ทุกคนย้อนกลับไปทางเดิมและเมื่อถึงทางแยกก็เลือกเส้นทางที่สองคราวนี้เลือกถูกเส้นทาง เพราะเพียงไม่นานพวกเขาก็พบกับหมู่บ้านใหญ่ ผู้คนเดินทางผ่านไปมาจอแจ
ที่นี่คืออำเภอเฟิง เป็นอำเภอเล็กของเส้นทางผ่านไปยังชายแดนสวีโจว ปกตินักเดินทางมักจะเดินทางด้วยถนนหลัก แต่เส้นทางที่หอนางโลมใช้ส่งหลี่เฟิ่งเซียนวันนั้น เป็นเพียงเส้นทางลัดที่ผู้คนไม่นิยมสัญจรเพราะมันไม่ค่อยปลอดภัย สมัยนางเด็กๆท่านพ่อเคยพาหลี่เฟิ่งเซียนไปเที่ยวเล่นบ้างเท่านั้น มิน่านางถึงจำได้ไม่ชัดเจน
เมื่อเข้ามาในหมู่บ้านแล้วก็ให้ทหารไปไล่สืบเรื่องของหอนางโลม หลี่เฟิ่งเซียนนั่งรอกับอ๋องเยียนที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง รอไม่นานทหารก็กลับมารายงาน ที่อำเภอนี้มีหอนางโลมเพียงสองแห่งเท่านั้น หอหนึ่งอยู่ทางตะวันตก อีกหออยู่ทางใต้ ทั้งสองที่ต่างใช้ร้านน้ำชาเป็นฉากบังหน้า
หลี่เฟิ่งเซียนไม่รู้ว่าเป็นหอไหนกันแน่ นางคิดจะไปดูทั้งสองหอ แต่ครั้งนี้ไม่ว่านางดื้อดึงอย่างไรอ๋องเยียนก็ไม่อนุญาตให้นางไปค้นหอนางโลมด้วยตัวเอง แม้นางร้อนใจอยากจะไปช่วยเจ้าคนชั่วเพียงใด คืนนี้นางก็ต้องนั่งรอที่โรงเตี๊ยม
อ๋องเยียนและทหารมือดีอีกสี่ห้านายจะรอจนกว่าจะมืดแล้วค่อยไปสำรวจ แล้วค่อยแอบช่วยเจ้าคนชั่วของนางออกมาเงียบๆ นางอธิบายลักษณะคร่าวๆของเจ้าคนชั่วให้พวกเขาฟัง หน้าตาของเจ้าคนชั่วเป็นเอกลักษณ์เพียงนั้น ไหนจะแผลถลอกและตุ่มใสตามผิวหนังอีก ไม่มีทางที่พวกเขาเห็นแล้วจะจำคนผิดได้
หลี่เฟิ่งเซียนนั่งรอจนเลยเข้ายามเว่ยก็ยังไม่มีข่าว นางเริ่มกังวล เดินกระสับกระส่ายไปมานั่งไม่ติด ผ่านไปอีกเกือบครึ่งชั่วยามในที่สุดอ๋องเยียนและทหารพวกนั้นก็กลับมา มีทหารบาดเจ็บสองนาย
อ๋องเยียนบอกกับหลี่เฟิ่งเซียนว่าทั้งสองที่ มีคนเฝ้าอย่างแน่นหนา ไม่สามารถบอกได้ว่าหอนางโลมไหนถึงควรจะเป็นของขันทีหลงอี้ หรือไม่ ทั้งสองที่ก็เป็นของเขาทั้งหมด หลี่เฟิ่งเซียนไร้หนทางได้แต่ถามรายละเอียดครั้งแล้วครั้งเล่า
ทหารที่เข้าไปกับอ๋องเยียนผู้หนึ่งชื่อว่า จ้าวเหลียง เขาพอมีความสามารถในการวาด จึงได้วาดแผนที่คร่าวๆให้นางดู และเมื่อนางเห็นแผนที่ นางก็รู้ทันทีว่าหอนางโลมทางใต้คือสถานที่ที่ขังเจ้าคนเลวไว้ในกรง เพราะมีลานกว้างด้านหลังและมีห้องเก็บของมากมายที่ไม่ได้ใช้แล้ว
หลี่เฟิ่งเซียนอยากไปช่วยเจ้าคนชั่วคืนนี้เลย แต่อ๋องเยียนไม่อนุญาต อย่างไรคืนนี้พวกเขาก็แหวกหญ้าทำให้งูตื่นแล้ว เกรงว่าถ้ายังฝืนบุกไปช่วยคน จะยิ่งอันตราย รอพรุ่งนี้เขาจะขอกำลังเสริมไปที่ด่านตรวจให้ส่งคนมาช่วย
แต่หลี่เฟิ่งเซียนกลัวว่านางฆ่าเจ้าหนวดไปแล้ว นางก็หนีมาได้สองคืนแล้ว ป่านนี้นายท่านที่เจ้าหนวดเคยพูดถึง อาจจะรู้ว่านางหนีไปแล้วเช่นกัน ไม่รู้ว่าเจ้าคนชั่วจะถูกทำโทษอะไรหรือไม่ แต่นางคนเดียวก็ไม่อาจไปช่วยเขาได้เช่นกัน ได้แต่ต้องอดทน เชื่อฟังอ๋องเยียน
คืนต่อมา มีทหารจากด่านตรวจมาเพิ่มอีกยี่สิบนาย ทั้งอ๋องเยียนยังเปิดเผยฐานะของเขาขอเข้าตรวจหอนางโลมทางใต้ โดยอ้างว่าตัวเองตามล่าโจรกลุ่มหนึ่งผ่านมาทางนี้ ได้ข่าวว่าเมื่อวานหอนางโลมนี้พบเห็นคนแปลกหน้าแอบเข้า
ไม่มีใครกล้าขัดขวางอ๋องเยียน แต่ไม่ว่าเขาจะหาอย่างไรก็หาคนที่มีลักษณะตามที่หลี่เฟิ่งเซียนบอกเอาไว้ไม่ได้ เขาทั้งสั่งให้หอนางโลมเรียกรวมตัวทุกคนแล้ว ทั้งเข้าไปตรวจทาสหลังร้านแล้ว สุดท้ายจำต้องยอมแพ้ กลับไปบอกหลี่เฟิ่งเซียนว่าไม่พบคนที่นางตามหา
หลี่เฟิ่งเซียนรู้สึกว่าตัวเองอดทนมาหลายวันเกินไปแล้ว ในที่สุดนางก็ไม่ทน แม้อ๋องเยียนจะห้ามแล้วห้ามอีก แต่ทันทีที่อ๋องเยียนออกไปหาที่อื่น นางก็พกกระบี่เล่มเล็ก พาจ้าวเหลียงกับทหารอีกห้านายที่คอยอยู่อารักขานางไปด้วย ยามนี้ใกล้เย็นแล้ว ยังเหลืออีกที่ที่นางยังไม่ได้ค้นหา ที่คุกใต้ดิน!
นางยังจำเส้นทางที่ถูกพาออกมาได้ แม้จะไม่มั่นใจ แต่ถ้าย้อนไปทางเส้นทางเดิม นางต้องเจอบางอย่างแน่นอน และเป็นเช่นที่นางคิด นางเดินลัดเลาะไปตามท้ายหมู่บ้าน และเดินไปตามเส้นทางเดิมที่เจ้าคนชั่วกับนางเคยถูกมัดมือพาไปร้านน้ำชา
ในที่สุดนางก็เจอกับคนกลุ่มใหญ่ ในบริเวณลานกว้างหน้าทางเข้าคุกใต้ดิน มีคนประมาณยี่สิบกว่าคนที่กำลังล้อมวงกันอยู่ มีการจุดกองไฟเพื่อให้แสงสว่างเพราะใกล้จะมืดแล้ว
หลี่เฟิ่งเซียนมองไปรอบๆ นางเห็นเจ้าคนชั่วของนางถูกมัดด้วยเชือกและโซ่ตรวน มือสองข้างถูกมัดไว้กับเสาต้นหนึ่ง คล้ายกำลังกอดเสาต้นนั้น ท่าทางอ่อนระโหยโรยแรง นางอยากรีบไปช่วยเขา แต่จ้าวเหลียงห้ามไว้ เขาสั่งทหารอีกคนให้รีบกลับไปรายงานท่านอ๋องเยียน ส่วนเขาและอีกสามคนคอยอยู่กับหลี่เฟิ่งเซียน
“นายท่าน ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย ข้าไม่รู้จริงๆว่านางเป็นใคร” ชายคนหนึ่งกำลังร้องขอชีวิต หลี่เฟิ่งเซียนจำหน้าเขาได้ดี เขาคือเจ้าคนที่เคยจูงคนชั่วของนางราวกับสุนัข
ชายคนนั้นกลับถูกเตะอย่างแรงโดยคนผู้หนึ่งที่ใส่เสื้อผ้าราคาแพง ยามกระทบแสงจากกองไฟช่างน่ามอง แต่หน้าตาของเขากลับบิดเบี้ยวเพราะความโกรธ น่าเกลียดจนไม่มีใครอยากมอง
“เจ้าโง่ถึงขั้นดูไม่ออกว่าใครรวยใครจน กระทั่งผู้หญิงผู้ชายเจ้ายังแยกไม่ออกเลย ตอนนี้นางหนีไปแล้ววว!!” นายท่านตะโกนใส่หน้าอีกฝ่าย
“วันนี้ข้าต้องต้อนรับอ๋องเยียนที่มาค้นหาบางอย่างอย่างกะทันหัน เขายังไม่ได้สิ่งนั้นไป ข้าไม่รู้ว่าเขาหาสิ่งใด แต่ถ้าท่านพี่รู้ ข้าจะต้องถูกฆ่าแน่ เจ้าเข้าใจหรือไม่!! หากข้าตาย พวกเจ้าก็ต้องตาย รีบไปหาว่านางผู้หญิงคนนั้นหนีไปไหนแล้ว
ถ้าไม่ใช่นางผู้หญิงที่หนีไปนั่น อ๋องเยียนจะมาตามหาอะไร พวกเจ้าคิดบ้างหรือไม่ นางนั่นอาจจะหนีไปเล่าเรื่องให้ใครฟังก็ได้ แต่ไม่ใช่ฆ่าชายฉกรรจ์ไปสองคน ถึงขั้นฆ่าคนของท่านพี่ได้พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่!! และยังเรียกอ๋องเยียนมาที่นี่ได้ พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น?
นาง..นางที่พวกเจ้าปล่อยให้หนีไปได้ต้องเป็นคนสำคัญ! พวกเราจะตายกันหมดหากยังไม่รีบหาตัวว่านางเป็นใคร และหนีไปที่ใด” เขาด่าทุกคนในที่นั้น
“ข้าไม่เป็นไร มันหายแล้ว แต่มันไม่เหมือนเดิมแล้ว อย่างไรก็ยังต้องเป็นเช่นนี้เวลาอากาศหนาวมากๆ” เขาหลบตามองต่ำอธิบาย“เช่นนั้นเพราะหนาวหรือถึงได้เจ็บ” นางถาม ลู่มู่เฉินพยักหน้าหลี่เฟิ่งเซียนทำหน้าดุก่อนจะวิ่งไปที่เตียงดึงผ้าห่มมาห่อตัวเขาไว้“แล้วเจ้าหนีมานอนที่พื้นเพื่ออันใดกัน ต่อไปห้ามทำเช่นนี้อีก หากข้าเมาก็ต้องเรียกข้าให้เอาผ้าห่มให้เจ้า เข้าใจหรือไม่” นางดุลู่มู่เฉินพยักหน้ารับอีกครั้ง แต่ไม่กล้ามองนาง ไม่กล้าบอกนางว่ามือข้างนี้จะไม่หาย มันยังคงต้องเจ็บเช่นนี้ไปตลอดชีวิต แม้จะตัดทิ้งความรู้สึกเจ็บปวดที่ไม่มีอยู่จริงก็ยังเกิดขึ้น เวลานี้ก็ยังรู้สึกเจ็บมาก แต่อย่างไรก็ต้องทนต่อไป เขาไม่ต้องการให้นางไม่สบายใจแต่ห่มผ้าให้เขาแล้วนางก็ไม่ยอมไปไหน ยังคงนั่งมองเขา ทั้งยังกระเถิบมาใกล้ขึ้นจ้องมองเขาไม่วางตา ลู่มู่เฉินได้แต่ก้มหน้าไม่กล้าเอ่ยคำพูด แต่แล้วนางก็ยกมือขึ้นมาเช็ดบางอย่างที่ข้างแก้ม“เจ้านอนน้ำลายไหลเปื้อนแก้มด้วย”“!!..” เขาตกใจรีบก้มหน้าไม่ยอมให้นางเช็ดคราบน้ำลาย“ชิ ทำเป็นเล่นตัว อย่างไรเจ้าก็แต่งกับข้าแล้ว เป็นหรือตายก็ต้องเป็นคนของข้า” หลี่เฟิ่งเซียนรู้สึกอารมณ์เสีย เมื
เขาจึงยังไม่ได้พูดคุยกับนางให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำได้แต่คาดเดา เพราะเขาถามอ๋องเยียนก็แล้ว ท่านหมอก็ถามแล้ว แม้แต่แม่ทัพหลี่เขาก็พยายามถามแล้ว แต่ไม่มีผู้ใดตอบคำถามของเขา"ตาของเจ้างดงามมากจริงๆ ราวกับเก็บดวงดาวยามค่ำคืนไว้ทั้งท้องฟ้า" พูดแล้วนางก็ล้มใส่ตัวเขา หลับไปทั้งเช่นนั้น‘ความฝันที่เป็นได้เพียงความฝัน ห้ามคิดฝันเกินตัว มันต้องมีบางสิ่งทำให้ท่านแม่ทัพตัดสินใจเช่นนี้ นางต้องทำความผิดใดจนท่านแม่ทัพโกรธ จนต้องลงโทษนางให้แต่งกับคนอัปลักษณ์ใกล้ตายเช่นเขา’ ลู่มู่เฉินตักเตือนตัวเองเขามั่นใจว่างานแต่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะนางชอบเขา หรือเพราะดันมีคนรู้เข้าว่าเขาชอบนาง เขารู้ว่าต้องมีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้น นางจึงถูกบังคับให้แต่งกับเขาเขารู้ว่านางพูดชมเขาโดยไม่มีสิ่งใดลึกซึ้ง เพราะนางเป็นคนเช่นนั้น ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม พูดสิ่งที่คิดออกมาตรงๆ เพียงแต่..ทุกครั้งที่นางพูดเช่นนี้ ในอกของเขายังคงสั่นระรัวไม่เป็นจังหวะ ในท้องปั่นป่วนคล้ายมีผีเสื้อนับพันกำลังโผบินลู่มู่เฉินแอบยิ้มน้อยๆ งานแต่งนี้อาจต้องจบลงสักวัน เขาย่อมรู้ดี แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นงานแต่งของเขากับนาง หากนางยังตื่นอยู่ เขาก็จะปั้น
แม่ทัพหลี่หันหน้าแบบประหลาดมากมามองลูกสาว เขากะพริบตาไล่ความงุนงง สังเกตอาการของลูกสาวที่หน้าแดงกระวนกระวายทำสิ่งใดไม่ถูก จู่ๆเขาก็เข้าใจทุกอย่าง‘ข้าว่าแล้วเชียว เท่าที่จำได้ ไอ้หนุ่มนั่นเป็นคนเดียวที่ทำให้ลูกข้าเงียบได้ใช่หรือไม่ แต่มันดูแลลูกข้าได้แน่หรือ ถึงอย่างไรนางก็ดูจะชอบมันเข้าแล้วจริงๆ ข้าไม่เคยเห็นนางเป็นเช่นนี้เลย’ แม่ทัพหลี่คิด ยิ่งคิดยิ่งตกใจ นี่เขาไม่เคยสังเกตเลยจริงๆ สุดท้ายเขาไม่พูดสิ่งใดแต่เดินดุ่มๆ ออกไปจากห้องโถงทันทีปล่อยให้หลี่เฟิ่งเซียนและอ๋องเยียนมองตามอย่างงุนงง ก่อนที่นางจะคิดบางอย่างได้และตะโกนออกไป“ท่านพ่อ ห้ามฆ่าเขานะ!!” แล้วนางก็วิ่งตามแม่ทัพออกไป อ๋องเยียนค่อยๆพ่นลมออกมา รู้สึกโล่งอกที่คนถูกฆ่าไม่ใช่เขาลู่มู่เฉินกำลังช่วยเตรียมยาให้ทหารนายหนึ่ง ขาของเขาขาด ไม่ได้ทำแผลให้สะอาดแต่ต้น ยามนี้จึงทั้งบวมและเป็นหนอง“ลู่มู่เฉิน!!” แม่ทัพหลี่ตะโกนเรียกชื่อเขาแต่ไหล “หยุดนะท่านพ่อ ห้ามฆ่าเขาเด็ดขาด!” หลี่เฟิ่งเซียนวิ่งตามหลังแม่ทัพหลี่มาติดๆ ตะโกนอย่างร้อนรนลู่มู่เฉินไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่นางคงก่อเรื่องอีกแล้ว เขาถอนหายใจ ยื่นห่อยาให้ทหารอย่างใจเย็น ก
หลี่เฟิ่งเซียนค่อยๆหันกลับไป กะพริบตาปริบๆ ไม่อยากเชื่อว่าใครๆก็มองออก แต่นางไม่รู้ตัว นี่นางโง่เพียงนี้เชียวหรือ“เจ้าไม่ชอบเขา แล้วสั่งทำกล่องเข็มให้เขาทำไมหรือ” นางยังคาใจ“ท่านเป็นคนสัญญาว่าจะออกเงินสร้างสิ่งที่เขาอยากได้ไม่ใช่หรือเจ้าคะ เขาบอกว่าอยากได้กล่องเข็มครบ 18 แบบ ข้าจึงไปสั่งร้านช่างในหมู่บ้านให้ ใช้เวลาหลายสิบวันกว่าจะเสร็จ วันก่อนช่างเอามาส่งแต่ข้าลืมบอกท่าน” ยู่ยี่อธิบายนางสัญญาไปเช่นนั้นจริงๆ นางรีบร้อนจะตามอ๋องเยียนไปขี่ม้าดูบึงใหญ่ จึงรับปากเขาไปส่งๆ จนนางก็ลืมไปแล้ว ดังนั้น ถือว่ากล่องเข็มนี้นางเป็นคนมอบให้เขา ไม่ใช่ยู่ยี่หัวใจของหลี่เฟิ่งเซียนพองโต นางไม่ต้องแย่งชิงเขากับยู่ยี่ เขาไร้ญาติขาดมิตร ครอบครัวก็ไม่มี ขอเพียงนางรวบหัวรวบหาง เขาต้องเป็นของนางแน่ ถึงเขาจะน่าเกลียดมากไปหน่อย แต่ไม่เป็นไร อย่างน้อยนัยน์ตาของเขางดงามมาก นางชอบนัยน์ตาของเขาที่ราวกับเก็บดวงดาวไว้ทั้งท้องฟ้ายามค่ำคืนคิดแล้วนางก็หยุดตัวเองไม่ได้ อยากจะไปหาเขาตอนนี้เสียเลย หลี่เฟิ่งเซียนวิ่งไปหาลู่มู่เฉิน ไม่สนใจว่ายามนี้ดึกมากเพียงใด ยู่ยี่ห้ามอย่างไรนางก็ไม่ฟัง นางเอากล่องเข็มไปด้วย นางอยาก
“แล้ว..เกิดอะไรขึ้น” แม่ทัพหลี่เบาเสียงลง กลัวจะทำให้ลูกสาวเสียงดังมากขึ้น“...ข้าก็ไม่รู้ เขาคงไม่อยากให้ข้าไปยุ่งกับเขา” นางตอบเบาลง“เหลวไหล ใครจะไม่อยากยุ่งกับลูกพ่อ” แม่ทัพหลี่รีบเอาใจ“มาๆ กินเยอะๆ เดี๋ยวพ่อไปถามให้ ถ้าเขาไม่ยอมพูด พ่อจะบังคับให้เขาพูดให้ได้” เขาหยิบอาหารใส่ถ้วยให้นาง เอาอกเอาใจลูกสาวเต็มที่“ไม่ต้อง ข้า..ข้าจะ ไปถามด้วยตัวเอง”หลี่เฟิ่งเซียนพอจะนึกบางอย่างได้ นางพาลู่มู่เฉินมาที่นี่ อ้างว่ามารักษาตัว แต่ไม่เคยถามว่าเขาอยากอยู่หรือไม่ ท่านพ่อของนางเป็นถึงแม่ทัพ หากเขาไม่เอ่ยปาก ผู้ใดจะกล้าออกไปจากที่นี่ บางทีลู่มู่เฉินอาจไม่อยากอยู่ที่นี่ เขาอาจรู้สึกไม่ต่างจากถูกคุมขังในกรงสุนัข เขาอาจอยากกลับไปหาครอบครัวสุดท้ายหลี่เฟิ่งเซียนตัดสินใจจะถามให้กระจ่าง นางตามหาเขาจนพบเขาอยู่ที่ห้องเก็บยา“ลู่มู่เฉิน ข้ามีเรื่องอยากถามเจ้า” หลี่เฟิ่งเซียนมาถึงก็ถามตรงๆ“..อืม” เขาหันมามองนางครู่หนึ่ง และหันไปยุ่งกับการตวงยาต่อไป“เจ้าอยากกลับบ้านของเจ้าหรือไม่”“ใครบ้างจะไม่อยากกลับบ้าน”เขาตอบตามจริง แต่นางรู้สึกบางอย่างในอกหนักอึ้ง“เจ้ามีบ้านหรือไม่ มีพ่อแม่ ภรรยา...หรือคนที่รอใ
ค่ำวันนั้นนางไปหามู่เฉินคนชั่วของนาง แต่ท่านหมอบอกว่าเขาไม่อยู่ออกไปอาบน้ำ หลี่เฟิ่งเซียนไปรอเขาที่ห้องของเขาอยู่นานเขาก็ยังไม่กลับ นางจึงบุกไปที่ห้องอาบน้ำ แต่เขาก็ไม่อยู่ที่นั่น หลี่เฟิ่งเซียนรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ นางกลัวว่าเขาจะออกไปข้างนอกค่ายแล้วเกิดถูกจับตัวไปขายอีกครั้งหลี่เฟิ่งเซียนวิ่งกลับไปที่ห้องของนางเพื่อหยิบกระบี่ไปช่วยเขา แต่กลับพบเขากำลังนั่งปลอบใจยู่ยี่ที่ร้องไห้อยู่ นางมองเขากำลังใช้มืออีกข้างตบหลังยู่ยี่เบาๆ อย่างปลอบโยน จู่ๆ นางก็เกิดไม่กล้าเดินเข้าไปรบกวนพวกเขา ในใจของนางมีบางอย่างหนักอึ้งจนนางเองก็อธิบายไม่ได้หลี่เฟิ่งเซียนหอบกล่องใส่เข็มไปนั่งเหม่อมองดวงดาวบนท้องฟ้าที่ริมน้ำ เพราะนางไม่กล้าเข้าห้องของตัวเอง สายลมเย็นส่งเสียงหวีดเป็นบางครั้ง เสียงน้ำไหลกระทบก้อนหิน แม้จะหนวกหู แต่ช่วยให้นางสงบ ไม่ต้องได้ยินเสียงจี้ดๆ ที่ได้ยินในหูตั้งแต่เห็นสองคนนั้นนั่งด้วยกันยิ่งมืดดวงดาวยิ่งแจ่มชัด แต่จู่ๆ กลับมีแสงไฟใกล้นางมาทุกที หลี่เฟิ่งเซียนกลัวว่าจะมีคนร้ายมาแอบจับตัวนางไปอีก จึงรีบหลบหลังพุ่มไม้ แอบก่นด่าตัวเองในใจที่ไม่รู้จักระวัง มืดแล้วยังไม่ระวังตัว ถูกจับไป