 Masuk
Masuk
หลี่หยางเฉิงรู้ว่าสตรีในรถม้าใคร่รู้เรื่องราวเพียงใด จึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เจ้าพักผ่อนเถิด ถึงเจ้าจะจ้องข้าอยู่เช่นนี้ ข้าก็ยังไม่คิดอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ เมื่อจัดการเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ข้าจะบอกกับเจ้าเอง” “ท่าน...” อวี้หนิงยังอยากจะเอ่ยถาม แต่เมื่อเห็นท่าทีไม่สนใจสิ่งใดของบุรุษที่ยังนอนเหยียดกายอยู่ นางจึงกลืนคำถามเหล่านั้นลงท้องไป ต้นยามอู่ รถม้าก็เข้าเขตเมืองฉางเล่อ หยางเฉิงจึงลืมตาตื่นพร้อมกับรถม้าที่หยุดลง “ท่านอ๋องถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เจียงเฟิงเอ่ยทูลจากด้านนอกฉินอ๋องหันมาจ้องมองอวี้หนิงที่ยังนั่งพินิจตนอยู่เช่นเคย “ข้าจะให้คนพาเจ้ากลับจวน อย่าคิดออกไปที่ใด ใช่ว่าคนที่ต้องปิดเรื่องตระกูลเหรินจะลามือ” คำพูดของเขายิ่งทำให้นางตื่นตกใจ “ท่านอ๋องรู้...” “กลับไปรอที่จวน เมื่อข้าจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว จะบอกเจ้าเอง” เมื่อทำอะไรไม่ได้ นางจึงเพียงพยักหน้ารับ ก่อนที่รถม้าสลักตราจวนฉินอ๋องจะมุ่งตรงเข้าเมืองไป อวี้
“คุ้มกันท่านอ๋อง!” เสียงเข้มของมู่หรงชิงดังก้อง ทหารคุ้มกันรายล้อมรอบรถม้าทั้งสามคัน เสี่ยวเม่ยรีบเข้ามาในรถม้า คอยปกป้องนายหญิงของตน สองนายบ่าวกอดกันไว้แน่น ภายในรถม้า หยางเฉิงยังเอนกายหลับตา ไม่เดือดไม่ร้อนอันใด ไม่ต่างจากอาจารย์หลี่และเจียงเฟิงที่นั่งอยู่หน้ารถม้า ไร้ท่าทีหวาดกลัว เสียงเหล็กกระทบเหล็กสะท้อนก้อง ผสมเสียงโห่ร้อง และเสียงหอบหายใจรุนแรงกลางความสับสน หิมะที่โปรยปรายยิ่งทำให้การป้องกันนั้นยากลำบากขึ้น ราวกับสวรรค์เป็นใจให้กลุ่มนักฆ่าใช้เป็นเครื่องมือพรางตัว กลิ่นเหงื่อ กลิ่นเลือด และกลิ่นดินเปียกผสมกันจนแทบแยกไม่ออก นักฆ่าที่ถูกส่งมาไม่คิดละเว้นผู้ใด ดาบแหลมจึงพุ่งไปทั่วทุกสารทิศ ยังดีที่ทหารคุ้มกันต่างมีฝีมือ ใช้เวลาเพียงสองเค่อ นักฆ่าที่ถูกส่งมาครึ่งร้อยก็ล้มตายเกลื่อนพื้น ทว่าคนพวกนั้นกลับไม่คิดให้ผู้ใดเหลือรอด เมื่อเสียงฝีเท้านับร้อยเคลื่อนตรงมายังขบวนของหยางเฉิง บุรุษในอาภรณ์สีเข้ม สวมทับด้วยชุดเกราะสีดำลายพยัคฆ์ เฉกเช่นทหารในกองทัพพยัคฆ์ของแม่ทัพมู่เหอกัง ตั้งขบวนมาหยุดตรงหน้ามู่หรงชิง ดวงตาเข้มหรี่ลงด้วยความสับสน
“พูด” เสียงเข้มเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “ทูลท่านอ๋อง ระหว่างกลับตำหนักมีนักฆ่าราวสามสิบคนพยายามสังหารคุณหนูซูพ่ะย่ะค่ะ” “เมื่อคืนไม่ใช่ถูกกำจัดที่ทางขึ้นอารามไป๋อวิ๋นแล้วไม่ใช่หรือ?” คิ้วหนาเลิกขึ้นอย่างสงสัย มือแกร่งกำแน่นไม่รู้เพราะเหตุใดเขากลับคับแค้นใจมากขึ้นเมื่อรู้ว่าซูอวี้หนิงตกอยู่ในอันตราย “ตรวจสอบแล้ว เป็นคนละกลุ่มกับที่พยายามสังหารกู้เผยอี้เมื่อคืนพ่ะย่ะค่ะ” “หึ! งานนี้ดูท่าตาเฒ่านั่นคงลงแรงไปไม่น้อย” หยางเฉิงแค่นยิ้มเย้ยหยัน ในเวลาเดียวกัน ระหว่างเส้นทางที่กลับตำหนักรับรองเสียงโลหะกระทบกันได้ยินมาแต่ไกล มู่หรงชิงกำบังเหียนม้าไว้แน่น ก่อนจะบังคับม้าให้วิ่งไปด้วยความเร็ว กลางป่าไผ่ กลุ่มคนในชุดดำสองฝ่ายกำลังปะทะกัน โดยมีกู้เผยอี้กับเว่ยหย่งเฉินอยู่ตรงกลางวงล้อม ส่วนทหารติดตามถูกสังหารจนหมด “ช่วยคน!” เสียงมู่หรงชิงดังขึ้นพร้อมกับดาบที่พุ่งไปยังชายชุดดำเบื้องหน้า ทหารคุ้มกันสี่สิบคนเข้าสู้กับกลุ่มมือสังหารที่หมายเอาชีวิตของเว่ยหย่งเฉินและกู้เผยอี้ ขณะที่กลุ่ม
อวี้หนิงหน้าซีดเผือดเพียงฟังการบอกเล่า นางก็หวาดกลัวจนไม่กล้าคิดถึงเรื่องนี้อีก หย่งเฉินเองก็ไม่ต่างกัน เพียงแต่เขาเป็นบุรุษแสดงอารมณ์มากนักไม่ได้ เรื่องราวซับซ้อนเกินกว่าที่หย่งเฉินจะจัดการได้ เพียงการตายของผู้ช่วยนายอำเภอกลับเกี่ยวพันคดีกบฏ จำต้องนำเรื่องทูลฮ่องเต้ก่อน “แล้วบันทึกนั้นอยู่ที่ใด” “อยู่ที่ร้านของข้าน้อยในเมือง นับแต่เกิดเรื่อง ข้าหลบมารักษาตัวที่อารามชี ไม่กล้ากลับไปที่ร้านเกรงว่าจะถูกฆ่าปิดปาก” หย่งเฉินพยักหน้ารับรู้ หากในบันทึกมีหลักฐานว่าการตายของชาวบ้านปี่ซุ่ยเกี่ยวพันกับหนังสือร้องทุกข์ฉบับนั้น ก็เป็นไปได้ว่านายอำเภอเหรินและตระกูลเหรินถูกใส่ความ เขาจึงเผลอหันมองหน้าอวี้หนิง ใบหน้างามของหญิงสาวขมวดมุ่น ดวงตาแดงก่ำ มีม่านน้ำตาเอ่อคลอ เรื่องที่หย่งเฉินคาดเดา นางก็คาดเดาได้เช่นกัน ในใจจึงทั้งรู้สึกมีความหวังและเจ็บปวดในคราวเดียวกัน ก่อนที่นางจะเอ่ยขอร้องกู้เผยอี้ “ท่านจะไปเป็นพยานให้ข้าได้หรือไม่” แม้เรื่องนี้จะไม่เกี่ยวกับคดีกบฏ แต่ก็มีผู้คนล้มตายมากมาย อย่างไรก็ต้องทำให้ถูกต้อง
เจียงเฟิงหยุดอยู่หน้าเรือนรับรอง เมื่อไม่มีหนทางอื่น เขาจึงจำต้องเดินเข้าไป ภายในเรือนนอกจากพระชายากับใต้เท้าเว่ยแล้ว ยังมีเสี่ยวเหม่ยคอยรับใช้ใกล้ชิดอยู่ก่อนแล้ว ทั้งคู่ไม่ได้อยู่กันตามลำพังอย่างที่ท่านอ๋องกังวลเลย ซูอวี้หนิงยังไม่ทันได้บอกเรื่องสำคัญกับเว่ยหย่งเฉิน เจียงเฟิงก็เข้ามาเสียก่อน นางจึงอดหันไปถามขันทีผู้มาใหม่ไม่ได้ “เจียงเฟิงมีเรื่องอันใดหรือ? ท่านอ๋องให้มาตามข้าหรือ?” นางเตรียมจะลุกขึ้น หากแต่เจียงเฟิงรีบทูลเสียก่อน “ท่านอ๋องมิได้ให้มาตามพระชายาพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่กระหม่อมเห็นว่าพระชายาไม่คุ้นเคยกับที่นี่ จึงมาคอยรับใช้” หากเป็นเจ้านายพระองค์อื่น การคิดแทนเจ้านายเช่นนี้ย่อมถูกลงโทษโบยไปแล้ว แต่อวี้หนิงนั้นแตกต่างเขาเชื่อว่านางมีเมตตาต่อบ่าวไพร่ เขาจึงมั่นใจว่าตนเองจะไม่ถูกลงโทษ อวี้หนิงประเมินท่าทีของเจียงเฟิงที่ลอบมองไปยังเว่ยหย่งเฉินอยู่หลายครั้ง ทั้งเจียงเฟิงและนางต่างไม่เคยมาที่ตำหนักนี้ การให้เขามาคอยรับใช้จึงไม่มีประโยชน์ใด เช่นนั้นคงมีเหตุผลเดียว คือไม่อยากให้นางอยู่กับบุรุษอื่นเพียงลำพ
“หากท่านอยากรู้เรื่องราวที่นั่น ข้าสามารถช่วยท่านได้” เสียงทุ้มต่ำของผู้มาใหม่ทำให้อวี้หนิงหันกลับไปมอง บุรุษในอาภรณ์กึ่งเก่ากึ่งใหม่ยืนอยู่หน้าประตู ใบหน้าหล่อเหลาของเขาดูอิดโรย ข้างกายมีบ่าวรับใช้คอยพยุง ไม่รู้ด้วยเหตุใดนางกลับรู้สึกคุ้นเคยกับบุรุษตรงหน้า “ท่านเป็นใคร?” นางลุกขึ้นเอ่ยถามผู้มาเยือน “ให้เสี่ยวเอ้อร์ออกไปก่อน กระหม่อมจะตอบทุกคำถามที่พระชายาอยากรู้” หญิงสาวยิ่งประหลาดใจที่เขารู้ฐานะของนาง “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นใคร?” แววตาของนางเต็มไปด้วยความหวาดระแวง “ให้เสี่ยวเอ้อร์ออกไปก่อนเถอะ ท่านไม่ต้องกังวล กระหม่อมเป็นเพียงชายไร้วรยุทธ์ อีกทั้งยังบาดเจ็บ ไม่อาจสู้องครักษ์ที่คอยคุ้มกันพระชายาได้หรอก” อวี้หนิงชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะสั่งให้เสี่ยวเอ้อร์ถอยออกไป เมื่อคล้อยหลังเสี่ยวเอ้อร์ บ่าวรับใช้ของบุรุษปริศนาก็ผละออกจากผู้เป็นนาย แล้วออกไปยืนเฝ้านอกประตูแทน “ตอบคำถามข้าได้หรือยัง?” นางเร่งเอาคำตอบจากชายร่างสูง “กระหม่อมกู้เผยอ








