Beranda / รักโบราณ / ชายาอสรพิษ / ผลึกวิญญาณเลือด

Share

ผลึกวิญญาณเลือด

last update Terakhir Diperbarui: 2025-10-14 21:41:41

เสียงเล็กใสคล้ายเสียงเด็กดังขึ้นในมิติข้างใน “นายท่าน”

ร่างป้อม ๆ ของเสี่ยวมู่ปรากฏขึ้นในหมอกขาว เขาเอียงหัวน้อย ๆ มองอัญมณีในมือของนาง ดวงตากลมใสสะท้อนแสงสีแดงราวกับสะกดจิต

หลี่หลิงเฟิ่งสูดลมหายใจลึก ก่อนเอ่ยถามเสียงเรียบแต่กดต่ำ

“บอกข้ามามันคืออะไรกันแน่”

เสี่ยวมู่เดินเตาะแตะเข้ามาใกล้ ยกมือป้อม ๆ ชี้ไปที่ผลึกแดงนั้น

“มันไม่ใช่อัญมณี แต่คือโลหิตที่แข็งตัว หรือรู้จักในชื่อ ‘ผลึกวิญญาณเลือด’ ซากของสิ่งมีชีวิตที่มิใช่มนุษย์”

“โลหิต?” หลี่หลิงเฟิ่งเลิกคิ้วอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา

เด็กชายเงียบไปครู่หนึ่ง ราวกับลังเลที่จะพูดออกมา แล้วในที่สุดก็กล่าวต่อ

“หากข้าเดาไม่ผิด ผลึกวิญญาณเลือดอันนี้เป็นของอสูรโบราณที่ท่านเพิ่งสังหาร คนส่วนใหญ่ไม่รู้ถึงการมีอยู่ของอสูรโบราณ พวกมันเกิดมาก่อนผู้คนจะเขียนพงศาวดาร เลือดหนึ่งหยดสามารถเผาผลาญภูผา สะกดทะเล หรือแม้กระทั่งมอบพลังเหนือฟ้าให้ผู้ครอบครองได้”

ถ้อยคำที่ออกจากปากเด็กเล็กไร้เดียงสา กลับเย็นเยียบเสียยิ่งกว่าลมภูเขาที่พัดผ่านผนังถ้ำ หลี่หลิงเฟิ่งก้มมองผลึกโลหิตในมือตน ความร้อนที่แล่นผ่านปลายนิ้วดูราวกับจะเผาวิญญาณให้มอดไหม้

“ดีขนาดนี้เชียว แล้วเหตุใดมั
Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi
Bab Terkunci

Bab terbaru

  • ชายาอสรพิษ   ดูดกลืน

    ค่ายกลเริ่มโอบล้อมโลงศพบรรพชน ขานรับกันเป็นชั้นราวท่วงทำนอง พื้นดินที่เคยกลืนผู้อื่น บัดนี้กลับถูกกลืนเสียเองเสียงหวีดร้องของคนตระกูลไป๋สะท้อนลั่น พลังของพวกเขาถูกดูดกลับอย่างไร้ทางขัดขืนเมื่อค่ายกลโอบล้อมสมบูรณ์ สุสานทั้งผืนเปล่งแสงฟ้าครามนวลตา พลังเย็นสายหนึ่งแผ่กระจายกันเป็นชั้น เหล่าคนตระกูลเป่ยลุกเริ่มตั้งหลักได้ ใบหน้าอาบเหงื่อแต่ยังยิ้มออก“ใครกันที่ช่วยพวกเราเอาไว้” แม้จะสงสัยมากเพียงใด แต่ก็จนปัญญาหาคำตอบควันฝุ่นจากพื้นหินที่แตกร้าวลอยคลุ้งขึ้นท่ามกลางกลิ่นคาวเลือด พลังยุทธ์ที่ปะทะกันเมื่อครู่คล้ายฝนที่เทกระหน่ำ เมื่อสงบลงจึงเห็นซากปรักและร่างกลุ่มคนที่ไม่อาจลุกขึ้นอีกต่อไปเป่ยเหยียนพิงกระบี่ หอบหายใจรุนแรง รอบกายเขาเต็มไปด้วยร่างของเหล่าผู้คนในตระกูล ผู้อาวุโสท่านหนึ่งล้มพับข้างเขา โลหิตสีแดงเจิ่งนองเต็มพื้น ชวนสะอิดสะเอียน“อาเฉิง เจ้าทำได้ดีแล้ว” เขาเอื้อมมือแตะไหล่เย็นชืดนั้น ริมฝีปากสั่นระริก “หลับให้สบายเถิด บรรพชนจะปกปักเจ้าเอง ต่อจากนี้ให้เป็นหน้าที่ของข้า”เสียงกรีดร้องยังดังต่อเนื่อง หญิงสาวตำหนักธิดาสวรรค์คนหนึ่งถูกซัดขึ้นกลางอากาศ ก่อนร่างกระแทกเสาศิลาจนหักครึ

  • ชายาอสรพิษ   ศาสตร์ธาตุ

    เสียงระเบิดพลังยุทธ์สะเทือนผนังหินหนาทึบภายในสุสานบรรพชน คลื่นพลังของศาสตร์ธาตุปะทะกันจนอากาศแปรปรวนเป็นสีขุ่นมัว แรงสั่นสะเทือนรุนแรงเพียงพอจะบดขยี้กระดูกของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นต่ำให้แหลกละเอียดภายในชั่วอึดใจเดียวศาสตร์ลึกลับหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าศาสตร์ โดยแบ่งตามคุณสมบัติของผู้ใช้ธาตุต่างๆ ได้แก่ ปฐพี วายุ วารี อัคคีเป่ยเหยียนยืนอยู่หน้าโลงศพบรรพชนเซถลาไปครู่หนึ่ง โลหิตคั่งขึ้นคอแต่เขากลืนมันลงอย่างรวดเร็ว ก่อนเหวี่ยงกระบี่สีเงินขึ้นเหนือศีรษะอีกครั้ง พลังยุทธ์แผ่กระจายออกจากปลายกระบี่ ดั่งคลื่นน้ำปกคลุมทุกสิ่ง แต่ยังไม่ทันรวมเป็นรูปกระบี่ร้อยเล่ม เสียงหัวเราะต่ำเย็นของชายชุดดำก็พลันดังขึ้นในห้วงความเป็นตาย“ต่อให้เจ้าจะสู้จนลมหายใจสุดท้าย ก็ไม่พ้นเงื้อมมือศาสตร์ปฐพีของข้าได้หรอก อย่าฝืนให้เสียเวลาเลย” ปลายเท้าของชายชุดดำเหยียบย่ำลงบนพื้นแผ่วเบา พื้นหินที่มั่นคงราวศิลาอัสนีพลันบิดงอขึ้นมาเป็นหลุมวงกว้าง ลมปฐพีกระหน่ำหมุนรอบโลงศพบรรพชน ราวกับโลกทั้งใบเริ่มโอบรัดตนเองเข้าสู่ความมืดมิดสองสตรีจากตำหนักธิดาสวรรค์ที่ยืนต้านอยู่ทางทิ

  • ชายาอสรพิษ   ปะทะ

    “เหอะ ข้าก็ว่าแล้ว เหตุใดคุณชายสามจวนข้าถึงได้นอนหมดสติหลังจากร่วมงานยอดยุทธ์อันดับหนึ่งครานั้น ที่แท้ก็เป็นฝีมือของพวกเจ้าตำหนักธิดาสวรรค์ วางแผนทำลายตระกูลเป่ยของข้า กล้าดียิ่งนัก” ทันทีที่หมอกควันสลาย คนตระกูลเป่ยก็ตาสว่างขึ้นทันใด พวกผู้ดีจอมปลอม ริอ่านแสดงเป็นโจรร้องจับโจร คิดว่าตระกูลเป่ยของข้ารังแกกันได้ง่ายนักหรือ“มดปลวกอย่างพวกเจ้าจะร้องโวยวายไปไย น่ารำคาญชะมัด” หนึ่งในสตรีตำหนักธิดาสวรรค์แสดงอาการหงุดหงิดออกมา “แต่เอาเถิด เห็นแก่ความสัมพันธ์ที่ผ่านมาหลายปีของพวกเรา วันนี้ข้าจะละเว้นพวกเจ้าครั้งหนึ่ง หลีกทางซะ”“รังแกกันเกินไปแล้ว! หากวันนี้ข้าฆ่าเจ้าไม่ได้ อย่าเรียกข้าว่าเป่ยฮั่น” เป่ยฮั่น รุ่นเยาว์ผู้มากพรสวรรค์ของรุ่นนี้ทนฟังไม่ไหว ถึงกับเลือดพุ่งขึ้นหน้า ถลาเข้าไปสู้กับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นนภาระดับสูงสุดหลี่หลิงเฟิ่งซึ่งทำตัวเป็นบุคคลที่สามชมศึกด้านหน้าถึงกับทอดถอนใจ สมองอัจฉริยะของรุ่นนี้ใช้การไม่ได้เสียแล้ว อยู่ดีไม่ว่าดี ถึงกับรนหาที่ตาย“อั่ก!” ไม่ทันขาดคำ ร่างของเป่ยฮั่นลอยละลิ่วไปไกลหลายจั

  • ชายาอสรพิษ   ตำราเล่มหนึ่ง

    กว่าค่อนคืนที่พวกหลี่หลิงเฟิ่งติดอยู่ในสุสานบรรพบุรุษ จนกระทั่งเสียงระฆังเตือนภัยของตระกูลเป่ยดังสะท้อนขึ้นกลางรุ่งเช้า “ยันต์สั่นสะเทือนขึ้นมาอีกแล้ว พลังค่ายกลรั่วไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง ทุกคนรีบมารวมตัวด่วน!” แสงแรกของวันยังไม่ทันลอดผ่านยอดไม้ หมอกจางเหนือจวนก็พลันไหวระริก แสงยันต์ที่ล้อมค่ายกลใหญ่เรืองขึ้นเป็นเส้นสีเงินวาบวับ ราวกับแสงดาวสุดท้ายถูกกลืนกินทุกเส้นพลังใต้พื้นหิน แรงสั่นสะเทือนสะท้านในอกของทุกคนจนใจหวาดหวั่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน พื้นดินใต้ลานหลักรับแรงสั่นสะเทือนแทบไม่อยู่ เส้นยันต์แตกแขนงแผ่ซ่านราวรากไม้ที่กำลังดิ้นรนมีชีวิตพลังพุ่งสวนทางขึ้นสู่ท้องฟ้า ทะลุผ่านหมอกยามเช้าอย่างบ้าคลั่ง “แปลกนัก พลังนี้ไม่ควรเป็นเพียงของค่ายกล แต่มันเหมือนมีพลังจากภายนอกแทรกเข้ามา เป็นผู้ใดกันกล้าบุกรุกพื้นที่ของข้า สงสัยพวกมันคงเบื่อชีวิตกันแล้ว!” เสียงของหนึ่งผู้อาวุโสร้องขึ้น ขณะพลังสีเทาพุ่งไหลเข้าหากันกลางลานเพื่อตรวจสอบมหาโจรที่ลาดตาข่ายเข้ามา พวกมันเก่งกาจหรือตระกูลเป่ยของข้าอ่อนแอลงกันแน่นะ ยามนี้เหล่าคนในตระกูลต่างก็ไม่มีความมั่นใจในตนเองเสียแล้ว

  • ชายาอสรพิษ   ปลดผนึก

    ลมยามดึกพัดหวิว หลี่หลิงเฟิ่งยังคงนั่งอยู่บนระเบียง แต่กระแสจิตของนางกลับล่องลอยไกลออกไปกว่ากำแพงจวนบางสิ่งในอากาศแปรปรวนเล็กน้อย“มาเร็วกว่าที่คิด” แววตาเยือกเย็นพลันเข้มขึ้นเสี่ยวมู่เงยหน้า “นายท่าน รับรู้ได้หรือ ทำไมข้าไม่รู้สึกอะไรเลย”“อืม มีคนแตะยันต์ตรวจพลังที่จุดเหนือสุสาน พวกนั้นใช้ยันต์พรางตัวชั้นสูง ไม่แปลกที่เจ้าจะสัมผัสไม่ได้”เสี่ยวมู่ชะงักไปชั่วครู่ “อาจเป็นคนของจวนเองหรือไม่”หลี่หลิงเฟิ่งส่ายหน้าเบา “ไม่ใช่ พลังพวกนั้นไม่ใช่สำนักสายพลังธาตุทั่วไป มันมีร่องรอยของกลิ่นน้ำค้างจากแดนฟ้า”แดนฟ้า?เสี่ยวมู่เบิกตา “คนของตำหนักธิดาสวรรค์”หลี่หลิงเฟิ่งไม่ตอบ เพียงยกมุมปากเล็กน้อย “ให้ข้าตรวจสอบให้แน่ชัดก่อนก็แล้วกัน”นางลุกขึ้นจากระเบียง เงาร่างเคลื่อนไหวไร้เสียงราวสายน้ำ ปลายนิ้วแตะยันต์พรางกาย ก่อนเหยียบปลายหลังคา เรือนทั้งเรือนดูเหมือนเพียงสั่นไหวตามลม ไปมาไร้ร่องรอยเส้นทางที่นางเลือกลงไปนั้นคือเส้นเดียวกับที่วางแผนไว้ก่อนหน้า ใต้น

  • ชายาอสรพิษ   ตาอยู่

    คืนนั้น หลังเหตุโกลาหลกลางวันสิ้นสุดลง จวนตระกูลเป่ยกลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้งเสียงฝีเท้าผู้คนจางหาย เหลือเพียงแสงโคมที่ไหวระริกอยู่ตามเฉลียง กลิ่นควันจากยันต์ที่เผาเพื่อซ่อมค่ายกลยังลอยอ้อยอิ่งในอากาศ แฝงกลิ่นสมุนไพรจาง ๆ จากเรือนของหลี่หลิงเฟิ่งที่ยังไม่ดับไฟหลี่หลิงเฟิ่งนั่งอยู่ตรงระเบียงไม้ด้านใน สายลมเย็นพัดชายแขนเสื้อของนางกระเพื่อมเบา ๆ บนโต๊ะมีตะเกียงน้ำมันดวงเล็ก ส่องแสงอุ่นสลัวสะท้อนเงาเรียวของผู้เป็นเจ้าของเงาร่างโปร่งของเด็กน้อยปรากฏขึ้นในมิติมายา เสียงของเขาแผ่วเบา“นายท่านวันนี้ค่ายกลใหญ่สั่นสะเทือนมากทีเดียว ข้าคิดว่า..”“ข้ารู้” หลี่หลิงเฟิ่งตอบพลางหมุนถ้วยชาในมือเล่น “แต่เจ้าสังเกตหรือไม่ ยันต์ปกคลุมที่ใต้สุสานกับค่ายกลใหญ่ มันไม่ได้มาจากของยุคเดียวกัน”เสี่ยวมู่ชะงัก “ท่านหมายถึง?”“ค่ายกลที่ผนึกสิ่งนั้นไว้ใต้ดิน ไม่ใช่ผลงานของคนตระกูลเป่ย” เสียงของนางดังแว่ว ดวงตาที่ทอดมองแสงตะเกียงเต็มไปด้วยประกายคิดคำนวณ“ลายอักขระและเส้นเชื่อมพลังนั้น ข้าจำได้ คล้ายกับ

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status