“ไม่มีผู้ใดที่จะเก่งตั้งแต่เริ่มต้น ผู้ใดกันเล่าที่จะจดจำบทกวีเหล่านี้ได้ในระยะเวลาเพียงสั้นๆ อาจารย์เชื่อว่าพวกเจ้าที่นั่งอยู่ที่นี่เกินกว่าครึ่งนั้นมิอาจจดจำบทกวีที่อาจารย์สั่งให้ไปท่องจำได้หมดทุกบท อาจารย์พูดถูกหรือไม่” อาจารย์ลู่อวิ๋นกล่าวสั่งสอนศิษย์ที่กำลังหัวเราะให้สหายร่วมห้องออกมาให้ได้คิด
“พวกศิษย์ขออภัยเจ้าค่ะ” ผู้ที่หัวเราะกล่าวออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน ชิงเหมย ซูฉี และหลูซินไม่ได้หัวเราะกับสหายร่วมห้อง พวกนางจึงนั่งเงียบๆ “เอาล่ะ ชีโยว วันนี้อาจารย์ถือว่าเจ้าทำได้ดีแล้วล่ะ นั่งลงได้" อาจารย์ลู่อวิ๋นหันไปบอกลูกศิษย์ที่ยังคงยืนอยู่ “เจ้าค่ะท่านอาจารย์” ชีโยวศิษย์คนแรกของเรือนเหมยฮวาตอบพลางคำนับท่านอาจารย์แล้วนั่งลง และก็เป็นดังเช่นที่อาจารย์ลู่อวิ๋นได้กล่าวเอาไว้ เพราะมีทั้งผู้ที่สามารถท่องบทกวีออกมาได้จนจบบท และมีทั้งผู้ที่ท่องออกมาได้เพียงแค่ครึ่งๆ กลางๆ เขาไม่ได้คาดหวังกับศิษย์ใหม่เหล่านี้มากนัก เพราะเพิ่งจะเข้ามาสำนักศึกษาได้ไม่นาน บางคนก็มีพื้นฐาน บางคนก็เพิ่งจะเคยได้ศึกษาเกี่ยวกับบทกวี แต่ทว่าเขากลับรู้สึกคาดหวังกับชิงเหมยเพราะจากที่สังเกตดูนางเมื่อวาน นางนั้นท่องได้เป็นอย่างดี “คนต่อไป ชิงเหมย” ร่างเล็กลุกขึ้นยืนพร้อมกับท่องบทกวีที่นางได้เตรียมเอาไว้ออกมา 'หน้าเตียงแสงจันทร์กระจ่าง ประดุจว่าน้ำค้างแข็งบนพื้นดิน เงยหน้ามองดูแสงจันทร์ ก้มหน้านึกถึงบ้านเกิด… หลี่ไป๋' เสียงปรบมือจากท่านอาจารย์ลู่อวิ๋นดังขึ้น สหายร่วมห้องจึงพากันปรบมือให้แก่ชิงเหมยที่เป็นคนสุดท้ายของการท่องบทกวีในวันนี้เช่นกัน “เยี่ยมๆ พวกเจ้าหลายคนช่างเป็นเด็กที่มีความจำที่ดียิ่งนัก อาจารย์หวังว่าพวกเจ้าผู้ใดที่ยังจดจำบทกวีเหล่านี้ยังไม่ได้ ก็ให้พยายามอ่านและจดจำบทกวีที่งดงามเหล่านี้ให้ได้ต่อไป… เอาล่ะ ชิงเหมย… เจ้านั่งลงได้” เด็กหญิงคำนับท่านอาจารย์หลังที่เขาบอกให้นางนั่งลง “เจ้าเก่งยิ่งนักชิงเหมย ข้ายังท่องได้ไม่ราบรื่นเช่นเจ้าเลย” ซูฉีกล่าวชมสหายออกมาอย่างจริงใจ “เป็นเพราะบทกวีที่ข้าท่องออกมามันสั้นอย่างไรล่ะ พวกเจ้าอย่าอวยข้านักเลย พวกเจ้าก็เก่งเช่นกัน” ชิงเหมยบอกสหายยิ้มๆ นางไม่อยากทำตนเองให้เด่นกว่าผู้ใด เพราะนางรู้ดีว่าการทำตนเองให้เด่นเกินผู้ใดนั้นไม่ใช่เรื่องดี นอกจากจะสร้างความอิจฉาริษยาให้แก่ผู้อื่นแล้ว ยังสร้างความยุ่งยากให้แก่ชีวิตนี้ของนางอีกด้วย “ข้าท่องทั้งคืนยังท่องไม่จบเลย เหตุใดชิงเหมยนางถึงได้ท่องได้จนจบอย่างไม่ติดขัดเลยล่ะ” ตวนเจียฉีเอ่ยออกมาในขณะที่มองไปยังกลุ่มของชิงเหมย กวงชีเยว่กำอาภรณ์ของนางแน่น ไม่คิดเลยว่าชิงเหมยที่เป็นเพียงเด็กกำพร้า อีกทั้งยังอาศัยอยู่กับยายที่มีอาชีพค้าขายยังสามารถท่องบทกวีออกมาได้เทียบเท่ากับนางที่ฝึกฝนตนเองมาตั้งแต่ยังเด็ก “บทมันง่ายเจ้าไม่ได้ยินหรือ เพียงแค่นั้นผู้ใดจะท่องไม่ได้กัน” คุณหนูรองสกุลกวงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง นางรู้ดีว่าสำนักศึกษาแห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ที่จะมาใช้อำนาจการที่ตนเองมีเชื้อสายของขุนนางได้ เพราะศิษย์ของที่นี่มีหลายชนชั้น และนั่นยิ่งทำให้นางรู้สึกขุ่นเคืองที่คนที่ด้อยกว่านางกลับทำได้ดีเทียบเท่านาง “โถ่… ข้าเพียงแต่สงสัย เหตุใดถึงต้องใช้น้ำเสียงเช่นนั้นด้วยล่ะ” ตวนเจียฉีพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “น้ำเสียงเช่นไรรึ ข้าก็พูดจาเช่นนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร เราคบหากันมานานเจ้าน่าจะคุ้นชินกับการพูดจาของข้าได้แล้วนะเจียฉี” กวงชีเยว่กระแทกเสียงใส่ตวนเจียฉี นางไม่ได้สนใจหากอีกฝ่ายจะเลิกคบนาง เพราะนางเป็นถึงลูกของขุนนาง ผู้ใดจะไม่อยากคบหานางกัน แม้นจะรู้สึกแย่ที่ได้ยินสหายเอ่ยออกมาเช่นนี้ ทว่าตวนเจียฉีกลับแสร้งเมินเฉยไป ถึงภายในใจจะรู้สึกขุ่นเคืองอีกฝ่ายอยู่ก็ตาม หากท่านแม่ของนางไม่บอกให้คบหาคุณหนูรองช่างเอาแต่ใจตนเองนางนี้ ตวนเจียฉีคงจะเลิกคบหาไปตั้งแต่รู้ถึงนิสัยที่แท้จริงของอีกฝ่าย ยามเซินศิษย์จากสำนักศึกษาหวุนซีเริ่มทยอยกันกลับเรือนของตน ชิงเหมยเดินไปตลาดพร้อมกับหลูซินเช่นเดิม แต่ทว่าวันนี้ซูฉีอยากไปเดินเล่นที่ตลาดด้วย เพราะสำนักศึกษาปล่อยให้ศิษย์เลิกเรียนเร็วกว่าทุกวัน นางจึงใช้โอกาสนี้แวะเวียนไปเที่ยวชมตลาดซานฉีแทนการกลับจวน หากกลับไปนางก็ไม่พ้นต้องไปฝึกระเบียบของสตรี เรียนรู้การเย็บปัก ทั้งที่วัยของนางนั้นยังห่างไกลจากวัยที่ต้องออกเรือนยิ่งนัก ทว่ามารดากลับอยากให้นางได้เรียนรู้ทุกอย่างก่อนที่ยามนั้นจะมาถึง “เหตุใดสตรีครั้นถึงวัยปักปิ่นจะต้องเตรียมตัวออกเรือนด้วยล่ะ” ซูฉีเอ่ยถามสหายออกมาด้วยความอึดอัดใจ นางไม่กล้าปริปากถามมารดา หรือแม้แต่สาวรับใช้ที่คอยติดตามดูแลนางยามที่อยู่ในจวนตระกูลเซี่ย “เกิดเป็นหญิงก็มีหน้าที่เพียงเท่านี้ เป็นขุนนางก็ไม่ได้ ทำงานที่พวกบุรุษทำก็ไม่ได้เพราะเรี่ยวแรงสู้บุรุษไม่ได้ ดังนั้นหน้าที่ของสตรีที่ดีที่สุดคือการออกเรือน มีทายาทสืบสกุล ดูแลเรือนหลังให้สงบสุข” ชิงเหมยตอบออกมาเท่าที่นางพอจะคิดได้ ในยุคสมัยนี้บุรุษอยู่เหนือสตรี มีเพียงบุรุษที่สามารถสอบเป็นขุนนางได้ แต่สตรีกลับทำไม่ได้ นึกแล้วก็ช่างน่าขัน เหตุใดถึงต้องให้ค่าหญิงด้อยกว่าชายในเมื่อสตรีบางคนนั้นเก่งเกินบุรุษก็ยังมี โชคยังดีที่ชิงเหมยไม่ได้อาศัยอยู่ในตระกูลของขุนนาง เพราะหากถึงยามนั้นนางเองก็คงจะต้องถูกผลักไสออกเรือนไปกับบุรุษที่ทางตระกูลหาให้เป็นแน่ “นี่ท่านแม่ของเจ้าวางแผนอนาคตในภายภาคหน้าเอาไว้ให้เจ้าแล้วรึซูฉี” หลูซินถามสหายด้วยความสงสัย เพราะพวกนางยังเยาว์วัยนัก และอีกตั้งเกือบหกปีเจ็ดปีถึงจะเข้าสู่วัยปักปิ่น “อื้อ… ท่านแม่อยากเห็นข้ามีอนาคตที่ดี ได้ออกเรือนไปกับคนที่ดีๆ หากข้าเติบโตมาเป็นสตรีที่เพียบพร้อม การที่ข้าเป็นเพียงลูกอนุคงไม่สำคัญ” “แต่พวกเรายังเยาว์วัยนักซูฉี ควรจะใช้ชีวิตวัยเยาว์ให้สมกับวัยสิ” ฟังน้ำเสียงของสหายแล้ว ชิงเหมยก็พอจะรู้สึกได้ว่าชีวิตของซููฉีนั้นไม่ง่าย เกิดเป็นบุตรีของขุนนางก็จริงอยู่ แต่ทว่าเป็นบุตรีที่เกิดจากอนุนี่สิช่างน่าเห็นใจยิ่งนัก โชคดีแค่ไหนกันที่ชิงเหมยนั้นอยู่กับยายจึงทำให้ใช้ชีวิตนี้อย่างไร้กังวล “อืม… ว่าแต่ชิงเหมย เจ้าน่ะท่องจำบทกวีหรือตำราเก่งยิ่งนัก เหตุใดถึงต้องถ่อมตนว่าเจ้าไม่เก่งด้วยล่ะ บทนั้นที่เจ้าท่องก็มิใช่ว่าจะจดจำง่ายถึงเพียงนั้น” เพราะอยากอวดความสามารถของสหายสนิท ยามที่อยู่ในเรืือนเหมยฮวาหลูซินจึงเอ่ยชมสหายออกมาเสียงดัง ทว่าชิงเหมยกลับถ่อมตนเสียได้ หากนางเก่งเช่นเดียวกับชิงเหมย นางก็อยากจะแสดงออกมาเพื่อที่จะได้รับคำชมจากท่านอาจารย์ แต่ทว่านางสมองไม่ค่อยดี จดจำบทกวียาวๆ ไม่ค่อยได้ จึงทำได้เพียงท่องบทกวีสั้นๆ “เจ้าเคยได้ยินว่าแสร้งโง่หรือไม่หลูซิน” ชิงเหมยหันไปถามสหายกลับ “แสร้งโง่งั้นรึ แล้วเหตุใดถึงต้องแสร้งโง่ด้วยล่ะ” หลูซินงุนงงกับคำถามของชิงเหมยจึงถามนางกลับไป ซูฉียิ้มออกมา นางพอจะคาดเดาได้ว่าเหตุใดชิงเหมยถึงต้องแสร้งโง่ “เพราะหากเราอวดว่าเราฉลาด ก็จะมีผู้ที่อิจฉาเรา จนอาจจะทำให้เรามีภัยก็เป็นได้ ข้าน่ะอยากใช้ชีวิตอยู่ในสำนักศึกษาอย่างเงียบๆ น่ะหลูซิน” ถึงจะเยาว์วัยทว่าหลูซินและซูฉีต่างเข้าใจสิ่งที่ชิงเหมยบอกได้เป็นอย่างดี เพราะท่านแม่ของพวกนางเองก็สั่งสอนในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน เด็กหญิงทั้งสามพากันหัวเราะออกมาพลางเดินตามกันไปยังตลาดซานฉี วันนี้ที่แปลกไปคือมีซูฉีและสาวรับใช้ของนางติดตามเด็กหญิงทั้งสองไปด้วยสองปีต่อมาร่างเล็กสูงโปร่งของเด็กหญิงวัยสิบสองปีกำลังเยื้องย่างไปตามเส้นทางที่มุ่งสู่สำนักศึกษาหวุนซีเฉกเช่นทุกเช้า ความงดงามของนางเริ่มเปล่งประกายออกมาให้ผู้อื่นได้เห็น ถึงแม้นางจะเป็นเพียงหลานสาวแม่ค้าขายขนมในตลาด ที่มีฐานะเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา แต่ทว่าเด็กหญิงในวันนี้กลับกลายเป็นบัณฑิตอายุน้อยที่มีชื่อเสียงของสำนักศึกษาหวุนซี เพียงสองปีที่นางเข้าไปที่สำนักศึกษา ความรู้ความสามารถที่นางได้พยายามซ่อนเร้นปิดบังเอาไว้ กลับเปล่งประกายออกมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้“ชิงเหมย กำลังจะไปสำนักศึกษาหรอกหรือ"“เจ้าค่ะท่านน้า” เด็กหญิงหันไปตอบสตรีสูงวัยกว่าด้วยน้ำเสียงนอบน้อม“น้าได้ยินว่าเจ้าทดสอบได้ลำดับที่หนึ่งในศิษย์ที่เป็นหญิงมาตลอดสองปีเลยรึ” เสวียอี๋เอ่ยถามเด็กหญิงที่นางเอ็นดูด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น“มิใช่ความจริงหรอกเจ้าค่ะท่านน้า ที่สำนักศึกษายังมีคนที่เก่งกว่าข้าหลายคน ข้าเพิ่งจะทดสอบได้ลำดับที่หนึ่งเมื่อปีที่แล้วนี่เองเจ้าค่ะ เข้าไปปีแรกข้ายังไม่รู้เท่าใดนัก แต่พอได้อ่านตำรา ฝึกทำแบบทดสอบที่คิดว่าท่านอาจารย์จะทดสอบ ลำดับคะแนนของข้าก็ขยับขึ้นมาเป็นลำดับหนึ่งเจ้าค่ะ”นางใช้ความพยายามอย่างหนักต
ในขณะที่ชิงเหมยและกลุ่มสหายของนางกำลังเดินผ่านศิษย์อีกกลุ่มที่รวมไปด้วยบุตรีของขุนนางในเมืองถิงฮวา เสียงของหนึ่งในพวกนางก็ดังขึ้นมา วาจาของนางถากถางดูถูกชิงเหมยอย่างไม่ปิดบัง“ท่านอาจารย์ก็เอ็นดูคนไม่ลืมหูลืมตา”“หึ!! พวกเจ้าคงจะลืมไปแล้วล่ะสิ ว่าที่สำนักศึกษาหวุนซีเขาไม่แบ่งแยกชนชั้นหรือภูมิหลังกัน ที่เข้ามาสำนักศึกษานี้ได้เป็นเพราะใช้ความรู้ความสามารถ มิใช่เพราะเกิดในตระกูลขุนนาง หรือผู้สูงศักดิ์ที่เอาแต่พูดจาดูถูกผู้อื่น พวกเจ้าต้องเติบโตมาเช่นไรกันถึงได้พูดจาว่าร้ายสหายร่วมสำนักศึกษาเช่นนี้ หากพวกเจ้ามีดีนัก สูงส่งนัก ก็ไปอยู่ที่สำนักศึกษาอื่นเสียสิ ข้าได้ฟังแล้วรำคาญยิ่งนัก!!!”หลูซินตะโกนออกมาทันที นางเป็นเด็กที่มีความอดทนต่ำ ครั้นได้ยินกับหูว่าผู้ใดนินทาว่าร้ายสหายสนิทก็กักเก็บความขุ่นเคืองเอาไว้ไม่อยู่จนต้องปลดปล่อยออกมา“ชิส์…. พวกเจ้าก็คงจะเหมือนกัน มิเช่นนั้นคงคบหากันมิได้หรอก ซูฉี... เจ้าก็นะเป็นถึงบุตรีของขุนนางแต่กลับเลือกไปเกลือกกลั้วเข้ากลุ่มกับพวกนาง แต่อย่างว่าแหละนะ ท่านแม่ของเจ้าก็เป็นหญิงสาวชาวบ้านที่ท่านพ่อของเจ้ารับไปเป็นอนุภรรยานี่ มิได้เป็นบุตรีของขุนนางมาตั้ง
ถึงแม้ว่าจะเป็นถึงบุตรีของเหล่าขุนนาง แต่ก็มิอาจรอดพ้นกฎการลงโทษของสำนักศึกษาหวุนซีไปได้ กวงชีเยว่ และสหายสนิททั้งสองของนางจึงถูกท่านอาจารย์หวุนเรียกมาสอบถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น เป็นเพราะพวกอี้โหรวยอมรับสารภาพ ว่าได้ยินเรื่องราวของชิงเหมยมาจากกลุ่มของกวงชีเยว่ จึงทำให้พวกนางนำเรื่องราวที่ได้ยินไปตัดสินว่า ชิงเหมยเกิดจากหญิงคณิกาจึงถูกผู้เป็นบิดาไม่ยอมรับ“ตวนเจียฉี เจ้ารู้เรื่องของแม่นางซุน แม่ของชิงเหมยมาจากผู้ใดกันรึ” ท่านอาจารย์หวุนถามออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบทว่ากลับให้ความรู้สึกเยือกเย็นต่อจิตใจคนฟังยิ่งนัก“ค่ะ…คือว่า” ตวนเจียฉีหันไปมองกวงชีเยว่พลางตอบท่านอาจารย์หวุนด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก“ศิษย์ได้ยินพวกบ่าวในจวนพูดคุยกันเจ้าค่ะ ท่านอาจารย์ก็รู้ว่าชิงเหมยในยามนี้นั้นกำลังเป็นที่รู้จักในฐานะศิษย์ที่มีความรู้ความสามารถที่สุดของสำนักศึกษาหวุนซี ผู้คนเลยให้ความสนใจและอยากจะรู้ความเป็นมาของนางกันทั่วทั้งเมือง” กวงชีเยว่รีบตอบออกมา เพราะหากปล่อยให้ตวนเจียฉีสารภาพคงพาดพิงมาหานางเป็นแน่ และคงจะบอกเล่าถึงเรื่องที่นางแสดงออกชัดเจนว่านางรังเกียจชิงเหมย“แล้วเจ้าก็เลยนำเรื่องที่ได้ยินม
“ศิษย์ทั้งสามนี้ ดูพวกนางรักใคร่กันดีนะขอรับ” อาจารย์หยวนซู่กล่าวขึ้นมาครั้นได้มองเห็นศิษย์หญิงทั้งสามสวมกอดกันกลม“มิตรภาพที่จริงใจอย่างแท้จริงนั้นหายาก ข้าเชื่อ... ถึงแม้นว่าพวกนางจะยังเด็ก แต่ก็ฉลาดพอที่จะรู้จักแยกแยะว่าผู้ใดคือมิตรแท้ ผู้ใดคือมิตรไม่แท้” อาจารย์ลู่อวิ๋นแสดงความคิดเห็นออกมา“แต่ที่ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยก็คือคุณหนูรองสกุลกวง เหตุใดนางถึงได้เป็นเด็กเช่นนั้นไปได้ ทั้งที่ตนเองนั้นสูงศักดิ์กว่าผู้ใดแท้ๆ กลับคิดทำลายสหายร่วมสำนักจากการใช้ลมปากของคน แผนการลึกล้ำเช่นนี้มันดูจะเกินวัยของนางที่จะคิดได้ด้วยตัวเองหรือไม่เจ้าคะ” อาจารย์เซียงหลินนึกสงสัย“ผู้ใหญ่ทั้งนั้นแหละที่อยู่เบื้องหลังของเด็กเหล่านี้ เด็กก็เปรียบเสมือนกับผ้าขาวที่ผู้ใหญ่จะแต่งแต้มสีใดลงไปก็ได้”อาจารย์หวุนกล่าวออกมา เขาเชื่อว่านิสัยของเด็กแต่ละคนนั้นล้วนแล้วแต่ได้รับการซึมซับมาจากการเลี้ยงดูของครอบครัว และที่กวงชีเยว่เป็นเช่นนี้ก็คงจะเรียนรู้มาจากผู้เป็นมารดาอย่างไม่ต้องสงสัย“พวกเราเป็นอาจารย์ ก็คงต้องช่วยอบรมสั่งสอนพวกนางต่อไป พวกเจ้าก็คอยสอดส่องดูแลพวกนาง อย่าละเลยต่อผู้ใดล่ะ เด็กพวกนี้อยู่ในวัยกำลังเติบโ
ลานกว้างหลังหมู่บ้านซานฉี หญ้าที่เคยขึ้นรกสูงยาวเท่าขาถูกถางให้เตียนเป็นวงกว้าง หญ้าแห้งถูกนำมาทำเป็นหุ่น ชิงเหมยเพิ่งจะได้พบกับลานแห่งนี้หลังจากเดินออกกำลังในยามว่าง วันนี้สำนักศึกษาปิดนางจึงมีโอกาสมาถากถางเตรียมสถานที่เพื่อใช้ฝึกฝนศิลปะป้องกันตัวของตน เพราะพื้นที่ในเรือนที่นางและท่านยายอาศัยอยู่นั้นค่อนข้างคับแคบ ทำให้นางไม่อาจเก็บซ่อนอาวุธลับของนางจากท่านยายได้ นางจึงต้องมองหาสถานที่ลับเผื่อเอาไว้“พี่หญิงชิงเหมยเจ้าคะ ท่านถางหญ้าตรงนี้มานานเกือบหนึ่งก้านธูปแล้ว ท่านไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยบ้างหรือเจ้าคะ” เสียงเล็กของน้องสาวข้างเรือนที่อ้อนขอติดตามมาด้วยดังขึ้น“เหนื่อยสิ แต่ก็ถือเสียว่าได้ออกกำลัง” ชิงเหมยหันไปตอบเด็กหญิงที่นั่งกินขนมที่นางห่อมาอยู่อย่างเอร็ดอร่อย“ข้าขอช่วยท่านก็ไม่ยอม มิเช่นนั้นคงจะเสร็จไปนานแล้ว” ขนมหมดปากก็บ่นออกมา ชิงเหมยยิ้มเพียงเล็กน้อย มองเด็กหญิงด้วยแววตาเอ็นดู นางบอกแล้วว่าไม่ต้องตามมาแต่ทว่าหลิ่วหริ่งก็ไม่ยอมฟัง“เสร็จแล้ว… พี่ก็บอกเจ้าแล้วว่าไม่ต้องตามมา เพราะที่พี่กำลังทำนั้นหาใช่เรื่องสนุกสนานไม่”“ก็ถ้าท่านให้ข้าช่วยข้าก็จะได้สนุกสนาน แต่นี่ท่านให้ข้าเ
“ท่านอายุสิบห้าแล้วหรือเจ้าคะ”“ข้าดูไม่เหมือนคนที่อายุสิบห้าเช่นนั้นรึ” ชิงเหมยหัวเราะเบาๆ พลางส่ายหน้าไปมาจิ้นซู่มองหน้าคุณชายรองสลับกับแม่นางน้อยตรงหน้าไปมาด้วยความงุนงง เพราะทั้งสองคนพูดคุยกันราวกับว่ารู้จักกันมานาน ทั้งที่ก่อนหน้านี้แม่นางน้อยผู้นี้ยังใช้ไม้จี้ที่คอคุณชายรองของเขาอยู่เลย หากเป็นผู้อื่นบังอาจล่วงเกินคุณชายรองเช่นนี้ คุณชายรองของเขาคงจะไม่ปล่อยเอาไว้เป็นแน่ แต่กับแม่นางน้อยผู้นี้คงจะเป็นคนแรกที่ถูกยกเว้น เพราะนางเป็นคนที่คุณชายรองสนใจกว่าผู้ใด“จากนี้ไปให้เจ้าเรียกข้าว่าพี่ชางก็พอ เข้าใจหรือไม่” เยว่อู๋ชางบอกเด็กหญิงออกมาหลังจากได้รู้ว่านางเยาว์วัยกว่าเขาเพียงสามปี“เจ้าค่ะ ข้าว่าพวกเราไปฝึกกันเถิดหนาเจ้าคะ เพราะข้าอยู่ที่นี่ได้อีกไม่นานแล้ว" ชิงเหมยรับคำพลางชวนพี่ชายแปลกหน้าออกมา เยว่อู๋ชางรู้ดีว่าเด็กหญิงใช้เวลาฝึกอยู่ที่ลานกว้างแห่งนี้เพียงหนึ่งชั่วยามต่อวัน และนี่ก็คงจะล่วงเลยเข้าไปครึ่งชั่วยามแล้ว“เอาสิ วันนี้ข้าจะช่วยสอนเจ้ายิงธนูเอง” จิ้นซู่รีบวิ่งกลับไปยังม้าที่พวกเขาผูกเอาไว้ไม่ไกลจากลานกว้างนี้เท่าใดนัก ก่อนที่จะวิ่งกลับมาพร้อมกับธนูสองคันชิงเหมยรู้สึก
หลังจากได้พบกับคุณชายหนุ่มที่มีนามว่าชานในวันนั้น ชิงเหมยก็ได้ฝึกฝนขี่ม้าและยิงธนูกับเขาอยู่แทบทุกวัน จนใกล้ถึงกำหนดการกลับเมืองถิงฮวาของพี่ชาย ชิงเหมยจึงได้ลงมือเย็บปักถุงหอมให้แก่เขา เพื่อเป็นการขอบน้ำใจที่หลายวันที่ผ่านมา เขาได้ถ่ายทอดวิชาขี่ม้าและยิงธนูให้แก่นาง อีกทั้งยังให้พี่ซู่ที่เป็นคนสนิทของเขาช่วยประลองฟันดาบกับนางอีกด้วย แม้ดาบที่ใช้นั้นจะเป็นดาบที่ทำมาจากไม้ก็ตาม“เหมยเอ๋อร์… ทำอันใดอยู่ลูก” ซุนฉีเอ่ยถามหลานสาวที่กำลังนั่งเพ่งเล็งผ้าสีฟ้าอยู่แทบไม่ละสายตา“ท่านยาย… หลานไร้ฝีมือในการเย็บปักยิ่งนักเจ้าค่ะ” หากจะไปหาซื้อถุงหอมที่ตลาดก็ย่อมได้ แต่ทว่านางกลับอยากลงมือทำด้วยตนเองมากกว่า“หืม… เหตุใดถึงอยากจะทำถุงหอมขึ้นมาเสียได้ล่ะ” ซุนฉีเอ่ยถามหลานสาวออกมายิ้มๆ“เอ่อ… คือหลานอยากจะทำเป็นที่ระลึกให้แก่สหายน่ะเจ้าค่ะ” ชิงเหมยเลือกที่จะไม่บอกความจริงกับท่านยายว่านางกำลังจะทำถุงหอมเพื่อให้แก่บุรุษ“แล้วเหตุใดมิไปซื้อที่ร้านถุงหอมของท่านป้าเจียงเอาล่ะ เช่นนั้นไม่ง่ายกว่าหรือ” ซุนฉีรู้ดีว่าหลานสาวไร้ฝีมือในการเย็บปัก แม้นางจะมีสติปัญญาดีก็ตาม แต่ทว่านางกลับใจไม่เย็นดังเช่นสตรีทั่วไป
ในระหว่างทางกลับเมืองถิงฮวา เยว่อู๋ชางกับจิ้นซู่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของม้าจำนวนไม่น้อยกว่าสี่ตัวกำลังวิ่งมาเบื้องหน้า ชายป่าแห่งนี้เป็นทางลัดจากหมู่บ้านซานฉีมุ่งหน้าสู่เมืองถิงฮวา แม้จะไม่ใช่เรื่องแปลกอันใดแต่ทว่าชายเหล่านี้กลับแต่งกายด้วยอาภรณ์สีดำเช่นเดียวกันทั้งสี่ จิ้นซู่คอยระวังให้กับคุณชายรอง แต่ทว่าชายกลุ่มนี้กลับควบม้าผ่านพวกเขาไปโดยไม่ได้สนใจพวกเขาทั้งสองคน นั่นก็หมายความว่าชายกลุ่มนี้ไม่ได้ถูกส่งให้มาทำร้ายคุณชายรอง“พวกคนเหล่านั้นคือคนของผู้ใดน่ะ” เยว่อู่ชางเอ่ยถามจิ้นซู่หลังจากชายชุดดำทั้งสี่ควบม้าผ่านเขาไปแล้ว“ข้าน้อยก็ดูไม่ออกเหมือนกันขอรับ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ชาวบ้านซานฉี” หัวใจของเยว่อู๋ชางเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าชิงชิงกลับเรือนของนางไปแล้วหรือยัง เพราะเส้นทางนี้ต้องไปเจอกับลานกว้างหลังหมู่บ้านก่อนที่ใด และนั่นก็หลีกเลี่ยงไม่พ้นที่จะได้พบกับเด็กหญิงหากนางยังไม่กลับไป“จิ้นซู่ กลับไปหมู่บ้านซานฉีเดี๋ยวนี้” สั่งบ่าวข้างกายเสร็จม้าก็ถูกบังคับให้เปลี่ยนทิศทางทันทีเขาไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้กังวลใจเช่นนี้ แต่เขาได้แต่คิดว่าชิงชิงอาจจะกำลังตกอยู่ในอันตราย จิ้นซู่ไม่ทั
“ขออภัยเจ้าค่ะ ที่ข้ามิทันได้ระวัง จึงชนพี่สาวเข้า” ชิงเหมยพยายามกล่าวขออภัยออกมาอย่างใจเย็น เพราะดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายจงใจเข้ามาหาเรื่องนาง“คิดว่าแค่พูดแล้วข้าจะหายเจ็บเช่นนั้นหรือ คุกเข่าขออภัยต่อข้าประเดี๋ยวนี้” ชิวมู่หรงที่แอบมองอยู่ภายในเกี้ยวถึงกับหัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยความชอบใจ ผู้คนเริ่มเข้ามามุงดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น“ถนนก็ตั้งกว้าง เหตุใดพวกเจ้าถึงต้องเดินมาทางที่นางเดินด้วย เช่นนี้มิใช่ว่าเป็นการกลั่นแกล้งกันหรอกรึ”หนึ่งในชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นเริ่มแสดงความเห็นของตนออกมา เพราะดูชิงเหมยไม่แสดงกิริยาไม่น่ามองต่ออีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งนางก็ได้กล่าวขออภัยต่อสาวรับใช้สกุลชิวแล้ว“นั่นสิ ปกติพวกเจ้าเดินไม่เคยห่างเกี้ยวของคุณหนูของพวกเจ้า เหตุใดวันนี้ถึงได้เดินออกมาห่างไกลจากเกี้ยวของนางนักล่ะ” ชาวบ้านอีกคนหนึ่งที่รู้จักนิสัยของคุณหนูและสองสาวใช้ตระกูลชิวดีได้กล่าวออกมาสองสาวรับใช้เริ่มหน้าเสียที่พวกชาวบ้านไม่เข้าข้างตน ครั้นมองไปยังเด็กสาววัยแรกแย้มที่มีรูปหน้าและความงดงามราวกับบุปผา นางก็มิได้แสดงท่าทีโอนอ่อนต่อนางทั้งสองเลย อีกทั้งสายตาที่นางจ้องมองมายังราวกับกำลั
วันต่อมาวันนี้ชิงเหมยออกไปช่วยท่านยายของนางขายขนมที่ตลาด เพราะวันนี้เป็นวันที่ลูกค้าแวะเวียนมาจับจ่ายใช้สอยกันมากกว่าทุกๆ วัน เด็กสาววัยแรกแย้มต่างเป็นที่หมายตาของบรรดาหนุ่มๆ นางเปรียบดังบุปผางามแห่งหมู่บ้านซานฉี ถึงแม้จะเป็นเพียงหลานสาวแม่ค้า แต่ทว่าคุณชายทั้งหลายต่างก็พากันหมายตานางกันอยู่ไม่น้อย ยากก็ตรงที่ท่านยายของนางมิได้หวังในทรัพย์สินเงินทอง นางหวังเพียงแค่หลานสาวได้พบกับคนที่นางรักและรักนางเท่านั้น“เถ้าแก่เนี้ย หลานสาวของท่านช่างงดงามยิ่งนัก นางมีคู่หมายหรือยังขอรับ” มิใช่เพียงแค่มีรูปโฉมที่งดงาม ทว่าชิงเหมยนั้นกลับโด่งดังในเรื่องของความเฉลียวฉลาดและความขยันหมั่นเพียรอีกด้วย“นางก็เหมือนกับข้ายามสาวๆ นั่นแหละ ว่าแต่…วันนี้จะซื้อขนมอันใดดีล่ะ”ซุนฉีหันไปมองหลานสาวที่กำลังนั่งปั้นซาลาเปาอยู่ในสุดของร้าน ก่อนที่จะหันไปถามไถ่ลูกค้าที่เป็นชายหนุ่มที่แสดงท่าทีว่าสนใจหลานสาวของนางมากกว่าขนมเสียอีก เพราะเหตุนี้นางถึงรู้สึกยินดียิ่งกว่าหากวันใดชิงเหมยมิได้มาช่วยนางขายขนมในตลาด“ขอเป็นซาลาเปาสามลูกก็แล้วกัน”ลูกค้าหนุ่มรู้ตัวว่ากำลังเสียมารยาทจึงบอกความต้องการของตนต่อเถ้าแก่เนี้ยที่ย
สองหนุ่มสาวช่วยกันถางพงหญ้าจนราบเตียน แต่ก็ใช้เวลานานอยู่ไม่น้อย และอีกไม่หนึ่งก้านธูปชิงเหมยก็ต้องกลับเรือนแล้ว เพราะนางต้องกลับไปหุงข้าวและทำกับข้าวรอท่านยายของนางกลับมาจากตลาด ยามนี้นางมีฝีมือในการทำอาหารดีขึ้นแล้ว แม้จะรสชาติไม่ยอดเยี่ยมเท่ากับที่ท่านยายทำให้กินก็ตาม“วันนี้ลำบากท่านแล้วเจ้าค่ะ” ชิงเหมยส่งน้ำให้ชายหนุ่มที่วันนี้มีน้ำใจมาช่วยนางถางหญ้าจนเตียน“ไม่ลำบากเลย ถือว่าได้ออกกำลัง” เขาบอกพลางรับน้ำจากนางมาดื่ม“วันนี้ท่านพี่จะกลับเมืองถิงฮวาเลยหรือไม่เจ้าคะ” นางเอ่ยถามเขาออกมา“ไม่หรอก วันนี้พี่กับลูกน้องอีกสองคนจะพักกันที่โรงเตี๊ยมในหมู่บ้านนี่แหละ"“แล้วท่านพี่ชางจะกลับเมืองถิงฮวาวันใดหรือเจ้าคะ”“อีกสองวันน่ะ พี่ว่าจะสืบหาเบาะแสของพวกพ่อค้าทาสเสียหน่อย”แม้เรื่องนี้จะเป็นความลับ แต่สำหรับชิงเหมยแล้วไม่มีเหตุผลอันใดที่เขาจะต้องปิดบังนาง หากนางคือสตรีนิรนามที่เคยขัดขวางพวกพ่อค้าทาสเมื่อปีก่อนจริง“ข้าว่า…เห็นทีข้าต้องขอตัวกลับเรือนก่อนแล้วล่ะเจ้าค่ะ” ชิงเหมยบอกเขายามที่นางมองแสงจากพระอาทิตย์ที่ต่ำลงไปทุกที“อ่อ… เจ้าอยากจะนั่งม้าไปกับพี่หรือไม่”“ไม่ดีกว่าเจ้าค่ะ ข้าเกรงว
หลังจากวันนั้นเพียงไม่กี่วัน หัวหน้ามือปราบหนุ่มก็กลับมาเยือนหมู่บ้านซานฉีอีกครา วันนี้เขามีลูกน้องติดตามมาเพียงแค่สองคนเท่านั้น เพราะไม่อยากให้กลายเป็นที่สะดุดตา และการมาของเขาก็เพียงเพราะต้องการตรวจตราความสงบเรียบร้อยของหมู่บ้านซานฉี และแวะเวียนมาหาสตรีที่เขาหมายปองก็เท่านั้น“แม่นางชิงเหมยคงจะอยู่ที่ร้านขายขนมในตลาด ท่านหัวหน้าจะแวะไปแนะนำตัวกับท่านยายของนางเลยหรือไม่ขอรับ”จิ้นซู่กล่าวพลางเอ่ยถามออกมายิ้มๆ ยามปฏิบัติหน้าที่เขามักจะเรียกคุณชายรองของตนว่าท่านหัวหน้า ทว่าหากอยู่กันตามลำพัง เขาก็จะเรียกว่าคุณชายรองเช่นเดิม“ที่แท้ท่่านหัวหน้าก็มีสตรีที่หมายปองอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านนี้หรือขอรับ”ฉางจี้ ลูกน้องในสำนักมือปราบที่ติดตามหัวหน้ามือปราบมาในวันนี้ด้วยเอ่ยถามออกมาด้วยความตื่นเต้น เพราะตั้งแต่เขาได้พบกับท่านหัวหน้ามา ไม่เคยมีสักคราที่ท่านหัวหน้าจะชายตาแลมองสตรีใด“อืม… แต่มิใช่แค่เรื่องนั้น ที่ข้ามาวันนี้เพราะอยากตรวจตราความสงบเรียบร้อยของหมู่บ้านซานฉีด้วย พวกเจ้าก็คงจะรู้อยู่แล้วว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังของพวกพ่อค้าทาสนั้นยังมิถูกจับได้ ข้าจึงอยากให้พวกเจ้าช่วยกันไปตรวจตราดูรอบๆ หม
นั่นเป็นเพราะชิงเหมยได้รับความช่วยเหลือจากหลิ่วหริ่ง ยามใดที่นางออกจากเรือนไป หลิ่วหริ่งก็จะเข้ามาอยู่ภายในเรือนและท่องบทกวี ให้พวกที่แอบฟ้งอยู่ด้านนอกได้ยินแทนตัวนาง ถึงแม้นการทำเช่นนี้จะเป็นเรื่องที่ดุเหมือนจะยุ่งยาก แต่ชิงเหมยกลับรู้สึกสนุกและเหมือนว่านางได้ออกกำลัง คนพวกนี้นั้นช่วยให้ชีวิตของนางในแต่ละวันนั้นไม่น่าเบื่อ“ข้าว่าพวกเราจ้างคนในหมู่บ้านให้คอยจับตาดูนางแล้วส่งข่าวให้พวกเรารู้จะดีกว่า พวกเราเสียเวลากับนางมานานเกินไปแล้ว ข้าเบื่อเต็มทีที่ต้องคอยจับตาดูเด็กเช่นนาง”“จะดีรึ หากท่านใต้เท้ารู้เข้ามีหวังพวกเรานี่แหละที่จะถูกจัดการเสียก่อน”“นางก็เป็นเพียงแค่เด็ก หากนางจะไปเยือนเมืองถิงฮวา เจ้าคิดว่านางจะรอจนป่านนี้งั้นรึ”ครั้นต่างคนต่างเห็นด้วยกับอีกฝ่าย ทั้งสองจึงได้จ้างให้พวกชาวบ้านที่เห็นแก่เงิน ให้คอยจับตาดูชิงเหมยแทนพวกตน หากคราใดที่เด็กหญิงออกจากหมู่บ้านซานฉีค่อยส่งสารให้พวกตนได้รับทราบ ชาวบ้านผู้นั้นเห็นว่าเป็นงานที่ได้เงินง่ายๆ จึงยินยอมที่จะเป็นผู้ที่คอยจับตาดูชิงเหมยแทน แม้จะรู้สึกประหลาดใจว่าเพราะเหตุใดถึงได้เกรงว่าชิงเหมยจะออกจากหมู่บ้าน แต่เขาก็ไม่สนใจเพราะหน้าท
หลังจากนั่งพูดคุยกันถึงเรื่องที่เยว่อู๋ชางไปจับกุมพวกพ่อค้าทาสมา สองหนุ่มสาวก็ได้ถามไถ่เรื่องราวที่ผ่านมาของกันและกัน เพราะคราแรกที่ได้กลับมาพบกันนั้น เขากับนางไม่มีโอกาสได้พูดคุยกันมากนัก และที่เยว่อู๋ชางเดินทางมาหาชิงเหมยที่หมู่บ้านซานฉีในยามนี้ มิได้มีเพียงแค่ความสงสัยในตัวของเด็กสาว แต่ทว่าเขามาหานางด้วยความคะนึงหาและห่วงใยนางด้วยเช่นกัน“อืม… พี่ว่าจะถามเจ้า เรื่องคนของลุงเจ้าน่ะ เขาเรียกคนเหล่านั้นกลับไปหรือยัง” เพราะก่อนเขาเข้าเมืองหลวง เขารู้ว่าลุงของชิงเหมยส่งลูกน้องให้มาคอยจับตาดูนางเอาไว้“กลับไปตั้งแต่สามเดือนแรกแล้วเจ้าค่ะ” ชิงเหมยยิ้มออกมาพลางเล่าไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสองปีก่อนสองปีก่อนชิงเหมยครั้นได้รับสารจากพี่ชายจากเมืองถิงฮวาที่ส่งมาบอกนาง ว่าท่านลุงของนางส่งคนให้มาคอยติดตามนาง เพื่อตัดความรำคาญใจเพราะผ่านมานานหลายเดือน ลูกน้องของท่านลุงทั้งสองก็ยังคงคอยติดตามนางอยู่ลับๆ อยู่มาวันหนึ่งชิงเหมยจึงแสร้งออกจากเรือนไปที่ลานกว้างท้ายหมู่บ้านซานฉี ทุกย่างก้าวของนางมีคนของผู้เป็นลุงคอยแอบติดตามนางไป แต่แล้วคนเหล่านั้นก็ต้องคลาดสายตาจากนาง เพราะนางแอบหนีกลับเรือนโดย
ชิงเหมยได้ฟังเช่นนั้นก็ใจเต้นแรง เพราะแถบชายแดนของเมืองถิงฮวาที่อยู่ติดกับชายแดนของเมืองถิงซานั้นอยู่ห่างไกลจากหมู่บ้านซานฉียิ่งนัก นางจึงมิอาจเดินทางไปให้ความช่วยเหลือสตรีและเด็กที่ถูกพาไปขายยังแถบนั้นได้“ข้ารู้เจ้าค่ะ ว่าแคว้นเจียงโจวนั้นเลิกทาสมาตั้งแต่ข้าอายุเพียงสิบสองปีแล้ว” ชิงเหมยกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้ซึ่งความตื่นตระหนก“ครานี้พี่พลาดเองที่มิอาจจับกุมผู้ที่อยู่เบื้องหลังได้ แต่ก็ยังดีที่ได้ช่วยเหลือสตรีนับสิบเอาไว้ได้ทัน ก่อนที่พวกมันจะทำการซื้อขายกัน”เขาเล่าเหตุการณ์ในวันนั้นให้ชิงเหมยฟังพลางสังเกตสีหน้าของนาง ชิงเหมยรู้สึกโล่งใจที่ได้ยินเช่นนั้น ทว่านางกลับปกปิดสีหน้าเอาไว้ได้อย่างมิดชิดจนเยว่อู๋ชางเองก็มิอาจมองเห็นความผิดปกติได้“ข้าว่า…ผู้ที่อยู่เบื้องหลังต้องเป็นขุนนางในเมืองถิงฮวาของเราเป็นแน่เจ้าค่ะ"ชิงเหมยกล่าวออกมาอย่างมั่นใจ แต่ทว่านางกลับไม่ยอมบอกความจริงเรื่องที่นางคอยขัดขวางการทำงานของพวกพ่อค้าทาสที่เข้ามาซื้อขายทาสลับๆ ในหมู่บ้านซานฉีและหมู่บ้านใกล้เคียง นางยังไม่พร้อมที่จะบอกความจริงนี้ให้เขารู้“เหตุใดเจ้าถึงได้ดูมั่นใจนักล่ะ”“ข้าเคยได้ยินพวกพ่อค
“ท่านยายเจ้าคะ หลานขอไปหลังร้านสักครู่นะเจ้าคะ” ชิงเหมยบอกท่านยายของนางที่กำลังพูดคุยกับลูกค้าตรงหน้า จนไม่ทันได้สังเกตว่าลูกค้าหนุ่มผู้นั้นแอบส่งสารลับให้แก่หลานสาว“อืม… ไปเถิดเหมยเอ๋อร์ เสร็จแล้วรีบกลับมาล่ะ”ซุนฉีบอกหลานสาวก่อนที่จะหันไปสนใจลูกค้าตรงหน้าต่อ ชิงเหมยได้โอกาสจึงรีบเดินไปหลังร้านแล้วแกะกระดาษที่ถูกพับมาจนเหลือแผ่นเล็ก นางคลี่ออกดูก็พบว่าเป็นลายมือของพี่ชาง นางจดจำลายมือของเขาได้ดี‘ชิงเอ๋อร์… พี่รอเจ้าอยู่ที่ลานกว้างหลังหมู่บ้านที่เราพบเจอกันคราแรก ได้โปรดออกมาพบพี่สักนิดเถิด… พี่ชางของเจ้า’ดวงหน้างามแดงระเรื่อทันทีที่อ่านเนื้อความในสารนี้จบ ไม่รู้ว่าหลายวันที่ผ่านมานี้เขาหายไปที่ใดมา นางรู้ว่าเขามีหน้าที่จะต้องทำ เพียงแค่นางไม่รู้ว่างานที่เขากำลังกระทำอยู่นั้นอันตรายหรือไม่เท่านั้นเอง ชิงเหมยคิดหาทางที่จะออกไปพบกับเยว่อู๋ชางโดยที่จำเป็นต้องโป้ปดท่านยายของนางอีกครา นั่งคิดแผนการเพียงกะพริบตาเดียวนางก็คิดได้“ท่านยายเจ้าคะ หลานขออนุญาตกลับเรือนก่อนนะเจ้าคะ รูัสึกว่าท้องไส้ยามนี้ไม่ค่อยจะดีเลย” ชิงเหมยเดินมากระซิบบอกท่านยายของนางที่กำลังขายขนมให้แก่ลูกค้า ที่ยามนี้บางต
การเข้าจับกุมกลุ่มพ่อค้าทาสของหน่วยมือปราบในครานี้ถือว่าล้มเหลว เพราะผู้ที่อยู่เบื้องหลังและพวกหัวหน้าสามารถหลบหนีไปได้ทั้งหมด พวกที่จับมาได้ก็เป็นเพียงแค่พวกที่รับจ้างขนสินค้าให้เท่านั้น แต่การเข้าจับกุมในครานี้ก็พอจะได้รู้เบาะแสว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังยามนี้เขาได้รับบาดเจ็บที่ไหล่ขวา ซึ่งถูกลูกธนูของมือปราบหนุ่มเฉียดไปในระหว่างที่กำลังหลบหนี“แล้วเราจะเอาเช่นไรกับเรื่องนี้ดีขอรับ”“หน้าที่ต่อจากนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของศาลต้าถิงเสีย เพราะเรามิอาจเข้าไปก้าวก่ายได้”เยว่อู๋ชางกล่าวออกมาก่อนที่เขาจะขึ้นไปนั่งบนหลังม้า จิ้นซู่เองก็รีบไปขึ้นม้าของตนเช่นกัน เพราะดูเหมือนว่าคุณชายรองต้องการจะไปที่ใดสักที่“พวกเจ้าที่เหลือ…กลับไปพักผ่อนกันที่สำนักก่อนเถิด”“แล้วท่านหัวหน้าจะไปที่ใดหรือขอรับ” เสียงของลูกน้องเอ่ยถามขึ้น“ข้ามีเรื่องสงสัย จึงอยากจะไปเยือนหมู่บ้านซานฉีเสียหน่อย” เพราะเรื่องที่พวกหัวหน้ากลุ่มค้าทาสคุยกัน ทำให้เขานึกสงสัยในตัวของชิงเหมยขึ้นมา จึงอยากจะไปถามไถ่นางด้วยตนเอง“ขอรับ” ครั้นลูกน้องรับคำ หัวหน้ามือปราบหนุ่มก็ควบม้าออกจากหน้าศาลต้าตงไปทันทีลูกน้องที่เหลือมองตามอย่างรู้ใ