กลิ่นหอมของอาหารลอยมาจากในโรงครัวในยามโหย่วแทนที่กลิ่นของควันไฟ ชิงเหมยเดินเข้าไปดูท่านยายของนางที่กำลังทำอาหารจนส่งกลิ่นหอมออกมาเรียกน้ำย่อยในกระเพาะของนาง ยามที่นางกลับมาจากสำนักศึกษา นางก็ได้กินแค่เพียงซาลาเปากับมันเผาเท่านั้น จึงทำให้ยามนี้รู้สึกหิวอยู่ไม่น้อย
“ท่านยาย… มีอันใดให้ข้าช่วยหรือไม่เจ้าคะ” เสียงเล็กเอ่ยถามซุนฉีออกมา “อืม… เจ้าช่วยยกอาหารพวกนี้ออกไปวางที่โต๊ะรอยายก่อนก็แล้วกัน เหลืออีกหนึ่งอย่างก็จะเสร็จแล้ว” ซุนฉีหันไปตอบหลานสาว ชิงเหมยมองกับข้าวในจานก็ถึงกับกลืนน้ำลาย ท่านยายของนางมีฝีมือการทำอาหารไม่แพ้ผู้ใด หากเปิดร้านเหลาแทนการเปิดร้านขนมนางก็คิดว่าคงจะขายดีไม่แพ้กัน สองยายหลานนั่งกินมื้อเย็นท่ามกลางแสงของโคมไฟที่รายล้อมรอบบริเวณโต๊ะที่พวกนางใช้นั่งกินอาหารร่วมกัน ชิงเหมยกินข้าวไปถึงสองชาม ซุนฉียิ้มออกมาด้วยความพอใจที่หลานสาวเป็นเด็กที่ชอบกิน แต่ถึงแม้ว่าชิงเหมยจะกินมากถึงเพียงใด ร่างกายของนางก็ไม่อ้วนท้วมเสียที ที่เขาว่ากันว่าเด็กวัยนี้เป็นเด็กกำลังโตคงจะไม่เกินจริง “เหมยเอ๋อร์…เจ้าไปสำนักศึกษาวันนี้มีเรื่องอันใดมาเล่าให้ยายฟังหรือไม่” คำถามเช่นเดียวกับทุกวันตั้งแต่เด็กหญิงเริ่มไปสำนักศึกษา ท่านยายใส่ใจนางเป็นอย่างดี ชิงเหมยรู้ดีว่าท่านยายกำลังกังวลว่านางจะถูกกลั่นแกล้งรังแกเพราะนางเป็นเด็กกำพร้า สำหรับนางแล้วแค่ความรักที่ได้รับจากท่านยายก็เพียงพอแล้ว “วันนี้ท่านอาจารย์ให้ท่องบทกวีเจ้าค่ะ พรุ่งนี้ท่านจะให้ท่องแบบไม่ให้มองตำรา” “เจ้าท่องได้แล้วหรือ” ซุนฉีเอ่ยถามออกมายิ้มๆ ครั้นไม่ได้ยินเรื่องราวที่ทำให้หลานสาวลำบาก “ได้แล้วเจ้าค่ะท่านยาย ท่านยายไม่ต้องเป็นห่วงหลานนะเจ้าคะ ที่สำนักศึกษาข้าได้พบอาจารย์ที่ดี มีสหายที่เข้ากันกับข้าได้ดี” ซุนฉีพยักหน้าขึ้นลง อย่างน้อยสำนักศึกษาหวุนซีก็เป็นสำนักศึกษาที่ไม่ได้แบ่งแยกชนชั้น คงจะไม่มีผู้ใดมารังแกหรือทำให้หลานสาวของนางลำบากอย่างที่นางกังวล “เจ้ารีบไปพักผ่อนก่อนเถิด เดี๋ยวยายล้างจานชามเหล่านี้เสร็จ ยายจะไปอาบน้ำแล้วค่อยเข้านอน” “ท่านยายไปอาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์ก่อนเถิดเจ้าค่ะ ทางนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง” ชิงเหมยรีบบอก นางนั้นโตพอที่จะช่วยเหลืองานในเรือนหลังนี้ได้แล้ว ท่านยายเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน เรื่องเท่านี้นั้นช่างเล็กน้อยสำหรับนางยิ่งนัก ถือเสียว่าได้ออกกำลังก่อนนอนอีกด้วย “เจ้ามิต้องทบทวนตำราก่อนนอนหรอกหรือ” ซุนฉียิ้มพลางเอ่ยถามหลานสาวออกมา มือก็เก็บจานชามที่ไร้เศษอาหารเพราะหลานสาวของนางจัดการจนหมดแล้ว “หลานจำได้หมดแล้วเจ้าค่ะ ท่านยายไปอาบน้ำพักผ่อนให้สบายเถิดเจ้าค่ะ หากหลานเสร็จงานตรงนี้หลานจะไปนอนเช่นกัน” ชิงเหมยตอบท่านยายพลางแย่งจานชามมาถือเอาไว้เอง “ถ้าเช่นนั้น… ยายฝากเจ้าช่วยล้างจานชามเหล่านี้ให้สะอาด แล้วก็เก็บให้เรียบร้อยด้วยล่ะเหมยเอ๋อร์…" ซุนฉียอมแพ้กับความตั้งใจของหลานสาว “เจ้าค่ะ ท่านยายรีบไปอาบน้ำเถิดเจ้าค่ะ” พูดจบร่างเล็กก็ยกจานชามเข้าไปในโรงครัว ซุนฉีมองตามหลานสาวไปด้วยแววตาที่ภาคภูมิใจ ไม่นึกเลยว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมาจะทำให้หลานเติบโตขึ้นถึงเพียงนี้ หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ข่าวคราวของการขึ้นค่าเก็บส่วยของเมืองถิงฮวา ทำให้ชาวบ้านที่เป็นเพียงพ่อค้าแม่ค้าหาเช้ากินค่ำเดือดร้อนกันไม่น้อย เพราะรายได้ที่หาได้ในแต่ละวันนั้นเท่าเดิม แต่ทว่าทางการกลับขอเก็บส่วยเพิ่มขึ้น ซุนฉีที่เป็นแม่ค้าในตลาดซานฉีจึงได้รับผลกระทบนี้เช่นกัน แต่ก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้นอกจากยอมรับและขยันให้มากขึ้น “ลำบากแย่เลยพวกเรา เหตุใดทางการถึงได้ขอเก็บส่วยเพิ่มกันล่ะนี่ ขายก็ไม่ใช่จะได้เงินมากมายยังต้องมาจ่ายส่วยเพิ่มอีก” หนึ่งในแม่ค้าที่ร้านติดๆ กับร้านขนมของยายซุนฉีบ่นออกมา “นั่นน่ะสิ เห็นความทุกข์ยากของชาวบ้านไร้ค่าหรืออย่างไรกัน ข้าน่ะไม่ชอบฮ่องเต้พระองค์นี้เลย” “ชูว์… ระวังคอขาดออกจากบ่า พูดจาอันใดให้ระมัดระวังรอบข้างเสียบ้าง มิใช่ทุกคนที่จะมีความคิดเช่นเดียวกับพวกเรา” หนึ่งในแม่ค้ารีบเอ่ยห้ามปรามออกมา “ตราบขุนเขาขจียังดำรง ไยต้องกลัวไร้ฟืน ขอเพียงให้เรื่องเช่นนี้จบแค่ยุคของพวกเราก็พอแล้ว ข้าไม่อยากให้อนาคตในภายภาคหน้าของเหมยเอ๋อร์ต้องลำบาก” ซุนฉีกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงปลดปลง ผู้น้อยเช่นพวกตนจะเอาสิ่งใดไปสู้กับพวกผู้มีอำนาจได้ หวังเพียงแต่ว่าอนาคตภายภาคหน้าหลานของนางจะไม่ได้พบเจอกับเรื่องเช่นนี้ “นั่นสินะ มันก็เป็นหนึ่งในหน้าที่ของชาวเจียงโจวเช่นเรา ที่จะต้องตอบแทนให้แผ่นดินเกิด” แม้จะเกรงว่าส่วยที่เสียไปจะไม่ไปถึงวังหลวง แต่พวกตนจะทำสิ่งใดกันได้ ในเมื่ออำนาจนั้นอยู่ในมือของเหล่าขุนนางหาใช่ชาวบ้านธรรมดาเช่นพวกตนไม่ ครั้นระบายให้กันฟังจนพอใจแล้ว แม่ค้าพ่อค้าทุกคนต่างก็แยกย้ายกลับไปที่ร้านของตน หากไม่ขยันให้ยิ่งขึ้นกว่าเดิม ก็คงจะมีชีวิตต่อไปในสถานการณ์เช่นนี้มิได้ ซุนฉีถอนหายใจออกมา นางไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือรับสั่งขององค์ฮ่องเต้ที่ปกครองแคว้นเจียงโจวมาอย่างเที่ยงธรรม แต่พวกนางจะทำอันใดได้ ในเมื่อพวกขุนนางอ้างเช่นนั้นพวกนางก็คงต้องจำยอมจ่ายส่วยไป สำนักศึกษาหวุนซี ภายในเรือนเหมยฮวาศิษย์หญิงทั้งหลายนั่งอยู่ประจำโต๊ะของตน ด้านหน้ามีท่านอาจารย์ลู่อวิ๋นยืนอยู่ มีกระดาษขนาดใหญ่ที่มีบทกวีเขียนเอาไว้เกือบเต็มหน้ากระดาษ เสียงเล็กของศิษย์ทุกคนเปล่งดังออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน ครั้นท่านอาจารย์สั่งให้อ่านบทกวีที่อยู่ในกระดาษ 'สายน้ำกระทบคลื่นเนินอู่กัง จากกันวันนี้ไม่โศกา เขาเขียวทิวแนวร่วมฝนฟ้า เดือนเพ็ญไหนหรือมีสองดวง' หลังจากที่ศิษย์ทุกคนในเรือนเหมยฮวาอ่านบทกวีบทดังกล่าวจบ ท่านอาจารย์ลู่อวิ๋นจึงได้ทวงถามเรื่องที่เขาสั่งไปเมื่อวาน อาจารย์หนุ่มหันไปมองศิษย์ที่นั่งอยู่ด้านหน้าและบอกให้นางเป็นผู้เริ่มก่อน เด็กหญิงท่องบทกวีออกมาอย่างตะกุุกตะกักเรียกเสียงหัวเราะจากเหล่าสหายร่วมห้องที่นั่งฟังอยู่หลังจากเฉียวจูจ้านและซูฉีเดินทางออกจากจวนกลับไปได้ไม่นาน เยว่อู๋ชางก็กลับมาจากในวังหลวง เพราะภรรยาตั้งครรภ์อ่อนๆ เขาจึงได้รับพระกรุณาจากองค์รัชทายาทให้กลับมาค้างที่จวนในทุกค่ำคืน จนกว่าครรภ์ของนางจะมั่นคง ถึงค่อยให้เขากลับไปดูแลพระองค์อย่างใกล้ชิดอีกครา“ท่านพี่กลับมาแล้วหรือเจ้าคะ” เสียงหวานทักทายสามีที่กำลังเดินเข้ามาภายในศาลากลางน้ำ“อื้ม…แล้วนี่น้องหญิงกำลังทำสิ่งใดอยู่รึ”เขาเดินไปนั่งลงเคียงข้าง แล้วยกร่างบางขึ้นมานั่งบนตัก จากนั้นจึงหอมแก้มนางไปหนึ่งที สองสาวรับใช้คนสนิทและสาวรับใช้ที่อยู่คอยรับใช้นายหญิง ต้องรีบพากันหลุบตามองต่ำ“ท่านพี่!!! พวกสาวรับใช้อยู่กันเยอะแยะ ข้าอายพวกนางนะเจ้าคะ”ชิงเหมยกระซิบเสียงดุใส่สามี สองแขนเรียวโอบล้อมรอบลำคอของเขาเพราะกลัวตกเซียงซุนและหยวนเวยพากันยิ้มออกมา ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเพียงใด ความรักที่นายท่านมีต่อนายหญิงหาได้ลดน้อยลงไม่ ทว่ามีแต่จะเพิ่มขึ้นในทุกวัน ยิ่งนายหญิงมีครรภ์เช่นนี้ นายท่านก็ดูจะทะนุถนอม และรักใคร่นายหญิงยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ความสัมพันธ์ของสามีภรรยากลมเกล
หลังจากนอนค้างที่จวนตระกูลซิ่วได้เพียงหนึ่งคืน เช้านี้ชิงเหมยจำต้องติดตามผู้เป็นสามี เดินทางกลับเข้าเมืองหลวง ด้วยหน้าที่ความรับผิดชอบของเขา ทำให้นางมิอาจเอาแต่ใจตนเองได้ ก่อนเดินทางออกจากจวน นางและสามีก็ได้กินมื้อเช้าพร้อมหน้าพร้อมตา มีท่านย่า ท่านยาย และพี่น้องตระกูลซิ่วของนาง ท่านยายเล็ก ท่านลุง ท่านป้าสะใภ้และลูกๆ ทั้งสองของท่านลุงนั้น ได้เดินทางกลับจวนตระกูลซุนไปตั้งแต่พิธีแต่งงานเสร็จสิ้นแล้ว ในวันที่นางกลับมาเยี่ยมบ้านเดิมจึงมิได้พบกับพวกเขา“เดินทางปลอดภัย ขอให้เจ้าจงรักษาตัวให้ดี หากมีเวลาก็กลับมาเยี่ยมยายบ้าง”ซุนฉีกล่าวในขณะที่นางออกมาส่งหลานสาวอยู่ที่ด้านหน้าจวน ยามนี้ขบวนขนสัมภาระและผู้ติดตามของหลานเขยกับหลานสาวเตรียมพร้อมหมดแล้ว รอเพียงแค่ให้ชิงเหมยได้ร่ำลาครอบครัวก่อนออกเดินทางก็เท่านั้น“เจ้าค่ะท่านยาย ท่านเองก็อย่าลืมรักษาสุขภาพให้ดี รอหลานกลับมาเยี่ยมนะเจ้าคะ”ชิงเหมยกล่าวออกมา น้ำเสียงข่มความอาลัยเอาไว้อย่างมิดชิด เพื่อไม่ให้ท่านยายเป็นห่วงนางมากนัก ครานี้เป็นคราแรกที่นางจะต้องห่างไกลจากท่านยายจริงๆ หาใช่เพียงแค่ไปไม่กี่
หลังจากที่เยว่อู๋ชางเดินออกจากห้องหอไปได้ไม่นานนัก สองสาวรับใช้คนสนิทของชิงเหมยก็เข้ามาด้านใน ร่างระหงนั่งสัปหงกอยู่บนเก้าอี้ หยวนเวยจึงรีบไปเตรียมน้ำให้นางอาบ ส่วนเซียงซุนรับหน้าที่เข้าไปปัดกวาดเตียงนอน ครั้นได้เห็นร่องรอยของการร่วมหอในค่ำคืนที่ผ่านมา ใบหน้างามของสาวรับใช้ที่ยังไม่เคยออกเรือนก็ถึงกับร้อนผ่าว ในใจพลันรู้สึกยินดี ที่ท่านเขยและคุณหนูใหญ่ ไม่ได้ปล่อยให้คืนเข้าหอผ่านไปอย่างไร้ค่า“ข้าน้อยเตรียมน้ำเสร็จแล้วเจ้าค่ะคุณหนู อุ๊ย!!! ฮูหยินเล็ก”หยวนเวยกลับเข้ามาภายในห้องพลางกล่าวรายงาน ก่อนที่นางจะปิดปากครั้นรู้ตัวว่านางเรียกขานสถานะเดิมของชิงเหมยที่เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลซิ่ว แล้วจึงเปลี่ยนคำเรียกขานคุณหนูใหญ่ของนางใหม่ ยามนี้คุณหนูใหญ่ก้าวผ่านค่ำคืนของการเป็นผู้ใหญ่มาแล้ว หมายความว่าบัดนี้ชิงเหมย นางได้กลายมาเป็นฮูหยินเล็กสกุลเยว่เต็มตัวแล้ว"ฮูหยินเล็ก อืม… ใช่แล้วล่ะ สถานะข้าในยามนี้กลายเป็นฮูหยินของพี่ชางแล้วสินะ" ใบหน้างามปรากฏคลื่นแห่งความสุขออกมา แม้จะยังคงง่วงงุนแต่ทว่าใบหน้าของนางกลับอิ่มเอิบ“เช้านี้ท่านเขยดูอารมณ์ดียิ่ง
ท่ามกลางความเงียบสงบจากภายนอก ภายในห้องหอกลับมีเสียงครางทุ้มหวานของคู่บ่าวสาว ดังสอดประสานกันขึ้นมาเป็นระยะ คราแรกที่ความแข็งแกร่งของชายหนุ่มรุกล้ำเข้าไปภายในกลีบบุปผางามของนาง ชิงเหมยก็แทบจะปิดบังบังความเจ็บปวดเอาไว้ไม่อยู่ นางแสดงออกมาผ่านทางสีหน้าและแววตา ปลายหางตามีหยาดน้ำเปียกชุ่มอยู่เพียงเล็กน้อย แต่ทว่านางกลับไม่กล้าเอ่ยปากขัดขวางอารมณ์ที่เร่าร้อนของเขามือบางกอบกุมผ้าปูเตียงเอาไว้แน่น ก่อนที่นางจะค่อยๆ ผ่อนคลายลง ความรู้สึกเจ็บปวดในคราแรก จึงแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกวาบหวาม เร่าร้อน เข้ามาแทนที่ ยามนี้ผิวกายของนางและเขาต่างร้อนผ่าว ทุกคราที่เขาขยับโยกกาย ก่อให้เกิดความรู้สึกหลากหลาย สิ่งนี้น่ะหรือที่พวกผู้ใหญ่เรียกว่า หยินหยางสอดประสาน ชิงเหมยเพิ่งได้รู้ซึ้งก็ในวันนี้นี่เอง ความรู้สึกที่มีทั้งสุขและทุกข์ผสมผสานกันไป ทว่าความทุกข์นั้นกลับกลายเป็นสิ่งที่หอมหวานชวนลุ่มหลง“น้องหญิง…เจ้าเจ็บหรือไม่”ชายหนุ่มเหนือร่างงามหาได้ทำตามแต่ใจตนเองผู้เดียวไม่ เขาหยุดจังหวะการรุกล้ำ แล้วเอ่ยถามความรู้สึกของผู้เป็นภรรยาออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า แม้อารมณ์ใคร่
ขบวนสินเดิมของเจ้าสาวยาวเกือบหนึ่งลี้ ถือว่าไม่น้อยหน้าสมกับเป็นคุณหนูจากตระกูลใหญ่ ผู้คนต่างพากันนึกอิจฉานางขึ้นมา ด้วยไม่คิดว่าสตรีที่เกิดจากตระกูลธรรมดาอย่างซุนฉี จะสามารถมอบสินเดิมให้กับหลานสาวมากมายถึงเพียงนี้ แม้ผู้คนจะรู้ดีว่ามิใช่ของตระกูลซุนเพียงตระกูลเดียว แต่ก็รู้สึกนับถือซุนฉี ที่อีกฝ่ายคอยเก็บสะสมทรัพย์สินมากมาย เพื่อให้หลานเป็นสินเดิมติดตัวไปยามออกเรือน“คุณหนูเจ้าคะ หิวหรือไม่เจ้าคะ ข้าน้อยเตรียมขนมมาให้ หากคุณหนูหิวก็กินรองท้องไปก่อนหนาเจ้าคะ ดูจากการเคลื่อนขบวนแล้ว ข้าน้อยคิดว่ากว่าจะถึงจวนตระกูลเยว่ก็คงอีกสองเค่อ” เซียงซุนเปิดม่านเกี้ยวแล้วบอกคุณหนูของนางด้วยความห่วงใย เพราะวันนี้คุณหนูหาได้กินสิ่งใดลงไม่ อาจจะเป็นเพราะความตื่นเต้น“อื้อ…”ชิงเหมยมองออกไปผ่านผ้าคลุมหน้าก็เห็นว่าข้างทางมีชาวบ้านมากมาย ใบหน้าทุกคนต่างยิ้มแย้มออกมาด้วยความยินดี ทำให้นางรู้สึกประทับใจยิ่งนัก ไม่คิดว่างานแต่งงานของนางจะทำให้ผู้คนสนใจมาชื่นชมมากมายถึงเพียงนี้และก็เป็นอย่างที่เซียงซุนบอก เพราะกว่าจะถึงจวนตระกูลเยว่ก็ใช้เวลานานเกือบสองเค่
หนึ่งปีต่อมาวสันตฤดูเวียนมาถึง นั่นก็หมายความว่า กำหนดการพระราชทานสมรสระหว่างคุณชายรองสกุลเยว่กับคุณหนูใหญ่สกุลซิ่วก็มาถึงเสียที ชิงเหมยต้องไปออกเรือนที่ตระกูลซิ่ว ทำให้ซุนฉี ซุนเฉียว เหลียงจง หลิวเวย และลูกๆ ทั้งสองของนาง ต้องเดินทางจากจวนตระกูลซุน ซึ่งตั้งอยู่ในหมู่บ้านซานฉี เข้าเมืองถิงฮวาไปพำนักที่ตระกูลซิ่วชั่วคราว ก่อนที่จะถึงวันวิวาห์ เพื่อร่วมกันส่งหลานสาวออกเรือน“ข้ารู้สึกใจหายยิ่งนัก หลังจากเหมยเอ๋อร์ออกเรือนไปแล้ว ข้าจะทำเยี่ยงไร” ซุนฉีนึกใจหายขึ้นมา หลานสาวอาศัยอยู่กับนางมาตั้งแต่เกิด จนมาถึงวัยสิบแปดปี วัยที่เหมาะสมแก่การออกเรือน“ท่านกล่าวอันใดเยี่ยงนั้น ท่านไม่อยากเห็นเหมยเอ๋อร์มีความสุขหรอกรึ” ผิงหลันแสร้งถามออกมาทั้งๆ ที่ใจนางเองก็ไม่ต่างจากซุนฉีแม้แต่น้อยหลังจากหลานสาวกลับจากเยี่ยมบ้านเดิมตามธรรมเนียม ชิงเหมยก็ต้องออกเดินทางเข้าเมืองหลวงทันที เพราะว่าที่หลานเขยของนางต้องทำงานรับใช้ราชวงศ์ ไม่อาจลางานนานได้ และเพราะหน้าที่ของเขา ทำให้ไม่สะดวกต่อการเดินทางไกล จวนของเขาที่เตรียมไว้ยามนี้ตกแต่งไว้รอนายหญิงของจวนเรียบร้อยแล