“สวัสดีค่ะ”
อ้อมดาวยกมือไหว้ผู้หญิงที่คนรักเรียกพี่ ด้วยกิริยานอบน้อม พราวนภามองนิ่งๆ แต่ก็ก้มหัวรับไหว้จากเด็กสาว ที่หน้าเสียไปนิดๆกับท่าทางเฉยชาของเธอ “ไปกินข้าวกับพี่ไหม กำลังจะไปกินกับไวท์พอดี” พราวนภาเอ่ยชวน ไม่ได้โฟกัสสายตาที่คนทั้งสอง เพราะเธอกำลังมองเลยไปด้านหลัง ใบหน้าเธอคงตึงขึ้นมาก จนเด็กผู้หญิงคนนั้นแอบไปหลบข้างหลังวิน แต่เธอไม่สนหรอก เพราะคนที่เธอสนใจอยู่ตอนนี้กำลังควงคู่มากับผู้หญิงคนอื่น ท่าทางสนิทสนมไม่ต่างจากคู่ของวินเลยสักนิด มีแฟนแล้วงั้นเหรอ? มีแฟนแล้วแต่ยังมาเอากับเธอนี่นะ สำส่อน! ชิบหาย! คิริวสบทในใจเมื่อเห็นว่าใครยืนรวมกลุ่มอยู่กับวินและอ้อมดาว พยายามแกะแขนคนที่ควงอยู่ออก แต่ยิ่งแกะเธอยิ่งรัดแน่น ซ้ำยังเดินเบียดจนแทบจะสิงเข้ามาในตัวเขาอยู่แล้ว “พราวมาได้ไง?” “วินจะไปไหม ถ้าไม่ไป เราไปกันเถอะไวท์” พราวนภาเมินคำถามนั้นด้วยท่าทางเฉยชา เป็นครั้งแรกที่เธอไม่โดดงับหัวเขาด้วยคำพูดจิกกัด จนไวท์มองอย่างสงสัย “พราวทะเลาะกับพี่ริวอีกแล้วเหรอ?” ไวท์เอียงหน้าถาม “พี่ไม่ได้ทะเลาะกับใครหรอก เราอะขี้สงสัย แล้วเลิกเรียกพราวสักที เรียกพี่สิ พี่อะ!” พราวนภาดึงแก้มซ้ายของน้องชายจนแก้มยืด ทำไมมีแค่เธอที่น้องไม่ยอมเรียกพี่วะ เธอทำตัวไม่น่าเคารพหรือยังไง ทำไมใครๆถึงเอาแต่เรียกพราวๆอยู่ได้ “ไม่เอาอะ เรียกพราวน่ารักดีออก” “ดีออกหรืออีดอก เรียกพี่ดิเห้ย!” พราวนภายีหัวน้องจนฟูแล้วก็จัดให้เข้าที่เหมือนเดิม ไม่รู้จะทำไปทำไม แต่เธอเอ็นดูไวท์มาก รักมากจนรู้สึกว่าเหมือนแม่มากกว่าพี่ซะอีก สองพี่น้องเดินเลี้ยวเข้าไปในร้านชาบูชื่อดัง ช่วยกันสั่งอาหารมาหลายอย่าง ไม่ได้สั่งเผื่อใครทั้งนั้น ปกติเธอกับไวท์ก็กินจุกันอยู่แล้ว ที่สั่งๆมานี่ไม่พอหรอก แต่เก็บไว้สั่งอีกรอบ เพราะกลัวโต๊ะไม่พอให้วาง “พราวขอกินด้วยสิ” วินณภัทรนั่งลงฝั่งตรงข้ามโดยมีแฟนสาวนั่งด้วย และก็คนที่พราวนภาไม่อยากเจอ คิริวนั่งลงข้างๆเธอ เก้าอี้ขนาดสามที่นั่งดูแคบไปทันที เพราะมีไวท์กับเธอนั่งอยู่ก่อน ผู้หญิงที่ควงแขนเขามา จึงต้องเดินไปนั่งเบียดอยู่กับวินและแฟนของเขา “มาเยอะขนาดนี้เลี้ยงไม่ไหวหรอกนะ” “เดี๋ยวเลี้ยงเอง” คิริวรีบอาสา กวักมือเรียกบริกรมาสั่งเพิ่ม เมินสายตาไม่พอใจของคนที่เขาไล่ให้ไปนั่งกับเพื่อน เลือกนิ่งให้ได้มากที่สุด เพราะไม่อยากทะเลาะกับใครตอนนี้ “นั่งแยกโต๊ะเถอะ คนเยอะอึดอัด” พราวนภามองหน้าวินณภัทรนิ่งๆ ไม่อยากมองคนที่อยู่ข้างๆนักหรอก ชังขี้หน้า “กินหลายๆคน อร่อยออกพราว” ไวท์มุ่ยหน้า นานแล้วไม่ได้ตั้งวงกันแบบนี้ บรรยากาศก็ไม่ได้แย่ โต๊ะขนาดหกคน ก็พอดีแล้วกับจำนวนคน ไม่เห็นว่าจะอึดอัดอะไรเลย กินสองคนสิรู้สึกคว้าง เพราะโต๊ะมันกว้างเกินไป “อืม นั่นแฟนวินเหรอ ชื่ออะไรอะ” “ชื่ออ้อมดาวค่ะ ” อ้อมดาวแนะนำตัวด้วยท่าทางกล้าๆกลัวๆ แต่ในใจรู้สึกต่างออกไปนิดหน่อย “แล้วอีกคนล่ะ” “โซเฟีย” ใบหน้าสาวลูกครึ่งตอบแบบไม่ยิ้ม ถ้าต้องยิ้มแหย่ๆเหมือนเพื่อนตัวเองทำ เธอเลือกไม่ยิ้มเลยดีกว่า “อืม กินให้อร่อยแล้วกัน พี่เลี้ยงเอง” พราวนภายิ้มน้อยๆ เพื่อไม่ให้บรรยากาศมันแย่ลง นั่งรออาหารมาเสริฟด้วยการก้มมองหน้าจอโทรศัพท์ ที่มีเสียงเตือนเข้ามาสักพักแล้ว (ไลน์) อินทิรา : ถ้าพี่พราวเข้ามาขอโทษอิงค์ อิงค์จะยอมปล่อยผ่านเรื่องที่เกิดขึ้น พราวนภาเบ้หน้า อ่านเสร็จก็เปิดไปอ่านอีกหลายข้อความจากพี่ๆ ที่ทำงานสายเดียวกัน ส่วนใหญ่เป็นข้อความให้กำลังใจ เพราะแต่ละคนรู้ดีว่านิสัยอินทิรานั้นเป็นยังไง พราวนภาพิมพ์ข้อความขอบคุณในความห่วงใยของพวกพี่ๆ ก่อนจะเก็บโทรศัพท์ลง ไม่ยอมอ่านข้อความที่คนข้างๆส่งมาหา ไลน์! ไลน์! คิริวถอนหายใจเบาๆ เมื่อข้อความที่เขาส่งไปถูกคนข้างๆเมิน เสียงดังขนาดนี้ ไม่ใช่พี่พราวไม่ได้ยินหรอก แต่แม่งเลือกที่จะไม่อ่าน ไม่ตอบ และไม่สนใจ ทั้งๆที่เขากำลังจะอธิบายเรื่องในตอนนี้ให้ฟัง “ใครอยากเพิ่มอะไร สั่งเพิ่มได้เลยนะ” พราวนภาพูดขึ้น เมื่อรู้สึกว่าของที่มาเสริฟในตอนนี้ไม่น่าจะเพียงพอสำรวจคนหกคน ตอนนี้พนักงานเอาเตามาเพิ่มแล้ว และกำลังเดือดปุดๆ เธอจึงเลิกสนใจคนที่ใช้มือเขี่ยขาเธอหยิกๆไม่ต่างจากไก่ สนใจการกินตรงหน้า มากกว่ามือที่ฉวยโอกาสแตะอั๋งขายาวๆของเธอ “อ๊ะ!” พราวนภาอุทานเบาๆ เมื่อความเผ็ดและเปรี้ยวของน้ำจิ้มโดนแผลที่มุมปากซ้ายของเธอ แสบโคตรๆจนเธอต้องวางหมูที่จุ่มน้ำจิ้มลงบนจาน จะกินต่อหรือพอแค่นี้! “เป็นไรอะพราว” วินณภัทรถามคนที่วางตะเกียบลง จ้องมองหาสิ่งผิดปกติบนใบหน้าพี่สาวต่างสายเลือด เขาเห็นรอยช้ำที่มุมปากเธอตั้งแต่แรกเจอแล้ว แต่ไม่แน่ใจว่ามันใช่หรือเปล่า แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นแผลจริงๆด้วย “ไม่เป็นไร ไปห้องน้ำแป๊บนะ” พราวนภาหันไปมองคนที่นั่งอยู่ขวามือเธอนิ่งๆ เขานั่งขวางทางเธออยู่ เธอออกไปไม่ได้ไง “ขอทางหน่อย ลุกสิเห้ย เร็วๆ” พราวนภารู้สึกแสบแผลมากๆ แต่คิริวกลับนั่งสำรวจใบหน้าเธอนิ่งๆ จนเธอต้องดุ เดี๋ยวก็เหยียบแม่งซะเลยนี่ ! “กูจะไปห้องน้ำพอดี เดี๋ยวมานะวิน” คิริวคว้าข้อมือพราวนภาไปจับ ออกแรงบังคับลากไปโดยไม่สนใจสายตาใครทั้งสิ้น มั่นใจมากว่าเมื่อคืนหน้าเธอไม่มีรอยอะไร แล้วรอยมือจางๆบนแก้มข้างซ้าย กับรอยแตกที่มุมปากนั่นได้มาตอนไหนวะ! คิริวปล่อยมือเมื่อเดินมาถึงห้องน้ำ ที่นี่เป็นห้างขนาดใหญ่คนพลุกพล่านมาก เขาจึงไม่กล้าตามเข้าไปข้างใน ปล่อยให้เธอเข้าไปจัดการตัวเอง เดินไปยืนพิงกำแพงรอเงียบๆ 10 นาทีต่อมา พราวนภาเดินหน้ามุ่ยออกมาจากห้องน้ำ เหมือนเธอจะต้องงดอาหารที่มีรสจัดไปก่อน เพราะแผลเธอยังสดอยู่ โดนของพวกนั้นแล้วแสบมาก ตอนนี้มุมปากเธอแดงก่ำเลยละ พ่อนะพ่อ ตบซะเต็มแรงเลย! “โดนอะไรมา?” คิริวคว้ามือพราวนภาให้หยุดเดิน เขาไม่ได้เผลอ แต่เธอตั้งใจจะเดินหนี ถ้าไม่ดึงไว้ คงวิ่งหนีเขาไปแล้วมั้ง “โดนตบ” “ใคร?” “คิดว่าในโลกนี้มีใครบ้างที่อีพราวยอมให้ตบ” พราวนภาเชิ่ดหน้าขึ้นอย่างถือดี และดูน่าหมั่นไส้สุดๆ พ่อเป็นคนเดียวที่เธอยอมให้ทำแบบนี้ นั่นเพราะตอนเด็กๆเขาเลี้ยงดูเธอมาอย่างยากลำบาก เธอสำนึกบุญคุณนั้นอยู่เสมอ แต่ใช่ว่าจะยอมอยู่ร่ำไป ปกติพ่อไม่เคยทำแบบนี้หรอก เธอทำตัวก้าวร้าวใส่วริษาเอง และมัวแต่เถียงจนหลบไม่ทัน “ทำไมต้องยอม?” “ให้ตบคืนมันก็ยังไงอยู่นะ นั่นพ่อเลยนะเว้ย” พราวนภาพูดติดตลก ทำไมต้องรู้สึกดีกับสัมผัสที่กำลังไล้อยู่ที่ใบหน้า เขาทำราวกับว่าเธอเป็นแก้วบางๆ ที่สัมผัสนิดๆหน่อยๆก็แตก เธอไม่แตกง่ายๆหรอกนะ แต่ก็ชอบนะ ชอบมากที่ถูกกระทำอย่างอ่อนโยนแบบนี้“พี่ไม่ได้ตั้งใจ” “ตั้งใจหรือเปล่า ตอนนี้ไม่รู้ด้วยแล้ว” มือหนาดึงใบหน้าสวยให้หันกลับมานิดหน่อยเพื่อรับจูบจากเขา ตอนนี้เธอจะรู้สึกยังไงก็ช่าง เขาไม่สามารถยับยั้งชั่งใจได้อีกแล้ว ลิ้นร้อนขยับตามใจตัวเอง ดูดดึงลิ้นเล็กที่ขยับตามอย่างช่ำชอง พี่พราวจูบเก่ง และตอบสนองได้ดี ดีจนเขาไม่อยากหยุด มือไม้เริ่มอยู่ไม่สุขแล้วตอนนี้ ความวาบวาบแล่นทั่วกายจนเสียวซ่าน เคล้นคลึงหน้าอกอวบทั้งสองข้างเบาบ้าง หนักบ้าง จนได้ยินเสียงครางหวานดังต่อเนื่อง ตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องใส่อะไรแล้ว จึงปล่อยให้ผ้าเช็ดตัวหลุดออกไปจากเอวอย่างไม่สนใจใยดี ซ้ำยังใช้เท้าเขี่ยมันออกไปไกลๆ ไม่ต่างจากผ้าขี้ริ้วด้วยซ้ำ “อื้อ ระ ริว อ่า” พราวนภาครางเสียงแผ่ว ขยับตัวตามใจคนตัวโต ตอนนี้เธอถูกพลิกให้หันกลับมาเผชิญหน้ากับเขา รอยยิ้มมุมปากของคนตรงหน้า ทำให้เธอรู้ชะตากรรมของตัวเอง “ไม่ต้องห้ามนะ! ริวไม่หยุด” อุ้มคนเขินอายขึ้นนั่งในตู้เสื้อผ้าที่เปิดอ้าอยู่ ความแข็งแรงของมันทำให้เขามั่นใจ ว่าต่อให้ทำอะไรลงไปมันก็จะไม่พัง ดึงรั้งเสื้อที่ห่อหุ้มร่างกายคนบนนั้นออกไป รวมถึงกางเกงที่ใส่ด้วย “ตรงนี้เหรอ?” “อืม ตรงน
“เราเป็นแฟนกัน หรือริวเป็นแฟนยัยเด็กนี่” ตอนนี้ทั้งโต๊ะเงียบกริบ มีเพียงเสียงเพลงที่ยังคงดังกระหึ่ม เพื่อนๆของคิริว ต่างมองด้วยความสงสัยปนตกใจ ก็รู้ๆกันอยู่ว่าอ้อมดาวนั้นเป็นแฟนไอ้วิน พูดแบบนี้ก็เท่ากับว่าไอ้วินแม่งโดนแฟนแทงข้างหลัง “เราเป็นแฟนกันด้วยเหรอ?” คิริวเองก็เมาไม่น้อย ถามคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเสียงดัง เมื่อกี้พูดอะไรกับเขาไว้ ทำไมถึงกล้ามาถามเขาด้วยคำถามแบบนี้ “เหอะ! งั้นพี่คงเข้าใจผิดไปเอง ว่าที่ผ่านมาเราเป็นแฟนกัน” พราวนภาหมุนตัวออกเดิน อับอายชิบหายที่ตัวเองคิดไปไกลคนเดียว เธอแค่อยากถอยไปตั้งหลัก ไม่ได้บอกว่าเลิก แต่ไม่กล้าบอกให้เขารอ แค่ให้โอกาสเขาเท่านั้น เผื่อเขาเบื่อผู้หญิงอายุมากที่ดีแต่เล่นตัวแบบเธอไง พราวนภาเดินกึ่งวิ่งออกมาหน้าร้าน มองหารถแท็กซี่ แต่ไม่มีว่างสักคัน ช่วงนี้คนทยอยเข้าทยอยออก รถเลยไม่ค่อยว่าง ในจังหวะที่จะเดินออกไปนอกร้านอีกสักหน่อยเพื่อเรียกรถ ข้อมือก็ถูกดึงไปจับไว้แน่น ซ้ำยังถูกลากไปหลังร้านอย่างไร้ความปรานี “ปล่อยเลยนะ!” “เงียบ!” คิริวปรามเสียงดุ ยังคงดึงมือคนข้างๆเดินไปที่รถ เล่นตลกอะไรกับความรู้สึกเขาหนักหนา เห็นเขาไม่เรียกร
“วินไม่กล้ารับอะไรจากพี่พราวหรอก” เขารู้สึกว่าเธอเป็นพี่มาตลอด แต่นี่คือครั้งแรกที่เรียกเธอว่าพี่ ละอายใจเหลือเกินที่แม่ของตัวเองทำแบบนี้กับพี่พราวมาตลอด เลยไม่กล้าเรียกเธอว่าพี่สักครั้ง เพราะกลัวเธอโกรธ เธอเกลียดเขา เหมือนที่เกลียดแม่ของเขา แต่เธอแสดงออกมาตลอดว่าไม่เคยรู้สึกแบบนั้นเลยสักครั้ง “พี่ให้ก็รับไปเถอะ บัตรเติมน้ำมันอยู่ในรถ ใช้ได้ตลอดเดี๋ยวพี่จัดการเรื่องเงินเอง วินมีหน้าที่เพียงแค่รับไป และช่วยพี่ในส่วนที่พี่ไม่สามารถทำได้” พราวนภาตบไหล่น้องชายเบาๆ เหม่อมองขึ้นไปบนฟ้า เธอไม่ได้ตั้งใจมากินเหล้า เลยไม่มีความรู้สึกว่าอยากเข้าไปข้างใน ที่มาตามคำชวนเพราะห่วงวินนี่แหละ รู้ดีว่าวริษาต้องฟ้องอะไรวินแน่ๆ ตั้งใจจะทำให้เธอดูแย่ในสายตาทุกคน งานถนัดเขาล่ะ “จะเข้าไปยัง!” “ยัง มานี่หน่อย!” พราวนภาหันกลับไปยิ้มให้พลางกระดิกนิ้วชี้เรียก บุคคลที่ถามคำถามเมื่อครู่ด้วยน้ำเสียงห้วนจัด คงแอบตามมา เพราะคิดว่าเธอกับวินอาจจะทำอะไรแปลกๆสินะ เธอไม่ใช่คนแบบนั้นไหม ไม่งั้นบอกวินไปตั้งนานแล้วว่าชอบ คิริวเดินหน้ามุ่ยเข้าไปใกล้ เพื่อนตบบ่าให้กำลังใจเบาๆ ก่อนจะเดินหนีไปให้คนทั้งสองได้ใ
“ถ้าบอกว่าหวังล่ะ” ตอนนี้เขากับเธอเดินมาถึงรถพอดี จึงใช้แขนข้างที่ว่างวางลงบนตัวรถด้านที่พี่พราวต้องขึ้นไปนั่ง กักขังเธอไว้กลายๆ พลางจ้องมองด้วยสายตาจริงจัง เขาหวังมาตลอดแหละ หวังมาตลอดเลย! “รอก่อนได้ไหมล่ะ รอให้พี่ชัดเจนกว่านี้ก่อน พี่จะให้ทุกอย่างที่ริวต้องการ” มือเรียวสวยยกขึ้นดันอกกว้างไว้ ไม่ให้เขาเข้ามาใกล้มากกว่านี้ ตอนนี้ยังอยู่ในลานจอดรถของห้างอยู่เลย คนเดินผ่านไปมาประปราย เธอกลัวมากว่าจะมีข่าวลือไม่ดีออกมา ทำให้น้องมันเสียหาย คิริวยังเรียนรู้ เป็นวัยที่ไม่ควรมีเรื่องให้เสื่อมเสีย เธอคิดแบบนั้น “ก็ไม่ได้เร่งรัดอะไร แบบที่เป็นตอนนี้ก็ดีแล้ว” มือเรียวยาวลากไล้กรอบหน้าหวาน จับเส้นผมสีน้ำตาลระกรอบหน้าออกไปทัดไว้หลังใบหู แค่ได้อยู่ใกล้ ได้แบ่งปันอะไรบางอย่างกับเธอ เขาก็มีความสุขมากแล้ว ไม่ได้รีบร้อนอะไร ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร “ไปกันเถอะ เดี๋ยววินรอ” พราวนภายิ้มกว้าง มองนาฬิกาข้อมือพร้อมกับเปิดประตูรถ ตอนนี้จะสามทุ่มแล้ว ควรออกไปเจอน้องชายได้แล้ว เดี๋ยวน้องคิดถึง @xxx club 21:20 น. ร้านที่วินณภัทรนัดคิริวมาดื่ม คือร้านที่อยู่ห่างจากมหาลัยไม่มาก แ
ปึ่ง! พราวนภาถูกยัดเข้าไปนั่งในรถ เสียงประตูที่ถูกปิดลง ดังมากจนเธอตกใจ มองใบหน้าคนที่ตั้งใจวนรถออกจากที่จอดนิ่งๆ ไม่ยอมพูดยอมไม่จา น้องมันเป็นเหี้ยอะไรอีกวะ! “โกรธพี่เรื่องที่พี่ทำให้นักข่าวถ่ายรูปเราเหรอ?” “เปล่า” “แล้วโกรธอะไรอะ!” “หึง” “พี่ทำอะไรให้หึงตอนไหน?” พราวนภาถามด้วยใบหน้าขึ้นสี เธอมั่นใจว่าไม่ได้สัมผัสผู้ชายคนไหนเลย แค่อยู่ใกล้ แต่ไม่ได้ใกล้ชิดจนทำให้คนข้างๆหึงได้ เมื่อกี้เธอคิดว่าตัวเองวางตัวดีนะ มันไม่ใช่แบบนั้นหรอกเหรอ? “ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร?” “ผู้ชายคนไหนวะ!” “คนที่ยืนข้างๆ!” “พี่ก้อง??” “เออนั่นแหละ!” คิริวเบ้ปาก นี่คิดเองไม่ได้และไม่รู้เลยสินะ ว่าคนๆนั้นนะ มันน่ากลัวแค่ไหน ภายใต้รูปลักษณ์ภายนอกที่แต่งเป็นหญิงเต็มตัว แต่คิริวรู้สึกว่าเขายังคงซุกซ่อนความเป็นชายไว้อยู่ ไม่รู้ดิ แค่รู้สึกว่าเป็นแบบนั้น ผ่านสายตาที่มองมายังพี่พราว รู้สึกว่าเขาคนนั้นเอ็นดูเธอ และเอ็นดูมาก จนอาจจะเรียกได้ว่ารัก! เหมือนที่เขารักเธอ “อุบ! ฮะฮ่า ฮ่าๆ ดูออกขนาดนั้นเลย” พาวนภาหัวเราะจนน้ำตาเล็ด คิริวเก่งนะที่ดูออก เธอรู้ว่าพี่ก้องมีรสนิยมยังไง เพราะค่อนข้
การรอคอยของคนทั้งสองสิ้นสุดลง หลังจากนั่งดูแฟชั่นโชว์จากกระเป๋าแบรนด์ดังร่วมชั่วโมง ตอนนี้เจ้าของแบรนด์เดินออกมาพบปะแขกในงาน และยืนรับดอกไม้ที่คนนำมาร่วมแสดงความยินดีอยู่บนเวที พราวนภาไม่รอช้า หอบช่อลิลลี่ที่วางอยู่บนตักไปทันที แหวกผู้คนมากมายไปหน้าเวทีด้วยความยากลำบาก และเผลอชนเข้ากับไหล่คุณหญิงท่านหนึ่งที่นั่งอยู่เก้าอี้แถวหน้าสุด “ขอโทษค่ะ” พราวนภายกมือขึ้นไหว้อย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นใบหน้าคนที่นั่งอยู่ชัดเจนก็รีบหันหน้าหนี วันนี้มันวันอะไรเนี่ย ทำไมเธอถึงได้เจอคนที่ไม่อยากเจอด้วย! พราวนภาหลบไปอย่างรวดเร็ว ให้กลมกลืนกับคนที่มาร่วมแสดงความยินดีหน้าเวที เป็นการหลบเลี่ยงการพบเจอที่ไม่ควร ได้ไม่ค่อยเนียนเท่าไหร่ เพราะสายตาของหญิงสูงวัยยังคงจับจ้องแผ่นหลังของเธอ มือท่านสกิดผู้ชายที่ร่วมทุกข์กันมายาวนานที่นั่งอยู่ข้างๆ ชี้มือให้สามีดูเด็กผู้หญิงที่ยืนรอต่อแถวร่วมแสดงความยินดีกับหลานชายที่รักของท่าน อย่าง เกียรติกรุณ โหรมิภัทร “คุณว่าใช่ยัยหนูไหม?” “ไม่น่าใช่นะคุณ ยัยหนูนั่นตัวเล็กออก” ท่านไพรรัตน์มองตามสายตาภรรยาไป ก่อนจะสายหน้า เมื่อเห็นผู้หญิงตัวสูงกำลังเบียดเสียด