หลี่เฟิ่งเซียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ได้ แต่ข้าไม่ตัดนะ ท่านพ่อไม่ให้เอาใจเจ้า” นางบอก
“...ข้าเพียง อยากได้กรรไกร” เขาไม่รู้จะรับมือกับนางอย่างไร
“ห้ามใช้กรรไกร ท่านแม่บอกว่ามันอาจตัดวาสนารัก เจ้าอาจได้พบหญิงงามน้อยลง ผมเส้นหนึ่งคือคนงามหนึ่งคน” นางอธิบาย
“...” เขาไม่รู้จะบอกกับนางอย่างไรดี หากไม่ใช้กรรไกร เขาจะตัดผมตัวเองอย่างไร หากผมหนึ่งเส้นคือคนงามหนึ่งคน ชีวิตนี้เขาต้องมีวาสนารักกับคนงามกี่คนกัน เขาได้แต่ถอนหายใจ
“ไม่ต้องห่วง ข้าใช้กระบี่ตัดให้เจ้าได้ ข้าบอกก่อน นี่ไม่ใช่เอาใจเจ้า แต่ข้ากำลังตอบแทนบุญคุณ” นางบอกเขา
เขาได้แต่พยักหน้าและลุกออกไป นางจะใช้กระบี่ตัดผมตอบแทนคุณ
‘หากกระบี่ตอบแทนคุณไม่ได้ตัดเส้นผม แต่ตัดอย่างอื่น ยังจะใช่การตอบแทนคุณอยู่หรือ?’ เขานึกในใจแต่ไม่ได้พูดออกไป
เขานั่งรอหลี่เฟิ่งเซียนด้านนอกกระโจม สักพักนางก็ตามออกมา ถือกระบี่และมีดสั่นมาด้วย เขารู้สึกใจชื้นขึ้นบ้าง อย่างน้อยนางยังรู้ว่ากระบี่ไม่ใช่เครื่องมือตัดผม
แต่เขาวางใจได้เพียงครู่ นางก็พูดขึ้นว่า
“เตรียมตัว”
ลู่มู่เฉินขมวดคิ้ว เตรียมตัวอันใด เขามองนาง เห็นนางมองกลับมา ตั้งท่าอย่างมั่นใจ เขาได้แต่กำเสื้อตัวเองไว้แน่น หลับตา นั่งหลังตรงไม่กล้าขยับ
ครู่ต่อมาเขารู้สึกบางอย่างเฉี่ยวหัวไปเร็วๆ ได้ยินเสียงนางวางกระบี่ลงข้างๆ และรู้สึกว่านางเข้ามาใกล้ตัวเขา
หลี่เฟิ่งเซียนใช้กระบี่ตัดผมก้อนนั้นไปแล้ว แต่ยังมีบางเส้นตัดได้ไม่เรียบ นางจึงต้องใช้มีดสั้นค่อยๆ ตัดแต่งให้ดูดีขึ้นเล็กน้อย นางจึงต้องเข้าไปจับเส้นผมใกล้ๆ เพื่อจะได้ไม่ตัดถูกหนังหัวของเขา
ระหว่างที่กำลังเล็มผมให้เขา จู่ๆ เขาก็ลืมตาขึ้น นางอยู่ใกล้มากจนเห็นดวงดาวในตาของเขาชัดเจน มันงดงามจนนางอดมองไม่ได้ นางเห็นว่าดวงดาวกำลังสั่นระริก แต่เขากลับก้มหน้าหลบ
“เจ้าอย่าพึ่งหลบ ข้ายังอยากมองอีกหน่อย” นางพูดทั้งใช้มือข้างหนึ่งเชยคางของเขาให้เงยหน้ามาสบตากับนางอีกครั้ง
“ดวงดาวในตาของเจ้า งดงามมากรู้ตัวหรือไม่” นางเอ่ยชมอย่างจริงใจ
แต่ทันใดเขากลับหน้าแดงจนควบคุมไม่ได้ เขารีบปัดมือของนางออก
“เหลวไหล!!” เขาพูดและรีบลุกหนีจากตรงนั้น เดินจากไปทันทีไม่ยอมหันกลับไปมองหลี่เฟิ่งเซียนแม้สักนิด
“เจ้าหน้าแดงอันใดกัน ข้าไม่ได้เกี้ยวเจ้าสักหน่อย ข้าชมด้วยความจริงใจ อย่าได้เข้าใจข้าผิด เจ้าดูสภาพของเจ้าด้วย ไม่มีส่วนใดงดงามเลยนอกจากดวงตา ข้าเพียงชื่นชมข้อดีของเจ้าเท่านั้น ข้ายังชื่นชอบคนงามอยู่นะ” นางตะโกนแก้ตัวตามหลัง
หลังจากนั้นอีกสิบกว่าวัน ขบวนทัพใหญ่ก็ถึงชายแดนสวีโจว ทุกคนต่างมีชีวิตของตัวเอง มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ แม่ทัพหลี่มีงานรัดตัวตั้งแต่ไปถึง อ๋องเยียนก็มีเรื่องทางราชการต้องสะสาง ส่วนหลี่เฟิ่งเซียนก็มัวแต่ไล่ตามเกี้ยวอ๋องเยียน หยวนหยวนก็ต้องตามนางไปทุกที่
ลู่มู่เฉินไปช่วยท่านหมอดูแลคนป่วยในกองทัพ แม้ท่านหมอจะมองผมด้านหน้าของเขาที่แหว่งไปหลายครั้งแต่ก็ไม่ได้พูดสิ่งใด อย่างไรเขาก็น่าเกลียดมากไปกว่านี้ไม่ได้ เขาทั้งผอมแห้ง หน้าตอบ บนหลังมือยังมีแผลถลอกและตุ่มใสขึ้น ทั้งมืออีกข้างยังบาดเจ็บจนใช้งานไม่ได้ ถือว่าเป็นคนพิการไปแล้ว ยังดีที่เขามีความรู้ทางการแพทย์อย่างลึกซึ้ง สามารถช่วยงานท่านหมอได้เป็นอย่างดี ท่านหมอจึงยินดีสอนความรู้ให้กับลู่มู่เฉิน
ถึงแม้หลี่เฟิ่งเซียนจะไม่ได้ตามดูแลลู่มู่เฉิน แต่ทุกเช้านางจะสั่งให้ยู่ยี่ส่งน้ำแกงไก่ต้มยาให้เขา นานๆ ครั้งนางจะโผล่หน้าไปดูเขา นานวันเข้า แม้เขาจะกินข้าวได้น้อยเพียงใดเขาก็ยังมีเนื้อหนังมากขึ้น ผมตรงด้านหน้าก็ยาวมากขึ้น มือซ้ายเขาก็รักษาจนมันกลับมาคล้ายมือคน แม้จะไม่สามารถใช้งานได้แต่ผู้ใดเห็นก็ไม่ต้องหวาดกลัวอีก เหลือก็เพียงแผลถลอกและตุ่มใส เขาอ่านตำราของท่านหมอไปมากเพียงใดก็ยังไม่เจอหนทางรักษา
“ข้าเอาของมาส่งให้คุณหนูใหญ่” ชายผู้หนึ่งท่าทางคล้ายช่างตีเหล็ก เพียงแต่เขายังเด็กมาก อายุไม่น่าจะเกินสิบสอง หยวนหยวนจึงคาดว่าน่าจะเป็นเด็กส่งของ
“เจ้ามีอะไรก็วางไว้ เดี๋ยวข้าเอาไปให้คุณหนูใหญ่เอง ตอนนี้ข้ายุ่งอยู่” นางบอกเขา เด็กหนุ่มจึงวางกล่องไว้และกลับไป
ยู่ยี่ต้มน้ำแกงไก่ใส่ยาเสร็จก็นำไปให้ลู่มู่เฉิน กลับมาถึงที่จวนแม่ทัพ นางยังต้องเก็บกวาดห้องคุณหนูใหญ่อีกพักใหญ่ เพราะเมื่อคืนนางเมาหนักมาก ขว้างปาข้าวของสนุกสนาน วันนี้หยวนหยวนจึงทำงานหนักมาก ผ่านไปจนบ่ายเมื่อคุณหนูใหญ่ตื่น หยวนหยวนยังต้องวิ่งวุ่นเอาใจนายอย่างหลี่เฟิ่งเซียน หยวนหยวนจึงลืมเรื่องกล่องที่เด็กหนุ่มคนนั้นมาส่งไปสนิท
หลี่เฟิ่งเซียนใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรีมาก นางมีความสุขที่สวีโจว นางไม่ต้องการกลับไปเมืองหลวง แม้ท่านพ่อจะให้นางกลับหลายครั้ง แต่พอนางดื้อ เขาก็ไม่ได้พูดอันใดอีก ยามนี้นางอยู่ที่ชายแดนมาได้เกือบสองเดือนแล้ว
วันนี้นางตื่นมาปวดหัวยิ่ง จึงโมโหใส่ยู่ยี่ไป พวกนางทะเลาะกันแล้วยู่ยี่ก็ร้องไห้หนีไป ตอนนี้นางรู้สึกดีขึ้นจึงไปตามหายู่ยี่เพื่อขอโทษ แต่หาหลายที่แล้วก็ไม่พบ นางจึงไปหาที่ครัว ไม่พบยู่ยี่ แต่พบกล่องใส่บางสิ่งที่ดูประณีตมาก
‘ยู่ยี่เตรียมไว้ให้ใครงั้นหรือ’ หลี่เฟิ่งเซียนสงสัย
สุดท้ายทนความสงสัยไม่ไหวจึงแอบเปิด ด้านในเป็นเข็มเล่มยาวสั้นแตกต่างกันไป มีหลายสิบเล่ม บางเล่มทำจากสำริด แต่บางเล่มทำจากเงิน บางเล่มยังหมุนเกลียวด้วย คล้ายเข็มของพวกหมอ แต่ถูกสั่งทำอย่างดี หลี่เฟิ่งเซียนจึงคิดว่าเป็นของที่จะมอบให้ผู้อื่น คิดไปคิดมา หมอที่ยู่ยี่รู้จักมีเพียงลู่มู่เฉิน หรือสาวใช้ของนางจะทำให้ลู่มู่เฉินจริงๆ
‘หรือยู่ยี่จะแอบชอบมู่เฉินคนชั่วนั่น ตายแล้ว!!’ หลี่เฟิ่งเซียนตาโต รีบยกมือมาปิดปากตัวเอง กลัวว่าจะเผลอส่งเสียงไป มองซ้ายมองขวาคล้ายนางกำลังแอบทำเรื่องบางอย่างและเผลอไปได้ยินความลับของผู้อื่นเข้า
หลี่เฟิ่งเซียนปิดกล่องอย่างทะนุถนอม ค่อยๆ แอบกล่องไว้ด้านหลัง และวิ่งออกจากครัวโดยถือกล่องนั้นไปด้วย นางตัดสินใจจะมอบกล่องนี้ให้ลู่มู่เฉินแทนยู่ยี่ เพราะดูแล้วยู่ยี่คงไม่กล้ามอบให้เขาถึงได้แอบเอามาวางทิ้งไว้ในครัวเช่นนี้
หลี่เฟิ่งเซียนคิดไปไกล
“ข้าไม่เป็นไร มันหายแล้ว แต่มันไม่เหมือนเดิมแล้ว อย่างไรก็ยังต้องเป็นเช่นนี้เวลาอากาศหนาวมากๆ” เขาหลบตามองต่ำอธิบาย“เช่นนั้นเพราะหนาวหรือถึงได้เจ็บ” นางถาม ลู่มู่เฉินพยักหน้าหลี่เฟิ่งเซียนทำหน้าดุก่อนจะวิ่งไปที่เตียงดึงผ้าห่มมาห่อตัวเขาไว้“แล้วเจ้าหนีมานอนที่พื้นเพื่ออันใดกัน ต่อไปห้ามทำเช่นนี้อีก หากข้าเมาก็ต้องเรียกข้าให้เอาผ้าห่มให้เจ้า เข้าใจหรือไม่” นางดุลู่มู่เฉินพยักหน้ารับอีกครั้ง แต่ไม่กล้ามองนาง ไม่กล้าบอกนางว่ามือข้างนี้จะไม่หาย มันยังคงต้องเจ็บเช่นนี้ไปตลอดชีวิต แม้จะตัดทิ้งความรู้สึกเจ็บปวดที่ไม่มีอยู่จริงก็ยังเกิดขึ้น เวลานี้ก็ยังรู้สึกเจ็บมาก แต่อย่างไรก็ต้องทนต่อไป เขาไม่ต้องการให้นางไม่สบายใจแต่ห่มผ้าให้เขาแล้วนางก็ไม่ยอมไปไหน ยังคงนั่งมองเขา ทั้งยังกระเถิบมาใกล้ขึ้นจ้องมองเขาไม่วางตา ลู่มู่เฉินได้แต่ก้มหน้าไม่กล้าเอ่ยคำพูด แต่แล้วนางก็ยกมือขึ้นมาเช็ดบางอย่างที่ข้างแก้ม“เจ้านอนน้ำลายไหลเปื้อนแก้มด้วย”“!!..” เขาตกใจรีบก้มหน้าไม่ยอมให้นางเช็ดคราบน้ำลาย“ชิ ทำเป็นเล่นตัว อย่างไรเจ้าก็แต่งกับข้าแล้ว เป็นหรือตายก็ต้องเป็นคนของข้า” หลี่เฟิ่งเซียนรู้สึกอารมณ์เสีย เมื
เขาจึงยังไม่ได้พูดคุยกับนางให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำได้แต่คาดเดา เพราะเขาถามอ๋องเยียนก็แล้ว ท่านหมอก็ถามแล้ว แม้แต่แม่ทัพหลี่เขาก็พยายามถามแล้ว แต่ไม่มีผู้ใดตอบคำถามของเขา"ตาของเจ้างดงามมากจริงๆ ราวกับเก็บดวงดาวยามค่ำคืนไว้ทั้งท้องฟ้า" พูดแล้วนางก็ล้มใส่ตัวเขา หลับไปทั้งเช่นนั้น‘ความฝันที่เป็นได้เพียงความฝัน ห้ามคิดฝันเกินตัว มันต้องมีบางสิ่งทำให้ท่านแม่ทัพตัดสินใจเช่นนี้ นางต้องทำความผิดใดจนท่านแม่ทัพโกรธ จนต้องลงโทษนางให้แต่งกับคนอัปลักษณ์ใกล้ตายเช่นเขา’ ลู่มู่เฉินตักเตือนตัวเองเขามั่นใจว่างานแต่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะนางชอบเขา หรือเพราะดันมีคนรู้เข้าว่าเขาชอบนาง เขารู้ว่าต้องมีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้น นางจึงถูกบังคับให้แต่งกับเขาเขารู้ว่านางพูดชมเขาโดยไม่มีสิ่งใดลึกซึ้ง เพราะนางเป็นคนเช่นนั้น ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม พูดสิ่งที่คิดออกมาตรงๆ เพียงแต่..ทุกครั้งที่นางพูดเช่นนี้ ในอกของเขายังคงสั่นระรัวไม่เป็นจังหวะ ในท้องปั่นป่วนคล้ายมีผีเสื้อนับพันกำลังโผบินลู่มู่เฉินแอบยิ้มน้อยๆ งานแต่งนี้อาจต้องจบลงสักวัน เขาย่อมรู้ดี แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นงานแต่งของเขากับนาง หากนางยังตื่นอยู่ เขาก็จะปั้น
แม่ทัพหลี่หันหน้าแบบประหลาดมากมามองลูกสาว เขากะพริบตาไล่ความงุนงง สังเกตอาการของลูกสาวที่หน้าแดงกระวนกระวายทำสิ่งใดไม่ถูก จู่ๆเขาก็เข้าใจทุกอย่าง‘ข้าว่าแล้วเชียว เท่าที่จำได้ ไอ้หนุ่มนั่นเป็นคนเดียวที่ทำให้ลูกข้าเงียบได้ใช่หรือไม่ แต่มันดูแลลูกข้าได้แน่หรือ ถึงอย่างไรนางก็ดูจะชอบมันเข้าแล้วจริงๆ ข้าไม่เคยเห็นนางเป็นเช่นนี้เลย’ แม่ทัพหลี่คิด ยิ่งคิดยิ่งตกใจ นี่เขาไม่เคยสังเกตเลยจริงๆ สุดท้ายเขาไม่พูดสิ่งใดแต่เดินดุ่มๆ ออกไปจากห้องโถงทันทีปล่อยให้หลี่เฟิ่งเซียนและอ๋องเยียนมองตามอย่างงุนงง ก่อนที่นางจะคิดบางอย่างได้และตะโกนออกไป“ท่านพ่อ ห้ามฆ่าเขานะ!!” แล้วนางก็วิ่งตามแม่ทัพออกไป อ๋องเยียนค่อยๆพ่นลมออกมา รู้สึกโล่งอกที่คนถูกฆ่าไม่ใช่เขาลู่มู่เฉินกำลังช่วยเตรียมยาให้ทหารนายหนึ่ง ขาของเขาขาด ไม่ได้ทำแผลให้สะอาดแต่ต้น ยามนี้จึงทั้งบวมและเป็นหนอง“ลู่มู่เฉิน!!” แม่ทัพหลี่ตะโกนเรียกชื่อเขาแต่ไหล “หยุดนะท่านพ่อ ห้ามฆ่าเขาเด็ดขาด!” หลี่เฟิ่งเซียนวิ่งตามหลังแม่ทัพหลี่มาติดๆ ตะโกนอย่างร้อนรนลู่มู่เฉินไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่นางคงก่อเรื่องอีกแล้ว เขาถอนหายใจ ยื่นห่อยาให้ทหารอย่างใจเย็น ก
หลี่เฟิ่งเซียนค่อยๆหันกลับไป กะพริบตาปริบๆ ไม่อยากเชื่อว่าใครๆก็มองออก แต่นางไม่รู้ตัว นี่นางโง่เพียงนี้เชียวหรือ“เจ้าไม่ชอบเขา แล้วสั่งทำกล่องเข็มให้เขาทำไมหรือ” นางยังคาใจ“ท่านเป็นคนสัญญาว่าจะออกเงินสร้างสิ่งที่เขาอยากได้ไม่ใช่หรือเจ้าคะ เขาบอกว่าอยากได้กล่องเข็มครบ 18 แบบ ข้าจึงไปสั่งร้านช่างในหมู่บ้านให้ ใช้เวลาหลายสิบวันกว่าจะเสร็จ วันก่อนช่างเอามาส่งแต่ข้าลืมบอกท่าน” ยู่ยี่อธิบายนางสัญญาไปเช่นนั้นจริงๆ นางรีบร้อนจะตามอ๋องเยียนไปขี่ม้าดูบึงใหญ่ จึงรับปากเขาไปส่งๆ จนนางก็ลืมไปแล้ว ดังนั้น ถือว่ากล่องเข็มนี้นางเป็นคนมอบให้เขา ไม่ใช่ยู่ยี่หัวใจของหลี่เฟิ่งเซียนพองโต นางไม่ต้องแย่งชิงเขากับยู่ยี่ เขาไร้ญาติขาดมิตร ครอบครัวก็ไม่มี ขอเพียงนางรวบหัวรวบหาง เขาต้องเป็นของนางแน่ ถึงเขาจะน่าเกลียดมากไปหน่อย แต่ไม่เป็นไร อย่างน้อยนัยน์ตาของเขางดงามมาก นางชอบนัยน์ตาของเขาที่ราวกับเก็บดวงดาวไว้ทั้งท้องฟ้ายามค่ำคืนคิดแล้วนางก็หยุดตัวเองไม่ได้ อยากจะไปหาเขาตอนนี้เสียเลย หลี่เฟิ่งเซียนวิ่งไปหาลู่มู่เฉิน ไม่สนใจว่ายามนี้ดึกมากเพียงใด ยู่ยี่ห้ามอย่างไรนางก็ไม่ฟัง นางเอากล่องเข็มไปด้วย นางอยาก
“แล้ว..เกิดอะไรขึ้น” แม่ทัพหลี่เบาเสียงลง กลัวจะทำให้ลูกสาวเสียงดังมากขึ้น“...ข้าก็ไม่รู้ เขาคงไม่อยากให้ข้าไปยุ่งกับเขา” นางตอบเบาลง“เหลวไหล ใครจะไม่อยากยุ่งกับลูกพ่อ” แม่ทัพหลี่รีบเอาใจ“มาๆ กินเยอะๆ เดี๋ยวพ่อไปถามให้ ถ้าเขาไม่ยอมพูด พ่อจะบังคับให้เขาพูดให้ได้” เขาหยิบอาหารใส่ถ้วยให้นาง เอาอกเอาใจลูกสาวเต็มที่“ไม่ต้อง ข้า..ข้าจะ ไปถามด้วยตัวเอง”หลี่เฟิ่งเซียนพอจะนึกบางอย่างได้ นางพาลู่มู่เฉินมาที่นี่ อ้างว่ามารักษาตัว แต่ไม่เคยถามว่าเขาอยากอยู่หรือไม่ ท่านพ่อของนางเป็นถึงแม่ทัพ หากเขาไม่เอ่ยปาก ผู้ใดจะกล้าออกไปจากที่นี่ บางทีลู่มู่เฉินอาจไม่อยากอยู่ที่นี่ เขาอาจรู้สึกไม่ต่างจากถูกคุมขังในกรงสุนัข เขาอาจอยากกลับไปหาครอบครัวสุดท้ายหลี่เฟิ่งเซียนตัดสินใจจะถามให้กระจ่าง นางตามหาเขาจนพบเขาอยู่ที่ห้องเก็บยา“ลู่มู่เฉิน ข้ามีเรื่องอยากถามเจ้า” หลี่เฟิ่งเซียนมาถึงก็ถามตรงๆ“..อืม” เขาหันมามองนางครู่หนึ่ง และหันไปยุ่งกับการตวงยาต่อไป“เจ้าอยากกลับบ้านของเจ้าหรือไม่”“ใครบ้างจะไม่อยากกลับบ้าน”เขาตอบตามจริง แต่นางรู้สึกบางอย่างในอกหนักอึ้ง“เจ้ามีบ้านหรือไม่ มีพ่อแม่ ภรรยา...หรือคนที่รอใ
ค่ำวันนั้นนางไปหามู่เฉินคนชั่วของนาง แต่ท่านหมอบอกว่าเขาไม่อยู่ออกไปอาบน้ำ หลี่เฟิ่งเซียนไปรอเขาที่ห้องของเขาอยู่นานเขาก็ยังไม่กลับ นางจึงบุกไปที่ห้องอาบน้ำ แต่เขาก็ไม่อยู่ที่นั่น หลี่เฟิ่งเซียนรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ นางกลัวว่าเขาจะออกไปข้างนอกค่ายแล้วเกิดถูกจับตัวไปขายอีกครั้งหลี่เฟิ่งเซียนวิ่งกลับไปที่ห้องของนางเพื่อหยิบกระบี่ไปช่วยเขา แต่กลับพบเขากำลังนั่งปลอบใจยู่ยี่ที่ร้องไห้อยู่ นางมองเขากำลังใช้มืออีกข้างตบหลังยู่ยี่เบาๆ อย่างปลอบโยน จู่ๆ นางก็เกิดไม่กล้าเดินเข้าไปรบกวนพวกเขา ในใจของนางมีบางอย่างหนักอึ้งจนนางเองก็อธิบายไม่ได้หลี่เฟิ่งเซียนหอบกล่องใส่เข็มไปนั่งเหม่อมองดวงดาวบนท้องฟ้าที่ริมน้ำ เพราะนางไม่กล้าเข้าห้องของตัวเอง สายลมเย็นส่งเสียงหวีดเป็นบางครั้ง เสียงน้ำไหลกระทบก้อนหิน แม้จะหนวกหู แต่ช่วยให้นางสงบ ไม่ต้องได้ยินเสียงจี้ดๆ ที่ได้ยินในหูตั้งแต่เห็นสองคนนั้นนั่งด้วยกันยิ่งมืดดวงดาวยิ่งแจ่มชัด แต่จู่ๆ กลับมีแสงไฟใกล้นางมาทุกที หลี่เฟิ่งเซียนกลัวว่าจะมีคนร้ายมาแอบจับตัวนางไปอีก จึงรีบหลบหลังพุ่มไม้ แอบก่นด่าตัวเองในใจที่ไม่รู้จักระวัง มืดแล้วยังไม่ระวังตัว ถูกจับไป