สายลมพาดผ่านแนวหลังคากระเบื้องเก่า ๆ เหนือหมู่บ้านที่ซุกตัวอยู่บนเนินลาดริมฝั่งทะเล ฝั่งหนึ่งคือท้องน้ำสีครามลึก ฝั่งหนึ่งคือภูผาแน่นขนัดด้วยพรรณไม้พุ่มเขียว พัดไหวรับลมเค็มกรุ่นมาจากชายฝั่ง
บ้านแต่ละหลังในหมู่บ้านทำจากปูนผสมหินและกระเบื้องหลังคาสีหม่น รั้วรอบขอบชิดล้อมบ้านเป็นแนวยาว บางบ้านยังมีกระเบื้องแผ่นเก่า ๆ ปะติดเสริมรั้วปูน เพิ่มความมั่นคงดั่งจิตใจคนทะเล
ทางเดินระหว่างบ้านเป็นซีเมนต์เก่าแตกร้าวเล็กน้อย บ้างปูด้วยหินเรียงแน่น ลัดเลาะลงไปยังแนวฝั่งที่เป็นชะง่อนหินสูงชัน ทะเลลึกโถมกระทบผาหินดังโครม ๆ อยู่ทุกคราวที่คลื่นซัดใส่
หมู่บ้านไม่ใหญ่ หากแต่เต็มไปด้วยวิถีเรียบง่าย บ้านเรือนปลูกไต่ระดับความสูงขึ้นไปตามไหล่เนิน ทว่าบ้านใดก็ไม่ห่างกันจนเกินน้ำเสียงเรียก บางบ้านยังส่งกลิ่นปลาย่างแห้ง ลอยมากับลมทะเลจาง ๆ
ตรงท้ายหมู่บ้าน คือ "บ้านโจว"
บ้านปูนหลังใหญ่ชั้นเดียว มีถึงสี่ห้อง ล้อมรั้วปูนสูงสะอาดเรียบร้อย ประตูไม้สีเข้มถูกขัดเคลือบเงาอย่างดี สวนข้างบ้านมีต้นส้มทะเล ผลเหลืองเล็ก ๆ ห้อยระย้าสวยสะดุดตา
โจวสือซานกลับมาถึงบ้านก็พบว่าพ่อแม่และลูกสาวของเขานั่งรออยู่ลานหน้าบ้าน
"พ่อ! พ่อหายไปไหนมาทั้งคืน แอบไปหาสาวมารึเปล่าน๊า.."
หนูน้อยหน่วนหน่วนวิ่งมากอดขาผู้เป็นพ่อเอาไว้แน่น ก่อนจะเงยหน้ามองอย่างออดอ้อน สือซานอุ้มลูกขึ้นแนบอก กอดแน่น ๆ จนไหล่เล็กสั่นสะท้าน เขาก้มหน้าจูบหน้าผากลูกเบา ๆ แล้วพูดว่า...
"แก่แดดขึ้นทุกวันแล้วนะตัวแสบ"
"แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น? ลูกหายไปทั้งคืน มีคนเขาว่ากันว่ามีเรื่องกับบ้านหานจริงไหม?"
แม่โจวเดินเข้ามาใกล้ ถามด้วยสีหน้าหนักใจ ตอนนี้นางเหลือเพียงลูกชายกับหลานสาวเท่านั้น เรื่องไหนที่เป็นความเสี่ยงนางล้วนไม่อยากให้เกิดขึ้น
"สือซาน...ลูกไปมีเรื่องกับพวกนั้นใช่ไหม? หรือว่าถูกพวกมันทำอะไร?"
พ่อโจววางพัด หรี่ตามองลูกชายอย่างคนกำลังชั่งใจไม่ให้โมโห สือซานจึงวางลูกลง ลูบศีรษะหนูน้อยก่อนหันไปสบตาพ่อแม่ตรง ๆ
"แม่ พ่อ...เมื่อคืนผมถูกหานเวยวางยาแล้วถูกขังไว้ในบ้านหาน กับเสี่ยวหนานสองคนตลอดทั้งคืน ถึงผมไม่ได้ล่วงเกินเสี่ยวหนาน แต่น้องก็เสียหายเพราะผม...เพราะแบบนั้นผมเลยอยากให้พ่อแม่ไปสู่ขอเสี่ยวหนานให้ผมหน่อย ได้ไหมครับ?"
พ่อแม่ทั้งสองหันมาสบตากันโดยไม่พูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าที่ตึงเครียดแปรเปลี่ยนเป็นเบาบางลง
"อย่างน้อยลูกก็ไม่คิดจะหนีปัญหา... แม่ได้ยินชาวบ้านมาเล่าให้ฟังแล้ว บ้านหานก็ช่างทำกับเสี่ยวหนานได้ลงคอ พอหมดผลประโยชน์ก็เขี่ยทิ้งไม่สำนึกบุญคุณ ใช้ไม่ได้จริง ๆ"
"เสี่ยวหนานไม่ใช่คนไม่ดี หากลูกคิดจะรับผิดชอบจริง ๆ ก็ไม่มีใครว่าอะไร พ่อกับแม่จะไปสู่ขอให้" พ่อโจวพยักหน้า
ไม่ทันที่สือซานจะได้เอ่ยอะไรต่อ แม่โจวก็จูงมือหลานสาวเดินออกจากบ้าน หันหน้าไปทางบ้านของตระกูลซูด้วยท่าทีมุ่งมั่น ขณะที่พ่อโจวเดินตามพร้อมถือถุงผ้าใบหนึ่งซึ่งมีเงินสินสอดใส่ไว้ และถุงปลาแห้ง ปลาหมึกแห้งอีกหลายกิโล
"สือซาน ลูกยกถุงข้าวมา"
ผู้เป็นพ่อพยักพเยิดใบหน้าไปทางถุงข้าวสาร 20 กิโลที่เตรียมไว้ตอนรู้เรื่องจากชาวบ้าน ให้ลูกชายยกแล้วตามไปที่บ้านซู
"ครับพ่อ"
คนบ้านโจวใช้เวลาเดินเพียงไม่นานก็มาถึงบ้านซู พ่อซูที่เห็นผู้มาเยือนก็รีบต้อนรับขับสู้
"อ้าว...พี่ไห่ถัง พี่อี้เหมย มา มา เข้ามานั่งก่อน จื่ออันไปเอาเก้าอี้มาเพิ่มเร็วลูก เสี่ยวหนานเอาน้ำออกมารับแขกด้วย"
"ครับพ่อ/ค่ะพ่อ"
โต๊ะไม้กลมกลางบ้านถูกเช็ดจนเงา ขนมเปี๊ยะถูกจัดวางไว้เรียบร้อย ใบหน้าของแม่โจวดูตื่น ๆ แต่แฝงความตั้งใจจริง ส่วนพ่อโจวยกถุงอาหารแห้งขึ้นตั้งบนโต๊ะ โดยมีลูกชายยกถุงข้าวสารขึ้นวางไว้ข้างกัน
"ขอบใจมากเด็ก ๆ คืออย่างนี้นะจื่อหยาง(พ่อ นอ.) ฮุ่ยหลาน(แม่ นอ.)เรื่องวันนี้มันเร่งรีบไปหน่อย ฉันกับพ่อของสือซานคิดว่าถ้าช้ากว่านี้เดี๋ยวจะไม่ทันการ"
แม่โจวยิ้มหน้าบานแล้วล้วงซองสีแดงออกมา
"..."
"เงินค่าสินสอด… มีแปดร้อยแปดสิบแปดหยวน เป็นเลขมงคลนะ กับอาหารแห้งอีกแปดกิโล ข้าวสารยี่สิบกิโล แล้วก็นี่… ขนมเปี๊ยะร้านดังในเมือง"
"สินสอดไม่มากแต่มาจากความจริงใจของพวกเรา ฉันกับแม่ของสือซานเลยคิดว่า… จะจัดงานแต่งเลยพรุ่งนี้จะดีไหม?"
พ่อโจวเสนอความคิดเห็นท่ามกลางความมึนงงของทุกคนในบ้านซู พวกเขายังดึงสติคืนมาไม่ได้ตั้งแต่เห็นเงินค่าสินสอดมากมายที่วางอยู่บนโต๊ะ
"หนูไม่อยากจัดงานค่ะพ่อ..แม่..มันเปลืองโดยใช่เหตุ หนูอยากอยู่เงียบ ๆ ไม่เอิกเกริก ไม่ต้องแห่ ไม่ต้องพิธี ขอแค่เราเข้าใจกันก็พอ…"
เสี่ยวหนานโผล่มาจากข้างหลังม่าน บิดผ้าในมือแน่นเล็กน้อย ก่อนเอ่ยขึ้นอย่างนุ่มนวลแต่ชัดเจน
"เสี่ยวหนานพูดแบบนี้… ฉันก็ว่าตามลูกแล้วกันนะพี่ไห่ถัง พี่อวี้เหมย แค่รับรู้กันสองบ้านก็พอแล้ว ไม่ต้องให้ใครมานั่งวิจารณ์ให้ลูกเราเหนื่อยใจ"
แม่ซูชำเลืองตามองลูกสาวแล้วยิ้มบาง ๆ อย่างเข้าใจ ก่อนจะหันไปทางแม่โจว
"ผมฝากเสี่ยวหนานด้วยนะพี่ไห่ถัง พี่สะใภ้ ลูกสาวของผมถูกหักหลังเหยียบย่ำศักดิ์ศรี ขอบคุณที่พี่ไม่รังเกียจ วันข้างหน้าถ้ามีอะไรที่เสี่ยวหนานทำไม่ถูกไม่ควร ฝากพี่ทั้งสองช่วยสั่งสอนบอกกล่าว ลูกสาวของผมไม่ใช่คนดื้อดึงจนสอนไม่ได้ ช่วยเมตตาเสี่ยวหนานของพวกเราด้วย"
นัยน์ตาของผู้เป็นพ่ออัดแน่นด้วยความเป็นห่วงที่มีต่อลูกสาว ซูจื่อหยางกลัวเหลือเกินว่าอดีตของลูกสาวจะทำให้บ้านโจวรังเกียจและข่มเหง
"จื่อหยางนายไม่ต้องห่วง เสี่ยวหนานแต่งเข้าบ้านเรา เราก็จะดูแลอย่างดี วางใจเถอะ" พ่อโจวกล่าว
"ใช่ ๆ ถึงจะไม่จัดงาน แต่พิธียกน้ำชาที่ควรมีก็ยังต้องมีอยู่"
พอได้ยินแม่โจวพูดแบบนั้นจื่ออันก็รีบวิ่งไปเอากระป๋องใบชาที่มีอยู่เพียงน้อยนิดกับชุดชงชาออกมาจัดการ โดยมีพี่ชายคนโตอย่างจื่อเหิงคอยช่วยอยู่ไม่ห่าง
พอน้ำชาถูกชงแล้วรินใสถ้วยชาพร้อมแล้ว สือซานกับเสี่ยวหนานคุกเข่าลงพร้อมกันบนเสื่อผ้าทอ พื้นเย็นนิด ๆ ทว่าอบอุ่นจากแววตาผู้ใหญ่ที่มองมา
เสี่ยวหนานค่อย ๆ ยกถ้วยชาคู่แรกไปวางหน้าพ่อแม่ของตน มือเธอไม่สั่น แต่ริมฝีปากคล้ายสั่นระริกจากความตื้นตัน
"น้ำชานี้... ลูกสาวยกให้พ่อกับแม่ ขอบคุณที่เลี้ยงดูหนูมาจนเติบใหญ่ ให้โอกาสหนูได้เลือกทางเดินของตัวเอง แม้หนูดื้อพ่อกับแม่ก็ไม่เคยต่อว่า ไม่เคยถอดใจจากลูกสาวคนนี้ ถึงลูกไม่ได้อยู่ปรนนิบัติรับใช้ แต่ลูกสาวคนนี้จะไม่ทิ้งห่าง คอยส่งข้าวส่งน้ำทดแทนบุญคุณ"
แม่ซูยกถ้วยขึ้นดื่มอย่างสงบ แต่ดวงตาที่จ้องมองลูกสาวกลับแดงระเรื่อ นางรู้สึกว่าลูกสาวเติบโตขึ้นหลังจากผ่านเรื่องร้าย ๆ มา แล้วก็หวังว่าลูกจะได้เจอที่พึ่งพิงที่ดี
"น้ำชาอุ่น… แต่ใจของแม่อุ่นยิ่งกว่า แม่ขอเพียงให้ลูกมีความสุขก็พอแล้ว ฝากน้องด้วยนะสือซาน"
"ครับ ผมจะดูแลหนานหนานให้ดี"
พ่อซูรับถ้วยชาจากมือเสี่ยวหนานอย่างมั่นคง แล้วเอ่ยเสียงทุ้ม
"จากนี้ไปลูกมีพ่อแม่สองบ้าน ต้องปรนนิบัติดูแลพ่อแม่สามีให้ดีนะลูก ไม่ต้องห่วงพ่อกับแม่ ฝากน้องด้วยนะสือซาน"
"ค่ะพ่อ/ครับพ่อ"
"น้ำชานี้ ผมกับหนานหนานยกให้พ่อกับแม่… ขอบคุณที่เลี้ยงดูผมมา ถึงข้าจะเป็นลูกไม่เอาไหนนัก แต่ผมจะพยายามเป็นสามีที่ดี เป็นลูกเขยที่นอบน้อม ไม่ให้ใครดูแคลนได้…"
แม่โจวรับถ้วยชาไปก่อนน้ำตาซึม มือเธอสั่นเล็กน้อยเมื่อตั้งถ้วยลงอีกครั้ง
"แม่ไม่ได้ต้องการลูกชายที่ร่ำรวยหรือเก่งกล้า… ขอแค่ลูกเป็นคนดี รักลูกเมียรักครอบครัวก็พอแล้ว"
พ่อโจวยกถ้วยชาขึ้นช้า ๆ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงใจ
"ตั้งแต่วันนี้ เสี่ยวหนานคือลูกสาวของบ้านโจว… พ่อแม่จะคอยดูแลเสมอ ไม่ว่าเมื่อไรก็จะรักเอ็นดูเหมือนลูกสาวแท้ ๆ ของพวกเรา"
สือซานและเสี่ยวหนานก้มคำนับพร้อมกัน หลังจากเสร็จพิธีคนในบ้านโจวก็พาเสี่ยวหนานกลับไปพร้อมกันทันที
บ้านโจว
เสี่ยวหนานนั่งเล่นอยู่ใต้ร่มไม้หน้าบ้านโจว ในมือกำถ้วยน้ำชาแน่น แก้มใสร้อนผ่าวเมื่อถูกลมทะเลปะทะหน้าเบา ๆ เด็กหญิงตัวน้อยปีนขึ้นมานั่งข้าง ๆ จ้องเธอด้วยตาโตกลมใส แล้วกระซิบเบา ๆ
"พี่เสี่ยวหนาน...หนูขออะไรได้ไหม?"
"ได้สิ ว่ามาสิจ๊ะหน่วนหน่วนอยากขออะไร"
"หนูอยากให้พี่เสี่ยวหนานเป็นแม่ให้หนู...หนูคิดถึงแม่"
ถ้อยคำใสซื่อแต่น่าเอ็นดูทำให้หัวใจของหญิงสาวสะท้าน ใจที่เคยแข็งดั่งหินกลับอ่อนยวบในพริบตา
"ได้สิจ๊ะ ต่อไปนี้หน่วนหน่วนก็เรียกพี่เสี่ยวหนานว่าแม่ได้เลย"
"แม่...แม่จ๋า หน่วนหน่วนมีแม่จ๋าแล้ว เย้ ๆ"
โจวสือซานที่ยืนอยู่ห่างออกไปไม่ไกลได้ยินถ้อยคำของลูกสาวอย่างชัดเจน เขาเงียบอยู่นาน ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งลงข้างลูกสาวและเสี่ยวหนาน
"ขอบคุณนะหนานหนาน"
"ขอบคุณอะไร เป็นเรื่องที่ฉันควรทำอยู่แล้ว ว่าแต่ห้องนอน..."
"จัดเสร็จแล้วครับ ป่ะ ไปดูห้องของเรากัน"
ตั้งแต่มาถึงบ้านโจว สือซานก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขายังไม่ได้เก็บห้อง เขาจึงให้เธอนั่งรออยู่ข้างนอกก่อนในระหว่างที่เขารีบเข้าไปจัดการความเรียบร้อยด้านใน