“เจ้าแน่ใจหรือว่าเป็นสัตว์ประหลาด” เจ้าหน้าที่ทางการสอบถามชายวัยกลางคนอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง พลางมองบรรยากาศรอบๆที่วุ่นวายไม่น้อย สภาพชาวบ้านบางคนที่ยังขวัญเสีย บางคนกำลังถูกรักษาโดยหมอที่โดนเรียกตัวมากะทันหัน สังเกตจากบาดแผลแล้วน่าจะเป็นสัตว์ร้ายมากกว่า
“ขะ ขอรับ แม้พวกข้าจะเห็นไม่ชัด ตะ แต่มันเป็นสัตว์ประหลาดจริงๆ” โม่โฉวอธิบายเสียงสั่น หวนนึกถึงตอนเจอกับเจ้าสัตว์ที่หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว กลิ่นเหม็นคล้ายซากศพแล้วใจเต้นด้วยความหวาดกลัว
ทว่าภายในใจก็อยากให้ทางการรีบไปช่วยเจียหมิงเร็วๆ ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นอย่างไร เขากับซูเหวินพากันหามจางหมิ่นมาถึงหมู่บ้าน พบว่ามีชาวบ้านบางคนมาถึงก่อนได้ไม่นาน สภาพร่างกายหลายคนเต็มไปด้วยบาดแผล เขาจึงสั่งให้ชาวบ้านรีบไปตามหมอกับทางการมา ท่ามกลางความตกใจและแตกตื่นของคนในหมู่บ้านที่เหลือ
“เราไม่รู้ว่ามันคือตัวอะไร ทั้งยังมืดนัก หากสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไป เจ้าหน้าที่อาจเป็นอันตราย” เจ้าหน้าที่คนเดิมพูดอย่างมีเหตุผล ทว่าสายตากลับแอบเหลือบมองไปยังชายสวมหมวก ร่างกายสูงใหญ่ มีกลิ่นอายน่ายำเกรงอย่างหวั่นๆตลอดเวลา
“ท่านจะบอกให้รอถึงพรุ่งนี้ เพื่อที่จะไปรับศพคนในหมู่บ้านข้าหรือ!!” โม่โฉวตะโกนลั่นอย่างประชดประชัน ในป่ายังมีชาวบ้านหลายคนที่ยังไม่กลับมา ในขณะที่เจียหมิงที่กำลังเผชิญหน้ากับมัน ไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไร หากรอพรุ่งนี้เกรงว่าจะสายเกินไป
หมับ
“ชะ ช่วยเพื่อนข้าด้วยขอรับ เจียหมิง สะ สู้กับมันอยู่” ซูเหวินคุกเข่า คว้าชายผ้าเจ้าหน้าที่อย่างอ้อนวอน เขาไม่อยากให้เพื่อนที่ยอมสละชีวิตช่วยเขาเป็นอะไรไป ทั้งบุตรสาวของสหายก็ยังเด็กนัก
“แต่ว่า...”
“ฮึก แงงงงง” ก่อนที่เจ้าหน้าที่คนเดิมจะได้เอ่ยปฏิเสธ เสียงร้องของเด็กทารกคนหนึ่งกลับดังขัดจังหวะ สะใภ้โม่ตัดสินใจอุ้มเด็กน้อยที่ร้องไห้หน้าดำหน้าแดงไม่มีทีท่าจะหยุดเดินแหวกเข้ามากลางวงอย่างกล้าหาญ แม้จะไม่อยากให้เด็กเข้ามาเกี่ยว แต่ก่อนหน้านี้นางเพียงอุ้มเด็กน้อยที่ไม่ยอมหลับแถมยังส่งเสียงอ้อแอ้คล้ายอยากออกมาด้านนอกมาดูลาดเลา
คราแรกเด็กน้อยเพียงกราดสายตามองซ้ายขวาน่าจะหาผู้เป็นพ่อ แล้วนิ่งฟังสามีนางกับเจ้าหน้าที่ทางการสนทนา จนกระทั่งซูเหวินเอ่ยประโยคนั้น เหลียนฮวาคงได้ยินชื่อบิดา และสัมผัสได้ว่าพ่อตัวเองกำลังมีอันตราย จึงแผดเสียงร้องออกมา
“นี่ใครบังอาจพาเด็ก...” เจ้าหน้าที่อีกคนกำลังเอ่ยตำหนิที่พาเด็กออกมา ทว่ายังไม่ทันได้พูดจบ สะใภ้โม่กลับพูดขึ้นอย่างเหลืออด
“นางเป็นลูกของหนึ่งในชาวบ้านที่เข้าไปในป่า อีกทั้งยังเป็นคนที่เจ้าหนุ่มนั่นพูดถึง” พยักพเยิดไปทางซูเหวิน แม้นางไม่รู้สถานการณ์ เนื่องจากสามีไม่ได้เอ่ยเล่าเป็นการส่วนตัว ดังนั้นสะใภ้โม่จึงได้ยินเรื่องราวพร้อมๆกันกับชาวบ้านและเจ้าหน้าที่คนอื่น แต่ก็คาดเดาเรื่องราวได้ไม่ยาก ยิ่งคำพูดนั้นของซูเหวินด้วยแล้ว พ่อของเจ้าเด็กน้อยคงช่วยพวกเขาให้รอดกลับมา
“เราต้อง...” เจ้าหน้าที่ทางการพยายามจะเอ่ย
“ฮึก ฮื่อออ” ทว่าเหลียนฮวาไม่ยอมแพ้นางเปลี่ยนจากหยุดร้อง เหลือเพียงสะอื้นไห้ให้ดูน่าสงสาร คิดในใจอยากรีบๆโตสักที หากไม่มีคนไปช่วย เธอนี่แหละจะเป็นคนไปช่วยเอง ทว่าร่างกายที่เด็กเกินกว่าจะทำอะไรเอง กระทั่งสื่อสารยังทำไม่ได้
เหลียนฮวาใช้ไม้ตาย ดวงตากลมโตคลอน้ำใสๆมองไปยังคนสวมหมวกที่คาดว่าน่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง เนื่องจากเจ้า หน้าที่คนอื่นดูให้ความเคารพและเกรงกลัวไม่น้อย น่าจะตำแหน่งใหญ่สุดในนี้ เขายืนเงียบมานานแล้วนางจึงส่งสายตาปริบๆไปให้ พาคนมองใจอ่อนยวบ
“เจ้าจะบอกว่านี่คือลูกของชายที่ชื่อเจียหมิงหรือ” ในที่สุดเสียงทุ้มทรงอำนาจก็เปิดปากพูดขึ้น ใบหน้าถูกปกคลุมภายใต้หมวกสาน น้ำเสียงนิ่งๆทว่ากลับทำให้ทุกคนเงียบเพื่อฟังเขา
“เจ้าค่ะ” สะใภ้โม่ตอบ ในขณะที่พวกเขาพูดคุยกัน เหลียนฮวาก็พยายามส่งสายตามองเจ้าหน้าที่คนนั้นไม่ลดละ คล้ายกำลังส่งกระแสจิต นางมองนิ่งอย่างตั้งใจฟัง คล้ายเข้าใจระคนกดดัน
“หึหึ งั้นเราคงต้องรีบไปช่วยแล้ว หากไม่อยากให้เด็กอ้วนกำพร้าพ่อ” ชายภายใต้หมวกสานรู้สึกร้อนๆหนาวๆจากสายตาเด็กน้อย เมื่อพูดจบแอบเหลือบมองเด็กทารกที่ก่อนหน้านี้จ้องเขม็งมาที่เขาคล้ายกดดัน ถ้ามองไม่ผิดเมื่อครู่เหมือนเห็นนางแยกเขี้ยวใส่หลังถูกเรียกว่าเด็กอ้วน แต่สงสัยคงตาฝาด
พลันในใจนึกชื่นชม เป็นแค่เพียงบุตรสาวชาวบ้านจะมีหน้าตาน่าเอ็นดูขนาดนี้เชียวหรือ แก้มอวบๆ น่าบีบเล่น ผิวพรรณดียิ่งกว่าเด็กในตระกูลขุนนางที่เคยเห็นมาเสียอีก เห็นแล้วอยากเจอผู้เป็นพ่อเสียจริง และดูจากคำพูดที่ไม่มีคนโต้แย้งแสดงว่าเขาเดาถูก เรื่องที่เด็กทารกตัวจ้ำม่ำคนนี้เหลือเพียงแค่บิดา
“แต่ท่าน...”
“หากเจ้ากลัวความมืดเพียงแค่นี้ จนยอมละทิ้งชีวิตผู้คน เจ้าก็ไม่สมควรมาทำหน้าที่อันมีเกียรตินี้” ชายภายใต้หมวกสานเพียงพูดเสียงนิ่งๆ ก็กดดันเจ้าหน้าที่ทางการได้
“อึก ขะ ขอรับ” เจ้าหน้าที่ชะงักงันกับคำพูดนั้น ก้มหัวอย่างยอมแพ้ เหลียนฮวามองชายลึกลับตาเป็นประกาย สุดยอดเลย ท่านลุงหมวกสาน แค่ประโยคเดียวเล่นเอาคนอื่นกลัวหัวหด ส่วนความแค้นที่กล้ามาเรียกนางว่าเด็กอ้วนคงต้องทดไว้ในใจ รอท่านพ่อปลอดภัยกลับมาก่อนเถอะ ฮึ่มๆ
“เอาล่ะ รีบส่งเจ้าหน้าที่ออกไปตามหา หากเป็นไปได้ให้ทุกคนพยายามอยู่กันเป็นกลุ่มไว้” แม้จะอยากส่งทหารเข้าไปตรวจสอบเอง แต่แบบนั้นจะเป็นการเปิดเผยตัวตนมากเกินไป
“ขอบคุณขอรับ ชะ ช่วยให้ได้นะขอรับ” ซูเหวินโขกศีรษะขอบคุณ ทรุดตัวนั่งที่พื้นดินอย่างหมดแรง เขาทั้งดีใจและโล่งใจที่ได้ยินอย่างนั้น
ยามจื่อ (23.00 - 24.59 น.)
เคล้ง ฉั้วะ
“ฆ่าพวกมันให้หมด อย่าให้มีใครรอด” ทหารนายหนึ่งเอ่ยสั่งการ มันได้รับมอบหมายจากแม่ทัพฮั่วหมิงให้ตามหาสัตว์ทดลองและกำจัดผู้พบเห็นทุกคน สำรวจป่าอยู่นานก็ไม่พบเจ้าสัตว์นั่น เจอแต่ผู้คนหลายชีวิตซึ่งน่าจะเป็นพวกชาวบ้านที่พากันนั่งพักอยู่กลางป่า
ครั้นพอเข้าไปดูใกล้ๆพวกมันบาดเจ็บกันอยู่ และพบร่องรอยบาดแผลที่เกิดจากสัตว์ ไม่ต้องเดาพวกมันน่าจะปะทะกับสัตว์ทดลองแล้ว จึงได้ลงมือสังหารทุกคนตามคำสั่งที่ได้รับมา
“ฮื่อ ยะ อย่าทำอะไรข้าเลย อ๊ากกก” ชาวบ้านร้องขอชีวิต น้ำตาไหลอาบแก้ม
“ฮ่าๆ อย่างกับฆ่าพวกแมลง” ทหารที่มีดาบในมือหัวเราะสะใจ
ฉั้วะ ฉับ ฉับ
“อะ โอยย อัก”
หทารหลายนายพากันฆ่าชาวบ้านผู้เคราะห์ร้ายอย่างบ้าคลั่ง ชาวบ้านทุกคนทำได้เพียงร้องขอชีวิต ทว่าพวกมันกลับไม่มีใครสนใจ
ครึ่งชั่วยามต่อมาเจียหมิงกำลังเดินหาทางออกจากป่า หลังจากนำศพของเจ้าสัตว์ประหลาดไปฝังกินเวลาไปมากโข เขาไม่รู้ว่ามันคือตัวอะไรกันแน่ แต่ปล่อยทิ้งไว้คงไม่ใช่เรื่องที่ดี หากมีสัตว์ตัวอื่นมากัดกิน
อึกก เจียหมิงกุมบาดแผลอย่างเจ็บปวด หน้าซีดเผือดเนื่องจากเสียเลือด พยายามฝืนตัวเองให้เดินไปข้างหน้า
สวบ สวบ
“นะ นี่มัน…” เมื่อเขาเดินโซซัดโซเซมายังที่แห่งหนึ่ง กลิ่นคาวเลือดตีจมูกขึ้นมา เขาใช้คบเพลิงส่องดูบริเวณรอบๆจึงเห็นว่าเป็นร่างของชาวบ้านหลายคนและชิ้นส่วนร่างกายกระจัดกระจายเต็มไปหมด
“อุก” กลิ่นคาวเลือดแรงเสียจนเขาต้องยกมือขึ้นมาปิดจมูก เขาเกือบอาเจียนออกมา ภาพอันน่าสยดสยองนี่มันอะไรกัน เจียหมิงทำใจกล้าเดินเข้าไปใกล้ๆร่างชายผู้โชคร้าย พบว่าเป็นหนึ่งในชาวบ้านที่มาล่าสัตว์ พลันความหดหู่สะท้อนเข้ามาในอก เศษชิ้นส่วนกระจัดกระจายจนแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร สำรวจดูไม่นานจึงพบว่าทุกคนในที่แห่งนี้ล้วนตายแล้ว
ใครเป็นคนทำกัน
ที่คิดว่าคนเพราะสภาพศพแต่ละคนมีบาดแผลที่เกิดจากของมีคม คาดว่าน่าจะเป็นดาบหรือมีด ไม่ได้เกิดจากเจ้าสัตว์ประหลาดนั่น เขากำหมัดแน่น น้ำตาไหลยามมองภาพของชาวบ้านหลายคนจมกองเลือด ศพบางคนไม่มีหัว ไร้แขนขา เศษชิ้นส่วนร่างกายเต็มไปหมด แม้จะไม่ได้สนิทแต่ก็เคยเห็นหน้ากันมาก่อน ทั้งยังอยู่หมู่บ้านเดียวกัน
คนทำเช่นนี้ต้องจิตใจอำมหิตแค่ไหนถึงฆ่าชาวบ้านที่ไร้ทางสู้เช่นนี้ได้ลง เจียหมิงตัดสินใจนำร่างทุกคนมานอนเรียงกัน พร้อมพาชิ้นส่วนร่างกายที่คิดว่าน่าจะเป็นของร่างนั้นมาวางไว้ไม่ไกลจากศพ
“ฮึก ขอให้พวกท่านไปสู่สุคติ” เจียหมิงเช็ดน้ำตา ก่อนจะคำนับศพชาวบ้านทุกคน หากปล่อยทิ้งไว้แบบนี้สัตว์ป่าคงพากันแห่เข้ามากัดกินร่าง เจียหมิงแปรเปลี่ยนกระบองเป็นดาบอีกครั้งเพื่อใช้ในการขุดดินข้างๆศพ ทว่าก่อนจะลงมือเขากลับได้ยินเสียงฝีเท้าหลายสิบคนใกล้เข้ามา
สวบ สวบ สวบ
“กลิ่นเลือดตรงนั้นแรงมากขอรับ” เสียงคนคุยกันดังแว่วๆ เขารีบเปลี่ยนดาบกลับมาเป็นกระบอง แล้วนำใส่ย่ามไว้เช่นเดิม
“งั้นเราไปดู”
“เอ๊ะนั่น เจียหมิง!!” เป็นเสียงลุงโม่ไม่ผิดแน่ เจ้าของชื่อหันขวับไปมอง พอเห็นว่าเป็นใคร
ตุ้บ
ร่างกายที่ฝืนอดทนมาตลอดเพียงเพราะนึกถึงหน้าบุตรสาวทรุดตัวลงพื้นอย่างคนหมดแรง ในที่สุดสิ่งที่เขาอดกลั้นเอาไว้ก็ถึงเวลาปลดปล่อยความหนักอึ้งนี้เสียที โชคดีก่อนที่สลบไปมีคนเข้ามารับร่างไว้ทัน ไม่งั้นหัวคงได้ฟาดฟื้น
“นะ นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
“อึก อ้วกกกก” บางคนทนมองภาพเบื้องหน้าไม่ไหว พากันอาเจียนออกมา
“อุแว้ อุแว้”“ที่รักเหนื่อยไหม ขอบคุณที่คลอดบุตรให้พี่อีกคนนะ” หยางหลงเช็ดเหงื่อตรงหน้าผากให้คนรักที่หน้าซีดเซียว“ไม่เลยเจ้าค่ะ แค่เห็นหน้าลูกๆกับพี่ ข้าก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง” เหลียนฮวาที่มีประสบการณ์จากการคลออบุตรครั้งแรกถึงสองคน ครั้งนี้จึงคลอดง่ายมาก หมอหลวงที่เดินทางจากแคว้นเว่ยโดยเฉพาะอุ้มเด็กน้อยตัวอวบอ้วนเข้ามา“ขอแสดงความยินดีกับชินอ๋องและพระชายา เป็นเด็กทารกเพศชาย ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์เพคะ” หมอหญิงส่งเด็กทารกให้แก่ชินอ๋อง หยางหลงรับมาด้วยความทะนุถนอม“อีกแล้ว ข้าอุ้มท้องเขามา 9 เดือนนะเจ้าคะ” เหลียนฮวาพูดอย่างน้อยใจ เมื่อบุตรลายคนที่สามไม่มีส่วนไหนเหมือนนางเช่นเดียวกัน นี่น้ำเชื้อเขาแรงมากเลยหรือ ลูกออกมาสามคน หน้าตาเหมือนเขาทุกคน“ฮ่าๆ คนที่สี่ต้องเหมือนเจ้าอย่างแน่นอน” หยางหลงพูดด้วยรอยยิ้ม เหลียนฮวาได้แต่อ้าปาก
แคว้นฉินพระราชวัง“ฮื่อ ฮื่อ” เสียงเด็กน้อยร่ำไห้อยู่ข้างเตียงของหญิงนางหนึ่ง“แค่ก ๆ ขะ ข้าไม่น่า คะ คลอดเด็กอย่างเจ้าออกมาเลย” องค์หญิงใหญ่กล่าวด้วยใบหน้าโกรธแค้น ตัวนางซูบผอมเหลือแต่กระดูก อันเนื่องจากคลอดเด็กลูกครึ่งผีดิบที่กัดกินชีวิตนางตั้งแต่อยู่ในครรภ์ นางหวังให้ลูกของนางเติบโตมาแข็งแกร่งเหมือนพ่อ ทว่าเด็กออกมากลับเป็นผู้หญิง นอกจากอ่อนแอแถมยังไร้ประโยชน์ทำไมกันนะ ชีวิตของนางถึงไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง ตั้งแต่มีพระสวามี เขาก็ทิ้งนางให้อยู่ท่ามกลางผีดิบ ดีที่ยังมีคนรับใช้หลงเหลือไว้ให้อยู่ แต่รอบตัวก็เต็มไปด้วยผีดิบ ไม่มีใครสามารถออกจากแคว้นได้เลย มีครั้งหนึ่งที่แม่ทัพของเคยคิดออกจากแคว้น ทว่ายังไปได้ไม่ไกล ต่างโดนเหล่าผีดิบเข้ามากัดกินทั้งเป็น หลังจากนั้นก็ไม่มีใครกล้าออกไปนอกแคว้นอีกเลย“ท่างแม่…”“ยะ อย่า แ
4 ปีต่อมา“เสี่ยวชุน เสี่ยวเฉินลงมาจากต้นไม้เดี๋ยวนี้!!” เหลียนฮวาตะโกนบอกบุตรชายตัวแสบวัยสามขวบทั้งสอง อุ้มท้องมา 9 เดือน แต่ไม่มีส่วนใดได้นางมาเลย เด็กๆถอดแบบพี่หยางมาทั้งหมด ชอบปีนต้นไม้เหมือนใครก็ไม่รู้? แถมยังหลบหนีพี่เลี้ยงเก่งเป็นที่หนึ่ง“ปี้ชายลงไปก่อนซี่” เสี่ยวชุนหรือเว่ยชุนหวงเอ่ยบอกพี่ชายที่คลอดก่อนตนเพียง 5 วินาที ร่างกลมป้อมอวบอัด ทว่ากลับว่องไวกว่าคนเป็นพี่บุ้ยปากให้พี่ชายลงจากต้นไม้ก่อน“เจ้าเปงน้องก็ต้องลงก่อง” เสี่ยวเฉินหรือเว่ยเฉินอี้กล่าวบอกผู้เป็นน้อง ทั้งสองเกี่ยงกันลงก่อนเนื่องจากยังดูพวกท่านตาฝึกซ้อมยังไม่เสร็จ“ลง มา พร้อม กัน” เหลียนฮวาจำต้องเน้นเสียงทีล่ะคำบอกบุตรชาย ไม่งั้นก็ยังเกี่ยงกันไม่เลิก บุตรชายของนางทั้งสองชื่นชอบการต่อสู้เป็นพิเศษ หากเห็นทหารหรือบรรดาตาๆตัวเองฝึกก็จะรีบขอตามไปดูอย่างไวพวกเด็กๆจะเรียกพ่อของนางว่าต
“เหนื่อยหรือไม่” หยางหลงเอ่ยถามเจ้าสาวของตนหลังคืนแต่งงานผ่านพ้นไป คนรักที่กลายมาเป็นภรรยาและคู่ชีวิตของเขานับแต่นี้เหลียนฮวานั่งตัวเกร็งอย่างทำอะไรไม่ถูก นางกำลังเผชิญกับคืนเข้าหอเป็นครั้งแรก“…”“เหตุใดไม่คุยกับพี่้เล่า” หยางหลงค่อยๆเปิดผ้าคลุมเจ้าสาวเชยคางมนมาสบตา ทั้งสองสบตากันอย่างลึกซึ้ง“ตะ ต้องดื่มเหล้าก่อนมงคลเจ้าค่ะ” เหลียนฮวาที่ไม่รู้จะหาข้ออ้างอันใดมาเอ่ยจึงมองไปที่กาใส่เหล้ามงคลเอาไว้“จริงสิ เป็นขนบธรรมเนียมของที่นี่” หยางหลงยิ้มกริ่มก่อนจะค่อยๆเทเหล้ามงคลจากกาน้ำสองจอดและยกขึ้นมาถือไว้“ดื่มเถิด” เขายื่นให้คนรักหนึ่งแก้วและถือไว้เองหนึ่งแก้ว ทั้งสองคล้องแขนกันก่อนจะยกขึ้นดื่มพร้อมกัน ทั้งกลิ่นทั้งรสชาติของเหล้ามีความแรงจนเหลียนฮวาต้องนิ่วหน้า นางรีบกลืนภายในอึกเดียว ไม่นานหน้
“ถวายบังคมเสด็จพ่อ” ฮ่องเต้สวรรค์มองบุตรสาวด้วยสายตาไม่พอใจนัก“เจ้ารู้ความผิดที่ก่อหรือไม่เทพธิดาเหมยลี่” น้ำเสียงดังก้องกังวาลไปทั่วชั้นฟ้า“ไม่เพคะ” เทพธิดาเหมยลี่เชิดหน้าไม่ยอมแพ้“เจ้า!!!”“ลูกไม่คิดว่าการที่พวกเรารักกันจะผิดตรงไหน”“แม้จะไม่มีบัญญัติว่าห้ามรักต่างฐานันดร แต่เจ้าก็ทำผิดกฎสวรรค์ เจ้ากำลังตั้งครรภ์!!!” ฮ่องเต้สวรรค์แทบลมจับ สั่งให้ทูตสวรรค์หรือที่เรียกทหารในโลกมนุษย์พาธิดากลับมาและนำไอ้ชายที่มันล่อลวงบุตรสาวของเขามารับโทษ“ตั้งครรภ์ จริงสิ เสด็จพ่อทรงมีหลานแล้วเพคะ นางจะเป็นเทพธิดาตนใดมาเกิดกันนะ” เหมยลี่พูดไปยิ้มไป สายใยแม่ลูกทำให้รู้ว่าในครรภ์ของนางเป็นเพศหญิง พลางลูบหน้าท้องแบนราบของตน“ช่างเรื่องนั้นก่อน เจ้าต้องได้รับโทษ” ฮ่องเต้สวร
“พี่หยาง ผักที่เราปลูกงอกแล้วเจ้าค่ะ” เหลียนฮวากล่าวอย่างตื่นเต้น เป็นล็อตสองที่ทดลองปลูก แถมผักที่ปลูกยังเป็นชนิดใหม่“หืม งอกเร็วมาก ยังไม่ถึงเดือน” หยางหลงรีบเข้ามาดูต้นผักตามคนรักชี้บอก วันนี้พ่อตาและคนอื่นไม่อยู่ต้องไปทำภารกิจ“เพราะดินที่เราหมั่นบำรุงมั้งเจ้าคะ”ฟอดดด“เพราะเราช่วยกันปลูกต่างหาก” ขายหนุ่มแอบหอมแก้มแฟนสาวเร็วๆ แล้วส่งยิ้มกระชากใจหลังจากกลับจากแคว้นเว่ยมีประกาศอย่างเป็นทางการเรื่องว่าที่พระชายาองค์ชายห้า เล่นเป็นข่าวดัง พูดถึงกันอยู่พักใหญ่เพราะว่าที่พระชายาเป็นคนต่างแคว้นแถมยังเป็นสามัญชน ทว่าทั้งคู่กลับไม่มีใครสนใจ พากันเดินทางไปแคว้นจ้าวสลับกับแคว้นเว่ย ไปๆมาๆระหว่างสองแคว้น แถมยังหวานกันยิ่งกว่าเดิม เนื่องจากไม่ต้องปกปิดตัวตนอีกต่อไป“ครั้งหน้าหากผักในโรงปลูกผักโตกว่า