LOGINภาพนี้หยุดนิ่งอยู่เนินนานเลือดที่ออกจากทวารทั้งเจ็ดนั้นไม่ได้แห้งเหือดไปเหมือนไหลอยู่ตลอดเวลา ชายชราไม่ดื่มไม่กินยืนเฝ้าเด็กสาวผู้นี้และคอยฟังเสียงลมหายใจที่แผ่วเบาตลอด พอถึงเช้าวันที่แปดเหมือนสีหน้าของเด็กสาวผู้นั้นจะดีขึ้นและเลือดเริ่มหยุดไหลแล้ว ลมหายใจของนางเร็วและถี่ขึ้นเหงื่อนั้นท่วมใบหน้า บางครั้งมีเส้นเลือดปูดวิ่งไปวิ่งมาตามตัว ชายชรามองด้วยความเห็นใจเด็กคนนี้กำลังจะต่อสู้กับดวงดาวที่ตนเลือกแล้ว ทางด้านเด็กน้อยกำลังลังเลว่าจะเลือกดาวดวงใดแต่อยู่ๆเหมือนสติก็ดับวูบลงไปพอได้สติอีกครั้งเหมือนแขนขาของเขาถูกตึงไว้ผิวหนังของนางร้อนระอุราวกับถูกไฟลวก อุณหภูมิร่างกายสูงเกินกว่าปกติ เลือดในกายขับเคลื่อนรวดเร็วราวน้ำเดือด ดวงตาร้อนฉานเหมือนเปลวเพลิงเผา ลมปราณถูกเร่งเร้าเกินขีดจำกัด คล้ายเชื้อไฟที่ถูกเติมไม่หยุด ทำให้เส้นลมปราณบางส่วนเหมือนจะถูฉีกแตกได้ หัวใจเต้นแรงจนเหมือนจะทะลุออกจากอก เสียงเลือดสูบฉีดดังสะท้อนในโสตประสาท รู้สึกเหมือนร่างกายถูกเผาจากด้านใน เลือดค่อย ๆ แห้งเหือด เป็นความทุกข์ที่ทรมานยิ่งนัก เหมือนว่ามันจะไม่รู้จักจบสิ้น เด็กน้อยพยายามฝืนทนกับความรู้สึกนี้ มันเหมือนจะกัดกินไปชั่วชีวิต ไม่มีทางที่จะสิ้นสุดไปได้เวลาผ่านไปแล้วผ่านไปเล่านานราวกับมันจะอยู่ชั่วกัปชั่วกัลป์ แต่อยู่ๆก็เหมือมีอะไรมาเปลี่ยนนางรู้สึกเหมือนถูกม่านหมอกบาง ๆ โอบล้อมทั้งร่างกาย เมื่อก่อนที่มันร้อนลนมันเหมือนรู้สึกอุณหภูมิต่ำลงรู้สึกอุ่นๆจนมาถึงอุณหภูมิธรรมดาและเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกโปร่งเบา คล้ายพร้อมจะสลายไปกับเงามืดทุกเมื่อ หัวใจแผ่วช้า ความอบอุ่นภายในค่อย ๆ ถูกกลืนหาย เหลือเพียง ความเย็นว่างเปล่า จนราวกับโลกทั้งใบทอดทิ้ง ความหนาวเหน็บเริ่มเข้ามาแทรกแซงออกมาจากหัวใจไปสู่ปลายเท้าปลายมือและบนศีรษะตอนนี้เหมือนร่างกายถูกน้ำแข็งเกาะหายใจก็จะหายใจแทบไม่ออก ความรู้สึกที่ถูกแช่แข็งนี้เป็นเวลานานจนนางลืมไปแล้วว่าเคยรู้สึกร้อนรุ่มมาก่อน ความรู้สึกเหล่านี้ทำให้นางสิ้นหวังเหมือนว่านางจะไม่ได้มีชีวิตอยู่ต่ออีกแล้ว หายใจออกไปก็เป็นน้ำแข็ง ราวกับเลือดของนางจะแข็งตัวแล้ว ความรู้สึกนี้มันช่างทรมานจับใจ มันช่างทรมานและยาวนานมากเหมือนนางจะถูกแช่อยู่แบบนี้เป็นพันปี ทางด้านชายชราเฝ้ามองเด็กน้อยเวลาล่วงเลยนับปี เด็กน้อยผู้นี้ไม่ได้มีร่างกายที่ซูบผอมแต่อย่างใดกลับมีตัวใหญ่ขึ้นแต่เหมือนตอนนี้สภาพร่างกายของนางนั้นจะเย็นตัวลงจากเดิมแล้ว จากเมื่อครึ่งปีก่อนที่สภาพตัวนางเหมือนร้อนรนเส้นเลือดนั้นปูดพอง แต่ตอนนี้เหมือนมีไอเย็นๆออกมาจากตัวของนางเหงื่อที่ออกตอนแรกๆเหือดหายไปหมดแล้ว ร่างกายของนางรวมไปถึงเส้นผมเหมือนถูกปกคลุมด้วยเกล็ดหิมะ ชายชราได้แต่ยืนมองการเปลี่ยนแปลงของร่างกายเด็กสาวผู้นี้ คัมภีร์เล่มนี้ยังไม่มีใครที่จะฝึกฝนได้เขาจึงไม่รู้ว่าจะต้องนานถึงเท่าไหร่เด็กน้อยผู้นี้ถึงจะตื่นขึ้นมา แต่ดูสภาพแล้วนางไม่ได้อยู่ในอันตรายใดๆแต่นางก็คงจะเจ็บปวดเอาเสียมากๆ ครึ่งปีให้เกร็ดหิมะที่เคยปกคลุมร่างกายของเด็กผู้นี้ก็สลายหายไป แต่อยู่ๆก็เหมือนเจ้าตัวเล็กจะสะท้านขึ้นกระตุกเป็นครั้งเป็นคราวส่วนเจ้าตัวที่นั่งอยู่นั้น อยู่อยู่ก็รู้สึกได้ถึง กระแสไฟฟ้าแหลมคม ไหลพุ่งไปทั่วทั้งกาย เส้นประสาททุกเส้นราวกับถูกเขี่ยให้สั่นสะท้าน หัวใจเต้นถี่แรงคล้ายจะระเบิดออกมา มีแรงกดดันมหาศาล ทับถมลงที่วิญญาณ ทำให้นางสัมผัสถึงเส้นแบ่งบาง ๆ ระหว่างชีวิตกับความตาย กระแสไฟที่เข้ามายังกระแสเลือดทุกกระแสมันไหลไปตั้งแต่ปลายเท้าจนถึงศีรษะ นางรู้สึกราวกับเข็มนับพันจิ้มตั้งแต่ปลายเท้าและลากลามมาเรื่อยๆจนถึงศีรษะไม่มีส่วนใดที่จะไม่บอบช้ำกับความรู้สึกที่ถูกจิ้มเลย ความรู้สึกที่ปวดระบมไปทั่วทั้งตัวที่ถูกทิ้งไม่ว่าจะเป็นผิวหนังดูดข้างในนั้นเรากลับไม่มีพื้นที่ว่างจากการถูกเข็มจิ้มเลย ไม่นานเด็กน้อยรู้สึกหนักหน่วงขึ้นทุกครั้งที่หายใจเข้าออกช่างลำบาก กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และกระดูกเสมือนถูกหล่อหลอมให้หนาแน่น หนักหน่วงไปทั่วทั้งร่างกาย แม้ทุกการเต้นของชีพจรก็เป็นไปได้ด้วยความลำบาก เวลาเกือบจะสามปีแล้วที่เด็กน้อยยังไม่ลืมตาแต่อาการของนางนั้นก็เริ่มเปลี่ยนไปแล้วตอนนี้นางนั้นหายใจได้ช้าขึ้น ลมหายใจกว่าจะหายใจแต่ละครั้งก็เนิ่นนาน เหมือนกำลังรู้สึกอึดอัดอยู่ข้างใน เหมือนคนกำลังหายใจลำบาก เป็นแบบนี้เราๆครึ่งปีก็มีอาการที่เปลี่ยนไปยังหายใจได้เร็วขึ้นและสม่ำเสมอหน้าตาของนางที่เคยย่ำแย่ตอนนี้กับสดใสแล้วเหมือนไม่ได้รับความเจ็บความปวดอะไร ราวกับนางได้ผ่อนคลายแล้วอีกไม่นานนางก็คงจะลืมตาขึ้นมาเป็นแน่ ในความเป็นจริงที่นางรู้สึก เหมือนความเย็นใสแผ่วผ่านเส้นลมปราณ คล้ายหยาดน้ำแรกที่ตกลงบนทะเลสาบในยามรุ่งสาง ทุกความตึงเครียดในกายจะถูกชะล้างออกไป เหลือเพียงความผ่อนคลาย อ่อนโยน และสงบเยียบ ความปวดร้าวหรือบาดแผลในกายราวกับถูกธาราน้ำเย็นสมานอย่างนุ่มนวล นางรู้สึกผ่อนคลายเอาเสียมากๆจนนางเอกนั้นหลงระเริงไปกับความลืมเจ็บลืมปวดลืมหนาวลืมร้อนลืมหนักเหมือนว่าตอนนี้นางอยากจะหยุดไปราวไว้ที่นี่ให้มันนานแสนนานไม่เหมือนกับที่ผ่านมาที่นางอยากจะให้เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน แต่ไม่นานนางก็เริ่มลืมตา ชายชราที่นั่งอยู่รีบมองไป ในคราแรกนึกว่าตัวเองตาฝาดที่เด็กนั้นเหมือนจะขยับตัวแต่พอมองดีๆเด็กนั้นก็ลุกขึ้นจากแท่นที่นางนั่ง ชายชราดีใจรีบลุกขึ้นไปหานาง
"ท่านอาจารย์" เด็กสาวเอ่ยขึ้นและโน้มตัวไปกอดชายชรา เขารู้สึกกลัวเหลือเกินอาจว่าจะไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีกแล้ว ความรู้สึกที่เคยเจ็บปสดนั้นยังรู้สึกไม่หาย เมื่อเห็นหน้าท่านอาจารย์ "เจ้าเด็กน้อยเส้นลมปราณฝึกวรยุทธของเจ้าเปิดแล้วตอนนี้เจ้ามีวรยุทหนึ่งแล้ว เจ้าคงจะเจ็บปวดทุกทนมามากแล้ว กินข้าวแล้วพักก่อนอีกสองสามวัน ข้าจะพาเจ้าไปท่องเที่ยวในป่าเพื่อหาประสบการณ์ เจ้าอยู่ในวัยปักปิ่นแล้ว เจ้ายังคิดถึงบิดาและพี่ชายเจ้าหรือไม่จะกลับไปให้เขาปักปิ่นให้หรือไม่" ชายชราถามขึ้น "อ้าจริงสิข้าใช้เวลานานขนาดนั้นเลยหรือ ข้าจะสิบห้าหนาวแล้วหรือ แต่ข้าคงไม่กลับไปแล้วล่ะ ให้อาจารย์ปักให้ข้าก็พอ" เด็กน้อยกล่าวขึ้น "ก็ใช้น่ะสิ เจ้าจะเป็นสาวแล้วจะได้ออกเรือนแล้ว555" ชายชราเย้าเด็กสาวเลย "ไม่ใช่ว่าท่านชุบเลี้ยงข้ามาเพื่อที่จะขายข้าหรอกนะ" หลิวซือหนาถามผู้เป็นอาจารย์ "ใช่เสียที่ใดไปกินข้าวได้แล้วจะได้พักผ่อน เจ้าคงสำบากมามากแล้ว แต่นี้มันคือจุดเริ่มต้นเส้นทางของเจ้ายังอีกยาวไกล" ชายชรากล่าวเสร็จก็เดินนำไปที่โต๊ะอาหารทั้งสองกินกันอย่างเอร็ดอร่อย เมื่อกินเสร็จหลินซือหยาก็ไปพักผ่อน ชายชราจึงลงเขาไปแสงอรุณแรกสาดลอดหมู่ไม้ ทาบเงาทาบพื้นดินเป็นริ้วทองอ่อนเสียงลมพัดผ่านยอดไม้ดัง “ซู่ซู่” คล้ายเสียงกระซิบจากวิญญาณโบราณในหุบเขาหนทางเบื้องหน้าเต็มไปด้วยหมอกขาวบาง ลึกลับราวม่านแห่งสวรรค์ที่กั้นระหว่างคนกับพลังลมปราณ หลินซื้อหยาย่างเท้าเข้าขึ้นอีกครั้งหลังจากพักผ่อนไปได้เล็กน้อย มือกำดาบไม้แน่น ในหัวใจไม่มีสิ่งใด นอกจากคำอาจารย์ที่ว่า“หากเจ้ามิอาจฝึกจิตให้สงบในหมู่ความวิเวก เจ้าก็ไม่มีวันก้าวข้ามขอบเขตวรยุทธได้”ทุกย่างก้าว นางต้องเผชิญทั้งความเงียบ ความหิว และความกลัวบางคืน เสียงสัตว์คำรามดังก้องในหุบเขาบางยาม ลมเย็นพัดผ่านจนเหมือนมีเงาผู้คนเดินตามอยู่ข้างหลัง แต่เมื่อหลับตาและปล่อยใจเข้าสู่สมาธิ นางกลับสัมผัสได้ถึงจังหวะของลมหายใจที่ผสานกับเสียงป่า ใบไม้ไหว คือการเต้นของพลังชีวิตสายน้ำที่ไหล คือการหมุนเวียนแห่งลมปราณและในที่สุด นางก็เข้าใจว่า “วรยุทธ มิได้อยู่ในคัมภีร์ แต่อยู่ในหัวใจผู้ไม่ยอมแพ้”ในป่า จากเด็กสาวที่กลัวเสียงสัตว์กลายเป็นนักยุทธที่ยืนหยัดได้กลางพายุฝนมือขวาจับดาบนิ่งสงบ ดวงตาแน่วแน่พลังภายในพลุ่งพล่านเหมือนสายน้ำที่ไหลกลับสู่ต้นธาร ราตรีนั้น ฟ้าปิดเงียบไร้ดา
เช้าวันต่อมาสองคนอาจารย์กับลูกศิษย์เมื่อกินข้าวกันเสร็จ ก็เตรียมตัวที่จะออกไปเดินป่าปกติเด็กน้อยจะไม่ค่อยได้ออกไปเดินป่าสักเท่าไหร่เพราะว่าในป่านั้นมันอันตรายชายชราจึงไม่อยากให้นางได้ไป แต่วันนี้นางมีวรยุทธถึงขั้นหนึ่งแล้ว นางจึงจำเป็นที่จะต้องหาประสบการณ์บ้าง ชายชราเพียงส่งเด็กน้อยไว้ในป่าที่เขาสามารถควบคุมได้และกลับไปยังเรือนของตัวเอง ยามที่เด็กน้อยผู้นี้ประสบภัยในป่านี้เขาก็จะได้รับรู้เป็นผู้แรกและจะมาช่วยนางได้ทันแน่นอน เมื่อนางเดินเพียงลำพังนางก็ขวัญคิดเมื่อนั้นทุกข์ได้ออกจากบ้านครั้งแรกตอนนั้นนางรู้สึกกลัวได้แต่เดินอยู่ในป่าแต่ณเวลานี้นางรู้สึกว่านางไม่ใช่เด็กคนนั้นอีกแล้วเพราะท่านอาจารย์บอกว่านางต้องหาประสบการณ์ในป่าต้องสู้กับสิ่งต่างๆไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร อาจารย์จะมารับในอีกสามวัน นางจะได้เผชิญโลกกว้างด้วยตัวเองเป็นครั้งแรกนางรู้สึกตื่นเต้นมากๆ นางไม่รู้เลยว่าอยู่เฉยๆตัวเองจะมีวรยุทธ์ลำดับหนึ่งขึ้นมาได้อย่างไร แต่เอาเข้าจริงๆนางก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ เพราะในความที่นางฝันนั้นมันเหมือนจริงมากๆ นางทรมานมากๆแล้วเป็นเวลานานเสียด้วย แต่ถ้าหากให้นางฝึกยุทแล้วทรมานขนาดนี้ แล้วมีวรยุทธ์เพียง
ชายชราลงเขาเพื่อไปหาเครื่องประดับสำหรับสตรีสำหรับเขาแล้วไม่เคยชินสำหรับการสรรค์หาสักเท่าไหร่ หมู่บ้านเล็กๆที่มีของขายมากมายส่วนมากจะเป็นผู้ที่มีวรยุทธ์ไปจับจ่ายซื้อของที่ได้มาจากเขา นายพรานชอบล่าสัตว์ป่าบางประเภทที่หายากมาขาย แร่ธาตุต่างๆที่เหมาะสมสำหรับฝึกวรยุทธ์ รวมไปถึงส่วนใดส่วนหนึ่งของสัตว์ เช่นงาสัตว์และเขาสัตว์ที่หายากอีกต่างหาก เขาเดินเที่ยวหาเครื่องประดับสตรีอยู่ตั้งนาน"อ้า ไป๋อีเฟิงเจ้าทำอะไรของเจ้าน่ะหาอะไรอยู่หรือเปล่า แต่ที่เจ้าหานั้นเป็นของสตรีนี่เจ้าจะหาไปให้ผู้ใดกันหรือ"เสียงชายชราผู้หนึ่งดังขึ้น มาแต่ไกลชายชราผู้นี้จึงมองไปที่เขา"อ่า เจ้าหม่าเหิง เป็นยังไงล่ะวันนี้ถึงมาเดินตลาดได้นะ"ชายชรากล่าวขึ้นเมื่อเห็นสหายเก่าเดินมาแต่ไกล"เขาว่าช่วงนี้มีหางยูนิคอร์นขายข้าเลยมาเดินดูเสียหน่อยเผื่อจะได้สักเส้น ว่าจะเอาไปต่อกระดูกเจ้าล่ะมาหาอะไรเห็นด้อมๆมองๆกับของพวกสตรีเหล่านี้ "ชายชราอีกคนถามขึ้น"ช่วงนี้ลูกศิษย์ของข้าจะมีอายุครบสิบห้าหนาวแล้ว ข้าจึงต้องทำพิธีปักปิ่นให้นางน่ะ ข้าจึงมาหาปิ่น เพราะเจ้าก็รู้ว่าข้าไม่มีปิ่น"ชายชรากล่าวขึ้น"เฮ้ เจ้ามีลูกศิษย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ก่อ
ภาพนี้หยุดนิ่งอยู่เนินนานเลือดที่ออกจากทวารทั้งเจ็ดนั้นไม่ได้แห้งเหือดไปเหมือนไหลอยู่ตลอดเวลา ชายชราไม่ดื่มไม่กินยืนเฝ้าเด็กสาวผู้นี้และคอยฟังเสียงลมหายใจที่แผ่วเบาตลอด พอถึงเช้าวันที่แปดเหมือนสีหน้าของเด็กสาวผู้นั้นจะดีขึ้นและเลือดเริ่มหยุดไหลแล้ว ลมหายใจของนางเร็วและถี่ขึ้นเหงื่อนั้นท่วมใบหน้า บางครั้งมีเส้นเลือดปูดวิ่งไปวิ่งมาตามตัว ชายชรามองด้วยความเห็นใจเด็กคนนี้กำลังจะต่อสู้กับดวงดาวที่ตนเลือกแล้ว ทางด้านเด็กน้อยกำลังลังเลว่าจะเลือกดาวดวงใดแต่อยู่ๆเหมือนสติก็ดับวูบลงไปพอได้สติอีกครั้งเหมือนแขนขาของเขาถูกตึงไว้ผิวหนังของนางร้อนระอุราวกับถูกไฟลวก อุณหภูมิร่างกายสูงเกินกว่าปกติ เลือดในกายขับเคลื่อนรวดเร็วราวน้ำเดือด ดวงตาร้อนฉานเหมือนเปลวเพลิงเผา ลมปราณถูกเร่งเร้าเกินขีดจำกัด คล้ายเชื้อไฟที่ถูกเติมไม่หยุด ทำให้เส้นลมปราณบางส่วนเหมือนจะถูฉีกแตกได้ หัวใจเต้นแรงจนเหมือนจะทะลุออกจากอก เสียงเลือดสูบฉีดดังสะท้อนในโสตประสาท รู้สึกเหมือนร่างกายถูกเผาจากด้านใน เลือดค่อย ๆ แห้งเหือด เป็นความทุกข์ที่ทรมานยิ่งนัก เหมือนว่ามันจะไม่รู้จักจบสิ้น เด็กน้อยพยายามฝืนทนกับความรู้สึกนี้ มันเหมือนจะก
เหมือนว่าแรกๆนางจะไปได้ไวมากแต่เหมือนตอนนี้ว่านางเริ่มจะชะงักแล้วชายชราจึงมองออกถึงปัญหาของนางว่าตอนนี้นางยังไม่สามารถที่จะสัมผัสกับดวงดาวได้ ตอนนี้นางแค่สัมผัสกับใจของตัวเองเพื่อไม่ให้จินตนาการไปให้เกิดความกลัวตอนนี้ใจนางบริสุทธิ์ก็จริง แต่ยังไม่สามารถรับพลังของดวงดาวได้ อาจจะเป็นเพราะว่านางกังวลเรื่องที่จะเลือกดวงดาวก็มีส่วน"คืนนี้ในการนั่งสมาธิเจ้าเงยหน้าไปมองดูดวงดาวนับร้อยนับพันพวกนั้นให้เจ้าจดจำสิ่งที่มันกระพริบให้ดีราวๆครึ่งคืนให้เจ้าหลับตาลงสู่สมาธิเจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องที่จะเลือกดาวผิดหรือถูกตอนนี้เจ้าเป็นกังวลอยู่จึงทำให้ตัวเจ้าเองนั้นไม่มีความก้าวหน้า เจ้าจงคิดเสียว่าชีวิตเจ้ามาถึงขนาดนี้ได้มันดีแค่ไหนแล้ว การเลือกดวงดาวนั้นมันก็เป็นจังหวะของชีวิต มันจะมีดาวดวงหนึ่งที่สีสวยที่เจ้ามองแล้วก็ชอบนั่นแหละมันคือจังหวะชีวิตของเจ้าหากเจ้าเลือกมันมาแล้วมันเป็นดาวมรณะเจ้าก็ต้องทำใจว่าเจ้าต้องยอมตรงนี้ก่อน หากเจ้าไม่คิดที่จะเปลี่ยนเจ้ายังคิดกลัว เจ้าเองก็ไม่มีวันที่จะก้าวหน้า"ชายชรากล่าวกับเด็กน้อยวัยเจ็ดหนาว เด็กน้อยทำหน้าตาราวกับฟ้าจะถล่ม มันเป็นความรู้สึกกลัวจริงๆ จิตใจของนางก็กล
"ท่านอาจารย์เจ้าคะแล้วคัมภีร์ที่ท่านอาจารย์ให้ข้าศึกษานั้นมันมีทั้งหมดกี่เล่มหรือเจ้าคะ แล้วข้าต้องไปหาจากที่ใด"เด็กน้อยถามขึ้นด้วยความสงสัย"มันจะมีกี่เล่มหรือไปหาที่ใดนั้นท่านอาจารย์ไม่สามารถรับรู้ได้ หากเจ้ามีบุญวาสนาเกี่ยวกับมันเจ้าก่อจะได้สัมผัสกับมันเอง บางครั้งอาจจะเป็นคัมภีร์เล่มๆแบบนี้หรือเจ้าอาจจะสัมผัสด้วยตัวของเจ้าเอง แล้วเจ้าก็จะได้เห็นวิชามันมาในรูปแบบต่างๆเอง อาเป็นว่าตอนนี้เราเริ่มบทเรียนบทแรกเพื่อที่จะให้เจ้าได้เปิดเส้นลมปราณฝึกวรยุทธ์เสียก่อนเถอะ"ชายชรากล่าวขึ้น"จะฝึกได้อย่างไรหรือเจ้าคะในเมื่อเขาให้ฝึกตอนกลางคืน ให้ไปนั่งสมาธิรับแสงดวงดาวเพื่อที่จะให้แสงแห่งพลังข้ามาในร่างกายให้มันมากๆ"เด็กน้อยกล่าวขึ้น"ใช่แล้วแหละเขาให้เจ้ามานั่งสมาธิเพื่อที่จะรับแสงจากดวงดาวแต่ตอนกลางวันนั้นเจ้าก็ยังต้องฝึกร่างกายเหมือนเดิมนั่นก็คือยืนขาข้างเดียวให้มั่นคงเสียก่อนไปเถอะ"ชายชรากล่าวขึ้น เด็กน้อยก็ทำตาม ณ เวลานี้นางเริ่มที่จะยืนขาเดียวได้แบบไม่เซแล้วเล็กน้อยแต่ใช้เวลาไม่นานนางก็ต้องเปลี่ยนใช้ขาอีกข้างนึงสลับกันไปในหนึ่งวัน นางก็รู้สึกเหนื่อยล้าแล้ว แต่นี้ท่านอาจารย์ยังจะให้นั่ง







