LOGINสองนายบ่าวไม่กล้าใช้ฤทธิ์ เพราะกลัวจะถูกพบร่องรอย จึงต้องพากันเดินไปเรื่อย ๆ ทั้งคู่เดินกันมาพักใหญ่แล้ว จนเข้าเขตเมืองโดยไม่รู้ตัว ฝนที่ตกก็ไม่มีทีท่าว่าจะซาลงเลยแม้แต่น้อย
"องค์หญิง...พวกเราเดินกันมานานแล้วนะเพคะ ฟ้าก็ใกล้จะมืดแล้วด้วย เราจะมาเดินสะเปะสะปะเช่นนี้ถึงเมื่อใดกัน"
"เสี่ยวเซี่ย...ถ้าจะตามมาก็อย่าบ่น หากไม่ไหวก็กลับไปเสีย"
ฉีลู่ส่ายหัวรำคาญ เสี่ยวเซี่ยจึงต้องสงบปาก ทั้งคู่เดินมาจนถึงศาลแห่งหนึ่ง
"องค์หญิง...ที่นี่คือที่ใดเพคะ"
"ข้าก็ไม่รู้...พวกเราเข้าไปดูข้างในกันเถิด หากพอพักพิงได้ คืนนี้ก็พักที่นี่แล้วกัน"
ฉีลู่ผลักประตูบานใหญ่ให้เปิดออก นางชะโงกหน้าเข้าไปมองก่อน
"มีผู้ใดอยู่บ้างหรือไม่"
ฉีลู่ตะโกนถามเข้าไปข้างใน แต่ไม่มีเสียงตอบรับ นางจึงเดินเข้าไป เสี่ยวเซี่ยเดินตามหลังเข้าไปด้วย
"ดูเหมือนที่นี่จะไม่มีผู้ใดอยู่นะเพคะองค์หญิง"
ฉีลู่พยักหน้าเบา ๆ พวกนางเดินเข้าไปถึงด้านในศาล ภายในมีรูปปั้นเจ้าแม่องค์ใหญ่เกือบถึงเพดาน มีกระถางธูปและเครื่องเซ่นเพียงเล็กน้อย
"องค์หญิง...ที่นี่คือสถานที่ใดกันแน่เพคะ ไยจึงเงียบงันนัก"
"ข้าจะรู้ได้อย่างไร ก็เพิ่งมาถึงพร้อมกับเจ้าไม่ใช่หรือ คืนนี้พวกเราพักที่นี่เถิด พรุ่งนี้ค่อยเดินทางต่อ"
ฉีลู่นั่งลงบนพื้น พวกนางแม้เดินตากฝนมาไกล แต่ไม่เปียกเลยสักนิด ภายนอกฝนยังไม่ซา พลันมีเสียงคนเดินเข้ามาในศาล ฉีลู่กับเสี่ยวเซี่ยรีบร่ายเวทย์กำบังตนไม่ให้ผู้ใดได้พบเห็น
สตรีโฉมสราญนางหนึ่งเดินเข้ามาในศาลพร้อมสาวใช้ ภายนอกมีองครักษ์รออยู่หลายคน สตรีนางนั้นสวมเสื้อคลุมยาวและเปียกปอนไปทั้งตัว
"องค์หญิง...ภายนอกฝนตกหนัก พวกเราคงต้องพักที่ศาลนี้สักครู่นะเพคะ"
"อื้ม...ข้าจะขอไหว้เจ้าแม่ก่อน"
สตรีนางนั้นถอดผ้าคลุมที่เปียกปอนออก เผยให้เห็นใบหน้าหวานซึ้งงดงาม ทว่ากลับซีดเซียวไร้สีเลือด นางยังไอออกมาอีกหลายที สาวใช้เข้ามาจับแขนนาง
"องค์หญิง..."
"ข้าไม่เป็นอันได เจ้าถอยไปรอด้านนอกก่อน"
"เพคะ..."
สาวใช้เดินออกไปนอกศาล สตรีโฉมงามมาคุกเข่าไหว้เจ้าแม่ ฉีลู่กับเสี่ยวเซี่ยได้เห็นหน้านางชัด ๆ ก็อดตกใจไม่ได้
"องค์หญิง...ไยนางหน้าเหมือนท่านเล่าเพคะ"
"นั่นสิ...ไยนางหน้าตาเหมือนข้าเช่นนี้"
ฉีลู่จับจ้องมองสตรีสูงศักดิ์นางนั้น และเดินมามองใกล้ ๆ ยิ่งดูก็ยิ่งเหมือน ได้ยินสตรีนางนั้นกล่าวว่า
"ข้าแต่เจ้าแม่หนวี่วา..."
"ห๊ะ!...นี่คือเจ้าแม่หนวี่วาหรือ"
ฉีลู่พึมพำแล้วคุกเข่าลงไหว้เจ้าแม่ข้าง ๆ สตรีนางนั้น
"...ตัวข้าเป็นธิดาคนโตของแคว้นฝานหรง (繁榮) ด้วยน้องชายเพียงคนเดียวของข้ายังเด็กนัก...เพิ่งอายุ 13 ปี ข้าจึงต้องแบกรับภาระบ้านเมือง บัดนี้บ้านเมืองเราต้องเผชิญกับปัญหามากมาย แม้ข้าจะเป็นสตรี...ก็ไม่เคยเกี่ยงงอนแบ่งเบาภาระเสด็จพ่อ แต่ตัวข้ากลับอ่อนแอ ร่างกายเหมือนเทียนไขที่ใกล้ดับ..."
องค์หญิงผู้นั้นร้องไห้ออกมา ฉีลู่หันมามองและนึกสงสาร
"...ข้าไม่รู้ควรทำฉันใด จึงจะช่วยแคว้นและชาวประชาไม่ให้ต้องลำบากจากภัยสงครามและความอดอยาก ขอเจ้าแม่ผู้ศักดิ์สิทธิ์...ได้โปรดยืดอายุให้ข้าได้ยืนยาวอีกสัก 5 ปี รอให้อนุชาของข้าเติบใหญ่พอจะช่วยบ้านเมืองได้ ข้าขอวิงวอน...เจ้าแม่ได้โปรดช่วยข้าด้วย"
องค์หญิงก้มกราบทั้งน้ำตา ฉีลูสงสารนางจับใจ จึงปรากฏร่างออกมา
"เอ๊า!....องค์หญิง ไยจึงเผยตัวเช่นนี้เล่า"
เสี่ยวเซี่ยไม่คิดว่าจู่ ๆ ฉีลู่จะคลายเวทย์เผยตัว นางจะคลายบ้าง แต่ฉีลู่หันไปส่ายหัวให้ เสี่ยวเซี่ยจึงยังคงกำบังตนต่อไป
องค์หญิงเงยหน้าจากกราบเจ้าแม่ เห็นฉีลู่ยืนอยู่ก็ตกใจ ลุกขึ้นถามนางเสียงสั่น
"เจ้า...เจ้าคือผู้ใดกัน"
"ข้าผ่านเข้ามาหลบฝน และคิดค้างคืนที่นี่ เมื่อครู่ได้ยินที่เจ้าพูดคุยกับเจ้าแม่...ก็เลยออกมาดู"
"เจ้าแอบฟังข้าหรือ"
"ไยข้าต้องแอบฟัง ข้าเข้ามาอยู่ก่อนเจ้านานแล้ว"
องค์หญิงมองฉีลู่ที่หน้าตาคล้ายตน ก็นึกแปลกใจ
"ช่างน่าประหลาดนัก ไยแม่นางผู้นี้จึงละม้ายข้าเช่นนี้ ราวกับข้าส่องกระจกมองตนเองก็ไม่ปาน นางเป็นใครกันนะ..."
ฉีลู่ได้ยินเสียงความคิดนาง ก็บอกไปว่า
"หน้าเราสองคนละม้ายกันดังฝาแฝด ขอถามนามท่านจะได้หรือไม่"
"ข้าชื่อฉีลู่...เป็นองค์หญิงของแคว้นฝานหรงนี้"
"อะไรนะ...เจ้าก็ชื่อฉีลู่หรือ"
องค์หญิงพยักหน้า
"ประหลาดจริง ข้าก็ชื่อฉีลู่เช่นกัน ข้าเป็นองค์หญิงจากหนันไห่"
"หนันไห่...ท่านมาจากแคว้นทางใต้หรือ ท่านมาทำอันใดที่นี่"
"บอกตามตรงนะ...ข้าหนีออกจากบ้านมา ข้าทำความผิด...เสด็จพ่อจะจับข้าขังไว้ที่เจดีย์เทียนคง"
"ห๊า!...เจดีย์เทียนคง ที่อยู่บนสรวงสวรรค์นะหรือ"
ฉีลู่พยักหน้า องค์หญิงไม่เชื่อก็หัวเราะออกมา
"เจ้าไม่เชื่อข้าหรือ"
"ขออภัย...ข้าไม่อาจเชื่อท่านได้ มนุษย์จะขึ้นไปบนสวรรค์ได้อย่างไร ต่อให้เป็นฮ่องเต้...ก็ไม่อาจขึ้นไปได้"
"ข้าขึ้นได้นะ...ขึ้นไปหลายครั้งแล้วด้วย"
"แม่นาง...ท่านอย่าล้อเล่นเช่นนี้เลย สวรรค์ไม่ใช่สิ่งที่จะนำมาพูดเล่นสนุกปากได้นะ"
"ข้าไม่ได้โกหกเจ้าจริง ๆ นะ ข้าเคยขึ้นไปบนสวรรค์แล้วจริง ๆ ซ้ำยังไปทั้งครอบครัวด้วย เพราะเสด็จพ่อของข้าคือเจ้าสมุทรหนันไห่"
"อะไรนะ...เช่นนั้นท่านก็เป็นธิดาเจ้าสมุทรน่ะสิ"
"ใช่...ข้าคือธิดาเจ้าสมุทร"
ฉีลู่พูดจบก็คืนร่างเป็นมังกรให้ดู องค์หญิงตกใจอ้าปากค้าง
"เชื่อหรือยัง..."
นางพยักหน้าเบา ๆ ฉีลู่ก็แปลงกลับมาเป็นมนุษย์
"มังกรหรือ...นับเป็นวาสนาที่ข้าได้พบมังกรก่อนตาย"
องค์หญิงไอออกมาชุดใหญ่ นางเอามือปิดปาก พอเอามือออก ก็เห็นเลือดติดอยู่ที่ฝ่ามือ สีหน้านางที่ซีดอยู่แล้ว กลับซีดลงไปอีก
ฉีลู่เห็นเลือดสด ๆ บนมือองค์หญิงก็ตกใจเช่นกัน องค์หญิงกำมือน้ำตาไหล
"เลือด...ไยเจ้าจึงมีเลือด เจ้าบาดเจ็บตรงไหนหรือ"
ฉีลู่ถามอย่างเป็นห่วง องค์หญิงใบหน้าซีดเซียว รู้ว่าชีวิตตนคงอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว
"ข้าเป็นโรคร้าย ร่างกายอ่อนแอ หมอหลวงบอกว่า หากข้าไอเป็นเลือดเมื่อไร นั่นหมายถึงว่า...ชีวิตข้าใกล้ถึงวาระสุดท้ายแล้ว"
องค์หญิงร้องไห้น่าสงสาร
"หมอรักษาไม่ได้หรือ"
"ไม่ได้...ข้ากินยามานาน เสด็จพ่อหาหมอทั้งแผ่นดินมารักษาข้า แต่ทำได้เพียงประทังชีวิตเท่านั้น"
"อะไรกัน...หมอในแดนมนุษย์ช่างไร้ฝีมือนัก เจ้าไปกับข้า...ข้าจะพาเจ้าไปให้หมอบนสวรรค์รักษาเอง"
ฉีลู่จับมือองค์หญิงจะพานางออกไป แต่นางกลับดึงแขตฉีลู่ไว้
"ไม่ได้...ข้าเป็นมนุษย์ ขึ้นไปบนสวรรค์ทั้งที่ยังมีชีวิตไม่ได้หรอก น้ำใจของท่าน...ข้าขอรับด้วยใจ"
องค์หญิงเปลี่ยนคำเรียกฉีลู่
"เจ้าจะยอมตายง่าย ๆ เช่นนี้หรือ"
"ข้าเลือกได้หรือ หากเลือกได้...ข้าย่อมเลือกที่จะไม่ตาย แต่เมื่อมันถึงคราวสิ้นอายุขัยของข้าแล้ว ข้าย่อมหลีกหนีไม่พ้น ข้าเกิดมาสูงศักดิ์ เป็นองค์หญิงใหญ่แห่งแคว้น แต่ช่างน่าเสียดาย...ที่ข้าต้องมาตายทั้งที่มีอายุเพียง 15 ปีเท่านั้น"
"เจ้าช่างน่าสงสารนัก"
"ท่าน...ก็ชื่อฉีลู่หรือ"
ใช่...เพราะข้าเกิดมาพร้อมหยกวิเศษ แล้วเจ้าเล่า..."
"เสด็จแม่เล่าว่า...ตอนที่ข้าเกิด มีราษฏรขุดพบหยกก้อนใหญ่ หยกนั้นถูกนำมาแกะเป็นพระพุทธรูป และนำไปประดิษฐานที่วัดหลวง พวกท่านจึงตั้งชื่อข้าว่าฉีลู่..."
ทั้งสองนางยืนมองและยิ้มให้กัน องค์หญิงคิดว่าตนใกล้ตาย จึงไม่เกรงกลัวมังกรสาว ฉีลู่ก็เห็นอกเห็นใจและสงสารองค์หญิงผู้นี้ ทั้งคู่จับมือกันแน่นด้วยความเห็นกัน
ตำหนักขนาดเล็กอันเป็นที่พักชั่วคราว ถูกตกแต่งอย่างงดงาม มีสระบัวอยู่ตรงกลาง ฉีลู่ยิ้มดีใจ นางหาที่พักให้เสี่ยวเซี่ยได้แล้ว อาเถามาช่วยดูแลความเรียบร้อยให้"องค์หญิง...อยากเสวยอันใดไหมเพคะ ทางวังจัดเตรียมขนมหลายอย่างมาถวาย""จริงหรือ...เอามาสิ ข้าอยากกิน""เพคะ"อาเถาคำนับแล้วเดินออกไป ฉีลู่เปิดกระบอกไม้ไผ่ให้เสี่ยวเซี่ยออกมา"องค์หญิง..."เสี่ยวเซี่ยยิ้มร่าเริง มองไปรอบ ๆ ตำหนักเล็ก"ที่นี่น่าอยู่ไม่น้อยนะเพคะ แต่เล็กกว่าวังมรกตมาก""นี่เป็นเพียงที่พักชั่วคราว"ฉีลู่ร่ายเวทย์เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เสี่ยวเซี่ย นางหมุนตัวยิ้มดีใจ"นับจากนี้...เจ้าก็มาเป็นคนรับใช้ข้าเช่นเดิม ด้านหลังนี้มีสระบัว...เจ้าใช้พักพิงยามค่ำคืนได้"เสี่ยวเซี่ยย่อตัวคารวะนาง"ขอบพระทัยองค์หญิงเพคะ แต่พวกนางจะไม่สงสัยหรือ""วางใจเถิด...นี่เป็นชุดนางกำนัลของแคว้นฮุยหวง หากพวกฮุยหวงถาม...เจ้าก็บอกว่าเป็นนางกำนัลจากฝานหรง และหากคนฝานหรงถาม เจ้าก็บอกว่าเป็นนางกำนัลของที่นี่ เห็นหรือไม่...ง่ายจะตาย""องค์หญิงฉลาดจริง ๆ""เดี๋ยวอาเถาจะเอาขนมมาให้ข้า เจ้าก็อยู่กินขนมกับข้านะ""เพคะ..."พูดยังไม่ทันขาดคำ อาเถากับนางกำนัลก็ยกขนม
ตำหนักขนาดกลางที่แวดล้อมด้วยสวนงาม เหวินซินเดินหน้าบึ้งเข้าไปในตำหนัก เหล่านางกำนัลและขันทีหลบกันเป็นทาง"เสด็จแม่...เสด็จแม่"เหวินซินตะโกนด้วยโทสะ สตรีหน้าตางดงามแหวกม่านออกมา และยิ้มหวานให้เขา"เสด็จพี่...มาหาเสด็จแม่หรือเพคะ เสด็จแม่กำลังพักผ่อน..."สตรีนางนี้คือชายาของเหวินซิน นางเป็นธิดาของเสนาบดีเฉิงปิน...ชื่อ เฉิงฉิน (程琴)"ไยเจ้ามาอยู่ที่นี่"เหวินซินนั่งลงที่เก้าอี้ เฉิงฉินยิ้มเข้ามานั่งข้าง ๆ"เสด็จแม่รับสั่งเรียกข้ามาพูดคุย ท่านเล่า...ไยจึงหน้าบึ้งตึงเช่นนี้ มีอันใดทำให้ขุ่นเคืองหรือเพคะ"เหวินซินเหลือบมองชายาที่เขาเคยคิดว่างามกว่่าสตรีใด แต่ครั้นได้มาพบฉีลู่ เขากลับรู่สึกว่าชายาของเขาก็แค่หน้าตาดี ไม่ได้งามอะไรนัก"เจ้ากลับไปก่อนเถิด ข้ามีเรื่องจะคุยกับเสด็จแม่""ข้าอยู่ฟังด้วยไม่ได้หรือ"เฉิงฉินจับมือเขาทำท่าอ้อน แต่กลับทำให้เหวินซินโมโห"เจ้าอย่าได้ดื้อดึง...ข้าบอกให้กลับก็กลับไปสิ"เฉิงฉินตกตะลึง นางไม่เคยถูกสวามีตวาดเช่นนี้มาก่อน จึงนึกน้อยใจ"เสด็จพี่...ไยจึงเสิอกไสข้าเช่นนี้"เหวินซินสะบัดหน้าเมิน มารดาของเขาที่เป็นถึงพระสนมเอก กุ้ยเฟย (贵妃) เดิมนางแซ่จิน (金) ทุกคนจึง
เหวินเชียนจูงฉีลู่มายืนตรงหน้าฮ่องเต้และฮองเฮา ฉีลู่คุกเข่าประสานมือคารวะอย่างอ่อนหวาน"ฉีลู่แห่งฝานหรง ขอถวายบังคมฮ่องเต้และฮองเฮา ขอให้ทั้งสองพระองค์ทรงพระเจริญเพคะ""ลุกขึ้นเถิดหลานสาว ไม่พบเจ้านานปี...เจ้าเติบใหญ่งดงามปานนี้ พ่อแม่เจ้าสบายดีหรือ"อาเถาพยุงฉีลู่ลุกขึ้น"เสด็จพ่อเสด็จแม่สบายดีเพคะ"ฮ่องเต้ยิ้มพอพระทัย แนะนำรัชทายาทให้นางรู้จัก"ผู้นี้คือโอรสองค์โตของข้า เป็นรัชทายาทแห่งแคว้น...ชื่อเหวินเชียน พวกเจ้าจงทำความคุ้นเคยกันเสีย"ฉีลู่หันไปสบตากับเหวินเชียน ใบหน้าร้อนวูบวาบด้วยความเขินอาย แต่ก็ประสานมือคารวะเขา"คารวะองค์รัชทายาทเพคะ""องค์หญิงฉีลู่...ยินดีต้อนรับสู่แคว้นเรา""ขอบพระทัย...""องค์หญิง...ข้าชื่อเหวินซิน เป็นองค์ชายรอง ยินดีที่ได้รู้จัก"เหวินซินรีบมาแนะนำตัว เขามองฉีลู่ไม่วางตา ฉีลู่ไม่ชอบสายตาที่เขามอง แต่จำต้องรักษามารยาท นางเพียงค้อมหัวให้เขา"คารวะองค์ชายรอง""ข้าคือองค์ชายสาม ชื่อเหวินซู (文舒) ยินดีต้อนรับนะ"องค์ชายสามเป็นคนร่าเริง เขายิ้มแย้มบอกนาง"ขอบพระทัยองค์ชายสามเพคะ""เอาล่ะจ้ะ...องค์หญิงเดินทางมาไกล ให้นางได้พักผ่อนก่อนเถิด"ฮองเฮาบอกแก่เหล่าองค
รุ่งเช้า...ขบวนเจ้าสาวก็เก็บข้าวของและออกเดินทางต่อ ฉีลู่ตัดกระบอกไม้ไผ่ ให้เสี่ยวเซี่ยแปลงเป็นปลาน้อยอยู่ในนั้น นางคิดว่ารอให้ถึงแคว้นฮุยหวงค่อยนำเสี่ยวเซี่ยออกมาการเดินทางรอนแรมข้ามแคว้นไม่ง่ายเลย ต้องผ่านป่า ข้ามเขา แต่ทุกอย่างก็ราบรื่นดี เพราะชิงวาได้ป่าวประกาศไปสู่หมู่ปีศาจที่เฝ้าทางด้วยกัน ให้ช่วยอารักขาธิดามังกรไปจนถึงแคว้นฮุยหวงอย่างปลอดภัยขบวนเจ้าสาวเดินทางอยู่ 2 เดือนกว่า ก็ได้เห็นกำแพงเมืองอยู่ไกล ๆ แล้ว ยิ่งใกล้จะเข้าสู่แคว้นฮุยหวง ฉีลู่ก็ยิ่งไม่สบายใจ"องค์หญิง...วันนี้เป็นอันใดหรือเพคะ ไยจึงไม่พูดคุยกับข้า"เสี่ยวเซี่ยถามจากในกระบอก"ใกล้ถึงแคว้นฮุยหวงแล้วนะสิ""ไม่ทรงดีพระทัยหรือเพคะ""มีอันใดน่าดีใจ...""ข้าอยากเห็นคู่วิวาห์ของท่านนัก ไม่รู้ว่าจะรูปงามปานใด"ฉีลู่สะบัดหน้าค้อนเสี่ยวเซี่ย ใจจริงนางก็อยากเห็นรัชทายาทคู่หมั้นเช่นกัน และไม่รู้ควรทำตัวอย่างไรกับเขา ฉีลู่นึกหนักใจอยู่คนเดียวตอนสายของวันนั้น...ขบวนเจ้าสาวก็มาถึงประตูเมืองแคว้นฮุยหวง ฉีลู่แง้มม่านมองประตูเมืองและกำแพงเมืองที่ทั้งใหญ่และดูสูงแข็งแกร่ง ที่หน้าประตูมีคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ ชายวัยกลางคนแต่งกายด้วย
ขบวนมาหยุดลงที่ริมฝั่งลำธารอันเงียบสงบ บรรยากาศร่มรื่นน่าพัก หัวหน้าองครักษ์จำต้องหยุดพักที่นี่ตามคำสั่งของฉีลู่ กระโจมชั่วคราวถูกกางขึ้นเป็นที่พักให้ฉีลู่และนางกำนัล ทุกคนล้วนเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ได้มาพักในที่ร่มรื่นงดงามเช่นนี้ ก็ยินดีจนลืมความน่ากลัวที่เล่าลือไปองครักษ์ช่วยกันก่อกองไฟเพื่อหุงหาอาหาร และขับไล่สัตว์ร้าย หัวหน้าองครักษ์เดินตรวจดูความเรียบร้อยโดยรอบ...ทุกอย่างสงบเงียบดี"ท่านหัวหน้า...เราพักค้างแรมที่นี่จะดีหรือขอรับ ท่านไม่เคยได้ยินเรื่องเล่าลือหรือไร"ลูกน้องคนหนึ่งถามเขา"องค์หญิงประสงค์จะพักที่นี่ ข้าไม่อาจขัดพระทัยได้ เท่าที่ดู...ที่นี่สงบเงียบ ซ้ำทิวทัศน์ยังงดงามนัก คำเล่าลืออาจไม่เป็นจริงก็ได้ เจ้าก็อย่าพูดมากไป""ขอรับ...ข้าก็เห็นจริงอย่างท่านว่า ที่นี่งดงามร่มรื่นน่าพักนัก""อื้ม...คืนนี้จัดเวรยามให้ดี เราต้องดูแลทุกสิ่งให้เรียบร้อย""ขอรับ...ท่านหัวหน้า"หัวหน้าองครักษ์และลูกน้องดูจนแน่ใจแล้วว่าปลอดภัย ก็กลับมานั่งพักและกินอาหารเย็นกับทุกคน อาเถานำอาหารไปให้ฉีลู่ในกระโจม เมื่อกินอาหารกันเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายกันพักผ่อนและเฝ้าเวรดึกแล้ว...ฉีลู่ออก
กองขบวนเจ้าสาวพร้อมของขวัญถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อย...พร้อมออกเดินทางแล้ว ฮ่องเต้ ฮองเฮา เหล่าเสนาอำมาตย์และเชื้อพระวงศ์ตามมาส่งที่หน้าวัง ฉีลู่แต่งกายงดงามมากราบลาฮ่องเต้และฮองเฮา"ลูกแม่...เดินทางปลอดภัยนะลูก"ฮองเฮากลั้นน้ำพระเนตรกอดลาฉีลู่"เสด็จแม่ก็ถนอมพระวรกายด้วยนะเพคะ ข้าจะหาโอกาสกลับมาเยี่ยมพวกท่าน""จ้ะ..."ฮ่องเต้เองก็อาลัยพระธิดา แต่ต้องแสร้งเป็นเข้มเข็งดุฮองเฮา"ลูกเราจะไปอภิเษกนะ...เจ้าต้องยินดีจึงจะถูก จะร้องไห้ไปไยกัน...หาเป็นมงคลไม่""เพคะ..."ฮองเฮาแอบซับน้ำพระเนตร ฮ่องเต้จับไหล่ปลอบนาง"พี่ใหญ่..."องค์ชายฉีเป่า (祺寶) น้องชายผู้เป็นรัชทายาทของแคว้นฝานหรงวิ่งมากอดฉีลู่"พี่ใหญ่...ท่านจะไปนานหรือไม่ เดือนหน้าเป็นวันเกิดของข้านะ ข้าอยากให้ท่านมาร่วมงานของข้า..."ฉีลู่จับแก้มน้องชาย นางมีพี่ชายสองคน...ไม่เคยมีน้อง จึงเอ็นดูองค์ชายน้อยมาก"เป่าเอ๋อร์...พี่ต้องเดินทางไกล ไม่อาจกลับมาร่วมงานวันเกิดของเจ้าได้ แต่พี่จะส่งของขวัญมาให้นะ เจ้าเติบใหญ่แล้ว...ต่อไปเมื่อพี่ไม่อยู่ เจ้าต้องเข้มแข็ง...ดูแลเสด็จพ่อเสด็จแม่ ดูแลปวงประชาแทนพี่...เข้าใจหรือไม่"องค์ชายน้อยน้ำตานองหน้า เอ







