้อมกับโซลล่ะ?” วินณภัทรเป็นคนตอบคำถาม เพราะตอนนี้มีเขาคนเดียวที่สู้หน้าพี่พราวได้ คนอื่นๆกลัวจนตัวหดหมดแล้ว เพราะรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมา “อ้อมจะไปซื้อของกับโซล ริวก็จะไปใช่ไหม?” “ไม่อะ ง่วงแล้ว” “แต่ริวรับปากอ้อมแล้วนะ” คนที่พยายามทำตัวเป็นแม่สื่อให้เพื่อนเบ้หน้าใส่ญาติตัวเอง ทุกอย่างที่ทำอยู่ในสายตาพราวนภาตลอด คงอยากให้คิริวกับผู้หญิงคนนั้นคบกันสินะ “ไปกับไอ้วินดิ” “ก็วินไม่ว่าง!” “ไปกันเองเหอะ ง่วงอะ เข้าใจไหม” คิริวพูดเสียงดุ กุมมือคนที่นั่งอยู่ข้างๆไว้แน่น ไม่ยอมให้เธอดึงหนี แม้จะโดนมืออีกข้างของเธอเลื่อนมาหยิกที่หลังมือจนเจ็บ เขาก็ไม่ปล่อย “งั้นแยกย้ายกันตรงนี้เลยนะ ไวท์เราไปดูหนังกันต่อเนอะ” หลังจากที่มือเป็นอิสระ เพราะเธอเปลี่ยนจากหยิกหลังมือ ไปหยิกต้นขาของคิริวแทน ก็รีบเอ่ยชวนไวท์หนี เดี๋ยวโดนคิริวเอาคืนมันจะยุ่ง “งั้นพวกเราลานะคะพี่พราว” “จ้า กลับบ้านดีๆนะ” พราวนภาโบกมือให้อ้อมดาวกับโซเฟียนิดๆ มองสองสาวเดินหายออกไปจากร้าน ก่อนจะลุกขึ้นบ้าง เพราะถึงเวลาที่เธอต้องหนีจริงๆแล้ว “นั่งลง!” “ไม่!” “นั่งลงพราว ไหนบอกว่าจะเลี้ยง อย่ามาเนียน” คิริวออกคำสั่งเสียงแข็ง วินณภัทรนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ไม่ต่างจากวรเชษฐ์น้องชาย ทั้งสองคนรู้ว่าคิริวรู้สึกยังไงกับพี่สาว มีแต่เจ้าตัวเท่านั้นแหละที่ไม่รู้ “ก็จะเดินไปจ่ายนี่ไง” “นั่งเถอะพราว พราวยังไม่ได้กินอะไรเลย” วินณภัทรพูดยิ้มๆ ยกมือเรียกบริกรมาอีกครั้ง แล้วเลือกสั่งอาหารมาอีกหลายอย่าง เลือกแบบที่ไม่เผ็ดมาด้วย เพราะสังเกตเห็นว่าพี่สาวไม่แตะอะไรเผ็ดๆเลย “ไวท์ก็ยังไม่อิ่ม” บรรยากาศตึงๆเมื่อครู่เปลี่ยนไปทันที เมื่อไม่มีสองสาว ทั้งสามหนุ่มพยายามเอาอกเอาใจพราวนภา ด้วยการบริการเธอทุกอย่าง เธอไม่ต้องทำอะไรเลย มีหน้าที่เพียงแค่เคี้ยวอย่างเดียว ส่วนหน้าที่ป้อนนั้นเป็นของคิริว “ขอบคุณ” พราวนภาก้มหน้าลงซ่อนน้ำตา เธอปิดเด็กพวกนี้ไม่ได้เลยสักครั้ง ทุกครั้งที่เธอไม่สบายใจทั้งสามคนจะดูออกเสมอ สิ่งที่เด็กพวกนี้ทำ เธอยอมรับเลยว่าสามารถทำให้เธอลืมเรื่องที่พ่อทำไว้เกือบหมด “ถ้าวินเรียนจบแล้ว ออกมาอยู่กับวินไหม วินกำลังเก็บเงินนะพราว” วินณภัทรถามคนที่ก้มหน้าร้องไห้ พราวนภามีเรื่องบ่อยก็จริง แต่ไม่เคยมีใครทำร้ายร่างกายเธอได้สักคน มีแต่เธอทำคนอื่นซะส่วนใหญ่ มีเพียงคนเดียวที่พราวนภาไม่กล้าทำอะไร นั่นก็คืออรรถพร พ่อของเธอ เจ้าของรอยมือจางๆบนแก้มซ้ายและรอยช้ำที่มุมปากของเธอ “ไวท์เองก็จะตั้งใจเรียนให้มากกว่านี้ พราวไม่ต้องห่วงนะ จะไปอยู่ข้างนอกก็ได้ ไวท์ไม่เป็นไรหรอก” ที่ไหนที่พี่สาวอยู่แล้วมีความสุข เขาอยากให้เธออยู่ที่นั่น แต่เพราะพี่พราวขี้ห่วง คงกลัวว่าพ่อจะเอาทุกอย่างมาลงที่เขา “แค่นี้ก็เรียนหนักพอแล้วไวท์ ส่วนวินไม่ต้องไปที่ไหนหรอก พ่อกับน้าวิก็ไม่ได้แย่อะไร พี่ผิดเองที่สร้างเรื่องขึ้นมา” จริงๆแล้วมีแค่เธอนั่นแหละที่สร้างปัญหา วินกับไวท์เป็นลูกรักของพ่อกับน้าวิ ส่วนเธอก็เคยเป็น แต่ตอนนี้ไม่ได้เป็นแล้ว “ทะเลาะกันเพราะเรื่องนั้นเหรอ” คนที่รู้เรื่องดีที่สุดถามเสียงเครียด คิดไว้แล้วว่าอินทิราคงเอาเรื่องไปฟ้องพ่อของเธอ แต่ไม่คิดว่าจะฟ้องทันทีแบบนี้ คงจะกดดันพ่อของพราวนภาอย่างหนัก ไม่งั้นลุงอรรถคงไม่กล้าลงไม้ลงมือกับพี่พราวขนาดนี้หรอก “ช่างเถอะ เดี๋ยวก็ผ่านไปแล้ว ไปดูหนังต่อไหม ไม่อยากกลับไปบ้านตอนนี้เลย” “อืม /ไปสิ” สามเสียงพูดขึ้นอย่างพร้อมเพรียง นั่งกินต่ออีกสักพักก็เรียกพนักงานมาคิดเงิน คิริวรับหน้าที่จ่ายทั้งหมด โดยมีเสียงพราวนภาบ่นอยู่ตลอด และเขารับหน้าที่จ่ายค่าตั๋วหนังอีกครั้ง นั่นยิ่งทำให้คนขี้บ่น บ่นหนักเข้าไปอีก แต่เสียงบ่นก็มีอยู่แค่ช่วงที่รอหนังฉายเท่านั้น หลังจากเข้าไปนั่งในโรงหนัง พราวนภาก็เงียบสนิท คิริวปล่อยให้คนข้างๆนอนพิงไหล่เงียบๆ ที่บอกว่ามาดูหนังนี่ไม่ใช่นะ มาหลับให้หนังดูตัวเอง 20:45 น. หนังที่มีความยาวเกือบสามชั่วโมงจบลงไปแล้ว แต่คนที่หลับตั้งแต่หนังเริ่มฉายยังไม่มีวี่แววว่าจะตื่นเลย สามหนุ่มคุยกันผ่านทางสายตา โดยวินเปิดไฟเขียวให้เพื่อนสนิทเป็นคนแบกพี่สาวนอกสายเลือดออกไปจากโรงหนัง คิริวนั่งย่องๆหันหลังชิดเก้าอี้บุหนัง รวบสองขาเรียวยาวเกี่ยวไว้ที่เอวของตัวเอง ปล่อยหน้าที่พยุงตัวพี่พราวเป็นของวินกับไวท์ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยก็ลุกขึ้นเดินด้วยท่าทางสบายๆ ปล่อยให้สองหนุ่มยืนปาดเหงื่อออกจากหน้า เพาะน้ำหนักตัวของพี่สาว ความรักชนะทุกอย่างจริงๆ! พี่พราวตัวหนักขนาดนั้น ริวแม่งเดินหน้าตาเฉยมาก แต่ก็อย่างว่าคิริวตัวสูงกว่าพวกเขาเยอะ และเรี่ยวแรงก็มีเยอะกว่า พี่พราวตัวหนักแค่ไหนมันก็คงแบกได้หมดแหละ“พี่ไม่ได้ตั้งใจ” “ตั้งใจหรือเปล่า ตอนนี้ไม่รู้ด้วยแล้ว” มือหนาดึงใบหน้าสวยให้หันกลับมานิดหน่อยเพื่อรับจูบจากเขา ตอนนี้เธอจะรู้สึกยังไงก็ช่าง เขาไม่สามารถยับยั้งชั่งใจได้อีกแล้ว ลิ้นร้อนขยับตามใจตัวเอง ดูดดึงลิ้นเล็กที่ขยับตามอย่างช่ำชอง พี่พราวจูบเก่ง และตอบสนองได้ดี ดีจนเขาไม่อยากหยุด มือไม้เริ่มอยู่ไม่สุขแล้วตอนนี้ ความวาบวาบแล่นทั่วกายจนเสียวซ่าน เคล้นคลึงหน้าอกอวบทั้งสองข้างเบาบ้าง หนักบ้าง จนได้ยินเสียงครางหวานดังต่อเนื่อง ตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องใส่อะไรแล้ว จึงปล่อยให้ผ้าเช็ดตัวหลุดออกไปจากเอวอย่างไม่สนใจใยดี ซ้ำยังใช้เท้าเขี่ยมันออกไปไกลๆ ไม่ต่างจากผ้าขี้ริ้วด้วยซ้ำ “อื้อ ระ ริว อ่า” พราวนภาครางเสียงแผ่ว ขยับตัวตามใจคนตัวโต ตอนนี้เธอถูกพลิกให้หันกลับมาเผชิญหน้ากับเขา รอยยิ้มมุมปากของคนตรงหน้า ทำให้เธอรู้ชะตากรรมของตัวเอง “ไม่ต้องห้ามนะ! ริวไม่หยุด” อุ้มคนเขินอายขึ้นนั่งในตู้เสื้อผ้าที่เปิดอ้าอยู่ ความแข็งแรงของมันทำให้เขามั่นใจ ว่าต่อให้ทำอะไรลงไปมันก็จะไม่พัง ดึงรั้งเสื้อที่ห่อหุ้มร่างกายคนบนนั้นออกไป รวมถึงกางเกงที่ใส่ด้วย “ตรงนี้เหรอ?” “อืม ตรงน
“เราเป็นแฟนกัน หรือริวเป็นแฟนยัยเด็กนี่” ตอนนี้ทั้งโต๊ะเงียบกริบ มีเพียงเสียงเพลงที่ยังคงดังกระหึ่ม เพื่อนๆของคิริว ต่างมองด้วยความสงสัยปนตกใจ ก็รู้ๆกันอยู่ว่าอ้อมดาวนั้นเป็นแฟนไอ้วิน พูดแบบนี้ก็เท่ากับว่าไอ้วินแม่งโดนแฟนแทงข้างหลัง “เราเป็นแฟนกันด้วยเหรอ?” คิริวเองก็เมาไม่น้อย ถามคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเสียงดัง เมื่อกี้พูดอะไรกับเขาไว้ ทำไมถึงกล้ามาถามเขาด้วยคำถามแบบนี้ “เหอะ! งั้นพี่คงเข้าใจผิดไปเอง ว่าที่ผ่านมาเราเป็นแฟนกัน” พราวนภาหมุนตัวออกเดิน อับอายชิบหายที่ตัวเองคิดไปไกลคนเดียว เธอแค่อยากถอยไปตั้งหลัก ไม่ได้บอกว่าเลิก แต่ไม่กล้าบอกให้เขารอ แค่ให้โอกาสเขาเท่านั้น เผื่อเขาเบื่อผู้หญิงอายุมากที่ดีแต่เล่นตัวแบบเธอไง พราวนภาเดินกึ่งวิ่งออกมาหน้าร้าน มองหารถแท็กซี่ แต่ไม่มีว่างสักคัน ช่วงนี้คนทยอยเข้าทยอยออก รถเลยไม่ค่อยว่าง ในจังหวะที่จะเดินออกไปนอกร้านอีกสักหน่อยเพื่อเรียกรถ ข้อมือก็ถูกดึงไปจับไว้แน่น ซ้ำยังถูกลากไปหลังร้านอย่างไร้ความปรานี “ปล่อยเลยนะ!” “เงียบ!” คิริวปรามเสียงดุ ยังคงดึงมือคนข้างๆเดินไปที่รถ เล่นตลกอะไรกับความรู้สึกเขาหนักหนา เห็นเขาไม่เรียกร
“วินไม่กล้ารับอะไรจากพี่พราวหรอก” เขารู้สึกว่าเธอเป็นพี่มาตลอด แต่นี่คือครั้งแรกที่เรียกเธอว่าพี่ ละอายใจเหลือเกินที่แม่ของตัวเองทำแบบนี้กับพี่พราวมาตลอด เลยไม่กล้าเรียกเธอว่าพี่สักครั้ง เพราะกลัวเธอโกรธ เธอเกลียดเขา เหมือนที่เกลียดแม่ของเขา แต่เธอแสดงออกมาตลอดว่าไม่เคยรู้สึกแบบนั้นเลยสักครั้ง “พี่ให้ก็รับไปเถอะ บัตรเติมน้ำมันอยู่ในรถ ใช้ได้ตลอดเดี๋ยวพี่จัดการเรื่องเงินเอง วินมีหน้าที่เพียงแค่รับไป และช่วยพี่ในส่วนที่พี่ไม่สามารถทำได้” พราวนภาตบไหล่น้องชายเบาๆ เหม่อมองขึ้นไปบนฟ้า เธอไม่ได้ตั้งใจมากินเหล้า เลยไม่มีความรู้สึกว่าอยากเข้าไปข้างใน ที่มาตามคำชวนเพราะห่วงวินนี่แหละ รู้ดีว่าวริษาต้องฟ้องอะไรวินแน่ๆ ตั้งใจจะทำให้เธอดูแย่ในสายตาทุกคน งานถนัดเขาล่ะ “จะเข้าไปยัง!” “ยัง มานี่หน่อย!” พราวนภาหันกลับไปยิ้มให้พลางกระดิกนิ้วชี้เรียก บุคคลที่ถามคำถามเมื่อครู่ด้วยน้ำเสียงห้วนจัด คงแอบตามมา เพราะคิดว่าเธอกับวินอาจจะทำอะไรแปลกๆสินะ เธอไม่ใช่คนแบบนั้นไหม ไม่งั้นบอกวินไปตั้งนานแล้วว่าชอบ คิริวเดินหน้ามุ่ยเข้าไปใกล้ เพื่อนตบบ่าให้กำลังใจเบาๆ ก่อนจะเดินหนีไปให้คนทั้งสองได้ใ
“ถ้าบอกว่าหวังล่ะ” ตอนนี้เขากับเธอเดินมาถึงรถพอดี จึงใช้แขนข้างที่ว่างวางลงบนตัวรถด้านที่พี่พราวต้องขึ้นไปนั่ง กักขังเธอไว้กลายๆ พลางจ้องมองด้วยสายตาจริงจัง เขาหวังมาตลอดแหละ หวังมาตลอดเลย! “รอก่อนได้ไหมล่ะ รอให้พี่ชัดเจนกว่านี้ก่อน พี่จะให้ทุกอย่างที่ริวต้องการ” มือเรียวสวยยกขึ้นดันอกกว้างไว้ ไม่ให้เขาเข้ามาใกล้มากกว่านี้ ตอนนี้ยังอยู่ในลานจอดรถของห้างอยู่เลย คนเดินผ่านไปมาประปราย เธอกลัวมากว่าจะมีข่าวลือไม่ดีออกมา ทำให้น้องมันเสียหาย คิริวยังเรียนรู้ เป็นวัยที่ไม่ควรมีเรื่องให้เสื่อมเสีย เธอคิดแบบนั้น “ก็ไม่ได้เร่งรัดอะไร แบบที่เป็นตอนนี้ก็ดีแล้ว” มือเรียวยาวลากไล้กรอบหน้าหวาน จับเส้นผมสีน้ำตาลระกรอบหน้าออกไปทัดไว้หลังใบหู แค่ได้อยู่ใกล้ ได้แบ่งปันอะไรบางอย่างกับเธอ เขาก็มีความสุขมากแล้ว ไม่ได้รีบร้อนอะไร ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร “ไปกันเถอะ เดี๋ยววินรอ” พราวนภายิ้มกว้าง มองนาฬิกาข้อมือพร้อมกับเปิดประตูรถ ตอนนี้จะสามทุ่มแล้ว ควรออกไปเจอน้องชายได้แล้ว เดี๋ยวน้องคิดถึง @xxx club 21:20 น. ร้านที่วินณภัทรนัดคิริวมาดื่ม คือร้านที่อยู่ห่างจากมหาลัยไม่มาก แ
ปึ่ง! พราวนภาถูกยัดเข้าไปนั่งในรถ เสียงประตูที่ถูกปิดลง ดังมากจนเธอตกใจ มองใบหน้าคนที่ตั้งใจวนรถออกจากที่จอดนิ่งๆ ไม่ยอมพูดยอมไม่จา น้องมันเป็นเหี้ยอะไรอีกวะ! “โกรธพี่เรื่องที่พี่ทำให้นักข่าวถ่ายรูปเราเหรอ?” “เปล่า” “แล้วโกรธอะไรอะ!” “หึง” “พี่ทำอะไรให้หึงตอนไหน?” พราวนภาถามด้วยใบหน้าขึ้นสี เธอมั่นใจว่าไม่ได้สัมผัสผู้ชายคนไหนเลย แค่อยู่ใกล้ แต่ไม่ได้ใกล้ชิดจนทำให้คนข้างๆหึงได้ เมื่อกี้เธอคิดว่าตัวเองวางตัวดีนะ มันไม่ใช่แบบนั้นหรอกเหรอ? “ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร?” “ผู้ชายคนไหนวะ!” “คนที่ยืนข้างๆ!” “พี่ก้อง??” “เออนั่นแหละ!” คิริวเบ้ปาก นี่คิดเองไม่ได้และไม่รู้เลยสินะ ว่าคนๆนั้นนะ มันน่ากลัวแค่ไหน ภายใต้รูปลักษณ์ภายนอกที่แต่งเป็นหญิงเต็มตัว แต่คิริวรู้สึกว่าเขายังคงซุกซ่อนความเป็นชายไว้อยู่ ไม่รู้ดิ แค่รู้สึกว่าเป็นแบบนั้น ผ่านสายตาที่มองมายังพี่พราว รู้สึกว่าเขาคนนั้นเอ็นดูเธอ และเอ็นดูมาก จนอาจจะเรียกได้ว่ารัก! เหมือนที่เขารักเธอ “อุบ! ฮะฮ่า ฮ่าๆ ดูออกขนาดนั้นเลย” พาวนภาหัวเราะจนน้ำตาเล็ด คิริวเก่งนะที่ดูออก เธอรู้ว่าพี่ก้องมีรสนิยมยังไง เพราะค่อนข้
การรอคอยของคนทั้งสองสิ้นสุดลง หลังจากนั่งดูแฟชั่นโชว์จากกระเป๋าแบรนด์ดังร่วมชั่วโมง ตอนนี้เจ้าของแบรนด์เดินออกมาพบปะแขกในงาน และยืนรับดอกไม้ที่คนนำมาร่วมแสดงความยินดีอยู่บนเวที พราวนภาไม่รอช้า หอบช่อลิลลี่ที่วางอยู่บนตักไปทันที แหวกผู้คนมากมายไปหน้าเวทีด้วยความยากลำบาก และเผลอชนเข้ากับไหล่คุณหญิงท่านหนึ่งที่นั่งอยู่เก้าอี้แถวหน้าสุด “ขอโทษค่ะ” พราวนภายกมือขึ้นไหว้อย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นใบหน้าคนที่นั่งอยู่ชัดเจนก็รีบหันหน้าหนี วันนี้มันวันอะไรเนี่ย ทำไมเธอถึงได้เจอคนที่ไม่อยากเจอด้วย! พราวนภาหลบไปอย่างรวดเร็ว ให้กลมกลืนกับคนที่มาร่วมแสดงความยินดีหน้าเวที เป็นการหลบเลี่ยงการพบเจอที่ไม่ควร ได้ไม่ค่อยเนียนเท่าไหร่ เพราะสายตาของหญิงสูงวัยยังคงจับจ้องแผ่นหลังของเธอ มือท่านสกิดผู้ชายที่ร่วมทุกข์กันมายาวนานที่นั่งอยู่ข้างๆ ชี้มือให้สามีดูเด็กผู้หญิงที่ยืนรอต่อแถวร่วมแสดงความยินดีกับหลานชายที่รักของท่าน อย่าง เกียรติกรุณ โหรมิภัทร “คุณว่าใช่ยัยหนูไหม?” “ไม่น่าใช่นะคุณ ยัยหนูนั่นตัวเล็กออก” ท่านไพรรัตน์มองตามสายตาภรรยาไป ก่อนจะสายหน้า เมื่อเห็นผู้หญิงตัวสูงกำลังเบียดเสียด