“กลับไปแล้วข้าจะเอาผลต้นเกล็ดหิมะให้ท่าน”กู้หว่านเยว่ลูบท้อง“เริ่มหิวแล้วสิ”ซูจิ่นเอ๋อร์จัดการกับหมีแพนด้ากินเหล็กเรียบร้อยแล้ว เมื่อได้ยินดังนั้นก็รีบเอ่ยขึ้น“ข้าจะเป็นคนทำอาหารเอง ระหว่างทางข้าเก็บของป่ามาเยอะเลย ยังสามารถต้มน้ำแกงซานเจินได้ด้วย”ปรมาจารย์แพทย์ดึงกู้หว่านเยว่พลางเอ่ยขึ้น “อยากไปดูที่ถ้ำนั่นหรือไม่?”“ได้เลย”กู้หว่านเยว่พยักหน้า เมื่อครู่นางเห็นแปลงสมุนไพรแห่งนี้แล้ว นางรู้สึกอยู่เสมอว่าอาจเคยมีผู้วิเศษอาศัยอยู่ที่นี่ ไม่เช่นนั้นคงจะไม่บังเอิญมีสมุนไพรขึ้นเยอะขนาดนี้บางทีในถ้ำนั่นอาจจะมีของที่ผู้วิเศษทิ้งเอาไว้ก็ได้กู้หว่านเยว่รอไม่ไหวจึงให้ปรมาจารย์แพทย์นำทางไป ส่วนซูจิ่งสิงก็ตามไปด้วย“ข้าไม่ไปแล้ว ข้าจะอยู่ช่วยงานที่นี่ก็แล้วกัน”ซวนลู่เอ่ยขึ้นมากะทันหัน เสียงของนางดึงดูดความสนใจของทุกคนกู้หว่านเยว่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย นางไม่คิดจะตามไปด้วยจริง ๆ หรือ?“ข้าทำอาหารเป็นนิดหน่อย”ซวนลู่ดูไม่เป็นธรรมชาติ สายตาหลุกหลิกเล็กน้อย อย่างไรเสียนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ทำเรื่องแบบนี้“อีกอย่าง เมื่อครู่ข้าล่าสัตว์จนเหนื่อยแล้ว ไม่อยากเดินไปไหนมาไหน อยู่ช่วย
สิ่งที่ยืนยันได้ก็คือ ด้านหลังของหินยักษ์นี่ต้องมีบางอย่างอยู่แน่ ๆ ซูจิ่งสิงสำรวจดูครู่หนึ่ง “นี่น่าจะเป็นประตูบานหนึ่ง ต้องใช้กลไกในการเปิด เจ้าหลบไปก่อนลองให้ข้าดูหน่อย”กู้หว่านเยว่ไม่รู้เรื่องกลไกเลย เมื่อได้ยินดังนั้นก็รีบหลบไปด้านข้างอย่างว่าง่ายซูจิ่งสิงสำรวจประตูหินอย่างละเอียด “มีอะไรที่ส่องสว่างได้หรือไม่?”“มี” กู้หว่านเยว่รีบหยิบไฟฉายแรงสูงออกมาจากมิติ“ตรงนี้มีกลไก” ซูจิ่งสิงพบก้อนหินก้อนหนึ่งที่อยู่ด้านหน้าประตูยักษ์ กู้หว่านเยว่ใช้ไฟฉายส่องไป พบว่ามันเป็นสิ่งที่ดูคล้ายกับกระดานหมากรุกนางไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสิ่งนี้เลย ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรด้วยซ้ำ“ท่านพี่ ท่านแก้ได้หรือไม่?”ซูจิ่งสิงไม่พูดอะไร จ้องมองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอามือไปวางบนสามตำแหน่งแล้วบิด“ถ้ามีอันตราย ให้หนีเข้าไปในมิติทันที” เขาเอ่ยเตือนประโยคหนึ่งกู้หว่านเยว่รีบพยักหน้า พร้อมกับตั้งสติอย่างเต็มที่ซูจิ่งสิงจัดการส่วนสุดท้ายเสร็จแล้ว ประตูยักษ์ก็ส่งเสียงดังขึ้น จากนั้นก็เริ่มเคลื่อนไหวทั้งสองคนคอยระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา หากมีอาวุธลับพุ่งออกมา กู้หว่านเยว่ก็จะพาซูจิ่งสิงหลบเข้าไปในมิติทั
กว่าพวกเขาจะออกจากถ้ำแล้วกลับไป อาจจะมืดค่ำแล้วก็ได้กู้หว่านเยว่นึกถึงความกังวลของเขาอย่างรวดเร็ว หยิบจอบเล่มเล็กออกมาอีกเล่ม“ท่านช่วยข้าขุดสมุนไพรขึ้นมาพร้อมกับรากและดิน จำไว้ว่าสมุนไพรแต่ละชนิดให้ขุดแค่ต้นเดียว ห้ามทำให้สมุนไพรเสียหายเด็ดขาด”ซูจิ่งสิงพยักหน้า รับจอบมา จากนั้นก็เริ่มลงมือช่วยเขาทำอย่างรวดเร็ว สองสามีภรรยาขุดสมุนไพรอยู่ประมาณครึ่งชั่วยาม ก็ขุดสมุนไพรเสร็จแล้ว“เรียบร้อย ข้าจะเก็บสมุนไพรพวกนี้เข้าไปในมิติก่อน รอตอนกลางคืนมีเวลา ค่อยเอามันไปปลูกในแปลงสมุนไพรทีละต้น”กู้หว่านเยว่เช็ดเหงื่อที่หน้าผากด้วยความรู้สึกพึงพอใจไม่คิดเลยว่าวันนี้ออกมาล่าสัตว์จะยังมีโชคลาภแบบนี้ ตอนที่ออกจากถ้ำ นางจึงเดินตัวปลิวเลยทีเดียวทันทีที่ทั้งสองคนออกมา ประตูยักษ์นั่นก็ปิดลงอีกครั้ง ปรมาจารย์แพทย์ยังคงรออยู่ที่ปากถ้ำ“นางหนู ในที่สุดพวกเจ้าสองคนก็ออกมาสักที ถ้าไม่ออกมาอีก ข้าคงขึ้นราแล้ว”ปรมาจารย์แพทย์แสดงให้เห็นว่า หากรู้เช่นนี้เอาแผนที่ให้พวกเขาตั้งแต่แรก แล้วให้พวกเขามาเองก็สิ้นเรื่องกู้หว่านเยว่ยิ้ม ปรมาจารย์แพทย์เดาได้ว่านางน่าจะได้ของดีจากในถ้ำ จึงลุกขึ้นยืนพลางกล่าว
“พี่ซวนลู่ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น”ซูจื่อชิงถอนหายใจ แล้วตักน้ำแกงซานเจินของกู้หว่านเยว่ใส่ชามก่อน“ข้าจะยกออกไปชามหนึ่งก่อน ที่เหลือฝากท่านจัดการ”ถึงอย่างไรเขาและซวนลู่ก็เติบโตมาด้วยกัน มีความผูกพันกัน จึงไม่อยากให้เรื่องมันแย่ไปกว่านี้คนที่นางไม่ชอบคือพี่สะใภ้ แค่เอาน้ำแกงซานเจินของพี่สะใภ้ออกไป ก็น่าจะไม่มีเรื่องอะไรแล้ว“อืม”ซวนลู่ดูเหมือนจะเสียใจมาก ไม่อยากจะสนใจเขา ซูจื่อชิงเห็นดังนั้นก็รู้สึกผิดอยู่บ้าง จึงได้แต่เดินออกไปก่อน แล้วยกน้ำแกงมาให้กู้หว่านเยว่“พี่สะใภ้ ซดน้ำแกงขอรับ”เมื่อครู่เพิ่งได้สมุนไพรล้ำค่ามามากมายขนาดนี้ กู้หว่านเยว่จึงอารมณ์ดี รับน้ำแกงมาอย่างมีความสุข แล้วซดไปเล็กน้อยเวลานี้ ซวนลู่ก็ยกน้ำแกงซานเจินชามอื่น ๆ ออกมา แล้วนำมาวางไว้บนโต๊ะอาจเป็นเพราะเพิ่งเคยทำเรื่องแบบนี้เป็นครั้งแรก ทำให้นางดูลนลาน เกือบจะทำน้ำแกงหกใส่พื้นกู้หว่านเยว่หรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วสบตากับซูจิ่งสิง“แม่ทัพซวนเชิญนั่งเถิด หากพวกเราจะซดน้ำแกงก็จะเข้าไปตักเอง เจ้าระวังลวกนะ”กู้หว่านเยว่กล่าวด้วยความหวังดี ซวนลู่กลับไม่ค่อยกล้าสบตา“ไม่เป็นไร ข้ามิใช่คุณหนูใหญ่ผู้บอบบ
“ข้าไปช่วยเจ้า” เมี่ยชิงหว่านวางชามและตะเกียบลง แล้วจูงมือซูจื่อชิงไปด้วยกัน“ปรมาจารย์แพทย์เฒ่า ท่านกลับไปกับพวกเราด้วยสิ ข้าจะได้เอาผลต้นเกล็ดหิมะให้ท่านด้วย”แม้ว่าทิวทัศน์ของหุบเขาราชาโอสถจะงดงาม แต่ตอนนี้หุบเขาราชาโอสถยังไม่มีศิษย์มากนัก ทั้งหุบเขาราชาโอสถดูว่างเปล่า ไร้ผู้คน ไม่มีแม้แต่เงา ปรมาจารย์แพทย์เองก็ไม่ชอบอยู่ที่นี่ จะมาดูแลแปลงสมุนไพรของเขาก็แค่นาน ๆ ครั้งเมื่อเห็นกู้หว่านเยว่เชิญ ก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ จึงรีบพยักหน้าตอบรับทันที“ดีเลย ๆ นางหนู เช่นนั้นข้าจะไปพักที่จวนเจ้าก็แล้วกันพอดีช่วงนี้ข้ากำลังจะรับศิษย์สองสามคนในเมืองอวี้ ถึงตอนนั้นต้องทดสอบพวกเขา การเดินทางไป ๆ มา ๆ แบบนี้ก็ไม่สะดวก”กู้หว่านเยว่นึกขึ้นได้ “ท่านรับหมอหลินแล้วมิใช่หรือ?”“ใช่แล้ว”ปรมาจารย์แพทย์พยักหน้า“แต่คนพวกนี้เป็นเพียงศิษย์ของหุบเขาราชาโอสถ ไม่ใช่ศิษย์ของข้า ศิษย์ของข้าไม่ใช่ว่าใครจะเป็นก็ได้ ต้องมีพรสวรรค์ด้วย”นี่เป็นข้อกำหนดของปรมาจารย์แพทย์ ถึงแม้ว่าเขาต้องการสร้างหุบเขาราชาโอสถ แต่เขาก็ไม่ได้รับศิษย์ง่าย ๆ แน่นอนว่าบรรดาหมอที่เข้าร่วมหุบเขาราชาโอสถ โดยปกติแล้วเขาก็จะสอนทุ
ทว่าในตอนที่ทุกคนกำลังจะก้าวเข้าไปในประตู ก็มีร่างหนึ่งพุ่งเข้ามา“จิ่งสิง หว่านเยว่ ช่วยข้าด้วย!”เมื่อเห็นผู้หญิงผมเผ้ารุงรัง เนื้อตัวมอมแมมเหมือนขอทานตัวเหม็น ๆ ผู้นั้น ซูจิ่นเอ๋อร์ก็ตกใจ รีบเข้ามาขวางหน้ากู้หว่านเยว่อย่างไม่รู้ตัวแต่กลับตกตะลึงกับรูปลักษณ์ของอีกฝ่าย “ท่านป้าสี่!”คนผู้นี้คือนางหลิวที่หายตัวไปนาน ทุกคนจ้องมองนางด้วยความไม่อยากจะเชื่อ เห็นเพียงเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ผมเผ้ารุงรัง ทั้งคนดูน่าเวทนาอย่างยิ่ง“ป้าสี่ ท่านเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร?”“จิ่นยา เห็นแก่ที่เมื่อก่อนข้าดีกับเจ้า ช่วยข้าด้วย”นางหลิวคิดจะเข้ามาจับมือของซูจิ่นเอ๋อร์ แต่กู้หว่านเยว่รีบดึงตัวนางออกไปอย่างรวดเร็ว“พี่สะใภ้?”“อย่าไปแตะนาง นางเป็นกามโรค”แม้ว่ากามโรคจะไม่ได้ติดต่อกันง่าย ๆ เพียงแค่สัมผัส แต่ถ้าทั้งสองคนมีบาดแผลตามร่างกาย ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อได้“กามโรคหรือ?”ทุกคนต่างตกตะลึง สายตาจับจ้องไปที่นางหลิว ก็เห็นว่าบนร่างกายของนางมีจุดแดง ๆ บางจุดถึงกับเป็นแผลเน่าเปื่อยนางหลิวแสดงสีหน้าลำบากใจ “ข้า ข้าจะไม่แพร่เชื้อให้พวกเจ้าหรอก จิ่งสิง ขอเจ้าเห็นแก่ที่เคยเป็นญาติกัน ช่วยข้
“คอของเจ้า...”“โรคของข้ามันรุนแรงมากแล้ว ข้าไปหาหมอมา หมอบอกว่ารักษาไม่ได้แล้ว” นางหลิวรีบพันผ้าขาด ๆ นั้นกลับไปที่คออย่างรวดเร็ว“ข้าจำเป็นต้องคิดถึงอนาคตของตัวตัว นางเพิ่งจะอายุห้าขวบ หากข้าตายไปแล้วจริง ๆ แล้วชีวิตของนางจะเป็นอย่างไรต่อไป นางคงอยู่ไม่ได้แน่”กู้หว่านเยว่เงียบ นางไม่ใช่แม่พระ แต่ก็ทนไม่ได้ที่จะเห็นเด็กต้องระหกระเหินเร่ร่อนอยู่ข้างถนน“โรคของเจ้า เหตุใดถึงร้ายแรงขนาดนั้น?”“นางจำได้ว่าตอนที่อยู่ที่เมืองตู้เปียน คนผู้นี้ไปอยู่กับใต้เท้าสวี ต่อให้ใต้เท้าสวีตายไปแล้ว นางก็ไม่น่าจะตกอยู่ในสภาพน่าเวทนาขนาดนี้กระมัง?นางหลิวแสดงสีหน้าโกรธแค้น “ใต้เท้าสวีมีอนุภรรยาคนหนึ่ง นางเกลียดข้าที่ช่วงนั้นข้าแย่งความโปรดปรานของนางไป หลังจากที่ใต้เท้าสวีตาย นางไม่เพียงแต่ไล่ข้าออกจากสกุลสวี ยังยึดเอาของมีค่าทั้งหมดของข้าไปด้วย ไม่เหลือเงินให้ข้าสักอีแปะ ข้าพาลูกโดยไม่มีที่จะไป เพื่อความอยู่รอด จึงจำเป็นต้องเช่าเรือนหลังเล็ก ๆ แล้วรับแขก...”นางก็ไม่ใช่หญิงงามอะไร เป็นแค่ผู้หญิงอายุสามสิบกว่า ๆ ที่มีลูกแล้วแขกที่รับก็เป็นพวกกรรมกร พ่อค้าหาบเร่แผงลอย คนที่มาเยอะแยะมากมาย ปะปนกัน
นางหลิวขอแค่ให้พวกเขารับเลี้ยงตัวตัว ไหนเลยจะกล้าขอให้ตัวเองได้เข้าจวนไปด้วยเพราะกลัวว่ากู้หว่านเยว่จะเปลี่ยนใจ นางจึงรีบลุกขึ้น“ข้าจะกลับบ้านเดี๋ยวนี้ จัดการตัวตัวให้เรียบร้อย จากนั้นก็จะพานางมาส่ง”นางทั้งดีใจทั้งปาดน้ำตา พยายามกลั้นเสียงสะอื้นไว้ แล้วรีบจากไป“นางหลิว เลือกผู้ชายผิดคนแล้ว”หากมิใช่เพราะซูเหล่าซื่อไร้ประโยชน์ นางคงไม่ตกอยู่ในสภาพแบบนี้“น้องหญิง ข้าจะปกป้องเจ้าอย่างดีตลอดไป”ซูจิ่งสิงจับมือของนางเอาไว้ แม้ว่าเขาจะตาย ก็จะหาทางรอดไว้ให้กู้หว่านเยว่และลูก“ยี้ ๆ ๆ พูดอะไรอัปมงคลแบบนี้ทำไม พวกเราเข้าไปกันเถอะ”กู้หว่านเยว่ยิ้มน้อย ๆ บทสนทนาของทั้งสองคนก็กลับมาที่เรื่องของซวนลู่“ให้องครักษ์จันทราปิดล้อมจวนไว้ก่อน อย่าให้แมลงวันบินเข้ามาได้แม้แต่ตัวเดียว”กู้หว่านเยว่กำชับหนึ่งประโยค ก็พาซูจิ่งสิงตรงไปที่ห้องหนังสือทันที จากนั้นปิดประตู แล้วเข้าไปในมิติด้วยกันนางหยิบน้ำแกงซานเจินที่เก็บเข้ามาเมื่อครู่ออกมาเวลานี้ บนผิวของน้ำแกงซานเจินชามนี้มีวัตถุดิบชั้นเลิศลอยอยู่ เป็นสีใส ๆ ของน้ำแกงสามสหายธรรมดา ๆ“น้องหญิง น้ำแกงชามนี้มีอะไรผิดปกติหรือไม่?”“ข้าขอด
“อ๊ะๆๆๆ!”วูเมิ่งร้องคร่ำครวญอย่างเจ็บปวด ถ้าหากไม่ได้โดนมัดไว้ เขาคงเจ็บจนกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นแล้ว“เขียนบนพื้น”กู้หว่านเยว่ยื่นน้ำชาให้เขาหนึ่งถ้วยน้ำตาของวูเมิ่งแทบจะแห้งแล้ว แม้ห้องปรุงพิษของพวกเขาก็มักจะสอบสวนผู้อื่นเช่นนี้แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโดนสอบสวน“ข้าเขียน ข้าเขียน”เขารีบทำปากพูด พลางยื่นมือสองข้างที่โดนมัดเข้าด้วยกันออกไป ใช้นิ้วชี้จุ่มลงไปในน้ำชาเดิมทีอยากฉวยโอกาสดีดยาพิษในซอกเล็บออกมา กลับพบว่าโดนกู้หว่านเยว่ค้นตัวจนไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ยาพิษในซอกเล็บก็โดนขูดออกมาแล้วเขากัดฟันแน่น ใช้ดวงตาที่เป็นประกายจ้องกู้หว่านเยว่เขาชอบผู้หญิงสวย ผู้หญิงที่เก่งกาจ เขายิ่งชอบ‘ชวีอวี้’ เก่งกาจเช่นนี้ เขาชอบสุดๆรอเขามีโอกาส เขาจะสยบนางแน่นอน“เขียน” กู้หว่านเยว่สั่งอย่างใจเย็นเหลือเวลาไม่มากแล้ว ชวีเฟิงกล้าร้องหนึ่งชั่วยาม แต่ใช้ว่าวูเมิ่งจะทำได้นานเช่นนี้“คุกใต้ดินห้องปรุงพิษ” วูเมิ่งเขียนลงบนพื้นกู้หว่านเยว่ประหลาดใจ “เจ้าบอกว่าอยู่ในมือของเจ้าไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงอยู่ที่ห้องปรุงพิษ?”แววร้อนตัวแลบผ่านดวงตาวูเมิ่งเขาเขียน “ไม่พูดเช่นนี้ เจ้าจะยอมแต่งง
“ให้ตายเถอะ!”ชวีเฟิงยังไม่ทันได้ใช้ศิลปะการต่อสู้เลย ก็เห็นเขาโดนกู้หว่านเยว่ผลักจนล้มลง จึงอุทานออกมาด้วยความตกใจ“ท่านทำอะไรกับเขา?”“เปล่านี่ แค่ทำให้เขาสลบ จะได้สอบสวนง่ายขึ้น”กู้หว่านเยว่พูดอย่างสบายๆนางเป็นไปที่ตรงหน้าวูเมิ่ง ค้นตามร่างกายเขาครู่หนึ่ง พบอาวุธลับและยาพิษมากมาย“แหม โชคดีที่ทำให้เขาสลบก่อน ของพวกนี้สามารถทำให้พวกเราเสียเวลาพักใหญ่เลย”“ของพวกนี้มันอะไร?” ชวีเฟิงมองขวดเหล่านั้นอย่างงงงวย“นี่คือยาพิษที่ฆ่าคนได้ในพริบตา”“น้ำยาทำลายศพ ความหมายตามชื่อเลย มีฤทธิ์กัดกร่อนสูงมาก”“ไห่ถังเจ็ดดาว ไร้สีไร้รส ผู้ที่ถูกพิษจะหมดสติทันที ตายอยู่ในความฝัน อีกทั้งยังเป็นฝันดีด้วย ตอนตายยังยิ้มอยู่เลย”“อันนี้…”“เดี๋ยวก่อน เลิกพูดได้แล้ว!”กู้หว่านเยว่ยังจะพูดต่อ ชวีเฟิงรีบห้ามนาง “ของพวกนี้ก็น่ากลัวมากแล้ว ขืนฟังต่อไป ข้ากลัวว่าข้าจะฝันร้ายทำไมเขาถึงพกยาพิษมากมายเช่นนี้ ไม่กลัวตัวเองโดนพิษของตัวเองเลยหรือ”“เขาเป็นคนของห้องปรุงพิษ เจอยาพิษป้องกันตัวบนตัวเขาก็เป็นเรื่องปกติ”กู้หว่านเยว่เก็บยาพิษเหล่านั้นเข้าไปในมิติอย่างใจเย็นหลังจากนั้น นางเดินไปที่ประตู ม
“อวี้เอ๋อร์ ข้ามารับเจ้าแล้ว ทำไมเจ้าถึงล็อคประตูล่ะ? เป็นเจ้าสาวก็เลยเขินอย่างนั้นหรือ?”เสียงของผู้ชายดังมาจากข้างนอกความเกลียดชังปรากฏขึ้นบนใบหน้าชวีอวี้“วูเมิ่งมาแล้ว”“เจ้ารีบไปซ่อนตัวเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่รีบกล่าวออกคำสั่ง ชวีอวี้พยักหน้า ออกจากห้องเวลานี้เป็นไปไม่ได้แล้ว นางกวาดมองโดยรอบ แล้วรีบไปหลบที่ใต้เตียงชวีเฟิงจะเข้าไปเปิดประตูกู้หว่านเยว่กล่าวเตือน “จำไว้ ไม่ว่าเวลาใดก็อย่าเปิดเผยตัวตน หากทนไม่ไหวจริงๆ ก็นึกถึงแค้นบัญชีเลือดของครอบครัวเจ้า”“เข้าใจแล้ว”ชวีเฟิงข่มอารมณ์แล้วพยักหน้าหลังจากเขามองกู้หว่านเยว่อย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง จึงจะเดินไปเปิดประตูเขากับวูเมิ่งเคยเจอกัน กลัวว่าอีกฝ่ายจะจับได้ ดังนั้นหลังจากเปิดประตูก็รีบก้มหน้า โชคดีที่ความสนใจของวูเมิ่งไม่ได้อยู่ที่เขา“อวี้เอ๋อร์”สายตาของวูเมิ่งราวกับติดอยู่กับตัว ‘ชวีอวี้’ เขาเดินไปที่ตรงหน้านาง แล้วจ้องนางอย่างหลงใหล“วันนี้เจ้าสวยจริงๆ สวยจนข้าไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง”สีหน้าวูเมิ่งเต็มไปด้วยความลุ่มหลงเขายื่นมือออกไป หวังจะจับแก้มของ ‘ชวีอวี้’“ไสหัวไป!”‘ชวีอวี้’ หันหน้าหนีอย่างความรังเกียจ
กู้หว่านเยว่เผยอปาก นี่คือสิ่งที่นางอยากได้ยิน“อยากให้ข้าช่วยให้สกุลชวีผ่านมรสุมครั้งนี้ มันไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ว่าต่อจากนี้เจ้าต้องฟังข้า”กู้หว่านเยว่มีเจตนาที่ชัดเจน เห็นได้ชัดว่านางคิดแผนรับมือไว้ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว“ท่านพูดมาได้เลย”ชวีเฟิงรีบลุกขึ้น“ให้พี่หญิงของเจ้าถอนชุดแต่งงานกับมงกุฎหงส์ลงมาก่อน”กู้หว่านเยว่ออกคำสั่ง“เจ้าหาข้ออ้างเรียกสาวใช้ที่อยู่หน้าประตูเข้ามา หลังจากตีนางสลบ ถอดเสื้อชั้นนอกของนางออก แล้วสวมบนตัวเจ้า”กู้หว่านเยว่สั่งอย่างเป็นระเบียบ ชวีเฟิงมองไปทางชวีอวี้ พยักหน้าเบาๆ“พี่หญิง ทำตามที่นางบอก”“...ได้”ชวีอวี้คิดแล้วคิดอีก ท้ายที่สุดก็ยังเลือกเชื่อกู้หว่านเยว่ อย่างไรก็ตามสีหน้ากู้หว่านเยว่ดูเรียบเฉยมาก ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมนางเรียบถอดชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ลงมาวางบนโต๊ะ“หลังจากนั้นล่ะ?”“หลังจากนั้นข้าจะปลอมตัวเป็นเจ้าสาว แต่งเขาบ้านวูเมิ่งแทนเจ้า”กู้หว่านเยว่ฉีกหน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าออก ชวีอวี้จึงจะพบว่าที่แท้นางเป็นผู้หญิงด้วยความประหลาดใจกู้หว่านเยว่สวมชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ โชคดีที่การสวมใส่มงกุฎหงส์ของเมี่ยวเ
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป