“เจ้านั่นแหละเจ็บ โง่ไปแล้วหรือ” หลี่เฟิ่งเซียนด่าไปเช่นนั้น แต่กลับโถมตัวเข้าไปกอดเขาไว้ ยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้น
“เจ้า..ไม่โกรธนางหรือ นางดึงผมของเจ้าหลายเส้น..”
“เจ้าโกรธแทนข้าแล้วไม่ใช่หรือ อึก ฮือ” หลี่เฟิ่งเซียนกอดเขาแน่นขึ้น
“ฮือๆ ..วันหลังห้ามทำเช่นนี้อีก เข้าใจหรือไม่.. ฮือๆ” นางพูด
ลู่มู่เฉินตัวแข็ง สองมือยกไว้อย่างโง่งมไม่รู้จะทำอย่างไร เลิ่กลั่กจนทำอะไรไม่ถูก พยายามหายใจเข้าออกลึกๆ
“ได้ ไม่ทำแล้ว” เขารับปากเสียงสั่นเล็กน้อย
จ้าวเหลียงมองสองคน ก่อนจะถอนหายใจหันหลัง ปล่อยให้พวกเขาปลอบกันและกัน ลู่มู่เฉินต้องใช้เวลาทำใจสักครู่กว่าจะกล้าวางมือลงบนไหล่ของหลี่เฟิ่งเซียน เขาตบไหล่เบาๆ เป็นเชิงบอกว่าเขาไม่เป็นไร และเป็นการปลอบนางว่าไม่เป็นไร แต่นางยังคงกอดเอวเขาไว้แน่น
“ต่อไปข้าจะสอนวรยุทธ์ให้เจ้า เจ้าต้องเรียนทุกวัน เข้าใจหรือไม่” หลี่เฟิ่งเซียนตั้งปณิธาน
“ได้ ตามใจเจ้า” ลู่มู่เฉินตอบ
เขาลูบไหล่ไปสักครู่ นางกอดเขาแน่นขึ้น สองมือของเขาค่อยๆ กอดนางกลับ ครั้งได้กอดนางไว้ในอ้อมกอด เขากลับรู้สึกดีจนทำใจปล่อยไม่ได้ เขาออกแรงกระชับอ้อมกอด ดันนางให้ใกล้เข้ามาอีกนิด ค่อยๆ กอดแรงมากขึ้น มากขึ้นโดยไม่รู้ตัว เขาก้มหน้าลงมาหอมผมยุ่งเหยิงของนางอย่างหลงใหล กำลังเลื่อนริมฝีปากลงไปเรื่อย ใกล้ถึงข้างหู
“เบาหน่อย ..ข้าเจ็บ” หลี่เฟิ่งเซียนรู้สึกว่าถูกรัดจนแทบหายใจไม่ออกจึงพูดไปเช่นนั้น เหตุใดตัวผอมๆ เช่นเขาถึงได้แรงเยอะนัก
เขาสะดุ้ง อ้อมกอดของลู่มู่เฉินคลายทันที
“ขอโทษ!” ลู่มู่เฉินรีบร้อนพูดออกมา เสียงสั่นอย่างควบคุมไม่ได้
หัวใจของเขาเต้นแรงควบคุมไม่อยู่ เขาลืมตัวมากไป เขารีบเตือนตัวเองถอยออกมาจากตัวนาง หลี่เฟิ่งเซียนเห็นว่าเขาพยายามถอยออกจึงปล่อยมือ เงยหน้ามองเขา แต่ลู่มู่เฉินกลับยกมือขึ้นปิดหน้าเอาไว้ นางจึงเห็นไม่ชัดว่าเขารู้สึกอะไร
แต่จ้าวเหลียงที่หันหลังให้พวกเขากลับหน้าแดง เขินอายกับสิ่งที่พวกเขากระทำ นี่พวกเขาลืมว่ามีผู้อื่นอยู่ที่นี่ด้วยแล้วหรือ บรรยากาศที่นี่อึดอัดอย่างประหลาด จ้าวเหลียงอยากจะกระโดดหนีไปบนกำแพง แต่หากหนีไป ทุกอย่างจะยิ่งประหลาด ไหนจะหญิงคณิกาที่สลบอยู่ที่พื้นอีก
“อะแฮ่ม คือ พวกท่านจะให้ทำอย่างไรกับนาง” เขาจงใจส่งเสียงดัง
จ้าวเหลียงต้องแสดงตัวให้สองสามีภรรยารู้ว่าเขายังอยู่ตรงนี้ แม้เขาจะมีความสามารถในการอยู่เงียบๆ แต่เขายังมีสิ่งต้องทำ จึงทำได้เพียงอ้าปากกินอาหารสุนัข และส่งเสียงให้พวกเขารู้ตัว
“พานางกลับไปด้วย” หลี่เฟิ่งเซียนสั่ง
“ขอรับ” จ้าวเหลียงรับคำ รีบไปหยิบเสื้อของคุณหนูใหญ่ที่ถูกทิ้งมาห่อตัวหญิงขายตัวและอุ้มพาดบ่า กระโดดขึ้นกำแพงเสียงเงียบกริบหายไปทันที
“พวกเรากลับกันเถิด” หลี่เฟิ่งเซียนหันมาบอกลู่มู่เฉิน
“อืม” เขาตอบและเริ่มออกเดิน
“ไปถึงแล้วต้องรีบดูแผลของเจ้า” หลี่เฟิ่งเซียนสั่ง นางวิ่งมาจับมือเขาไว้ และเดินกุมมือเขากลับ ไม่คิดจะถามความสมัครใจ
“คำตอบล่ะ” นางหันมองหน้าเขา ย้ำถาม
“..อือ..” ลู่มู่เฉินแอบกัดฟัน ก้มหน้า พยายามควบคุมเสียงไม่ให้สั่น ความรู้สึกร้อนหนาวทั้งปวงไปรวมอยู่ที่มือข้างนั้น ข้างที่นางกำลังกุมไว้หลวมๆ เขาย้ำเตือนตัวเองอย่างหนักไม่ให้ขาดสติอีก
ถึงที่พัก ในห้องนอนของลู่มู่เฉิน หลี่เฟิ่งเซียนรีบบังคับให้ลู่มู่เฉินรีบถอดเสื้อทำแผล เขายังต้องถอดเสื้อให้นางใส่ยาทำแผล เขาหลับตานับนิ้วในใจ ราวกับนางเป็นเพียงหมอผู้หนึ่ง แม้หลายครั้งที่มือของนางแตะถูกเนื้อหนังของเขา มันจะทำให้จุดนั้นร้อนรุ่มคล้ายถูกไฟจี้ แต่เขาไม่ใส่ใจ
“เจ้าดูมีเนื้อหนังมากขึ้นจากแต่ก่อนมาก ก็ดี เช่นนี้จะได้มีแรง พรุ่งนี้ก็เริ่มฝึกเลยเถิด แผลของเจ้าก็ไม่ได้หนักหนามาก เพียงถลอกและช้ำเล็กน้อย” นางบอกพร้อมวางแผนสำหรับวันต่อไป
“อืม..” เขาตอบสั้นๆ ดึงเสื้อขึ้นจากเอวมาสวมเหมือนไม่มีสิ่งใด ทั้งที่มือของเขากำลังสั่นน้อยๆ
“ส่วนโรคของเจ้า คล้ายว่าจะเป็นมากขึ้น คงไม่มีเวลาแล้ว อย่างไรรีบกลับไปเมืองหลวงดีกว่า”
“เจ้า..ที่ต้องรีบกลับเพราะต้องรีบพาข้าไปรักษาหรือ” ลู่มู่เฉินถามหยั่งเชิง มือก็วุ่นวายใส่เสื้อ แต่เพราะความตื่นเต้นและมืออีกข้างใช้การไม่ได้ ถึงจะเร่งรีบแล้วแต่ก็ยังใส่เสื้อไม่เสร็จสักที
“ใช่แล้ว” หลี่เฟิ่งเซียนตอบ
นางเห็นว่าเขาใส่เสื้อไม่ได้สักทีจึงเดินมาใกล้ ยื่นมือไปช่วยเขาใส่เสื้อ เขากลับตกใจถอยหนึ่งก้าว ในตาตื่นตระหนก หลี่เฟิ่งเซียนรู้สึกหงุดหงิด
“จะเล่นตัวไปเพื่ออะไร อย่างไรเจ้าก็เป็นสามีของข้าแล้ว ถึงตัวเจ้าจะไม่ได้ชื่นชอบข้า แต่ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะไม่สนใจ ข้าจะทำให้เจ้ารักข้า ยินยอมเป็นสามีของข้า ชาตินี้เจ้าอย่าหวังจะได้ใบหย่าจากข้า” นางขู่ฟ่อๆ
นางเห็นว่าเขายกมือมาปิดปาก ตาโตตกใจกับสิ่งที่นางพูด แต่หลี่เฟิ่งเซียนไม่ใส่ใจ นางชอบเขา จะเอาเขาเป็นสามีให้ได้ นี่ถึงจะสมควรเป็นคุณหนูใหญ่ที่นางเคยเป็น เขาไม่ชอบนางแล้วอย่างไร รวบหัวรวบหางแล้วทำให้เขาชอบนางก็สิ้นเรื่อง เขางดงามมากเวลาที่ยิ้ม นางต้องการครอบครองเขา!!
หลี่เฟิ่งเซียนดึงตัวเขามาใกล้ บรรจงใส่เสื้อให้เขาอย่างดี ก่อนจะผูกเชือกผูกเอวให้เขา หลี่เฟิ่งเซียนถอยหลังมามองดูผลงานของตัวเอง นางดูแล้วตัดสินใจว่าใช้ได้ ร้องอืมออกมาคำหนึ่งและปล่อยเขาไว้ ก่อนออกจากห้องยังสั่งให้เขารีบพักผ่อน พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าเพื่อฝึกร่างกาย
หลังจากนางไปแล้ว ลู่มู่เฉินถึงกล้าเอามือลง หายใจเฮือกใหญ่เพื่อเอาอากาศเข้าไป เข่าอ่อนทรุดตัวนั่งลงกับพื้น เพราะตั้งแต่นางพูดคำพูดพวก จะทำให้เจ้ารัก, เล่นตัว, ยินยอมเป็นสามี, หรือ ชาตินี้อย่าหวังจะได้ใบหย่าจากนาง, เขาก็กลั้นหายใจ ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวมาก
นางพูดเรื่องพวกนั้นไปเพื่ออะไรกัน นางคิดจะล้อเขาเล่นหรือ ไม่กี่วันก่อนหน้านั้นนางยังไล่ตามเกี้ยวอ๋องเยียนทุกวัน วันนี้จะบอกว่านางชอบเขาแล้วหรือ จะเป็นไปได้อย่างไร เขาทั้งอัปลักษณ์ เป็นโรคประหลาด มีตุ่มใสตามตัว ไหนจะพวกแผลถลอกที่ต้องรักษาทุกวัน หญิงใดชื่นชอบก็แปลกแล้ว
ถึงจะปลอบใจตัวเองไปเช่นนั้น แต่เขากำลังสติแตก!!
“ข้าเป็นผู้ชายเหตุใดจะมองไม่ออกว่าเขาหวั่นไหวกับท่านแทบแย่ แต่พยายามเก็บอาการ ข้าไม่รู้ว่าท่านกับเขาผิดใจอันใดกัน แต่ลองพูดคุยกับเขาตรงๆ เขาย่อมต้องเข้าใจท่านอยู่แล้ว” จ้าวเหลียงให้คำแนะนำหลี่เฟิ่งเซียนหัวใจระส่ำไม่เป็นจังหวะ นางทำเรื่องเลวร้ายไปมากมายเช่นนั้น ยังจะมีเรื่องเข้าใจผิดอันใดอีก แต่หากเป็นดั่งที่จ้าวเหลียงพูดจริง นางควรทำเช่นไรดี อยากลองพูดคุยจริงจังกับเขาสักครั้ง แต่ก็กลัวว่าหากเขาตอบว่าชื่นชอบหญิงในชุดขาวผู้นั้น นางควรทำอย่างไร แต่หากเขาชอบนางอย่างที่จ้าวเหลียงพูดจริงๆ และนางปล่อยไปเช่นนี้ ดีแล้วแน่หรือ“ข้าต้องไปก่อนนะ” พูดแล้วหลี่เฟิ่งเซียนก็เดินออกจากห้องพักของจ้าวเหลียงทันที อยากรีบไปหาสามีของตัวเองเพื่อพูดคุยให้รู้เรื่องนางไปรอเขาที่หน้าประตูจวน เพียงไม่นานก็เห็นรถม้ากำลังใกล้เข้ามา นางรอจนกระทั่งรถม้าจอด เขาเปิดประตูออกมา นางคล้ายว่าไม่ได้เห็นเขามาหลายวันมาก คิดถึงเขาจนอยากวิ่งเข้าไปกอด แต่นางไม่กล้าหลี่เฟิ่งเซียนพบว่าเขากำลังมองมาที่นางเช่นกัน คล้ายว่าเขาจะขมวดคิ้วและทำหน้าโกรธ จู่ๆ นางก็กลัวที่จะเข้าไปหาเขา จึงเลือกที่จะหนีออกมาอย่างรวดเร็วลู่มู่เฉินรู้สึกเจ็
หลี่เฟิ่งเซียนเดินออกไปจากห้องนานแล้ว แต่เขายังคงนั่งมองมือซ้ายของเขา เขาเริ่มรู้สึกเสียใจที่วันนั้นตัดสินใจหักมือข้างนั้น คิดอีกที หากเขาไม่ทำเช่นนั้นคงไม่สามารถรอดมามีความสุขเช่นนี้ได้ แต่ความสุขเช่นนี้ดีแน่แล้วหรือ เขาคิดกลับไปกลับมาอยู่เช่นนั้นทั้งคืน บ่าวชายที่มาช่วยเขาเช็ดตัว เขาก็จำหน้าไม่ได้หลังจากเรื่องวันนั้น หลี่เฟิ่งเซียนก็หลบหน้าเขา แต่มีหยวนหยวนส่งน้ำแกงปลาและน้ำแกงไก่มาให้เขาทุกเช้า เขาเองแม้จะเริ่มคิดถึงนางมากแต่ไม่กล้าไปหานางที่ห้อง เพราะความอับอายที่ลูกผู้ชายคนหนึ่งต้องถูกจู่โจมอย่างสิ้นท่า ไร้การต่อต้านแม้นางจะพูดว่านางเป็นคนผิด แต่เขารู้ดีว่าไม่ใช่ หากวันนั้นเขาไม่ยินยอมจริงๆ นางตัวเล็กเพียงนั้นจะถึงขั้นขืนใจเขาได้หรือ เขาประเมินความต้องการของเขาผิดไป ไม่นึกว่าจะต้องการนางมากถึงขั้นขาดสติ ปล่อยให้เรื่องราวเช่นนั้นเกิดขึ้นต่อมาลู่มู่เฉินยังได้ยินพ่อบ้านพูดว่านายหญิงผู้เฒ่าร้อนใจจนทำอะไรไม่ถูก เพราะจู่ๆ หลี่เฟิ่งเซียนก็กลับไปเที่ยวหอเข่อซินอีกแล้ว ท่านพ่อบ้านขอให้เขาช่วยพูดกับคุณหนูใหญ่ว่าไม่ควรไปเที่ยวสถานที่เช่นนั้นอีกเพราะนางแต่งงานแล้วแต่เมื่อเขาเดินไปถึงหน้า
หลี่เฟิ่งเซียนหันไปมองแท่งหยกที่นางกำไม่มิดนั้น กลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น ตัดสินใจยกก้นขึ้นและจับท่อนหยกร้อนของเขาถูไปมา ยามนี้ผลท้อของนางเต็มไปด้วยน้ำแห่งความสุขแล้ว‘เพียงลูบคลำเจ้านี่ ข้าก็สามารถหลั่งน้ำแห่งความสุขได้แล้วหรือ’ นางสงสัย จำได้อาหงบอกว่าเช่นนี้นางจะเจ็บน้อยลงลู่มู่เฉินรู้ทันทีว่านางคิดจะทำอะไร ถึงเขาจะอยากให้นางทำ และต้องการมากเพียงใด แต่มโนสำนึกของเขาและความตั้งใจของเขายังคงทำให้เขามีแรงจะดึงสติกลับมาได้“อย่า อย่าทำเช่นนี้” เขาขอร้องอย่างร้อนรน“เจ้าไม่อยากเสียใจภายหลังหรอกนะ เชื่อข้าเถิด เฟิ่งเอ๋อร์” เขาอ้อนวอนนาง แต่หลี่เฟิ่งเซียนใช้มือข้างหนึ่งยันเขาไว้ บังคับไม่ให้เขาลุกขึ้นหนีไปไหน มืออีกข้างของนางก็จับแท่งหยกร้อนนั่นถูไปมาที่ร่องกลีบดอกไม้ของนาง ก่อนที่นางจะออกแรงดันตัวเองลงไป หลี่เฟิ่งเซียนรู้สึกได้ถึงความดุดันของท่อนหยางร้อนลวกของเขาที่กำลังดุนดันเข้าไปในร่องกลีบดอกท้อ“พอแล้ว ขอร้อง อย่าทำเช่นนี้ อย่า” เสียงต่ำแหบพร่าของเขาขอร้องให้นางหยุด ในขณะที่อีกใจหนึ่งของเขากำลังรอให้นางดันตัวลงมากอดรัดเอ็นอุ่นนั้นไว้ เพียงแค่นางถูไถโลมเล้าเคล้าคลึงไปมา ความนุ่มลื่
เขาพลิกตัวอยากจะกระโดดหนีลงไปด้านล่าง แต่เพียงแค่เขาเอียงตัวนางก็ใช้เท้าเล็กๆของนางเหยียบลงมาที่ไหล่ของเขา ดันให้เขาพลิกตัวประชันหน้ากับนางตรงๆ เขาอยากมีแรงมากกว่านี้เพื่อดันเท้านั้นให้หลุด น่าเสียดายที่วันนี้เขาอ่อนแอมากกว่าทุกที เขายังได้รับบาดเจ็บจากการทดลองยาอยู่ และภาพภรรยาตัวเปลือยเปล่า งดงามจนเขาตกตะลึง ลืมว่าต้องหนีสองมือถูกมัดไว้พ่ายหลัง ยิ่งดันให้ช่วงสะโพกแอ่นขึ้น ท่อนหยกร้อนของเขาชูชันแสดงตัวอย่างกับต้องการบอกให้นางรู้ว่าเขารู้สึกอย่างไร มันชูชันสูงใหญ่ดั่งเสาค้ำสวรรค์ก็ไม่ปาน หลี่เฟิ่งเซียนตาโต จ้องมองหัวใจสั่นไหว ลู่มู่เฉินงอขาและพยายามหนีบเจ้านั่นเอาไว้ แต่ยามนี้มันขยายใหญ่จนปิดไม่มิด ภาพที่นางอ้าขาเหยียบไหล่เขาเอาไว้ แม้งดงามจนเขาถอนสายตาไม่ได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาในฐานะบุรุษผู้หนึ่ง อย่างไรเขาก็ไม่อาจรับตัวเองได้ เขาอ้าปากเพื่อหายใจ หลับตาแน่นเพื่อลดทอนความอับอายในใจหลี่เฟิ่งเซียนมองดูเจ้าสิ่งนั้นแล้วตกใจไม่น้อย ในใจนางนึกถึงตอนเขาป่วยและนางเช็ดตัวให้เขา มันยังเล็กมากเท่านิ้วเท้าหัวแม่โป้ง แต่ยามนี้มันชูชันจนแทบจะใหญ่เท่าข้อมือของนาง! หลี่เฟิ่งเซียนเริ่มหายใจไม
แต่ครั้งเข้าไปในห้องของตัวเองและเห็นพวกรูปต่างๆ ที่อาหงวาดขึ้นเพื่อการเรียนรู้เหล่านั้น ในใจนางเกิดความรู้สึกหึงหวงอย่างบอกไม่ถูก ไม่ใช่ว่าเขาไม่ยอมเข้าหอกับนาง เพราะหญิงแพศยานั่น!!...พวกเขาไปถึงไหนกันแล้ว!! มิน่าเขาถึงได้เชี่ยวชาญมาก เพียงจูบก็ทำให้นางสามารถหลั่งน้ำแห่งความสุขได้ เขาอาจจะเคยทำกับผู้อื่นมาก่อน เขาถึงทำเช่นนั้นได้อย่างเชี่ยวชาญ นางยอมไม่ได้ นางต้องรีบรวบหัวรวบหางเขา!! ทนรอให้เขายินยอมด้วยตัวเองไม่ได้แล้ว!!หลี่เฟิ่งเซียนวิ่งไปถึงหน้าห้องของเขา เห็นว่าด้านในยังมีแสงไฟอยู่ นางผลักประตูเข้าไปไม่บอกกล่าวไม่เคาะประตู“เจ้า เจ้าเข้ามาได้อย่างไร” ลู่มู่เฉินเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เขากำลังใส่เสื้อผ้า นางก็ผลีผลามเข้ามา เขาตกใจ รีบร้อนใส่เสื้อให้เรียบร้อย แต่เชือกผูกเอวอยู่บนโต๊ะ เขายืนอยู่ใกล้เตียงนอน จึงทำได้เพียงใช้มือจับสาบเสื้อคลุมตัวยาวเอาไว้หลี่เฟิ่งเซียนเห็นว่าเขายังแต่งตัวไม่เรียบร้อย แผนในใจของนางผุดขึ้นมาเป็นร้อยแผน คำพูดของอาหงดังก้องอยู่ในหู‘หากเจ้าทำให้เขาภูมิใจมากพอ เขาจะเอ็นดูเจ้ามากขึ้น’นางหันไปปิดประตูลงกลอน ยังเดินไปปิดหน้าต่างที่เขาแง้มเอาไว้รับลมด้วย“เจ้า เจ้า
เรื่องราวในคืนนั้น ความหอมหวานที่เขากอดกกนาง รสจูบ ความนุ่มนิ่มนุ่มนวล ทุกอย่างทำให้เขาไม่กล้าเดินไปที่เตียงนั่น แม้บนเตียงนั้นจะเปลี่ยนผ้าปูผ้าห่มใหม่ทั้งหมดแล้วก็ตาม เขายังคงรู้สึกว่ากลิ่นหอมหวานจากตัวนางยังคงติดอยู่ที่จมูก'ตัวเจ้าหอมมาก' คำพูดของหลี่เฟิ่งเซียนลอยมา นางเคยพูดชมเขาเช่นนั้นหลายครั้งแล้ว เขาไม่แน่ใจว่านางได้กลิ่นอันใดทั้งที่บนตัวเขามีแต่กลิ่นยา เขาเองก็อยากจะบอกกับนางว่า 'ตัวเจ้าหอมน่ากินมาก' เพราะบนตัวของนางมีกลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายดอกไม้ผสมกลิ่นบางอย่างคล้ายหนิวหน่าย[1] ต้มผสมน้ำผึ้ง เป็นอาหารของชาวอิ่นตู้ที่เขาเคยได้ลิ้มลองเมื่อครั้งยังท่องเที่ยวไปทั่ว มันอร่อยและหอมติดจมูก ดังนั้นเมื่อเขาได้กลิ่นนี้จากตัวนาง เขาจึงรู้สึกน้ำลายสอ อยากจะกลืนกินครั้งแล้วครั้งเล่า เสียดายก็แต่เขาพูดออกไปเช่นนั้นไม่ได้ ในที่สุดลู่มู่เฉินก็ดึงผ้าห่มจากเตียงและลงไปนอนบนพื้นแทน เขาไม่รังเกียจที่จะนอนบนพื้นเพราะเขาเคยนอนในที่ที่ลำบากมากกว่านี้ พื้นแข็งๆที่ทำจากไม้ขัดมันอย่างดี ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการนอนหลับของเขาลู่มู่เฉินนอนหลับด้วยความยากเย็นเพราะมัวแต่คิดถึงนาง ในขณะที่หลี่เฟิ่งเซียนแทบ