로그인เหรินชิงหยูคุกเข่าลงกับพื้นอีกครั้ง โดยมีบุตรชายทั้งสองคุกเข่าตามบิดาอย่างไม่เอ่ยวาจา ชายชรารู้สึกทั้งซาบซึ้งและละอายใจ ตระกูลเหรินสามารถรอดมาได้ก็แน่นอนว่าเพราะความช่วยเหลือของฉินอ๋อง ทว่าครั้นเมื่อสิบสองปีก่อน พวกเขากลับนิ่งเฉย ปล่อยให้หวงกุ้ยเฟยต้องถูกประหารอย่างไม่เป็นธรรม “กระหม่อมขอบพระทัยท่านอ๋องที่ทรงเมตตาช่วยเหลือพ่ะย่ะค่ะ” หยางเฉิงยังคงยกชาขึ้นดื่ม สีหน้าเรียบนิ่งไร้อารมณ์ ดวงตาเยือกเย็นที่เก็บงำความรู้สึกมานานนับสิบสองปีค่อย ๆ เหลือบมองบุรุษที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้า “ข้าไม่ได้ต้องการคำขอบคุณจากตระกูลเหริน” เสียงทุ้มเย็นเฉียบเอ่ยขึ้น เหรินชิงหยูที่ผ่านประสบการณ์มานานหลายปีพอคาดเดาได้ถึงสิ่งที่ชายหนุ่มต้องการ แต่กระนั้นก็ได้แต่ภาวนาให้ตนเองคาดเดาผิด “ท่านอ๋องโปรดรับสั่งเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ชายชราเอ่ยอย่างจำนน ด้วยครั้งเมื่อถูกเนรเทศ เขาเคยร้องขอฉินอ๋องให้ช่วยเหลือตระกูลเหริน แม้กระทั่งตราประจำตระกูลก็ยังยกให้แก่ฝ่ายนั้นไป “หึ! ข้าว่าจวิ้นอ๋องรู้อยู่แล้วล่ะ” หลี่หยางเฉิงหัวเราะในลำคอ พ
ซูอวี้หนิงคล้ายฝันไป นางไม่นึกฝันว่าบุรุษตรงหน้านี้จะมีใจให้นาง ชั่วขณะหนึ่งร่างกายของนางจึงแข็งทื่อ “แล้วเจ้าเล่า มีใจให้ข้าบ้างหรือไม่?” หลี่หยางเฉิงที่สัมผัสได้ว่าหญิงสาวในอ้อมกอดนิ่งงันไป จึงถามด้วยความไม่แน่ใจ อวี้หนิงไม่รู้จะตอบเขาเช่นไร นางห่วงใยเขาตั้งแต่ยังเป็นเพียงเด็กน้อย และจนถึงตอนนี้ความรู้สึกนั้นก็ไม่เคยจางหาย นางปรารถนาให้เขามีความสุข แม้ต้องแลกด้วยชีวิตของตนก็มิใส่ใจ ทว่านางคิดว่านั่นคือความห่วงใยเช่นน้องสาวมีต่อพี่ชาย ทั้งความรู้สึกของนางที่มีต่อฉู่อ๋องก็แตกต่างจากที่มีให้ฉินอ๋อง ร่างบางจึงไม่ได้มั่นใจนัก หากแต่ในใจนางรู้ดีว่าหยางเฉิงสำคัญยิ่งกว่าผู้ใด และนั่นเป็นความจริง “หม่อมฉัน ยังไม่อาจตอบพระองค์ได้ ว่าความรู้สึกที่มีต่อท่านอ๋องตอนนี้คือความรักฉันชายหญิงหรือไม่ แต่หม่อมฉันยืนยันได้ว่าท่านอ๋องสำคัญกับหม่อมฉันยิ่งกว่าผู้ใด ท่านอ๋องจะให้เวลาหม่อมฉันได้หรือไม่เพคะ” นางเอ่ยเสียงเบา หยางเฉิงเมื่อได้ยินเช่นนั้น แม้ในใจจะผิดหวังอยู่บ้าง แต่เขาก็เข้าใจนางดี ในเมื่อตลอดเวลาที่ผ่านม
“คุณหนูซู” เสียงเรียกของชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างกายฟู่ไป๋เฉิน ทำให้อวี้หนิงละสายตาจากใบหน้าของบุรุษข้างกาย “ไม่ทราบว่าคุณหนูยังจำข้าน้อยได้หรือไม่” อวี้หนิงยิ้มบางให้อีกฝ่าย นางจำใบหน้าเปี่ยมคุณธรรมของหมอหลิวได้ดี “ท่านหมอหลิว” นางเอ่ยทักอย่างสุภาพ ครั้งหนึ่งนางเคยล้มป่วยด้วยไข้สูงแทบเอาชีวิตไม่รอด หวงกุ้ยเฟยทรงเมตตาสั่งให้หมอหลิวมารักษาถึงจวน หมอหลิวต้องอยู่รักษานางหลายวันกว่าจะหายสนิท ที่นางจดจำเขาได้ไม่ใช่เพียงเพราะฝีมือการรักษา แต่เป็นเพราะเขามักมอบขนมหวานให้นางเป็นรางวัลหลังดื่มยาขมทุกครั้ง ทำให้นางรู้สึกชื่นชอบหมอหลิวมากกว่าหมอคนอื่น ๆ หลิวซื่ออันค้อมกายให้นาง ก่อนจะหันไปยังฉินอ๋อง “ท่านอ๋อง กระหม่อมขออนุญาตตรวจอาการของพระชายาได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” หยางเฉิงพยักหน้าให้อย่างเงียบงัน อวี้หนิงก็ไม่ได้ขัดขืน หากมีหมอหลิวช่วยยืนยันอีกเสียง ก็จะยิ่งทำให้นางเชื่อถือคำของตระกูลฟู่ได้มากขึ้น หลิวซื่ออันตรวจชีพจรอยู่ไม่นานก็ถอยออกมา ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างสุภา
ภายในห้องโถงเรือนรับรอง อวี้หนิงมองเห็นชายชราใบหน้าเปี่ยมด้วยเมตตานั่งอยู่กลางห้อง โดยมีบุรุษหน้าตาหล่อเหลาสองคนวัยไล่เลี่ยกับนางยืนอยู่ด้านหลัง ด้านขวาของผู้อาวุโส มีบุรุษคนหนึ่งที่อวี้หนิงคุ้นเคยยืนอยู่ด้วย ส่วนที่หน้าประตู เจียงเฟิงและจ้าวหานกำลังรอรับคำสั่งอยู่ ซูอวี้หนิงมองหน้าบุรุษข้างกายอย่างมีนัย ก่อนที่หยางเฉิงจะพยักหน้าให้นาง หญิงสาวจึงเดินไปหยุดอยู่หน้าชายชราที่จ้องมองนางด้วยแววตายากจะคาดเดา “คารวะผู้อาวุโสฟู่เจ้าค่ะ” อวี้หนิงยอบกายเคารพ ฟู่ไป๋เฉินพินิจพิจารณาเด็กสาวตรงหน้า เขาเคยได้ยินเรื่องของนางจากหานหลี่เจี๋ยที่ส่งรายงานกลับอู่ถงอยู่ไม่น้อย เนื้อหาส่วนใหญ่ล้วนกล่าวชื่นชมในความรู้ความเข้าใจของเด็กสาวผู้นี้ นางไม่เคยก้าวก่ายเรื่องของหลานชายตนแม้แต่น้อย ไม่เคยร้องขอความช่วยเหลือเกี่ยวกับตระกูลเหรินสักครั้ง กลับกันนางยังคอยปกป้องหยางเฉิงหลายครา เดิมทีเขาคิดว่านางคงเห็นว่าหลานชายของตนเป็นคนเสียสติไร้อำนาจ จึงไม่คิดอยากเกี่ยวข้อง แต่การกระทำของนางเมื่อคืน ที่ยอมเสียสละชีวิตเพื่อฉินอ๋อง กลับทำให้เขาเริ่มมองนางในอีกแง่มุมอื่น
ร่างสูงยันกายลุกขึ้นนั่ง มือแกร่งคลายปมอาภรณ์ชั้นนอกของซูอวี้หนิงอย่างเคยตัว หญิงสาวตะลึงจนตาค้าง มือบางรีบคว้าปมเสื้อตนเองไว้แน่น “ทะ~ท่านอ๋องจะทำอันใดกันเพคะ?” หลี่หยางเฉิงจ้องมองใบหน้าตื่นตระหนกของนาง ภายในใจทั้งขบขันและเอ็นดูท่าทีของนางไปพร้อมกัน “ไม่ต้องอายแล้ว เมื่อคืนข้าก็เห็นหมดแล้ว” ปั้ง! เสียงดังสนั่นราวฟ้าผ่าดังขึ้นในหัวของอวี้หนิง "เห็นหมดแล้ว?" คำนี้ทำให้นางหน้ามืด สมองขาวโพลนไปชั่วขณะ “หะ...เห็น? เห็นอันใดกัน... นี่ท่านอ๋องไม่ใช่ว่า...” อวี้หนิงไม่รู้จะพูดอย่างไรดี นางทั้งอายทั้งโมโหที่โดนฉินอ๋องฉวยโอกาส ดวงตาคู่งามพลันแดงก่ำด้วยความคับแค้นใจ หยางเฉิงเห็นดังนั้นก็ไม่คิดกลั่นแกล้งนางอีก ใบหน้าที่ดูหยิ่งผยองอ่อนลงเล็กน้อย “ข้าเพียงจะฝังเข็มระงับความเจ็บปวดให้เจ้า ไม่ได้คิดทำสิ่งที่เจ้าคิด แต่จำเป็นต้องฝังเข็มในจุด ซี่ไห่” มือแกร่งของเขาวางลงบนหน้าท้องของนาง อวี้หนิงมองตามมือของเขาก็เข้าใจความหมาย หญิงสาวจึงค่อย ๆ สงบใจลง ใบหน้าที่งอง้ำกลับ
เซียนจื่อหลานถูกวางไว้กลางห้องบรรทม สมุนไพรนี้แม้เป็นเพียงพืชต้นหนึ่งในกระถางดินเผา กลับดูเย่อหยิ่งราวกับมีความรู้สึกนึกคิดเช่นคนทั่วไป หยางเฉิงดึงมีดสั้นข้างกายขึ้นมา เตรียมจรดลงบนหน้าอกของตน ทว่าประตูห้องบรรทมกลับเปิดออกอีกครั้ง พร้อมมีดสั้นอีกเล่มที่พุ่งเข้าหาเขา ด้วยวรยุทธ์ของหยางเฉิง เขาหลบเลี่ยงได้โดยไม่ยาก มีดสั้นเล่มนั้นจึงปักลงบนผนังห้องแทน สายตาคมมองไปยังที่มาของมีดสั้น ร่างชายชราปรากฏหน้าประตูห้องบรรทม เบื้องหลังมีบุรุษรูปงามสองคน รุ่นราวคราวเดียวกับหยางเฉิงปรากฏขึ้น ฉินอ๋องเมื่อเห็นผู้มาเยือนก็ไม่สบอารมณ์นัก เขาหยุดให้ความสนใจทันทีก่อนจะเตรียมมีดสั้นกรีดเลือดบนหน้าอกของตนเช่นเดิม “หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” เสียงชายแก่ดังขึ้น หยุดการกระทำของหยางเฉิงได้ทันที “ข้าสอนเจ้ามาเช่นนี้หรือ? พึ่งถอนพิษได้ก็จะยอมเจ็บตัวเพื่อสตรีนางหนึ่งอีกแล้ว” หยางเฉิงไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวกับเสียงทรงอำนาจของผู้อาวุโสเบื้องหน้า “เช่นนั้นท่านก็เอายาถอนพิษมา” ฟู่ไป๋เฉินแค่นเสียงในลำคอ ก่อนจ้อง







