บทสิบแปด
หนึ่งร้ายกาจ หนึ่งงามล่มแผ่นดิน ขบวนรถม้าเดินทางไปยังแดนใต้อย่างมั่นคง แม้นไม่รวดเร็วนัก เพราะต้องหยุดพักตามโรงเตี๊ยมเป็นระยะ เนื่องจากเจินจิ่วหรงมีอาการเวียนหัวตลอดเวลา ซ้ำยังเริ่มมีอาการแพ้ท้องบ้างแล้ว รั่วซินพยายามสรรหาโรงเตี๊ยมค่อนข้างใหญ่และสะอาดสะอ้าน เนื่องจากบ่าวรับใช้ที่ตามมาด้วยค่อนข้างเยอะระดับหนึ่ง รวมถึงมีองครักษ์นอกเครื่องแบบ ไม่ต้องพูดถึงองครักษ์เงาที่เจินเซียหยางฮ่องเต้ประทานให้ เจินจิ่วหรงมองออกไปนอกรถม้า พวกเขากำลังหยุดพักกันที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งกลางหุบเขา เพราะเป็นฤดูใบไม้ผลิ ทำให้มีผู้คนเดินทางมายังแดนใต้ เที่ยวชมทิวทัศน์งดงามจำนวนมาก โรงเตี๊ยมกว้างใหญ่เลยเหลือเพียงสองห้อง โดยเจินจิ่วหรงเลือกให้สาวใช้นอนรวมกันในห้องหนึ่ง อีกห้องเป็นของนางกับรั่วซิน ส่วนพวกผู้ชายให้นอนที่รถม้า มีเพียงองครักษ์บางส่วนที่คุ้มกันอยู่ด้านนอก นางปิดบังฐานะของตนเอง เลือกสวมอาภรณ์ไร้ลวดลายและไร้สีสันสดใส ดวงหน้างดงามถูกบดบังด้วยพัดด้ามหยกกลม ๆ อันหนึ่ง ขณะรั่วซินแต่งตัวเป็นชาวบ้านเคียงกายองค์หญิงเก้าในฐานะสาวใช้ กระนั้นเพียงเจ้าของโรงเตี๊ยมมองแวบเดียวก็ตระหนักว่าฐานะของเจินจิ่วหรงย่องไม่ธรรดา อาจเป็นลูกสาวขุนนางชั้นสูง “วานเถ้าแก่นำอาหารมาให้คนของข้ามากหน่อย พวกเราเดินทางมาไกล เหนื่อยล้าเต็มที่”เจินจิ่วหรงกล่าวเสียงนุ่มนวล เหลือบมองเถ้าแก่วัยกลางคนเล็กน้อย “เรื่องค่าใช้จ่ายไม่มีปัญหา ขอเพียงคนของข้าอิ่มท้องก็พอ” “ไม่ทราบว่าแม่นางเป็นลูกสาวขุนนางจากตระกูลใด”ชายวัยกลางคนลอบถาม แต่นอกจากไม่ได้รับคำตอบอะไร ยังถูกรั่วซินตวัดตามองอย่างแข็งกร้าว จนเจินจิ่วหรงต้องเอาพัดหยกลง แล้วลูบหลังรั่วซินเบา ๆ “ข้ามิใช่ลูกสาวขุนนางหรอก ก็แค่มาจากตระกูลมั่งคั่งตระกูลหนึ่งในเมืองหลวง ขอให้เถ้าแก่โปรดวางใจว่าพวกเราจะไม่ก่อเรื่อง” ไร้ความหยิ่งผยอง แต่กลับยังถือตัวอยู่มาก นี่มันเป็นนิสัยของชนชั้นสูงที่ถูกอบรมสั่งสอนมาดีชัด ๆ เมื่อเห็นดังนั้น เถ้าแก่แห่งโรงเตี๊ยมก็พาเจินจิ่วหรงและบรรดาข้ารับใช้ไปยังห้องว่างด้วยตนเอง เจินจิ่วหรงตรวจตราภายในห้อง มีเตียงเล็กสองเตียง และเครื่องเรือนอีกเล็กน้อย แม้นจะเรียบไปสักหน่อย แต่ก็สะอาดสะอ้านเป็นอย่างดี ชั่วขณะนางรู้สึกเวียนหัวอีกแล้ว เลยออกมานอกห้อง ปล่อยให้รั่วซินกับสาวใช้คนอื่นนำของที่จำเป็นไปจัดเตรียมไว้ภายในนั้น นางเอนตัวพิงระเบียงไม้สน พลางแหงนหน้ามองเพดานที่เริ่มมัวหมอง ร่างกายโอนเอนเหมือนจะล้มลง แต่ยังพยายามตั้งหลักเอาไว้ หนึ่งคือนางกำลังตั้งครรภ์ สองหลังอาการป่วยดีขึ้นก็ออกเดินทางทันที เหตุผลสองอย่างนี้ ทำให้สุขภาพของเจินจิ่วหรงย่ำแย่ยิ่งนัก สุดท้ายมือของเจินจิ่วหรงเริ่มสั่น ร่างกายไร้เรี่ยวแรงร่วงหล่นลงบนพื้นอย่างรวดเร็ว แต่กลับมีชายหนุ่มคนหนึ่งรวบตัวของนางเอาไว้ก่อน ท่ามกลางความตื่นตระหนกนั้น องค์หญิงเก้าตกอยู่ในอ้อมแขนของชายอื่นที่มิใช่สามี “องค์—นายหญิง !”รั่วซินตะโกนลั่น รีบเข้าไปหาเจินจิ่วหรงทันที นางมิรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุใดองค์หญิงเก้าถึงไปนอนในอ้อมแขนของชายหนุ่มตรงหน้า เสียงของรั่วซินทำให้เจินจิ่วหรงคืนสติ ก่อนเลิกคิ้วแปลกใจ เมื่อกลิ่นหอมจากกายของผู้ชายคนนี้กลับมิได้ทำให้นางเวียนหัว ซ้ำยังช่วยให้อาการดีขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเผลอแหงนหน้ามองเขา และพบว่าชายผู้นี้คงเป็นบุตรชายของขุนนาง ไม่ก็คุณชายหน้าหยกเที่ยวใช้เงินกับการศึกษา เขามีรูปร่างบอบบางกว่าไท่หย่งเสียน ดวงหน้าขาวเนียนยิ่งกว่าหญิงสาว แสดงให้เห็นว่าดูแลตนเองเป็นอย่างดี ซ้ำฝ่ามือยังไม่หยาบกระด้างเท่าใดนัก “แม่นางไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”เขาเอ่ยปากถามเสียงนุ่มนวล ค่อย ๆ ประคองสาวงามในอ้อมแขนขึ้น ดวงหน้างดงามขาวซีดเริ่มมีเลือดฝาด ลมหายใจกลับมาสม่ำเสมอ “แม่นางกำลังตั้งครรภ์ คงแพ้กลิ่นกำยานในโรงเตี๊ยม ซ้ำยังเดินทางมาไกล” เจินจิ่วหรงเหยียดตัวตรงก้าวถอยหลังไปสามก้าว ก่อนถูกรั่วซินโอบกอดเอาไว้ ขณะจ้องมองชายตรงหน้าด้วยความหวาดระแวง พร้อมถามเสียงเย็นเหยียบ “ใครส่งเจ้ามา ?” กู้เจิงหนานขมวดคิ้ว ยอมรับว่าน้ำเสียงของอีกฝ่ายทำเขารู้สึกเยือกเย็นไม่น้อย ก่อนจะแนะนำตนเอง “ข้าหาใช่คนของใคร แค่เป็นหมอก็เท่านั้น พอได้ยินที่แม่นางคุยกับเถ้าแก่เลยรู้ว่าเดินทางมาไกล” “…” “หากแม่นางไม่รังเกียจ ข้าจะเขียนเทียบยาให้ พร้อมมอบเครื่องหอมนี่ให้ด้วย กลิ่นของมันช่วยลดอาการเวียนหัวได้ดีนัก” นางยังหวาดระแวงกู้เจิงหนาน รั่วซินที่อ่านสีหน้าของเจ้านายออก จึงออกปากพูดแทน “พวกเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเทียบยากับเครื่องหอมของคุณชายไม่ได้มียาพิษอันตราย ? นายหญิงของข้ากำลังตั้งครรภ์ คงรับของจากคนแปลกหน้ามิได้” กู้เจิงหนานระบายยิ้มบางเบา พร้อมตอบอย่างใจเย็น “หากมียาพิษแฝงอยู่ ข้าคงต้องตายก่อนแล้ว อีกอย่างมารดาของข้าเองก็เคยเป็นหมอหญิงที่มีชื่อเสียงในแดนใต้ นอกจากนั้นนี่เป็นความหวังดี ไม่รับไว้ย่อมไม่เป็นไร แต่แม่นางจะทนไหวหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง” เจินจิ่วหรงกะพริบตา มองมือสั่นพร่าของตนเอง ก่อนก้มหัวลงเล็กน้อย ท่ามกลางความตกใจของรั่วซินและกู้เจิงหนาน “ข้าไม่ได้พาหมอมาด้วย เพราะคิดว่าถ้าถึงแดนใต้ก็คงเจอหมอฝีมือดี นี่เป็นลูกคนแรกของข้า อยากจะคลอดเขาออกมาอย่างปลอดภัย หากคุณชายมีความหวังดี ข้าก็จะรับไว้” “…” “แต่หากข้ากับลูกเป็นอะไรไป เกรงว่าหัวของคุณชายคนเดียวย่อมรับไม่ไหวแน่…” เด็ดขาด มั่นคง และอ่อนน้อม ผู้หญิงคนนี้ซับซ้อน รวมถึงขัดแย้งในตนเองอย่างสูง จนทำให้กู้เจิงหนานสนใจในตัวนางขึ้นมาจริง ๆ เขาไล่สายตาสำรวจดวงหน้างดงามของนาง และพบความจริงที่ว่าสตรีตรงหน้างดงามที่สุด เท่าที่เขาเคยพบ แม้นตอนสาว ๆ มารดาของเขาจะงามล่มเมืองก็จริง แต่ผู้หญิงคนนี้งามยิ่งกว่านั้น… ต้องเรียกว่างามล่มแผ่นดิน องค์ชายสิบสามพารอซ่งเยี่ยหวั่นที่จวนแม่ทัพบูรพาตั้งแต่รุ่งส่างจนดวงตะวันลอยเด่นกลางหัวนางก็ยังแต่งกายไม่เสร็จ เป็นผลให้แม่ทัพบูรพารู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก หยาดเหงื่อผุดพรายกลางดวงหน้ายามเห็นรอยยิ้มเฉยชาของเจินจิ่วเยี่ยน “เปิ่นหวางอยากไปนั่งรอนางที่ศาลาเหมือนเมื่อวานก่อน เกรงว่าบุตรสาวของท่านจะใช้เวลาแต่งตัวนานเกินไปแล้ว” ประโยคนั้นออกจะเรียบง่าย แต่สายตาเย็นชาขององค์ชายสิบสาม ก็เท่าเอาแม่ทัพบูรพารู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาหน่อย ๆ แม้นว่าเขาจะเป็นแม่ทัพแดนบูรพา หากตระกูลซ่งก็มิได้ยิ่งใหญ่ไปกว่าตระกูลป๋ายของพระสนมเสียนเฟย เป็นเพียงตระกูลที่โชคดีได้รับอำนาจทหารมาอยู่ในมือ เพราะเจินเซียหยางฮ่องเต้เห็นว่าไม่เป็นอันตรายก็เท่านั้น “กระหม่อมยังมีบุตรีอีกหลายคน พวกนางล้วนแต่หน้าตางดงาม กิริยามารยาทไม่ขาดตก ดีกว่าซ่งเยี่ยหวั่นมากนัก หากองค์ชายต้องการ…” “ตอนนี้ข้ายังไม่ต้องการคนอื่นนอกจากซ่งเยี่ยหวั่น” สิ้นประโยคนั้นความเงียบเข้าปกคลุมห้องโถงกว้างใหญ่ แม้นแต่เสียงลมหายใจของแม่ทัพบูรพาก็นับว่าดังเกินไปมาก เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ซ่งเยี่ยหวั่นเดินเข้ามาพอดี นางสวมอาภรณ์สีส้มปักลายดอกท้อยาวรุ่มร่าม เครื่องหัวยังจัดเต็มประหนึ่งไปงานเลี้ยง แทนการขี่ม้าแสนธรรมดา ย้อนมองจากนิสัยของซ่งเยี่ยหวั่น นี่นับเป็นการปฏิเสธเขาอย่างชัดเจน “เจ้าจะออกไปขี่ม้าไยแต่งกายเช่นนี้ !”แม่ทัพบูรพาตวาดเสียงลั่น ซ่งเยี่ยหวั่นแสร้งทำเป็นตื่นตระหนก แล้วคุกเข่าลงบนพื้นกระเบื้อง พร้อมเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ลูกเพียงอยากให้องค์ชายสิบสามประทับใจในความงามก็เท่านั้น มิได้มีเจตนาอื่นใด” ซ่งเยี่ยหวั่นแสดงออกถึงความมักใหญ่ใฝ่สูงอันโง่เขลา และนี่เป็นหนึ่งในนิสัยที่เหล่าเชื้อพระวงศ์รังเกียจ ไม่นานองค์ชายสิบสามก็จะหมดความสนใจในตัวนางไปเอง ทว่ายามเงยหน้าขึ้น กลับได้รับรอยยิ้มบางเบาจากเขา เจินจิ่วเยี่ยนวางถ้วยน้ำชาลง หันไปกล่าวกับแม่ทัพบูรพาด้วยเสียงเรียบเฉย “อย่าดุนางไปเลย เปิ่นหวางเป็นคนบอกนางเองว่าชอบสาวงาม” “!!!” ก่อนใครจะพูดอะไรขัดขึ้นอีก เจินจิ่วเยี่ยนขยับลุกขึ้น เดินเข้าไปพยุงซ่งเยี่ยหวั่นให้ขยับลุก แล้วจูงแขนนางออกไปนอกห้องโถงใหญ่อย่างรวดเร็ว ทำเอาบ่าวไพร่เบิกตากว้างมองตามด้วยความตกตะลึง “ปรกติเจ้าชอบไปไหน ?” ซ่งเยี่ยหวั่นขบริมฝีปากตนเอง พลางส่ายหน้าเบา ๆ “ข้าไม่ชอบออกไปข้างนอก ไม่ชอบผู้คน ไม่ชอบคุยกับคน และก็ไม่ชอบองค์ชายด้วยเพคะ” องค์ชายสิบสามกะพริบตา ปรายตามองนางด้วยหางตา พลางเอ่ย “เปิ่นหวางเองก็ไม่ชอบคนมากมาย ไม่ชอบความยุ่งยาก แต่กลับชอบคุยกับเจ้า” “…” “พวกเราเคยพบกันมาก่อนที่ตำหนักขององค์หญิงเก้า…” ซ่งเยี่ยหวั่นเบิกตากว้างเล็กน้อย พยายามหลบเลี่ยงสายตาขององค์ชายสิบสาม “ท่านจำคนผิดกระมัง” “ท่านพี่มีสหายเพียงน้อยนิด เปิ่นหวางไม่มีวันจำผิด แม้นจะเคยสูญเสียความทรงจำในตอนเด็กไปบ้าง” คงเป็นความเสียดายที่ตอนนั้นองค์ชายสิบสามอายุน้อยกว่านางถึงสองปีเต็ม “หม่อมฉันอายุมากกว่าองค์ชาย มิใช่เรื่องดีหากจะสนใจสตรีอายุมากกว่า เปลี่ยนเป็นน้องสาวของหม่อมฉันจะดีกว่า” เจินจิ่วเยี่ยนส่ายหน้าแทนคำตอบ “หรือองค์ชายหลงรักหม่อมฉันเข้าแล้ว”กล่าวจบก็ยิ้มหยอกล้อ หากแววตากลับทอประกายวาววามขึ้นเล็กน้อย จนยากสังเกตเห็น “เพราะเจ้าเป็นคนที่ท่านพี่แนะนำมา” “…” “สำหรับเชื้อพระวงศ์ความรักไม่ใช่เรื่องควรจะมีหรอกนะ เพราะฉะนั้นเปิ่นหวางไม่มีวันรักเจ้าอย่างแน่นอน” ซ่งเยี่ยหวั่นเหยียดยิ้ม นับแต่เด็กจนโต องค์ชายสิบสามก็ยังเหมือนเดิม ทั้งรอบคอบและอยู่ในเส้นกรอบ นางค่อย ๆ เดินนำหน้าเขา มือประสานกันไว้บนแผ่นหลัง “ที่แท้ท่านก็คือเด็กติดพี่สาวนั่นเอง” “ในชีวิตนี้ ผู้หญิงสองคนที่เปิ่นหวางสามารถรักได้ มีแค่เสด็จแม่กับท่านพี่” นางไหวไหล่ ดวงตาหม่นหมองลง พร้อมเอ่ยเสียงเลื่อนลอย “ประโยคนี้อาจทำให้สตรีทั้งใต้หล้าไม่อยากแต่งงานกับท่านนะ อย่างน้อยก็หลอกลวงพวกนางหน่อยดีกว่า” องค์ชายสิบสามหยุดปลายเท้าลง มองตรงไปยังแผ่นหลังของซ่งเยี่ยหวั่น “คุณหนูซ่งมิใช่สตรีพวกนั้น เปิ่นหวางมิอยากหลอกลวงเจ้า อย่างน้อยก็ตั้งใจเอาไว้ว่ากับภรรยาในอนาคตอยากจะมอบความจริงใจให้มากหน่อย” ซ่งเยี่ยหวั่นหยุดชะงักปลายเท้าเช่นเดียวกัน ค่อย ๆ หันไปเผชิญหน้ากับองค์ชายสิบสามอย่างตรงไปตรงมา ตอนนี้เขาอายุสิบสามย่างสิบสี่ มิใช่เด็กน้อยกำลังหวาดกลัวน้ำในสระคนเดิมอีก “ฮูหยินตราตั้งคนปัจจุบันไม่ชอบคุณหนูซ่ง ส่วนแม่ทัพบูรพาก็พึ่งพามิได้ ไม่สู้ฝากชีวิตกับเปิ่นหวางดีกว่าหรือ ?” “…” “สถานการณ์ของคุณหนูซ่งเองก็เลวร้ายอยู่ สินเดิมของมารดาใกล้หมดแล้ว นี่ก็ถึงวัยออกเรือนด้วย บิดาเจ้าไม่มีทางสรรหาผู้ชายดี ๆ มาให้แน่” เพียงระยะหนึ่งวันหลังจากกัน องค์ชายสิบสามก็ตามสืบเรื่องของจนหมด รู้กระทั่งจุดอ่อนอย่างสินเดิมของมารดาที่เป็นเรื่องภายใน เจินจิ่วหรง น้องชายของเจ้าร้ายกาจนัก !บทสุดท้าย ท้องฟ้าและผืนหญ้า ปฏิหาริย์มีจริง และเต็มเปี่ยมด้วยหยดน้ำตาขององค์รัขทายาท หลังองค์หญิงเก้าที่สลบไปเป็นปีลืมตาตื่น พร้อมกับฤดูใบไม้ผลิมาเยือน ดวงตาเรียวดั่งหงส์อันเลือนลอยกวาดมองรอบกาย ดวงหน้าซีดเซียวไร้รอยยิ้ม แตกต่างจากตอนสลบไปโดยสิ้นเชิง เสมือนว่าเจินจิ่วหรงไม่ต้องการตื่นขึ้นมาอีกแล้ว ลำคอของนางแห้งเหือด จนต้องดื่มน้ำไปหลายถ้วย ขณะถูกองค์รัชทายาทและพระชายาเอกนามซ่งเยี่ยหวั่นพยุงตัวขึ้น เจินจิ่วหรงมองพวกเขา ริมฝีปากเผยอออกเล็กน้อบ เจินจิ่วเยี่ยนที่ตอนนี้ครองตำแหน่งองค์รัชทายาทมาสองปีเผยรอยยิ้มกว้าง หยดน้ำตาไหลอาบลงมาไม่ยอมหยุด เขาโอบกอดพี่สาวของตนเองแน่น ขณะเจินจิ่วหรงเหมือนไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว “หย่งเสียน…ละ”นางถามหาเขาเป็นประโยคแรก ทำให้เจินจิ่วเยี่ยนและซ่งเยี่ยหวั่นหยุดชะงักไปตามกัน พวกเขาหลบสายตาของเจินจิ่วหรง แล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่น “เขาตายไปนานแล้ว” “…” “ล่าสุดที่ข้าไปเยี่ยมหลุมศพของเขา มีดอกหญ้าขึ้นปกคลุม ทุกอย่างเขียวขจี” นางค่อย ๆ พยักหน้าอย่างเชื่องช้า ไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำตาไหลออกมาตอนไหน ปลายนิ้วมือกำลังสั่นระริก ร่างกายสั่นสะท้านราวนกตัวน้อยห
บทยี่สิบแปด การไม่ครอบครอง การเปลี่ยนแปลงของขั้วอำนาจเริ่มขึ้นแล้ว หลังเจินจิ่วหรงกลับจากวังหลวง เช้าวันต่อมาเรื่องราวการทุจริตของตระกูลป๋ายก็ถูกเปิดเผย เจินเซียหยางฮ่องเต้เผยแพร่เรื่องนี้ให้ประชาชนรับรู้ ตระกูลป๋ายกลายเป็นนักโทษของสังคม ก่อนการไต่สวนครั้งสุดท้ายจะมาถึงเสียอีก คนจากวังหลวงเชิญเจินจิ่วหรงไปเป็นพยานในการไต่สวน เดิมนางคิดจะปฏิเสธ แต่กลับอยากเห็นสีหน้าผู้เฒ่าของตระกูลป๋ายขึ้นมา เลยแต่งกายสีฉูดฉาดเรือนผมประดับปิ่นทองคำเก้าเล่มไปดูพวกเขาด้วยตาตน เสียงความวุ่นวายรบกวนความสงบ ท้องพระโรงเหมือนสนามรบ นางเลือกจะไม่พูดอะไรออกมามากนัก แค่พยักหน้าและตอบในสิ่งที่สมควร ทำเอาพวกตระกูลป๋ายชี้หน้าด่าจนโดนตบกันเป็นแถบ เจินจิ่วหรงแค่นยิ้มเย็นชา ประโยคสุดท้ายที่นางเอ่ยเลื่อนลอยยิ่งนัก ก่อนนางจะหมดสติไปท่ามกลางความตื่นตระหนกของคนมากมาย หมอหลวงบอกว่านางอยู่ได้อีกไม่นาน เจินจิ่วหรงนั่งนิ่ง เหม่อมองภาพสะท้อนของตนเองบนกระจกทองเหลือง ท่ามกลางเหล่านางกำนัลที่เกล้าผมให้อยู่ ทั้งหมดเป็นเพราะการไม่ได้พักผ่อนหลังคลอดลูก รวมถึงการถูกวางยาตลอดระยะเวลาที่กลับมายังจวนแม่ทัพ ไม่ต้องคาดเ
บทยี่สิบเจ็ด นี่คงเป็นเรื่อง ผิดบ้าง ถูกบ้าง “จริง ๆ แล้ว ระหว่างถูกขังในตำหนัก เสด็จพ่อมาหาข้าด้วย แววตาของเขาเลื่อนลอยและว่างเปล่า กระนั้นกลับสะท้อนความเหี้ยมโหดไม่น้อย” “อือ” เจินจิ่วหรงเปล่งเสียงครางตอบรับน้องชายที่นอนอยู่บนตักของนาง พลางยกมือลูบหัวเขาเบา ๆ เปลือกตาเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ “เขาบอกว่าเสด็จแม่—ป๋ายอวี้หลันจะมีความสุขกว่า หากกลับสู่อ้อมอกของตระกูลป๋าย แทนการถูกฝังในสุสานหลวง” “…” “แล้วหลังจากนั้นเขาก็ร้องไห้ออกมาละ” “อ่า” “ต่อให้พวกเราไม่เลือกชิงบัลลังก์ แต่ความกดดันจากตระกูลป๋าย และข้ายังเกิดมาเป็นบุรุษ อย่างไรก็หลีกหนีความโลภคนมากมายไม่พ้น แม้นแต่เสด็จแม่ก็ตาม” “…” “มีบางครั้งข้านึกอิจฉาท่านพี่ไม่น้อย ท่านไม่ต้องแก่งแย่งชิงบัลลังก์ ไม่ต้องเป็นที่คาดหวังของใคร ๆ แต่พอท่านพี่ต้องแต่งงาน ข้าก็ความเข้าใจความกดดันอันแตกต่างระหว่างชายหญิง ทว่ากลับอดริษยาท่านพี่มิได้เลย” เจินจิ่วหรงลืมตาขึ้นมองเขา ภาพตรงหน้าเลือนรางยากจะแยกออก นางขยับรอยยิ้มบางเบาอันเศร้าหมอง พร้อมเอ่ย “นี่ไม่เหมือนคำพูดของผู้ต้องการช่วงชิงเลยนะ หรือว่าตอนนี้เจ้าไม่ต้องการบัลลังก์แล้ว
บทยี่สิบหก ข้าอยากให้เขาเลือกครอบครัวมากกว่า ความรู้สึกที่เจินจิ่วหรงมีต่อตงเหลียนฮวา ในอดีตนอกจากความอิจฉาริษยาก็ไม่มีสิ่งใด ทว่าตอนนี้มันกลับไม่มีความริษยาอันรุนแรงเช่นนั้นอีกเลย หัวใจของนางร้าวรานและนิ่งสงบ หลังผ่านเรื่องราวมากมาย ตงเหลียนฮวาเป็นเพียงจุดบอดเล็ก ๆ ในชีวิตเท่านั้น ตอนพบหน้ากันอีกหนในค่ายทหาร นางขยับรอยยิ้มกว้างอันสดใส บดบังความมืดหม่นของอีกฝ่ายจนหมดสิ้น ตงเหลียนฮวาถูกล่ามด้วยโซ่ตรวนหนา ดวงหน้าซีดเซียวและอิดโรย ดวงตากลมโตเบิกกว้างมองนางสลับกับไท่หย่งเสียน เจินจิ่วหรงทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้เขากวาง ในกระโจมแห่งนี้ นอกจากแม่ทัพประจิม ไท่หย่งเสียนและนางก็ไม่มีใครอื่น “ไม่เจอกันนานเลยนะ ตงเหลียนฮวา”นางเอ่ยเสียงราบเรียบ รอยยิ้มไม่เลือนหายจากดวงหน้าสักนิด ขณะตงเหลียนฮวากวาดมองทุกอย่างด้วยความหวาดระแวง เตรียมขอความช่วยเหลือจากไท่หย่งเสียน “หย่งเสียน…ช่วยข้าด้วย” ไท่หย่งเสียนยืนนิ่งเพื่อรอรับคำสั่งจากองค์หญิงเก้าแต่เพียงผู้เดียว ทำให้ตงเหลียนฮวาตระหนักถึงความจริงว่าเขาเก็บนางไว้เพื่อกลายเป็นนักโทษหรือเหยื่อของเจินจิ่วหรงในสักวัน และวันนี้ก็มาถึง ตงเหลียนฮวาเปล่
บทยี่สิบห้า เจินจิ่วหรงที่บ้าคลั่ง เจินจิ่วหรงนอนแช่ตัวอยู่ในถังน้ำใสสะอาด เส้นผมดำขลับยาวสลวยเลื่อนลงปรกดวงหน้างดงาม หลบซ่อนแววตาสั่นไหวของนางอย่างแนบเนียน ไม่มีข้ารับใช้คนในอยู่ในเรือนนอน จวนตระกูลไท่ถูกทหารล้อมเอาไว้ แม้นว่าการปราบจลาจลจะจบลงแล้ว ดูเหมือนว่าเจินเซียหยางฮ่องเต้จะหวาดระแวงตระกูลไท่อย่างสมบูรณ์แบบ แม้นแม่ทัพประจิมจะเป็นดั่งสุนัขถวายหัวอยู่แทบเท้าก็ตามที ทั้งหมดเป็นเพราะเจินจิ่วหรงคือสะใภ้หนึ่งเดียวของตระกูลไท่ ซ้ำตอนนี้ยังให้กำเนิดบุตรชายแก่พวกเขา ต่อให้ปกปิดที่อยู่ของไท่หย่งเล่อ แต่ก็มิอาจปิดบังตัวตนการมีอยู่ของเขา เจินเซียหยางฮ่องเต้เป็นคนขี้ระแวงและโลภมาก ไม่นานย่อมจับลูกชายของนางเป็นตัวประกัน ทุก ๆ อย่างเหลือเวลาไม่มากแล้ว แต่เจินจิ่วเยี่ยนอายุย่างสิบสี่ปีเท่านั้น ไม่มากพอจะขึ้นครองบัลลังก์โดยไร้ผู้สำเร็จราชการแทน สุดท้ายเขาจะกลายหุ่นเชิดอีกตัวสำหรับตระกูลป๋าย “นี่ หย่งเสียน”นางเอ่ยปากเรียกเขาที่อยู่ด้านหลังฉากกั้นไร้ลวดลาย ไท่หย่งเสียนชำเลืองมองภรรยา “อาบน้ำเสร็จแล้วหรือ ข้าเตรียมอาภรณ์ให้เจ้าแล้ว” น้ำเสียงของไท่หย่งเสียนอ่อนโยนเป็นอย่างมาก ร
บทยี่สิบสี่ ลาก่อนพระสนมเสียนเฟย เจินจิ่วหรงถูกกักตัวอยู่ภายในตำหนักของตนเอง ขณะไท่หย่งเสียนถูกแต่งตั้งเป็นหนึ่งในแม่ทัพเฉพาะกิจกวาดล้างตระกูลเสวียน ภายในวังเกิดการนองเลือดจำนวนมาก เสวียนผินถูกสังหาร แตกต่างจากองค์ชายไม่สมประกอบที่ถูกพวกกบฏนำตัวออกนอกวัง หว่านกุ้ยเฟยและโอรสของนางอย่างองค์ชายเจ็ดถูกนำตัวไปยังห้องลับอันปลอดภัย ส่วนองค์ชายสิบสามถูกกักตัวเช่นเดียวกันกับนาง ตระกูลป๋ายยังไร้การเคลื่อน พวกเขาไม่ได้มีกำลังทหารอะไร มีแต่พวกขุนนางร่วมตัวกันป่วน แน่นอนว่าถูกเจินเซียหยางฮ่องเต้กีดกันให้อยู่กันเป็นส่วน ๆ เจินเซียหยางฮ่องเต้มิอาจกำจัดตระกูลป๋าย พวกเขามีอิทธิพลมากเกินไป แค่กักบริเวณองค์ชายสิบสาม เสมือนว่าความผิดทั้งหมดเป็นของเจินจิ่วเยี่ยน ก็ทำตระกูลป๋ายไม่พอใจมากแล้ว ไม่มีทางที่โอรสสวรรค์จะกล้าลงมืออะไรอีก เจินจิ่วหรงเหยียดตัวนอนบนตั่งหินอ่อน รอเวลาที่ทุกอย่างจบลงด้วยกองเลือดมากมาย การพลัดพรากและสูญเสีย ทุกอย่างเริ่มต้นจากความเห็นแก่ตัวของเจินเซียหยางฮ่องเต้ นางกับเจินจิ่วเยี่ยนตระหนักดีว่าร่างกายของเสด็จแม่ทรุดโทรมขนาดนี้เพราะใคร ตลอดมาถึงนึกชิงชังเจินเซียหยางฮ่องเต