“ไม่มีผู้ใดที่จะเก่งตั้งแต่เริ่มต้น ผู้ใดกันเล่าที่จะจดจำบทกวีเหล่านี้ได้ในระยะเวลาเพียงสั้นๆ อาจารย์เชื่อว่าพวกเจ้าที่นั่งอยู่ที่นี่เกินกว่าครึ่งนั้นมิอาจจดจำบทกวีที่อาจารย์สั่งให้ไปท่องจำได้หมดทุกบท อาจารย์พูดถูกหรือไม่” อาจารย์ลู่อวิ๋นกล่าวสั่งสอนศิษย์ที่กำลังหัวเราะให้สหายร่วมห้องออกมาให้ได้คิด
“พวกศิษย์ขออภัยเจ้าค่ะ” ผู้ที่หัวเราะกล่าวออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน ชิงเหมย ซูฉี และหลูซินไม่ได้หัวเราะกับสหายร่วมห้อง พวกนางจึงนั่งเงียบๆ “เอาล่ะ ชีโยว วันนี้อาจารย์ถือว่าเจ้าทำได้ดีแล้วล่ะ นั่งลงได้" อาจารย์ลู่อวิ๋นหันไปบอกลูกศิษย์ที่ยังคงยืนอยู่ “เจ้าค่ะท่านอาจารย์” ชีโยวศิษย์คนแรกของเรือนเหมยฮวาตอบพลางคำนับท่านอาจารย์แล้วนั่งลง และก็เป็นดังเช่นที่อาจารย์ลู่อวิ๋นได้กล่าวเอาไว้ เพราะมีทั้งผู้ที่สามารถท่องบทกวีออกมาได้จนจบบท และมีทั้งผู้ที่ท่องออกมาได้เพียงแค่ครึ่งๆ กลางๆ เขาไม่ได้คาดหวังกับศิษย์ใหม่เหล่านี้มากนัก เพราะเพิ่งจะเข้ามาสำนักศึกษาได้ไม่นาน บางคนก็มีพื้นฐาน บางคนก็เพิ่งจะเคยได้ศึกษาเกี่ยวกับบทกวี แต่ทว่าเขากลับรู้สึกคาดหวังกับชิงเหมยเพราะจากที่สังเกตดูนางเมื่อวาน นางนั้นท่องได้เป็นอย่างดี “คนต่อไป ชิงเหมย” ร่างเล็กลุกขึ้นยืนพร้อมกับท่องบทกวีที่นางได้เตรียมเอาไว้ออกมา 'หน้าเตียงแสงจันทร์กระจ่าง ประดุจว่าน้ำค้างแข็งบนพื้นดิน เงยหน้ามองดูแสงจันทร์ ก้มหน้านึกถึงบ้านเกิด… หลี่ไป๋' เสียงปรบมือจากท่านอาจารย์ลู่อวิ๋นดังขึ้น สหายร่วมห้องจึงพากันปรบมือให้แก่ชิงเหมยที่เป็นคนสุดท้ายของการท่องบทกวีในวันนี้เช่นกัน “เยี่ยมๆ พวกเจ้าหลายคนช่างเป็นเด็กที่มีความจำที่ดียิ่งนัก อาจารย์หวังว่าพวกเจ้าผู้ใดที่ยังจดจำบทกวีเหล่านี้ยังไม่ได้ ก็ให้พยายามอ่านและจดจำบทกวีที่งดงามเหล่านี้ให้ได้ต่อไป… เอาล่ะ ชิงเหมย… เจ้านั่งลงได้” เด็กหญิงคำนับท่านอาจารย์หลังที่เขาบอกให้นางนั่งลง “เจ้าเก่งยิ่งนักชิงเหมย ข้ายังท่องได้ไม่ราบรื่นเช่นเจ้าเลย” ซูฉีกล่าวชมสหายออกมาอย่างจริงใจ “เป็นเพราะบทกวีที่ข้าท่องออกมามันสั้นอย่างไรล่ะ พวกเจ้าอย่าอวยข้านักเลย พวกเจ้าก็เก่งเช่นกัน” ชิงเหมยบอกสหายยิ้มๆ นางไม่อยากทำตนเองให้เด่นกว่าผู้ใด เพราะนางรู้ดีว่าการทำตนเองให้เด่นเกินผู้ใดนั้นไม่ใช่เรื่องดี นอกจากจะสร้างความอิจฉาริษยาให้แก่ผู้อื่นแล้ว ยังสร้างความยุ่งยากให้แก่ชีวิตนี้ของนางอีกด้วย “ข้าท่องทั้งคืนยังท่องไม่จบเลย เหตุใดชิงเหมยนางถึงได้ท่องได้จนจบอย่างไม่ติดขัดเลยล่ะ” ตวนเจียฉีเอ่ยออกมาในขณะที่มองไปยังกลุ่มของชิงเหมย กวงชีเยว่กำอาภรณ์ของนางแน่น ไม่คิดเลยว่าชิงเหมยที่เป็นเพียงเด็กกำพร้า อีกทั้งยังอาศัยอยู่กับยายที่มีอาชีพค้าขายยังสามารถท่องบทกวีออกมาได้เทียบเท่ากับนางที่ฝึกฝนตนเองมาตั้งแต่ยังเด็ก “บทมันง่ายเจ้าไม่ได้ยินหรือ เพียงแค่นั้นผู้ใดจะท่องไม่ได้กัน” คุณหนูรองสกุลกวงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง นางรู้ดีว่าสำนักศึกษาแห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ที่จะมาใช้อำนาจการที่ตนเองมีเชื้อสายของขุนนางได้ เพราะศิษย์ของที่นี่มีหลายชนชั้น และนั่นยิ่งทำให้นางรู้สึกขุ่นเคืองที่คนที่ด้อยกว่านางกลับทำได้ดีเทียบเท่านาง “โถ่… ข้าเพียงแต่สงสัย เหตุใดถึงต้องใช้น้ำเสียงเช่นนั้นด้วยล่ะ” ตวนเจียฉีพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “น้ำเสียงเช่นไรรึ ข้าก็พูดจาเช่นนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร เราคบหากันมานานเจ้าน่าจะคุ้นชินกับการพูดจาของข้าได้แล้วนะเจียฉี” กวงชีเยว่กระแทกเสียงใส่ตวนเจียฉี นางไม่ได้สนใจหากอีกฝ่ายจะเลิกคบนาง เพราะนางเป็นถึงลูกของขุนนาง ผู้ใดจะไม่อยากคบหานางกัน แม้นจะรู้สึกแย่ที่ได้ยินสหายเอ่ยออกมาเช่นนี้ ทว่าตวนเจียฉีกลับแสร้งเมินเฉยไป ถึงภายในใจจะรู้สึกขุ่นเคืองอีกฝ่ายอยู่ก็ตาม หากท่านแม่ของนางไม่บอกให้คบหาคุณหนูรองช่างเอาแต่ใจตนเองนางนี้ ตวนเจียฉีคงจะเลิกคบหาไปตั้งแต่รู้ถึงนิสัยที่แท้จริงของอีกฝ่าย ยามเซินศิษย์จากสำนักศึกษาหวุนซีเริ่มทยอยกันกลับเรือนของตน ชิงเหมยเดินไปตลาดพร้อมกับหลูซินเช่นเดิม แต่ทว่าวันนี้ซูฉีอยากไปเดินเล่นที่ตลาดด้วย เพราะสำนักศึกษาปล่อยให้ศิษย์เลิกเรียนเร็วกว่าทุกวัน นางจึงใช้โอกาสนี้แวะเวียนไปเที่ยวชมตลาดซานฉีแทนการกลับจวน หากกลับไปนางก็ไม่พ้นต้องไปฝึกระเบียบของสตรี เรียนรู้การเย็บปัก ทั้งที่วัยของนางนั้นยังห่างไกลจากวัยที่ต้องออกเรือนยิ่งนัก ทว่ามารดากลับอยากให้นางได้เรียนรู้ทุกอย่างก่อนที่ยามนั้นจะมาถึง “เหตุใดสตรีครั้นถึงวัยปักปิ่นจะต้องเตรียมตัวออกเรือนด้วยล่ะ” ซูฉีเอ่ยถามสหายออกมาด้วยความอึดอัดใจ นางไม่กล้าปริปากถามมารดา หรือแม้แต่สาวรับใช้ที่คอยติดตามดูแลนางยามที่อยู่ในจวนตระกูลเซี่ย “เกิดเป็นหญิงก็มีหน้าที่เพียงเท่านี้ เป็นขุนนางก็ไม่ได้ ทำงานที่พวกบุรุษทำก็ไม่ได้เพราะเรี่ยวแรงสู้บุรุษไม่ได้ ดังนั้นหน้าที่ของสตรีที่ดีที่สุดคือการออกเรือน มีทายาทสืบสกุล ดูแลเรือนหลังให้สงบสุข” ชิงเหมยตอบออกมาเท่าที่นางพอจะคิดได้ ในยุคสมัยนี้บุรุษอยู่เหนือสตรี มีเพียงบุรุษที่สามารถสอบเป็นขุนนางได้ แต่สตรีกลับทำไม่ได้ นึกแล้วก็ช่างน่าขัน เหตุใดถึงต้องให้ค่าหญิงด้อยกว่าชายในเมื่อสตรีบางคนนั้นเก่งเกินบุรุษก็ยังมี โชคยังดีที่ชิงเหมยไม่ได้อาศัยอยู่ในตระกูลของขุนนาง เพราะหากถึงยามนั้นนางเองก็คงจะต้องถูกผลักไสออกเรือนไปกับบุรุษที่ทางตระกูลหาให้เป็นแน่ “นี่ท่านแม่ของเจ้าวางแผนอนาคตในภายภาคหน้าเอาไว้ให้เจ้าแล้วรึซูฉี” หลูซินถามสหายด้วยความสงสัย เพราะพวกนางยังเยาว์วัยนัก และอีกตั้งเกือบหกปีเจ็ดปีถึงจะเข้าสู่วัยปักปิ่น “อื้อ… ท่านแม่อยากเห็นข้ามีอนาคตที่ดี ได้ออกเรือนไปกับคนที่ดีๆ หากข้าเติบโตมาเป็นสตรีที่เพียบพร้อม การที่ข้าเป็นเพียงลูกอนุคงไม่สำคัญ” “แต่พวกเรายังเยาว์วัยนักซูฉี ควรจะใช้ชีวิตวัยเยาว์ให้สมกับวัยสิ” ฟังน้ำเสียงของสหายแล้ว ชิงเหมยก็พอจะรู้สึกได้ว่าชีวิตของซููฉีนั้นไม่ง่าย เกิดเป็นบุตรีของขุนนางก็จริงอยู่ แต่ทว่าเป็นบุตรีที่เกิดจากอนุนี่สิช่างน่าเห็นใจยิ่งนัก โชคดีแค่ไหนกันที่ชิงเหมยนั้นอยู่กับยายจึงทำให้ใช้ชีวิตนี้อย่างไร้กังวล “อืม… ว่าแต่ชิงเหมย เจ้าน่ะท่องจำบทกวีหรือตำราเก่งยิ่งนัก เหตุใดถึงต้องถ่อมตนว่าเจ้าไม่เก่งด้วยล่ะ บทนั้นที่เจ้าท่องก็มิใช่ว่าจะจดจำง่ายถึงเพียงนั้น” เพราะอยากอวดความสามารถของสหายสนิท ยามที่อยู่ในเรืือนเหมยฮวาหลูซินจึงเอ่ยชมสหายออกมาเสียงดัง ทว่าชิงเหมยกลับถ่อมตนเสียได้ หากนางเก่งเช่นเดียวกับชิงเหมย นางก็อยากจะแสดงออกมาเพื่อที่จะได้รับคำชมจากท่านอาจารย์ แต่ทว่านางสมองไม่ค่อยดี จดจำบทกวียาวๆ ไม่ค่อยได้ จึงทำได้เพียงท่องบทกวีสั้นๆ “เจ้าเคยได้ยินว่าแสร้งโง่หรือไม่หลูซิน” ชิงเหมยหันไปถามสหายกลับ “แสร้งโง่งั้นรึ แล้วเหตุใดถึงต้องแสร้งโง่ด้วยล่ะ” หลูซินงุนงงกับคำถามของชิงเหมยจึงถามนางกลับไป ซูฉียิ้มออกมา นางพอจะคาดเดาได้ว่าเหตุใดชิงเหมยถึงต้องแสร้งโง่ “เพราะหากเราอวดว่าเราฉลาด ก็จะมีผู้ที่อิจฉาเรา จนอาจจะทำให้เรามีภัยก็เป็นได้ ข้าน่ะอยากใช้ชีวิตอยู่ในสำนักศึกษาอย่างเงียบๆ น่ะหลูซิน” ถึงจะเยาว์วัยทว่าหลูซินและซูฉีต่างเข้าใจสิ่งที่ชิงเหมยบอกได้เป็นอย่างดี เพราะท่านแม่ของพวกนางเองก็สั่งสอนในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน เด็กหญิงทั้งสามพากันหัวเราะออกมาพลางเดินตามกันไปยังตลาดซานฉี วันนี้ที่แปลกไปคือมีซูฉีและสาวรับใช้ของนางติดตามเด็กหญิงทั้งสองไปด้วยหลังจากเฉียวจูจ้านและซูฉีเดินทางออกจากจวนกลับไปได้ไม่นาน เยว่อู๋ชางก็กลับมาจากในวังหลวง เพราะภรรยาตั้งครรภ์อ่อนๆ เขาจึงได้รับพระกรุณาจากองค์รัชทายาทให้กลับมาค้างที่จวนในทุกค่ำคืน จนกว่าครรภ์ของนางจะมั่นคง ถึงค่อยให้เขากลับไปดูแลพระองค์อย่างใกล้ชิดอีกครา“ท่านพี่กลับมาแล้วหรือเจ้าคะ” เสียงหวานทักทายสามีที่กำลังเดินเข้ามาภายในศาลากลางน้ำ“อื้ม…แล้วนี่น้องหญิงกำลังทำสิ่งใดอยู่รึ”เขาเดินไปนั่งลงเคียงข้าง แล้วยกร่างบางขึ้นมานั่งบนตัก จากนั้นจึงหอมแก้มนางไปหนึ่งที สองสาวรับใช้คนสนิทและสาวรับใช้ที่อยู่คอยรับใช้นายหญิง ต้องรีบพากันหลุบตามองต่ำ“ท่านพี่!!! พวกสาวรับใช้อยู่กันเยอะแยะ ข้าอายพวกนางนะเจ้าคะ”ชิงเหมยกระซิบเสียงดุใส่สามี สองแขนเรียวโอบล้อมรอบลำคอของเขาเพราะกลัวตกเซียงซุนและหยวนเวยพากันยิ้มออกมา ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเพียงใด ความรักที่นายท่านมีต่อนายหญิงหาได้ลดน้อยลงไม่ ทว่ามีแต่จะเพิ่มขึ้นในทุกวัน ยิ่งนายหญิงมีครรภ์เช่นนี้ นายท่านก็ดูจะทะนุถนอม และรักใคร่นายหญิงยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ความสัมพันธ์ของสามีภรรยากลมเกล
หลังจากนอนค้างที่จวนตระกูลซิ่วได้เพียงหนึ่งคืน เช้านี้ชิงเหมยจำต้องติดตามผู้เป็นสามี เดินทางกลับเข้าเมืองหลวง ด้วยหน้าที่ความรับผิดชอบของเขา ทำให้นางมิอาจเอาแต่ใจตนเองได้ ก่อนเดินทางออกจากจวน นางและสามีก็ได้กินมื้อเช้าพร้อมหน้าพร้อมตา มีท่านย่า ท่านยาย และพี่น้องตระกูลซิ่วของนาง ท่านยายเล็ก ท่านลุง ท่านป้าสะใภ้และลูกๆ ทั้งสองของท่านลุงนั้น ได้เดินทางกลับจวนตระกูลซุนไปตั้งแต่พิธีแต่งงานเสร็จสิ้นแล้ว ในวันที่นางกลับมาเยี่ยมบ้านเดิมจึงมิได้พบกับพวกเขา“เดินทางปลอดภัย ขอให้เจ้าจงรักษาตัวให้ดี หากมีเวลาก็กลับมาเยี่ยมยายบ้าง”ซุนฉีกล่าวในขณะที่นางออกมาส่งหลานสาวอยู่ที่ด้านหน้าจวน ยามนี้ขบวนขนสัมภาระและผู้ติดตามของหลานเขยกับหลานสาวเตรียมพร้อมหมดแล้ว รอเพียงแค่ให้ชิงเหมยได้ร่ำลาครอบครัวก่อนออกเดินทางก็เท่านั้น“เจ้าค่ะท่านยาย ท่านเองก็อย่าลืมรักษาสุขภาพให้ดี รอหลานกลับมาเยี่ยมนะเจ้าคะ”ชิงเหมยกล่าวออกมา น้ำเสียงข่มความอาลัยเอาไว้อย่างมิดชิด เพื่อไม่ให้ท่านยายเป็นห่วงนางมากนัก ครานี้เป็นคราแรกที่นางจะต้องห่างไกลจากท่านยายจริงๆ หาใช่เพียงแค่ไปไม่กี่
หลังจากที่เยว่อู๋ชางเดินออกจากห้องหอไปได้ไม่นานนัก สองสาวรับใช้คนสนิทของชิงเหมยก็เข้ามาด้านใน ร่างระหงนั่งสัปหงกอยู่บนเก้าอี้ หยวนเวยจึงรีบไปเตรียมน้ำให้นางอาบ ส่วนเซียงซุนรับหน้าที่เข้าไปปัดกวาดเตียงนอน ครั้นได้เห็นร่องรอยของการร่วมหอในค่ำคืนที่ผ่านมา ใบหน้างามของสาวรับใช้ที่ยังไม่เคยออกเรือนก็ถึงกับร้อนผ่าว ในใจพลันรู้สึกยินดี ที่ท่านเขยและคุณหนูใหญ่ ไม่ได้ปล่อยให้คืนเข้าหอผ่านไปอย่างไร้ค่า“ข้าน้อยเตรียมน้ำเสร็จแล้วเจ้าค่ะคุณหนู อุ๊ย!!! ฮูหยินเล็ก”หยวนเวยกลับเข้ามาภายในห้องพลางกล่าวรายงาน ก่อนที่นางจะปิดปากครั้นรู้ตัวว่านางเรียกขานสถานะเดิมของชิงเหมยที่เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลซิ่ว แล้วจึงเปลี่ยนคำเรียกขานคุณหนูใหญ่ของนางใหม่ ยามนี้คุณหนูใหญ่ก้าวผ่านค่ำคืนของการเป็นผู้ใหญ่มาแล้ว หมายความว่าบัดนี้ชิงเหมย นางได้กลายมาเป็นฮูหยินเล็กสกุลเยว่เต็มตัวแล้ว"ฮูหยินเล็ก อืม… ใช่แล้วล่ะ สถานะข้าในยามนี้กลายเป็นฮูหยินของพี่ชางแล้วสินะ" ใบหน้างามปรากฏคลื่นแห่งความสุขออกมา แม้จะยังคงง่วงงุนแต่ทว่าใบหน้าของนางกลับอิ่มเอิบ“เช้านี้ท่านเขยดูอารมณ์ดียิ่ง
ท่ามกลางความเงียบสงบจากภายนอก ภายในห้องหอกลับมีเสียงครางทุ้มหวานของคู่บ่าวสาว ดังสอดประสานกันขึ้นมาเป็นระยะ คราแรกที่ความแข็งแกร่งของชายหนุ่มรุกล้ำเข้าไปภายในกลีบบุปผางามของนาง ชิงเหมยก็แทบจะปิดบังบังความเจ็บปวดเอาไว้ไม่อยู่ นางแสดงออกมาผ่านทางสีหน้าและแววตา ปลายหางตามีหยาดน้ำเปียกชุ่มอยู่เพียงเล็กน้อย แต่ทว่านางกลับไม่กล้าเอ่ยปากขัดขวางอารมณ์ที่เร่าร้อนของเขามือบางกอบกุมผ้าปูเตียงเอาไว้แน่น ก่อนที่นางจะค่อยๆ ผ่อนคลายลง ความรู้สึกเจ็บปวดในคราแรก จึงแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกวาบหวาม เร่าร้อน เข้ามาแทนที่ ยามนี้ผิวกายของนางและเขาต่างร้อนผ่าว ทุกคราที่เขาขยับโยกกาย ก่อให้เกิดความรู้สึกหลากหลาย สิ่งนี้น่ะหรือที่พวกผู้ใหญ่เรียกว่า หยินหยางสอดประสาน ชิงเหมยเพิ่งได้รู้ซึ้งก็ในวันนี้นี่เอง ความรู้สึกที่มีทั้งสุขและทุกข์ผสมผสานกันไป ทว่าความทุกข์นั้นกลับกลายเป็นสิ่งที่หอมหวานชวนลุ่มหลง“น้องหญิง…เจ้าเจ็บหรือไม่”ชายหนุ่มเหนือร่างงามหาได้ทำตามแต่ใจตนเองผู้เดียวไม่ เขาหยุดจังหวะการรุกล้ำ แล้วเอ่ยถามความรู้สึกของผู้เป็นภรรยาออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า แม้อารมณ์ใคร่
ขบวนสินเดิมของเจ้าสาวยาวเกือบหนึ่งลี้ ถือว่าไม่น้อยหน้าสมกับเป็นคุณหนูจากตระกูลใหญ่ ผู้คนต่างพากันนึกอิจฉานางขึ้นมา ด้วยไม่คิดว่าสตรีที่เกิดจากตระกูลธรรมดาอย่างซุนฉี จะสามารถมอบสินเดิมให้กับหลานสาวมากมายถึงเพียงนี้ แม้ผู้คนจะรู้ดีว่ามิใช่ของตระกูลซุนเพียงตระกูลเดียว แต่ก็รู้สึกนับถือซุนฉี ที่อีกฝ่ายคอยเก็บสะสมทรัพย์สินมากมาย เพื่อให้หลานเป็นสินเดิมติดตัวไปยามออกเรือน“คุณหนูเจ้าคะ หิวหรือไม่เจ้าคะ ข้าน้อยเตรียมขนมมาให้ หากคุณหนูหิวก็กินรองท้องไปก่อนหนาเจ้าคะ ดูจากการเคลื่อนขบวนแล้ว ข้าน้อยคิดว่ากว่าจะถึงจวนตระกูลเยว่ก็คงอีกสองเค่อ” เซียงซุนเปิดม่านเกี้ยวแล้วบอกคุณหนูของนางด้วยความห่วงใย เพราะวันนี้คุณหนูหาได้กินสิ่งใดลงไม่ อาจจะเป็นเพราะความตื่นเต้น“อื้อ…”ชิงเหมยมองออกไปผ่านผ้าคลุมหน้าก็เห็นว่าข้างทางมีชาวบ้านมากมาย ใบหน้าทุกคนต่างยิ้มแย้มออกมาด้วยความยินดี ทำให้นางรู้สึกประทับใจยิ่งนัก ไม่คิดว่างานแต่งงานของนางจะทำให้ผู้คนสนใจมาชื่นชมมากมายถึงเพียงนี้และก็เป็นอย่างที่เซียงซุนบอก เพราะกว่าจะถึงจวนตระกูลเยว่ก็ใช้เวลานานเกือบสองเค่
หนึ่งปีต่อมาวสันตฤดูเวียนมาถึง นั่นก็หมายความว่า กำหนดการพระราชทานสมรสระหว่างคุณชายรองสกุลเยว่กับคุณหนูใหญ่สกุลซิ่วก็มาถึงเสียที ชิงเหมยต้องไปออกเรือนที่ตระกูลซิ่ว ทำให้ซุนฉี ซุนเฉียว เหลียงจง หลิวเวย และลูกๆ ทั้งสองของนาง ต้องเดินทางจากจวนตระกูลซุน ซึ่งตั้งอยู่ในหมู่บ้านซานฉี เข้าเมืองถิงฮวาไปพำนักที่ตระกูลซิ่วชั่วคราว ก่อนที่จะถึงวันวิวาห์ เพื่อร่วมกันส่งหลานสาวออกเรือน“ข้ารู้สึกใจหายยิ่งนัก หลังจากเหมยเอ๋อร์ออกเรือนไปแล้ว ข้าจะทำเยี่ยงไร” ซุนฉีนึกใจหายขึ้นมา หลานสาวอาศัยอยู่กับนางมาตั้งแต่เกิด จนมาถึงวัยสิบแปดปี วัยที่เหมาะสมแก่การออกเรือน“ท่านกล่าวอันใดเยี่ยงนั้น ท่านไม่อยากเห็นเหมยเอ๋อร์มีความสุขหรอกรึ” ผิงหลันแสร้งถามออกมาทั้งๆ ที่ใจนางเองก็ไม่ต่างจากซุนฉีแม้แต่น้อยหลังจากหลานสาวกลับจากเยี่ยมบ้านเดิมตามธรรมเนียม ชิงเหมยก็ต้องออกเดินทางเข้าเมืองหลวงทันที เพราะว่าที่หลานเขยของนางต้องทำงานรับใช้ราชวงศ์ ไม่อาจลางานนานได้ และเพราะหน้าที่ของเขา ทำให้ไม่สะดวกต่อการเดินทางไกล จวนของเขาที่เตรียมไว้ยามนี้ตกแต่งไว้รอนายหญิงของจวนเรียบร้อยแล