“จะดีหรือเจ้าคะ ข้าน้อยเกรงว่า ผู้อื่นจะมองว่าหลานสาวของข้าน้อยพยายามจะตีสนิทคุณชาย เพราะอยากเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเฉียว คุณชายก็น่าจะรู้ว่า พวกชาวบ้านนั้นชอบเล่าลือกันในสิ่งที่มิใช่เรื่องจริง และผู้ที่จะเสียหายก็มิใช่ผู้ใด แต่คือหลานสาวของข้าน้อยผู้ต่ำต้อยผู้นี้”ซุนฉีกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล ถึงหลานสาวจะมีเลือดของขุนนางอยู่ครึ่งหนึ่ง แต่ความจริงที่หนีไม่พ้นก็คือ ชิงเหมยเป็นเพียงเด็กสาวชาวบ้านธรรมดาที่เติบโตมากับยายที่ขายขนมเลี้ยงชีพเพียงเท่านั้น“เอ่อ… ถ้าข้าทำให้ท่านยายและชิงเหมยลำบากใจ ข้าก็ต้องขออภัยด้วย แต่ข้ามีเรื่องที่อยากจะคุยกับชิงเหมยจริงๆ อืม… ถ้าเช่นนั้นให้ข้าได้พูดคุยกับชิงเหมยที่ในร้านนี้ได้หรือไม่”ในเมื่อออกไปเดินเล่นด้วยกันไม่ได้ คุณชายหนุ่มจึงเลือกที่จะพูดคุยอยู่ที่ร้านนี้แทน เพราะเช่นนี้จะได้อยู่ในสายตาของนางซุนฉี ผู้เป็นยายของชิงเหมยด้วย ซุนฉีมองหน้าหลานอย่างชั่งใจก่อนที่จะตอบคุณชายหนุ่มไป“ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ย่อมได้เจ้าค่ะ เหมยเอ๋อร์… หลานพาคุณชายไปนั่งคุยที่โต๊ะด้านหลังร้านของเราเถิด” ครานี้ซุนฉีไม่ปฏิเสธชิงเหมยเองก็ไม่ได้ลำบากใจอันใดที่จะต้องพูดคุยก
คุณชายเฉียวเร่งฝีเท้ามาถึงร้านเหลาของสกุลหลิว เขาทันได้เห็นว่าชิงเหมยและสหายของนางยืนพูดคุยกับบุรุษร่างสูง ที่มีรูปโฉมงดงามปานเทพเซียน มองดูจากอาภรณ์ที่อีกฝ่ายสวมใส่ก็พอจะเดาได้ว่าเป็นขุนนาง ในขณะที่เขากำลังจะเดินเข้าไปหานาง ทั้งสามคนกลับเดินหลบเลี่ยงไปทางอื่นเสียก่อน และมีคนรู้จักเข้ามาทักทายเขาพอดี ทำให้เขาคลาดสายตาจากพวกนางไปอย่างน่าเสียดายชิงเหมยและใต้เท้าหนุ่ม เดินตามหลิวหลูซินไปที่ศาลาริมน้ำ ที่อยู่ข้างหลังร้านเหลาของสกุลหลิว ครั้นไปถึงหลิวหลูซินก็ขอตัวออกไปช่วยพ่อแม่ของนางขายอาหารที่ร้านเหลาต่อ ทิ้งให้สองหนุ่มสาวได้พูดคุยกันตามลำพัง เด็กสาวรู้สึกไม่คุ้นชินกับรูปโฉมที่น่ามองของพี่ชาง พี่ชายที่นางเคยพบเจอและได้รับความช่วยเหลือจากเขาเมื่อสองปีก่อน เขาเงียบหายไปนานถึงสองปี ทำให้นางกับเขาห่างเหินกันไป ครั้นได้มาพบหน้ากันอีกคราก็ทำให้นางรู้สึกทำตัวไม่ถูก“พี่ชาง… เอ่อ… ท่านใต้เท้า สบายดีนะเจ้าคะ”“เรียกพี่ว่าพี่เช่นเดิมเถิด” เสียงทุ้มน่าฟังดังออกมาจากปากของใต้เท้าหนุ่ม“พี่สบายดี แต่ปีก่อนก็ลำบากอยู่ไม่น้อย เจ้ารู้แล้วใช่หรือไม่ ว่าพี่ไปประจำการอยู่ที่ชายแดนมา”ชิงเหมยพยักหน้าเป็นคำ
“ท่านใต้เท้าเจ้าคะ ข้าน้อยได้ยินมาว่ายามที่ท่านฆ่าฟันพวกศัตรู ท่านมิยอมกะพริบตาเลย จริงหรือไม่เจ้าคะ”ด้วยความที่ยังเยาว์วัย หลิวหลูซินจึงเอ่ยถามออกมาเพราะความอยากรู้ ว่าเรื่องที่ได้ยินมานั้นเป็นเรื่องจริง หรือเป็นเรื่องที่พวกนักปราชญ์ที่มาเล่าเรื่องในโรงเตี๊ยมทั่วเมืองถิงฮวาตีความไปเองชิงเหมยสะกิดสหายของนาง เพราะเกรงว่าจะทำให้พี่ชางต้องลำบากใจ รอยแผลเป็นที่อยู่บนใบหน้าของเขานั้น แม้จะเบาบางและมีร่องรอยที่จางลง แต่ทว่าบาดแผลที่อยู่ภายในจิตใจของเขาก็คงยังอยู่ เพราะนางเองก็เคยผ่านสถานการณ์ที่ต้องฆ่าผู้อื่นและสูญเสียสหายร่วมรบมาเช่นกัน ในสนามรบหากเราไม่ฆ่าเขา เขาก็ฆ่าเรา เพราะเช่นนั้นแล้ว… หากแสดงความอ่อนแอข้าศึกเห็น ก็อาจจะกลายเป็นจุดอ่อนได้ ท่านพี่ชางจึงได้แสดงด้านที่เย็นชาออกมา ทำให้ผู้ที่มองเขาตีความเป็นเช่นนั้น“พี่ไม่เป็นอันใดแล้วล่ะชิงชิง… ผู้คนก็พูดกันไป ผู้ใดจะทนไม่กะพริบตาได้กันล่ะ” ชิงเหมยถึงกับนึกขันกับคำตอบที่ติดเล่นของพี่ชาง เขายิ้มออกมาให้กับเด็กสาวทั้งสอง“แหะๆ จริงด้วยเจ้าค่ะ” หลิวหลูซินหัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยท่าทีเขินอาย“ท่านหัวหน้าขอรับ ด้านในให้ข้ามาตามท่านไปร่วมโต๊ะแ
หลังจากวันนั้นก็ผ่านมาเกือบสิบวันแล้ว ที่ชิงเหมยไม่ได้พบกับพี่ชาง ที่ยามนี้เขามีสถานะเป็นถึงหัวหน้ามือปราบคนใหม่ของเมืองถิงฮวา ทว่าผู้ที่หมั่นแวะเวียนมาอุดหนุนขนมที่ร้านท่านยายของนาง ก็คือคุณชายเฉียวจูจ้าน ชิงเหมยนั้นรู้สึกอึดอัดใจ กับการที่อีกฝ่ายแสดงออกว่าสนใจนางอย่างไม่ปิดบัง ไม่ใช่ว่านางรังเกียจแต่เป็นเพราะว่าเขานั้นสูงส่ง เกินกว่าที่นางจะมอบไมตรีให้แก่เขาได้เขาจะต้องกลายเป็นผู้นำตระกูลเฉียวคนต่อไป นางจึงไม่อยากไปใช้ชีวิตอยู่เช่นนั้น อีกทั้งอย่างดีนางเองก็คงจะเป็นได้เพียงแค่ภรรยารอง อย่างแย่ที่สุดนางก็คงจะเป็นได้แค่เพียงอนุภรรยาของเขาเท่านั้น หญิงสาวชาวบ้านเช่นนางคงไม่ได้รับการยอมรับให้เป็นภรรยาเอก หากในภายภาคหน้านางจะต้องออกเรือนไปกับผู้ใด นางก็อยากที่จะเป็นภรรยาเพียงผู้เดียวของชายผู้นั้น“เจ้ารู้จักกับหัวหน้ามือปราบของเมืองถิงฮวาที่มาประจำการใหม่ด้วยหรือ” เพราะหลายวันที่ผ่านมาไม่มีโอกาสที่จะซักถามเด็กสาว เฉียวจูจ้านจึงตัดสินใจเอ่ยถามออกมาในวันนี้“เอ่อ… เจ้าค่ะ เขาเองก็เป็นผู้มีพระคุณต่อข้าเช่นกัน” ชิงเหมยตอบออกมาในขณะที่มือเล็กกำลังนำขนมเซาปิงและซาลาเปาใส่เสี่ยวหนาให้แก่เขา“พ
“พวกท่าน มีผู้ใดได้รับอันตรายหรือไม่” ชิงเหมยหลงลืมที่จะปิดบังหน้าตา“แม่นางน้อย เจ้าเป็นผู้ที่ให้ความช่วยเหลือเราเช่นนั้นหรือ” เสียงหวานของสตรีที่เดาจากน้ำเสียงก็รู้ว่ายังไม่สูงวัยเท่าใดนักดังมาจากในรถม้า“ข้าแค่ผ่านมาฝึกยิงธนูเท่านั้น พอได้เห็นเหตุการณ์เช่นนี้จึงอดไม่ได้ที่จะเข้ามาช่วยเจ้าค่ะ”ผ้าม่านถูกเปิดออกจากผู้ที่นั่งอยู่ด้านในรถม้า เผยให้เห็นสตรีที่มีดวงหน้างดงามส่งยิ้มหวานมา ชิงเหมยถึงกับตกตะลึงในความงามของสตรีสูงศักดิ์ผู้นี้ ดูจากวัยของอีกฝ่ายแล้วไม่น่าจะเกินสามสิบ แต่เหตุใดถึงได้มาอยู่ในสถานที่เช่นนี้กัน“ขอบน้ำใจแม่นางน้อยยิ่งนัก ตัวเล็กเช่นนี้กลับมีฝีมือการยิงธนูที่แม่นหาตัวจับยากในวัยเดียวกัน แม่นางคือคุณหนูจากตระกูลใดหรือ”จวีจูหราน แม่หม้ายสาววัยยี่สิบแปดปีกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงขอบคุณและชื่นชมเด็กหญิงที่ดูเยาว์วัยกว่าตนหลายปี ทว่ากลับมีความสามารถจนหน้าประทับใจ“ข้าน้อยเป็นเพียงเด็กสาวชาวบ้านธรรมดา มีอาชีพขายขนมอยู่ในตลาดซานฉีกับท่านยายเพียงสองเจ้าค่ะ”ชิงเหมยตอบตามตรง เพราะพิจารณาดูแล้วว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ใช่คนไม่ดี แต่นางก็เลือกที่จะไม่บอกแซ่ของบิดา เพราะนางนั้นได้เติบโ
เช้าวันนี้ชิงเหมยแสร้งทำเป็นท้องเสีย เพื่อที่จะได้ไม่ต้องติดตามท่านยายไปขายขนมที่ตลาด เพราะวันนี้นางจะต้องเดินทางไปที่เรือนรั้วไผ่ของท่านหญิงจวี สตรีจิตใจงามที่ให้ที่อยู่อาศัยแก่เด็ก และสตรีที่ไร้หนทางไปมานานนับปี ชิงเหมยนั้นแอบนำเสบียงบางอย่างไปส่งให้ ถึงแม้ทางท่านหญิงจวีจะสามารถสั่งให้คนในตระกูลของนางนำเสบียงมาส่งให้บ้างแล้วก็ตาม แต่ก็มิใช่กับพวกของใช้ของเด็กๆ ที่มิอาจสั่งมาได้ ด้วยในกลุ่มผู้ติดตามของนางนั้นยังไม่มีผู้ใดออกเรือน“แบกไหวหรืิอไม่หริ่งเอ๋อร์” เสียงหวานเอ่ยถามเด็กหญิงที่ติดตามนางมาด้วย“ไหวเจ้าค่ะ ข้างในมีเพียงพวกผ้าเท่านั้น มิได้หนักหนาอันใดเลยเจ้าค่ะ” หลิ่วหริ่งกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงยินดี เพราะยามนี้นางนั้นมีรูปร่างอวบขึ้นตามวัย มิใช่เด็กหญิงตัวเล็กๆ เช่นสองปีที่ผ่านมา“ถ้าเช่นนั้นเรารีบเร่งฝีเท้ากันเถิด”ชิงเหมยและหลิ่วหริ่งพากันเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางลับ จากหมู่บ้านซานฉีมุ่งหน้าไปยังเรือนรั้วไผ่ สถานที่ลับซึ่งเป็นที่พึ่งพาของเหล่าสตรีและเด็กที่ชิงเหมยให้การช่วยเหลือพวกนางมาจากพวกพ่อค้าทาสเด็กสาววัยแรกแย้มกับเด็กหญิงวัยสิบสอง เดินทางด้วยเท้าไปจนถึงเรือนรั้วไผ่ ใช้เว
หลังจากนั่งพูดคุยกันอยู่นานเกือบครึ่งชั่วยาม ชิงเหมยจึงขอตัวไปเยี่ยมเหล่าสตรีและเด็กๆ ที่นางเคยให้ความช่วยเหลือมา จวีจูหรานไม่ได้รั้งเด็กสาวเอาไว้ แต่ก็ไม่ลืมบอกให้ชิงเหมยกลับมากินข้าวมื้อกลางวันด้วยกันก่อนที่จะกลับไปหมู่บ้านซานฉี ชิงเหมยไม่ปฏิเสธความหวังดีของอีกฝ่าย เพราะจนถึงยามนี้ ท่านพี่หญิงจวีและผู้ติดตามของนาง ก็ยังคิดว่าชิงเหมยเป็นผู้มีพระคุณของพวกตนมิเสื่อมคลาย“พี่ซินจี๋ เจ้าตัวเล็กหลับแล้วหรือจ๊ะ”ร่างเล็กสูงเพรียวเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าเรือนพักหลังแรกพลางร้องถามผู้ที่อยู่ในเรือน เจ้าของเรือนหลังนี้ เป็นสตรีที่ชิงเหมยได้เข้าให้ความช่วยเหลือมาจากพ่อค้าทาส เพราะสามีตายไปก่อนที่จะรู้ว่านางมีครรภ์ ครอบครัวของสามีก็เอาแต่กล่าวโทษ ว่านางดูแลสามีไม่ดี จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องตาย คนพวกนั้นโกรธเคืองนาง จึงขายนางให้กับพ่อค้าทาส โดยที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่านางกำลังมีครรภ์“เพิ่งจะหลับไปก่อนหน้านี้เองจ้ะเหมยเอ๋อร์”สตรีวัยสิบแปดปีตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวกระซิบ ชิงเหมยจึงลดระดับเสียงของนางลง เพื่อให้รบกวนเด็กทารกที่เพิ่งจะนอนหลับไปก่อนหน้า“ข้าขอเข้าไปดูนางได้หรือไม่”“จะมิได้ได้เ
เพียงแค่นี้ชีวิตของนางก็เหมือนได้เกิดใหม่แล้ว ชิงเหมยเข้าไปสวมกอดเพื่อปลอบประโลมหญิงวัยกลางคน เด็กชายเห็นเช่นนั้นจึงเข้าไปสวมกอดสตรีทั้งสองด้วยเช่นกัน กว่าที่ท่านยายซิ่วอิงจะหยุดร้องไห้ได้เวลาก็ล่วงเลยไปนานนับหนึ่งก้านธูป“ท่านยาย ห่าวเอ๋อร์ เห็นทีข้าคงต้องขอตัวไปเยือนเรือนอื่นก่อนล่ะ เพราะยามเว่ยข้าต้องรีบกลับเรือน” ชิงเหมยรีบเอ่ยขอตัวเพราะรู้ว่านางรั้งอยู่ที่นี่มาได้สักพักใหญ่แล้ว“อ้อ… อืม เจ้าไปเถิดเหมยเอ๋อร์… อ้อ!! โปรดรอสักประเดี๋ยวเถิด ห่าวเอ๋อร์…เจ้าช่วยเข้าไปหยิบพู่ประดับดาบ ที่ยายทำไว้มาให้แม่นางชิงเหมยหน่อยเถิด” ซิ่วอิงบอกหลานชายตัวน้อย ซีห่าวรีบวิ่งเข้าไปภายในเรือนทันที ก่อนที่จะกลับออกมาพร้อมกับพู่ประดับดาบสีแดง“มันอาจจะดูเป็นเพียงพู่ธรรมดา แต่ว่าข้าตั้งใจสวดภาวนาให้เจ้าปลอดภัยทุกคราที่เจ้ากวัดแกว่งดาบเพื่อช่วยเหลือผู้คน”“ขอบน้ำใจท่านยายซิ่วอิงเจ้าค่ะ ถ้าเช่นนั้นข้าน้อยขอลาก่อนนะเจ้าคะ มาเยือนคราหน้าข้าจะนำขนมของท่านยายของข้ามาฝากพวกท่านด้วย” ชิงเหมยกล่าวลาหญิงวัยกลางคน ซิ่วอิงพยักหน้า“ขอให้เจ้าโชคดี เดินทางปลอดภัย”“พี่ไปก่อนหนาห่าวเอ๋อร์ เป็นเด็กดี ตั้งใจศึกษาและเชื่
“ขออภัยเจ้าค่ะ ที่ข้ามิทันได้ระวัง จึงชนพี่สาวเข้า” ชิงเหมยพยายามกล่าวขออภัยออกมาอย่างใจเย็น เพราะดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายจงใจเข้ามาหาเรื่องนาง“คิดว่าแค่พูดแล้วข้าจะหายเจ็บเช่นนั้นหรือ คุกเข่าขออภัยต่อข้าประเดี๋ยวนี้” ชิวมู่หรงที่แอบมองอยู่ภายในเกี้ยวถึงกับหัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยความชอบใจ ผู้คนเริ่มเข้ามามุงดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น“ถนนก็ตั้งกว้าง เหตุใดพวกเจ้าถึงต้องเดินมาทางที่นางเดินด้วย เช่นนี้มิใช่ว่าเป็นการกลั่นแกล้งกันหรอกรึ”หนึ่งในชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นเริ่มแสดงความเห็นของตนออกมา เพราะดูชิงเหมยไม่แสดงกิริยาไม่น่ามองต่ออีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งนางก็ได้กล่าวขออภัยต่อสาวรับใช้สกุลชิวแล้ว“นั่นสิ ปกติพวกเจ้าเดินไม่เคยห่างเกี้ยวของคุณหนูของพวกเจ้า เหตุใดวันนี้ถึงได้เดินออกมาห่างไกลจากเกี้ยวของนางนักล่ะ” ชาวบ้านอีกคนหนึ่งที่รู้จักนิสัยของคุณหนูและสองสาวใช้ตระกูลชิวดีได้กล่าวออกมาสองสาวรับใช้เริ่มหน้าเสียที่พวกชาวบ้านไม่เข้าข้างตน ครั้นมองไปยังเด็กสาววัยแรกแย้มที่มีรูปหน้าและความงดงามราวกับบุปผา นางก็มิได้แสดงท่าทีโอนอ่อนต่อนางทั้งสองเลย อีกทั้งสายตาที่นางจ้องมองมายังราวกับกำลั
วันต่อมาวันนี้ชิงเหมยออกไปช่วยท่านยายของนางขายขนมที่ตลาด เพราะวันนี้เป็นวันที่ลูกค้าแวะเวียนมาจับจ่ายใช้สอยกันมากกว่าทุกๆ วัน เด็กสาววัยแรกแย้มต่างเป็นที่หมายตาของบรรดาหนุ่มๆ นางเปรียบดังบุปผางามแห่งหมู่บ้านซานฉี ถึงแม้จะเป็นเพียงหลานสาวแม่ค้า แต่ทว่าคุณชายทั้งหลายต่างก็พากันหมายตานางกันอยู่ไม่น้อย ยากก็ตรงที่ท่านยายของนางมิได้หวังในทรัพย์สินเงินทอง นางหวังเพียงแค่หลานสาวได้พบกับคนที่นางรักและรักนางเท่านั้น“เถ้าแก่เนี้ย หลานสาวของท่านช่างงดงามยิ่งนัก นางมีคู่หมายหรือยังขอรับ” มิใช่เพียงแค่มีรูปโฉมที่งดงาม ทว่าชิงเหมยนั้นกลับโด่งดังในเรื่องของความเฉลียวฉลาดและความขยันหมั่นเพียรอีกด้วย“นางก็เหมือนกับข้ายามสาวๆ นั่นแหละ ว่าแต่…วันนี้จะซื้อขนมอันใดดีล่ะ”ซุนฉีหันไปมองหลานสาวที่กำลังนั่งปั้นซาลาเปาอยู่ในสุดของร้าน ก่อนที่จะหันไปถามไถ่ลูกค้าที่เป็นชายหนุ่มที่แสดงท่าทีว่าสนใจหลานสาวของนางมากกว่าขนมเสียอีก เพราะเหตุนี้นางถึงรู้สึกยินดียิ่งกว่าหากวันใดชิงเหมยมิได้มาช่วยนางขายขนมในตลาด“ขอเป็นซาลาเปาสามลูกก็แล้วกัน”ลูกค้าหนุ่มรู้ตัวว่ากำลังเสียมารยาทจึงบอกความต้องการของตนต่อเถ้าแก่เนี้ยที่ย
สองหนุ่มสาวช่วยกันถางพงหญ้าจนราบเตียน แต่ก็ใช้เวลานานอยู่ไม่น้อย และอีกไม่หนึ่งก้านธูปชิงเหมยก็ต้องกลับเรือนแล้ว เพราะนางต้องกลับไปหุงข้าวและทำกับข้าวรอท่านยายของนางกลับมาจากตลาด ยามนี้นางมีฝีมือในการทำอาหารดีขึ้นแล้ว แม้จะรสชาติไม่ยอดเยี่ยมเท่ากับที่ท่านยายทำให้กินก็ตาม“วันนี้ลำบากท่านแล้วเจ้าค่ะ” ชิงเหมยส่งน้ำให้ชายหนุ่มที่วันนี้มีน้ำใจมาช่วยนางถางหญ้าจนเตียน“ไม่ลำบากเลย ถือว่าได้ออกกำลัง” เขาบอกพลางรับน้ำจากนางมาดื่ม“วันนี้ท่านพี่จะกลับเมืองถิงฮวาเลยหรือไม่เจ้าคะ” นางเอ่ยถามเขาออกมา“ไม่หรอก วันนี้พี่กับลูกน้องอีกสองคนจะพักกันที่โรงเตี๊ยมในหมู่บ้านนี่แหละ"“แล้วท่านพี่ชางจะกลับเมืองถิงฮวาวันใดหรือเจ้าคะ”“อีกสองวันน่ะ พี่ว่าจะสืบหาเบาะแสของพวกพ่อค้าทาสเสียหน่อย”แม้เรื่องนี้จะเป็นความลับ แต่สำหรับชิงเหมยแล้วไม่มีเหตุผลอันใดที่เขาจะต้องปิดบังนาง หากนางคือสตรีนิรนามที่เคยขัดขวางพวกพ่อค้าทาสเมื่อปีก่อนจริง“ข้าว่า…เห็นทีข้าต้องขอตัวกลับเรือนก่อนแล้วล่ะเจ้าค่ะ” ชิงเหมยบอกเขายามที่นางมองแสงจากพระอาทิตย์ที่ต่ำลงไปทุกที“อ่อ… เจ้าอยากจะนั่งม้าไปกับพี่หรือไม่”“ไม่ดีกว่าเจ้าค่ะ ข้าเกรงว
หลังจากวันนั้นเพียงไม่กี่วัน หัวหน้ามือปราบหนุ่มก็กลับมาเยือนหมู่บ้านซานฉีอีกครา วันนี้เขามีลูกน้องติดตามมาเพียงแค่สองคนเท่านั้น เพราะไม่อยากให้กลายเป็นที่สะดุดตา และการมาของเขาก็เพียงเพราะต้องการตรวจตราความสงบเรียบร้อยของหมู่บ้านซานฉี และแวะเวียนมาหาสตรีที่เขาหมายปองก็เท่านั้น“แม่นางชิงเหมยคงจะอยู่ที่ร้านขายขนมในตลาด ท่านหัวหน้าจะแวะไปแนะนำตัวกับท่านยายของนางเลยหรือไม่ขอรับ”จิ้นซู่กล่าวพลางเอ่ยถามออกมายิ้มๆ ยามปฏิบัติหน้าที่เขามักจะเรียกคุณชายรองของตนว่าท่านหัวหน้า ทว่าหากอยู่กันตามลำพัง เขาก็จะเรียกว่าคุณชายรองเช่นเดิม“ที่แท้ท่่านหัวหน้าก็มีสตรีที่หมายปองอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านนี้หรือขอรับ”ฉางจี้ ลูกน้องในสำนักมือปราบที่ติดตามหัวหน้ามือปราบมาในวันนี้ด้วยเอ่ยถามออกมาด้วยความตื่นเต้น เพราะตั้งแต่เขาได้พบกับท่านหัวหน้ามา ไม่เคยมีสักคราที่ท่านหัวหน้าจะชายตาแลมองสตรีใด“อืม… แต่มิใช่แค่เรื่องนั้น ที่ข้ามาวันนี้เพราะอยากตรวจตราความสงบเรียบร้อยของหมู่บ้านซานฉีด้วย พวกเจ้าก็คงจะรู้อยู่แล้วว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังของพวกพ่อค้าทาสนั้นยังมิถูกจับได้ ข้าจึงอยากให้พวกเจ้าช่วยกันไปตรวจตราดูรอบๆ หม
นั่นเป็นเพราะชิงเหมยได้รับความช่วยเหลือจากหลิ่วหริ่ง ยามใดที่นางออกจากเรือนไป หลิ่วหริ่งก็จะเข้ามาอยู่ภายในเรือนและท่องบทกวี ให้พวกที่แอบฟ้งอยู่ด้านนอกได้ยินแทนตัวนาง ถึงแม้นการทำเช่นนี้จะเป็นเรื่องที่ดุเหมือนจะยุ่งยาก แต่ชิงเหมยกลับรู้สึกสนุกและเหมือนว่านางได้ออกกำลัง คนพวกนี้นั้นช่วยให้ชีวิตของนางในแต่ละวันนั้นไม่น่าเบื่อ“ข้าว่าพวกเราจ้างคนในหมู่บ้านให้คอยจับตาดูนางแล้วส่งข่าวให้พวกเรารู้จะดีกว่า พวกเราเสียเวลากับนางมานานเกินไปแล้ว ข้าเบื่อเต็มทีที่ต้องคอยจับตาดูเด็กเช่นนาง”“จะดีรึ หากท่านใต้เท้ารู้เข้ามีหวังพวกเรานี่แหละที่จะถูกจัดการเสียก่อน”“นางก็เป็นเพียงแค่เด็ก หากนางจะไปเยือนเมืองถิงฮวา เจ้าคิดว่านางจะรอจนป่านนี้งั้นรึ”ครั้นต่างคนต่างเห็นด้วยกับอีกฝ่าย ทั้งสองจึงได้จ้างให้พวกชาวบ้านที่เห็นแก่เงิน ให้คอยจับตาดูชิงเหมยแทนพวกตน หากคราใดที่เด็กหญิงออกจากหมู่บ้านซานฉีค่อยส่งสารให้พวกตนได้รับทราบ ชาวบ้านผู้นั้นเห็นว่าเป็นงานที่ได้เงินง่ายๆ จึงยินยอมที่จะเป็นผู้ที่คอยจับตาดูชิงเหมยแทน แม้จะรู้สึกประหลาดใจว่าเพราะเหตุใดถึงได้เกรงว่าชิงเหมยจะออกจากหมู่บ้าน แต่เขาก็ไม่สนใจเพราะหน้าท
หลังจากนั่งพูดคุยกันถึงเรื่องที่เยว่อู๋ชางไปจับกุมพวกพ่อค้าทาสมา สองหนุ่มสาวก็ได้ถามไถ่เรื่องราวที่ผ่านมาของกันและกัน เพราะคราแรกที่ได้กลับมาพบกันนั้น เขากับนางไม่มีโอกาสได้พูดคุยกันมากนัก และที่เยว่อู๋ชางเดินทางมาหาชิงเหมยที่หมู่บ้านซานฉีในยามนี้ มิได้มีเพียงแค่ความสงสัยในตัวของเด็กสาว แต่ทว่าเขามาหานางด้วยความคะนึงหาและห่วงใยนางด้วยเช่นกัน“อืม… พี่ว่าจะถามเจ้า เรื่องคนของลุงเจ้าน่ะ เขาเรียกคนเหล่านั้นกลับไปหรือยัง” เพราะก่อนเขาเข้าเมืองหลวง เขารู้ว่าลุงของชิงเหมยส่งลูกน้องให้มาคอยจับตาดูนางเอาไว้“กลับไปตั้งแต่สามเดือนแรกแล้วเจ้าค่ะ” ชิงเหมยยิ้มออกมาพลางเล่าไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสองปีก่อนสองปีก่อนชิงเหมยครั้นได้รับสารจากพี่ชายจากเมืองถิงฮวาที่ส่งมาบอกนาง ว่าท่านลุงของนางส่งคนให้มาคอยติดตามนาง เพื่อตัดความรำคาญใจเพราะผ่านมานานหลายเดือน ลูกน้องของท่านลุงทั้งสองก็ยังคงคอยติดตามนางอยู่ลับๆ อยู่มาวันหนึ่งชิงเหมยจึงแสร้งออกจากเรือนไปที่ลานกว้างท้ายหมู่บ้านซานฉี ทุกย่างก้าวของนางมีคนของผู้เป็นลุงคอยแอบติดตามนางไป แต่แล้วคนเหล่านั้นก็ต้องคลาดสายตาจากนาง เพราะนางแอบหนีกลับเรือนโดย
ชิงเหมยได้ฟังเช่นนั้นก็ใจเต้นแรง เพราะแถบชายแดนของเมืองถิงฮวาที่อยู่ติดกับชายแดนของเมืองถิงซานั้นอยู่ห่างไกลจากหมู่บ้านซานฉียิ่งนัก นางจึงมิอาจเดินทางไปให้ความช่วยเหลือสตรีและเด็กที่ถูกพาไปขายยังแถบนั้นได้“ข้ารู้เจ้าค่ะ ว่าแคว้นเจียงโจวนั้นเลิกทาสมาตั้งแต่ข้าอายุเพียงสิบสองปีแล้ว” ชิงเหมยกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้ซึ่งความตื่นตระหนก“ครานี้พี่พลาดเองที่มิอาจจับกุมผู้ที่อยู่เบื้องหลังได้ แต่ก็ยังดีที่ได้ช่วยเหลือสตรีนับสิบเอาไว้ได้ทัน ก่อนที่พวกมันจะทำการซื้อขายกัน”เขาเล่าเหตุการณ์ในวันนั้นให้ชิงเหมยฟังพลางสังเกตสีหน้าของนาง ชิงเหมยรู้สึกโล่งใจที่ได้ยินเช่นนั้น ทว่านางกลับปกปิดสีหน้าเอาไว้ได้อย่างมิดชิดจนเยว่อู๋ชางเองก็มิอาจมองเห็นความผิดปกติได้“ข้าว่า…ผู้ที่อยู่เบื้องหลังต้องเป็นขุนนางในเมืองถิงฮวาของเราเป็นแน่เจ้าค่ะ"ชิงเหมยกล่าวออกมาอย่างมั่นใจ แต่ทว่านางกลับไม่ยอมบอกความจริงเรื่องที่นางคอยขัดขวางการทำงานของพวกพ่อค้าทาสที่เข้ามาซื้อขายทาสลับๆ ในหมู่บ้านซานฉีและหมู่บ้านใกล้เคียง นางยังไม่พร้อมที่จะบอกความจริงนี้ให้เขารู้“เหตุใดเจ้าถึงได้ดูมั่นใจนักล่ะ”“ข้าเคยได้ยินพวกพ่อค
“ท่านยายเจ้าคะ หลานขอไปหลังร้านสักครู่นะเจ้าคะ” ชิงเหมยบอกท่านยายของนางที่กำลังพูดคุยกับลูกค้าตรงหน้า จนไม่ทันได้สังเกตว่าลูกค้าหนุ่มผู้นั้นแอบส่งสารลับให้แก่หลานสาว“อืม… ไปเถิดเหมยเอ๋อร์ เสร็จแล้วรีบกลับมาล่ะ”ซุนฉีบอกหลานสาวก่อนที่จะหันไปสนใจลูกค้าตรงหน้าต่อ ชิงเหมยได้โอกาสจึงรีบเดินไปหลังร้านแล้วแกะกระดาษที่ถูกพับมาจนเหลือแผ่นเล็ก นางคลี่ออกดูก็พบว่าเป็นลายมือของพี่ชาง นางจดจำลายมือของเขาได้ดี‘ชิงเอ๋อร์… พี่รอเจ้าอยู่ที่ลานกว้างหลังหมู่บ้านที่เราพบเจอกันคราแรก ได้โปรดออกมาพบพี่สักนิดเถิด… พี่ชางของเจ้า’ดวงหน้างามแดงระเรื่อทันทีที่อ่านเนื้อความในสารนี้จบ ไม่รู้ว่าหลายวันที่ผ่านมานี้เขาหายไปที่ใดมา นางรู้ว่าเขามีหน้าที่จะต้องทำ เพียงแค่นางไม่รู้ว่างานที่เขากำลังกระทำอยู่นั้นอันตรายหรือไม่เท่านั้นเอง ชิงเหมยคิดหาทางที่จะออกไปพบกับเยว่อู๋ชางโดยที่จำเป็นต้องโป้ปดท่านยายของนางอีกครา นั่งคิดแผนการเพียงกะพริบตาเดียวนางก็คิดได้“ท่านยายเจ้าคะ หลานขออนุญาตกลับเรือนก่อนนะเจ้าคะ รูัสึกว่าท้องไส้ยามนี้ไม่ค่อยจะดีเลย” ชิงเหมยเดินมากระซิบบอกท่านยายของนางที่กำลังขายขนมให้แก่ลูกค้า ที่ยามนี้บางต
การเข้าจับกุมกลุ่มพ่อค้าทาสของหน่วยมือปราบในครานี้ถือว่าล้มเหลว เพราะผู้ที่อยู่เบื้องหลังและพวกหัวหน้าสามารถหลบหนีไปได้ทั้งหมด พวกที่จับมาได้ก็เป็นเพียงแค่พวกที่รับจ้างขนสินค้าให้เท่านั้น แต่การเข้าจับกุมในครานี้ก็พอจะได้รู้เบาะแสว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังยามนี้เขาได้รับบาดเจ็บที่ไหล่ขวา ซึ่งถูกลูกธนูของมือปราบหนุ่มเฉียดไปในระหว่างที่กำลังหลบหนี“แล้วเราจะเอาเช่นไรกับเรื่องนี้ดีขอรับ”“หน้าที่ต่อจากนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของศาลต้าถิงเสีย เพราะเรามิอาจเข้าไปก้าวก่ายได้”เยว่อู๋ชางกล่าวออกมาก่อนที่เขาจะขึ้นไปนั่งบนหลังม้า จิ้นซู่เองก็รีบไปขึ้นม้าของตนเช่นกัน เพราะดูเหมือนว่าคุณชายรองต้องการจะไปที่ใดสักที่“พวกเจ้าที่เหลือ…กลับไปพักผ่อนกันที่สำนักก่อนเถิด”“แล้วท่านหัวหน้าจะไปที่ใดหรือขอรับ” เสียงของลูกน้องเอ่ยถามขึ้น“ข้ามีเรื่องสงสัย จึงอยากจะไปเยือนหมู่บ้านซานฉีเสียหน่อย” เพราะเรื่องที่พวกหัวหน้ากลุ่มค้าทาสคุยกัน ทำให้เขานึกสงสัยในตัวของชิงเหมยขึ้นมา จึงอยากจะไปถามไถ่นางด้วยตนเอง“ขอรับ” ครั้นลูกน้องรับคำ หัวหน้ามือปราบหนุ่มก็ควบม้าออกจากหน้าศาลต้าตงไปทันทีลูกน้องที่เหลือมองตามอย่างรู้ใ