หลี่เฟิ่งเซียนไม่กล้ามองไปทางเจ้าคนชั่ว แต่เห็นจากหางตาว่ามันเริ่มคลานไปหยิบเสื้อผ้าเน่าๆ ของมันมาสวมใส่ทีละชิ้น ก่อนจะคลานอย่างเจ็บปวดมาทางนาง
'สารเลว เมื่อครู่ถูกทุบตี เตะถีบไปขนาดนั้น มันยังกระสันไม่เลิก นี่มันยังคิดจะมาทำเรื่องย่ำยีข้าต่อหรือ!'
"ท่านยังไม่ตายหรอก ไม่ต้องกลัว ข้าโกหกเจ้าพวกนั้นเท่านั้น" เสียงของเจ้าคนชั่วเบาจนได้ยินกันเพียงสองคน
มันใช้มือเน่าๆ สองข้างใส่เสื้อผ้าให้หลี่เฟิ่งเซียน แม้นางจะแปลกใจอยู่บ้าง แต่ก็ยังคงหวาดกลัวและขยะแขยงมือคู่นั้น แต่ไม่อาจขยับตัวมาก นางหลับตายอมรับความอัปยศปล่อยให้มือผอมแห้งคู่นั้นใส่เสื้อผ้าให้
"อีกครู่ หากพวกมันยังไม่เชื่อ พวกมันอาจลงมาตรวจร่างกายของท่าน ท่านควรโวยวายให้มาก ร้องไห้ได้จะยิ่งดี อย่าให้พวกมันตรวจภายในของท่าน อย่าให้พวกมันรู้ว่าข้าไม่ได้ทำอะไรท่าน” เจ้าคนชั่วพูดอย่างปลอบประโลม
‘สารเลว เจ้าทำไปตั้งมากมายเพียงนั้น ยังถือว่าไม่ได้ทำอะไรข้าได้อีกหรือ’ หลี่เฟิ่งเซียนคิด
“แต่หากพวกมันไม่ลงมาจนพรุ่งนี้ ข้าจะทำแผลถลอกปลอมให้ท่าน ท่านต้องอดทน เข้าใจหรือไม่ ไม่ต้องกลัว ข้าเป็นหมอ" เจ้าคนเลวยังคงพูดต่อ
หลี่เฟิ่งเซียนค่อยๆ ลืมตามองเขาอย่างสับสน ตกลงคนชั่วตรงหน้านางต้องการสิ่งใด ตกลงว่ามันได้ย่ำยีนางแล้วหรือว่ายังไม่ได้ทำกันแน่ นางจะเชื่อเขาได้จริงหรือ
หลังจากใส่เสื้อผ้าให้นางคร่าวๆ มันก็นั่งลงข้างๆ ฉีกสาบเสื้อเน่าๆ ตัวนั้น และหยิบห่อกระดาษบางเฉียบออกมา เปิดด้านใน มีผงบางอย่างสีขาวผสมสีดำ
"อ้าปาก" มันสั่ง
หลี่เฟิ่งเซียนสั่นหัว ส่งสายตาที่บ่งบอกว่า
‘ไม่! ต่อให้เจ้าบังคับข้าก็จะขอตาย’
เขาเห็นนางทำหน้าตาเช่นนั้นก็ส่ายหัว
"นี่เป็นยา ช่วยบรรเทาอาการปวดแสบในลำคอของท่าน ข้าเป็นหมอจริงๆ รีบกินก่อนที่พวกมันจะลงมา" เขาอธิบาย
นางยังคงส่งสายตารังเกียจไปที่เขา นางไม่มีทางเชื่อเขา หากเขาหลอกนางเล่า คิดแล้วสะบัดหน้าหันไปทางอื่น พร้อมกับขยับหนี เขากลับยื่นมือผอมๆ น่ารังเกียจนั่นมารั้งนางไว้
"ไม่!! ห้ามให้พวกมันเห็นเสื้อคลุมราคาแพงของท่าน จะให้พวกมันรู้ว่าท่านมีฐานะไม่ได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นั่งอยู่ที่นี่ ซ่อนเสื้อคลุมนั่นไว้" เขากระซิบ
หลี่เฟิ่งเซียนคล้ายตระหนักถึงบางอย่างได้ มิน่าเจ้าคนเลวถึงฉีกเสื้อคลุมตัวนอกของนางและซ่อนเอาไว้ใต้กองฟาง
ก่อนออกมานางปลอมตัวจึงใส่เสื้อผ้าเก่าๆ ของแม่ครัวในจวนเพื่อปลอมตัว และเตรียมสัมภาระของตัวเองมาด้วยห่อหนึ่ง แต่เพราะคืนที่พักในโรงเตี๊ยมอากาศค่อนข้างเย็น นางจึงหยิบเสื้อตัวนอกปกติของนางใส่ และถูกจับมาที่นี่ คราแรกนางเข้าใจว่าโดนจับเพราะนางเป็นบุตรสาวของจวนแม่ทัพ ยามนี้คล้ายว่าไม่ใช่เช่นนั้น มีหญิงสาวหลายคนโดนจับ และนางก็เป็นหญิงสาวโง่ๆ ที่เดินทางคนเดียว โชคร้ายถูกจับมาพร้อมหญิงโชคร้ายคนอื่น
‘พวกนางจะถูกย่ำยี หลังจากนั้นจะถูกขาย หน้าตาดีอาจได้ไปอยู่หอนางโลม หน้าตาเลวอาจถูกส่งไปอยู่รับใช้คนงานบนเรือ’ เสียงของแม่ทัพหลี่ดังในความทรงจำของหลี่เฟิ่งเซียน เกี่ยวกับบางเรื่องที่เกิดขึ้นช่วงนี้ นางรู้แล้วว่าหญิงสาวพวกนั้นจะถูกพาไปทำอะไร
แต่คิดได้เช่นนั้น ในใจของหลี่เฟิ่งเซียนยิ่งหวาดกลัว หมายความว่าจะไม่มีใครรู้ว่านางถูกจับตัว จะไม่มีผู้ใดออกตามหานาง กว่าท่านพ่อและอ๋องเยียนจะรู้ข่าว นางอาจตายไปแล้ว หลี่เฟิ่งเซียนยิ่งดิ้นรน อยากหลุดพ้นจากการถูกมัด แต่นางคล้ายไม่มีเรี่ยวแรง อาจเพราะนางถูกวางยา และหิวโหยเนื่องจากไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เมื่อคืน
หลี่เฟิ่งเซียน คุณหนูใหญ่แห่งจวนแม่ทัพหลี่ ร้องไห้เพราะความหวาดกลัวเป็นครั้งแรก แต่ชายสารเลวคนข้างๆ กลับไม่สนใจ ใช้นิ้วมือผอมแห้งของเขาจุ่มลงไปในผงยาและยื่นมาทาที่คอของหลี่เฟิ่งเซียน
ถึงนางจะพยายามบ่ายเบี่ยง แต่พอยาถูกทาไปที่ผิวหนัง ความแสบร้อนที่เผาบริเวณนั้นก็เบาบางลงทันที นางจึงนั่งนิ่งปล่อยให้คนชั่วทายาที่คอให้ สุดท้ายยังอ้าปากกลืนยาทั้งหมดลงไปอีกด้วย ถึงแม้ในใจของหลี่เฟิ่งเซียนจะยังคงรังเกียจมือผอมแห้ง ผิวหนังที่เต็มไปด้วยตุ่มน้ำใสและแผลถลอกเหล่านั้นก็ตาม
ไม่นานจากนั้น มีคนท่าทางคล้ายหมอหญิงลงมาตรวจร่างกายของนาง ตามคำพูดของเจ้าคนเลวนั่นไม่ผิด นางยังแสดงงิ้วฉากหนึ่ง ร้องห่มร้องไห้คร่ำครวญว่าตัวเองจะตายในไม่ช้า ชีวิตตัวเองช่างอนาถา ถูกย่ำยีทั้งที่ไม่มีสามี
นางไม่ยอมให้หมอหญิงตรวจดีๆ สุดท้ายหมอหญิงใช้ไม้ยาวเขี่ยๆ เปิดกระโปรง เห็นว่ากางเกงตัวในมีเลือดเปื้อน ซึ่งเป็นเลือดที่เจ้าคนชั่วทาเอาไว้ก่อนจะย่ำยีนาง คงจะเป็นตอนที่เขาใช้มือลูบส่วนหวงแหนก่อนจะกอดนางไว้ หมอหญิงจึงตัดสินใจกลับไปเช่นนั้น
'ฮึ่ม! ไม่รู้จักคุณหนูใหญ่ของจวนแม่ทัพหลี่เช่นข้าเสียแล้ว' หลี่เฟิ่งเซียนภาคภูมิใจ
แม้จะถูกเจ้าคนชั่วมองด้วยสายตาหยามเหยียดนางก็ไม่ใส่ใจ สุดท้ายยังคงเหลือพวกเขาในคุกใต้ดินกันเพียงสองคน
ผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจรู้ แต่ไม่มีแสงสว่างส่องมาที่คุกแล้ว ระหว่างนั้นหลี่เฟิ่งเซียนยังคงนั่งทับเสื้อคลุมไม่ยอมลุกไปทางใด เจ้าคนชั่วก็นั่งนิ่งอีกมุมห้อง ในที่สุดก็มีคนเข้ามาพร้อมคบเพลิง เจ้าคนชั่วรีบวิ่งมาเกาะแกะหลี่เฟิ่งเซียน ทำท่าทางพยายามดึงสายผูกเอวของนาง
"ดูเจ้าสองคนสนุกสนานกันดีเหลือเกินนะ" ผู้มากล่าว
เจ้าคนชั่วนั่นรีบวิ่งไปคุกเข่า
"นายท่าน พาข้าออกไปด้วยเถิด จะให้ทำสิ่งใดข้าทำได้ทั้งสิ้น" มันขอร้องผู้มาใหม่อย่างหน้าไม่อาย ชายผู้นั้นมองเหยียดอย่างสมเพช
"ข้าแค่มาดูว่าพวกเจ้าตายหรือยัง นายท่านไม่อยากให้มีปัญหาตอนที่กองทัพกำลังจะเดินทางผ่าน"
พูดเสร็จก็โยนแผ่นแป้งแข็งสองแผ่นลงพื้นที่เต็มไปด้วยน้ำสกปรก หลี่เฟิ่งเซียนไม่ได้สนใจแผ่นแป้งแม้จะหิวมาก เพราะหัวใจของนางกำลังเต้นแรงหลังจากได้ยินคำว่า กองทัพ
" รีดคิดว่ายังไงกันบ้างคะ ตกลงคุณหนูใหญ่ถูกย่ำยีหรือยัง?
“ข้าไม่เป็นไร มันหายแล้ว แต่มันไม่เหมือนเดิมแล้ว อย่างไรก็ยังต้องเป็นเช่นนี้เวลาอากาศหนาวมากๆ” เขาหลบตามองต่ำอธิบาย“เช่นนั้นเพราะหนาวหรือถึงได้เจ็บ” นางถาม ลู่มู่เฉินพยักหน้าหลี่เฟิ่งเซียนทำหน้าดุก่อนจะวิ่งไปที่เตียงดึงผ้าห่มมาห่อตัวเขาไว้“แล้วเจ้าหนีมานอนที่พื้นเพื่ออันใดกัน ต่อไปห้ามทำเช่นนี้อีก หากข้าเมาก็ต้องเรียกข้าให้เอาผ้าห่มให้เจ้า เข้าใจหรือไม่” นางดุลู่มู่เฉินพยักหน้ารับอีกครั้ง แต่ไม่กล้ามองนาง ไม่กล้าบอกนางว่ามือข้างนี้จะไม่หาย มันยังคงต้องเจ็บเช่นนี้ไปตลอดชีวิต แม้จะตัดทิ้งความรู้สึกเจ็บปวดที่ไม่มีอยู่จริงก็ยังเกิดขึ้น เวลานี้ก็ยังรู้สึกเจ็บมาก แต่อย่างไรก็ต้องทนต่อไป เขาไม่ต้องการให้นางไม่สบายใจแต่ห่มผ้าให้เขาแล้วนางก็ไม่ยอมไปไหน ยังคงนั่งมองเขา ทั้งยังกระเถิบมาใกล้ขึ้นจ้องมองเขาไม่วางตา ลู่มู่เฉินได้แต่ก้มหน้าไม่กล้าเอ่ยคำพูด แต่แล้วนางก็ยกมือขึ้นมาเช็ดบางอย่างที่ข้างแก้ม“เจ้านอนน้ำลายไหลเปื้อนแก้มด้วย”“!!..” เขาตกใจรีบก้มหน้าไม่ยอมให้นางเช็ดคราบน้ำลาย“ชิ ทำเป็นเล่นตัว อย่างไรเจ้าก็แต่งกับข้าแล้ว เป็นหรือตายก็ต้องเป็นคนของข้า” หลี่เฟิ่งเซียนรู้สึกอารมณ์เสีย เมื
เขาจึงยังไม่ได้พูดคุยกับนางให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำได้แต่คาดเดา เพราะเขาถามอ๋องเยียนก็แล้ว ท่านหมอก็ถามแล้ว แม้แต่แม่ทัพหลี่เขาก็พยายามถามแล้ว แต่ไม่มีผู้ใดตอบคำถามของเขา"ตาของเจ้างดงามมากจริงๆ ราวกับเก็บดวงดาวยามค่ำคืนไว้ทั้งท้องฟ้า" พูดแล้วนางก็ล้มใส่ตัวเขา หลับไปทั้งเช่นนั้น‘ความฝันที่เป็นได้เพียงความฝัน ห้ามคิดฝันเกินตัว มันต้องมีบางสิ่งทำให้ท่านแม่ทัพตัดสินใจเช่นนี้ นางต้องทำความผิดใดจนท่านแม่ทัพโกรธ จนต้องลงโทษนางให้แต่งกับคนอัปลักษณ์ใกล้ตายเช่นเขา’ ลู่มู่เฉินตักเตือนตัวเองเขามั่นใจว่างานแต่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะนางชอบเขา หรือเพราะดันมีคนรู้เข้าว่าเขาชอบนาง เขารู้ว่าต้องมีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้น นางจึงถูกบังคับให้แต่งกับเขาเขารู้ว่านางพูดชมเขาโดยไม่มีสิ่งใดลึกซึ้ง เพราะนางเป็นคนเช่นนั้น ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม พูดสิ่งที่คิดออกมาตรงๆ เพียงแต่..ทุกครั้งที่นางพูดเช่นนี้ ในอกของเขายังคงสั่นระรัวไม่เป็นจังหวะ ในท้องปั่นป่วนคล้ายมีผีเสื้อนับพันกำลังโผบินลู่มู่เฉินแอบยิ้มน้อยๆ งานแต่งนี้อาจต้องจบลงสักวัน เขาย่อมรู้ดี แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นงานแต่งของเขากับนาง หากนางยังตื่นอยู่ เขาก็จะปั้น
แม่ทัพหลี่หันหน้าแบบประหลาดมากมามองลูกสาว เขากะพริบตาไล่ความงุนงง สังเกตอาการของลูกสาวที่หน้าแดงกระวนกระวายทำสิ่งใดไม่ถูก จู่ๆเขาก็เข้าใจทุกอย่าง‘ข้าว่าแล้วเชียว เท่าที่จำได้ ไอ้หนุ่มนั่นเป็นคนเดียวที่ทำให้ลูกข้าเงียบได้ใช่หรือไม่ แต่มันดูแลลูกข้าได้แน่หรือ ถึงอย่างไรนางก็ดูจะชอบมันเข้าแล้วจริงๆ ข้าไม่เคยเห็นนางเป็นเช่นนี้เลย’ แม่ทัพหลี่คิด ยิ่งคิดยิ่งตกใจ นี่เขาไม่เคยสังเกตเลยจริงๆ สุดท้ายเขาไม่พูดสิ่งใดแต่เดินดุ่มๆ ออกไปจากห้องโถงทันทีปล่อยให้หลี่เฟิ่งเซียนและอ๋องเยียนมองตามอย่างงุนงง ก่อนที่นางจะคิดบางอย่างได้และตะโกนออกไป“ท่านพ่อ ห้ามฆ่าเขานะ!!” แล้วนางก็วิ่งตามแม่ทัพออกไป อ๋องเยียนค่อยๆพ่นลมออกมา รู้สึกโล่งอกที่คนถูกฆ่าไม่ใช่เขาลู่มู่เฉินกำลังช่วยเตรียมยาให้ทหารนายหนึ่ง ขาของเขาขาด ไม่ได้ทำแผลให้สะอาดแต่ต้น ยามนี้จึงทั้งบวมและเป็นหนอง“ลู่มู่เฉิน!!” แม่ทัพหลี่ตะโกนเรียกชื่อเขาแต่ไหล “หยุดนะท่านพ่อ ห้ามฆ่าเขาเด็ดขาด!” หลี่เฟิ่งเซียนวิ่งตามหลังแม่ทัพหลี่มาติดๆ ตะโกนอย่างร้อนรนลู่มู่เฉินไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่นางคงก่อเรื่องอีกแล้ว เขาถอนหายใจ ยื่นห่อยาให้ทหารอย่างใจเย็น ก
หลี่เฟิ่งเซียนค่อยๆหันกลับไป กะพริบตาปริบๆ ไม่อยากเชื่อว่าใครๆก็มองออก แต่นางไม่รู้ตัว นี่นางโง่เพียงนี้เชียวหรือ“เจ้าไม่ชอบเขา แล้วสั่งทำกล่องเข็มให้เขาทำไมหรือ” นางยังคาใจ“ท่านเป็นคนสัญญาว่าจะออกเงินสร้างสิ่งที่เขาอยากได้ไม่ใช่หรือเจ้าคะ เขาบอกว่าอยากได้กล่องเข็มครบ 18 แบบ ข้าจึงไปสั่งร้านช่างในหมู่บ้านให้ ใช้เวลาหลายสิบวันกว่าจะเสร็จ วันก่อนช่างเอามาส่งแต่ข้าลืมบอกท่าน” ยู่ยี่อธิบายนางสัญญาไปเช่นนั้นจริงๆ นางรีบร้อนจะตามอ๋องเยียนไปขี่ม้าดูบึงใหญ่ จึงรับปากเขาไปส่งๆ จนนางก็ลืมไปแล้ว ดังนั้น ถือว่ากล่องเข็มนี้นางเป็นคนมอบให้เขา ไม่ใช่ยู่ยี่หัวใจของหลี่เฟิ่งเซียนพองโต นางไม่ต้องแย่งชิงเขากับยู่ยี่ เขาไร้ญาติขาดมิตร ครอบครัวก็ไม่มี ขอเพียงนางรวบหัวรวบหาง เขาต้องเป็นของนางแน่ ถึงเขาจะน่าเกลียดมากไปหน่อย แต่ไม่เป็นไร อย่างน้อยนัยน์ตาของเขางดงามมาก นางชอบนัยน์ตาของเขาที่ราวกับเก็บดวงดาวไว้ทั้งท้องฟ้ายามค่ำคืนคิดแล้วนางก็หยุดตัวเองไม่ได้ อยากจะไปหาเขาตอนนี้เสียเลย หลี่เฟิ่งเซียนวิ่งไปหาลู่มู่เฉิน ไม่สนใจว่ายามนี้ดึกมากเพียงใด ยู่ยี่ห้ามอย่างไรนางก็ไม่ฟัง นางเอากล่องเข็มไปด้วย นางอยาก
“แล้ว..เกิดอะไรขึ้น” แม่ทัพหลี่เบาเสียงลง กลัวจะทำให้ลูกสาวเสียงดังมากขึ้น“...ข้าก็ไม่รู้ เขาคงไม่อยากให้ข้าไปยุ่งกับเขา” นางตอบเบาลง“เหลวไหล ใครจะไม่อยากยุ่งกับลูกพ่อ” แม่ทัพหลี่รีบเอาใจ“มาๆ กินเยอะๆ เดี๋ยวพ่อไปถามให้ ถ้าเขาไม่ยอมพูด พ่อจะบังคับให้เขาพูดให้ได้” เขาหยิบอาหารใส่ถ้วยให้นาง เอาอกเอาใจลูกสาวเต็มที่“ไม่ต้อง ข้า..ข้าจะ ไปถามด้วยตัวเอง”หลี่เฟิ่งเซียนพอจะนึกบางอย่างได้ นางพาลู่มู่เฉินมาที่นี่ อ้างว่ามารักษาตัว แต่ไม่เคยถามว่าเขาอยากอยู่หรือไม่ ท่านพ่อของนางเป็นถึงแม่ทัพ หากเขาไม่เอ่ยปาก ผู้ใดจะกล้าออกไปจากที่นี่ บางทีลู่มู่เฉินอาจไม่อยากอยู่ที่นี่ เขาอาจรู้สึกไม่ต่างจากถูกคุมขังในกรงสุนัข เขาอาจอยากกลับไปหาครอบครัวสุดท้ายหลี่เฟิ่งเซียนตัดสินใจจะถามให้กระจ่าง นางตามหาเขาจนพบเขาอยู่ที่ห้องเก็บยา“ลู่มู่เฉิน ข้ามีเรื่องอยากถามเจ้า” หลี่เฟิ่งเซียนมาถึงก็ถามตรงๆ“..อืม” เขาหันมามองนางครู่หนึ่ง และหันไปยุ่งกับการตวงยาต่อไป“เจ้าอยากกลับบ้านของเจ้าหรือไม่”“ใครบ้างจะไม่อยากกลับบ้าน”เขาตอบตามจริง แต่นางรู้สึกบางอย่างในอกหนักอึ้ง“เจ้ามีบ้านหรือไม่ มีพ่อแม่ ภรรยา...หรือคนที่รอใ
ค่ำวันนั้นนางไปหามู่เฉินคนชั่วของนาง แต่ท่านหมอบอกว่าเขาไม่อยู่ออกไปอาบน้ำ หลี่เฟิ่งเซียนไปรอเขาที่ห้องของเขาอยู่นานเขาก็ยังไม่กลับ นางจึงบุกไปที่ห้องอาบน้ำ แต่เขาก็ไม่อยู่ที่นั่น หลี่เฟิ่งเซียนรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ นางกลัวว่าเขาจะออกไปข้างนอกค่ายแล้วเกิดถูกจับตัวไปขายอีกครั้งหลี่เฟิ่งเซียนวิ่งกลับไปที่ห้องของนางเพื่อหยิบกระบี่ไปช่วยเขา แต่กลับพบเขากำลังนั่งปลอบใจยู่ยี่ที่ร้องไห้อยู่ นางมองเขากำลังใช้มืออีกข้างตบหลังยู่ยี่เบาๆ อย่างปลอบโยน จู่ๆ นางก็เกิดไม่กล้าเดินเข้าไปรบกวนพวกเขา ในใจของนางมีบางอย่างหนักอึ้งจนนางเองก็อธิบายไม่ได้หลี่เฟิ่งเซียนหอบกล่องใส่เข็มไปนั่งเหม่อมองดวงดาวบนท้องฟ้าที่ริมน้ำ เพราะนางไม่กล้าเข้าห้องของตัวเอง สายลมเย็นส่งเสียงหวีดเป็นบางครั้ง เสียงน้ำไหลกระทบก้อนหิน แม้จะหนวกหู แต่ช่วยให้นางสงบ ไม่ต้องได้ยินเสียงจี้ดๆ ที่ได้ยินในหูตั้งแต่เห็นสองคนนั้นนั่งด้วยกันยิ่งมืดดวงดาวยิ่งแจ่มชัด แต่จู่ๆ กลับมีแสงไฟใกล้นางมาทุกที หลี่เฟิ่งเซียนกลัวว่าจะมีคนร้ายมาแอบจับตัวนางไปอีก จึงรีบหลบหลังพุ่มไม้ แอบก่นด่าตัวเองในใจที่ไม่รู้จักระวัง มืดแล้วยังไม่ระวังตัว ถูกจับไป