LOGINเหมือนว่าแรกๆนางจะไปได้ไวมากแต่เหมือนตอนนี้ว่านางเริ่มจะชะงักแล้วชายชราจึงมองออกถึงปัญหาของนางว่าตอนนี้นางยังไม่สามารถที่จะสัมผัสกับดวงดาวได้ ตอนนี้นางแค่สัมผัสกับใจของตัวเองเพื่อไม่ให้จินตนาการไปให้เกิดความกลัวตอนนี้ใจนางบริสุทธิ์ก็จริง แต่ยังไม่สามารถรับพลังของดวงดาวได้ อาจจะเป็นเพราะว่านางกังวลเรื่องที่จะเลือกดวงดาวก็มีส่วน
"คืนนี้ในการนั่งสมาธิเจ้าเงยหน้าไปมองดูดวงดาวนับร้อยนับพันพวกนั้นให้เจ้าจดจำสิ่งที่มันกระพริบให้ดีราวๆครึ่งคืนให้เจ้าหลับตาลงสู่สมาธิเจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องที่จะเลือกดาวผิดหรือถูกตอนนี้เจ้าเป็นกังวลอยู่จึงทำให้ตัวเจ้าเองนั้นไม่มีความก้าวหน้า เจ้าจงคิดเสียว่าชีวิตเจ้ามาถึงขนาดนี้ได้มันดีแค่ไหนแล้ว การเลือกดวงดาวนั้นมันก็เป็นจังหวะของชีวิต มันจะมีดาวดวงหนึ่งที่สีสวยที่เจ้ามองแล้วก็ชอบนั่นแหละมันคือจังหวะชีวิตของเจ้าหากเจ้าเลือกมันมาแล้วมันเป็นดาวมรณะเจ้าก็ต้องทำใจว่าเจ้าต้องยอมตรงนี้ก่อน หากเจ้าไม่คิดที่จะเปลี่ยนเจ้ายังคิดกลัว เจ้าเองก็ไม่มีวันที่จะก้าวหน้า" ชายชรากล่าวกับเด็กน้อยวัยเจ็ดหนาว เด็กน้อยทำหน้าตาราวกับฟ้าจะถล่ม มันเป็นความรู้สึกกลัวจริงๆ จิตใจของนางก็กลัวนางเองเป็นแค่เด็กน้อยจะไม่มีความกลัวที่จะตายได้อย่างไร แต่นางศึกษาคัมภีร์มรณะดารามันคือความเพียรความตายเมื่อเข้าไปสู่โลกระหว่างเป็นกับตายจะทำให้เส้นลมปราณฝึกฝนนั้นค่อยๆเปิดออก เราจึงจะใช้ผลประโยชน์กับส่วนนี้ได้ แต่ตอนนี้ในใจของนางยังไม่อยากตาย มันจึงทำให้การฝึกไปด้วยความช้า นางจึงเริ่มปฏิบัติใหม่ตอนนี้ทางร่างกายของนาง นางสามารถยืนขาเดียวได้เป็นเวลาทั้งวันแล้ว แต่ถายในนั้นนางต้องปรับเปลี่ยนความคิดให้เข้าไปอยู่ใกล้จุดตายมากที่สุด นางเงยหน้ามองดวงดาวครึ่งคืนมาราวๆเกือบจะหนึ่งปีแล้วในที่สุดนางก็สามารถสัมผัสถึงความเคลื่อนไหวของดวงดาวได้ สายตาของเด็กน้อยปิดสนิท ทว่ารู้สึกถึงประกายดาวที่ส่องอยู่เหนือศีรษะ ลมหายใจหนึ่งเข้า นางสัมผัสพลังธาตุฟ้าไหลรินเข้าสู่ตัวของนาง ลมหายใจหนึ่งออก พลังนั้นค่อยๆ กลั่นกรองเป็นหมอกขาวโอบล้อมกาย เมื่อหายใจยาวลึกจนประสานกับจังหวะการเต้นของดวงดาว ร่างกายเริ่มสั่นสะเทือนเล็กน้อย คล้ายกับว่าหัวใจของนางกำลังสอดประสานกับจังหวะของฟากฟ้า ดาวแต่ละดวงส่งเสียงทุ้มต่ำที่ผู้คนทั่วไปไม่เคยได้ยิน แต่สำหรับเด็กน้อยผู้นี้เสียงนั้นคือทำนองแห่งจักรวาล อันเป็นรากฐานของพลังไร้ขอบเขต พลังปราณเริ่มไหลเวียนตามเส้นทางใหม่ที่ไม่เคยเปิดมาก่อน ร่างกายเหมือนกลายเป็นส่วนหนึ่งของผืนฟ้า เมื่อดาวกระพริบหนึ่งครั้ง ลมหายใจของนางก็ขยายพลังเป็นคลื่นสะท้อนออกไปทั่วพลังนั้นไปปะทะกับ ประตูเรือนของชายชราจึงทำให้ชายชราต้องตื่นขึ้นมาเขาแง้มประตูออกไปดูก็พบกับพลังมหาศาลที่ออกมาจากร่างของเด็กน้อย เส้นลมปราณของนางได้เปิดออกแล้วชายชรายิ้มด้วยความดีใจ เด็กน้อยเหมือนว่าติดอยู่ในห้วงดวงดาวนั้นไม่สามารถถอดจิตใจออกมาได้เลย เขารู้ดีว่า…นี่คือจุดเริ่มต้นของ การประสานชีพจรแห่งดาว แต่เขาจะเลือกอะไรดีเล่า ในเมื่อดวงดาวทั้งเจ็ดแห่งมรณะดารานั้นสว่างไสวทุกดวงและนางเองก็ชอบทุกดวง ดวงแรกดวงอัคคีสุริยัน (เพลิงโลหิต) มันเปล่งประกายแดงฉานดั่งเปลวเพลิงเผาผลาญ สัญลักษณ์ของพลังดุดัน ความกล้าหาญ และความบ้าคลั่ง ผู้เลือกดาวนี้จะได้พลังโจมตีอันรุนแรง แต่ต้องแลกด้วยการเผาผลาญลมปราณและชีวิตตนเองทีละน้อย ดวงที่สองดวงจันทราอัสสุรา (เงาลวง)ส่องแสงหม่นเย็นเยียบดั่งแสงจันทร์ซ่อนเร้นในม่านหมอก มอบพลังแห่งมายาและเงา ผู้เลือกดาวนี้จะควบคุมภาพลวง ความมืด และการแฝงตัว แต่ต้องทนกับความว้าเหว่เย็นเยียบในจิตใจ ดวงที่สามดวงอัสนีคราม (สายฟ้าสวรรค์ดำ) ส่องประกายฟ้าแหลมคม ดั่งสายฟ้าที่ฉีกผืนฟ้า มอบพลังแห่งความเร็ว ปราดเปรียว และอสนีบาตที่ทำลายล้างทุกสิ่ง แต่ผู้ครอบครองมักอายุสั้นราวกับฟ้าแลบ ดวงที่สี่ดวงพสุธามืด (หินพันธนา) แสงมัวหม่นหนักแน่นดั่งหินผา สัญลักษณ์แห่งการป้องกัน ความอดทน และสายสัมพันธ์ต่อโลก ผู้เลือกดาวนี้จะได้กายาแข็งแกร่งราวภูผา แต่หัวใจจะค่อย ๆ แข็งกระด้าง จนอาจไร้ความรู้สึก ดวงที่ห้าดวงมหานทีหมื่นวัง (เกลียวธารานิรันดร์)ส่องประกายฟ้าใสดั่งหยาดน้ำ มอบพลังแห่งการไหลเวียน ลมปราณอ่อนช้อยดั่งสายน้ำ ใช้รักษาและชำระล้างได้ แต่ผู้เลือกอาจถูกกลืนจิตใจให้ไร้รูปดั่งสายน้ำไร้แก่นสาร ดวงที่หกดวงเมฆามรณะ (หมอกไร้กาลเวลา) ดาวที่ปรากฏเลือนรางราวกับมีบ้างไม่มีบ้าง พลังแห่งความลับ ความเคลื่อนไหวอันคาดเดามิได้ ผู้เลือกจะได้พลังที่ไม่มั่นคง เปลี่ยนแปลงตามชะตา และยากจะควบคุม ดวงที่เจ็ดดวงดาราเนรเทศ (อเวจีวัฏฏะ)ดาวสุดท้ายที่แทบไม่มีผู้ใดกล้าเลือก เปล่งแสงดำสนิท มอบพลังที่ก้าวข้ามสวรรค์และนรก ผู้เลือกจะได้อานุภาพไร้พรมแดน แต่ชีวิตจะถูกผูกพันกับความตาย ไม่อาจหลีกหนีชะตาแห่งการสูญสิ้น ระหว่างที่หัวใจของนางกำลังลังเลอยู่เฉยๆก็เกิดขึ้นพายุลูกใหญ่ถาโถมเข้ามาหานางและความรู้สึกของนางก็ดับไป ภาพที่ผู้เฒ่าเห็นบนแท่นฝึกอันเงียบสงัด แสงจันทร์สาดต้องร่างลูกศิษย์ที่นั่งขัดสมาธิกลางแท่นนั้น ลมค่ำคืนพัดเอื่อย กลับพาเอาความหนาวเย็นสู่หัวใจชายชรา เลือดแดงค่อย ๆ ซึมออกจากทวารทั้งเจ็ด ดั่งกลีบกุหลาบต้องหยาดฝน กระเซ็นลงบนผิวหินทอประกายเยียบเย็น แววตาของชายชราสั่นระริก มองภาพนั้นด้วยความทุกข์ร้าวสุดหัวใจ แต่ก้าวขาไม่ออก—เพราะรู้ดีว่าหากเข้าไปช่วย เพียงสัมผัสเดียวอาจทำลายสมาธิและชีวิตของเด็กสาวผู้นี้ทันที หรือว่านางจะเลือกดวงดาวผิดกันนะถึงได้มีสภาพเช่นนี้เด็กน้อยวัยสิบหนาวยังไม่รู้ประสีประสา แต่เขาเองที่เป็นอาจารย์บอกให้เด็กน้อยเลือกชายชรารู้สึกผิดอยู่ลึกๆ มือที่เคยมั่นคงกลับสั่นไหวอยู่ข้างลำตัว แววตาเต็มไปด้วยความเวทนาและความเจ็บปวดที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยได้ เสียงลมหายใจของเด็กน้อยแผ่วบางราวกับจะดับลงทุกขณะ ชายชราได้เพียงยืนเฝ้ามอง คล้ายถูกพันธนาการด้วยโชคชะตา ความหวาดกลัวจะสูญเสียกรีดลึกในใจอย่างเงียบงัน ในใจเก็บลึกๆหากเด็กคู่นี้เป็นอะไรไปมันเป็นความผิดของเขาทุกประการคัมภีร์ที่อันตรายแบบนี้ผู้ใหญ่บางคนยังไม่สามารถฝึกได้แต่เขานั้นก็ยังบังคับให้เด็กผู้นี้ฝึก จนมีสภาพย่ำแย่ขนาดนี้ ชายชราจึงยืนมองโดยไม่ไปไหนแสงอรุณแรกสาดลอดหมู่ไม้ ทาบเงาทาบพื้นดินเป็นริ้วทองอ่อนเสียงลมพัดผ่านยอดไม้ดัง “ซู่ซู่” คล้ายเสียงกระซิบจากวิญญาณโบราณในหุบเขาหนทางเบื้องหน้าเต็มไปด้วยหมอกขาวบาง ลึกลับราวม่านแห่งสวรรค์ที่กั้นระหว่างคนกับพลังลมปราณ หลินซื้อหยาย่างเท้าเข้าขึ้นอีกครั้งหลังจากพักผ่อนไปได้เล็กน้อย มือกำดาบไม้แน่น ในหัวใจไม่มีสิ่งใด นอกจากคำอาจารย์ที่ว่า“หากเจ้ามิอาจฝึกจิตให้สงบในหมู่ความวิเวก เจ้าก็ไม่มีวันก้าวข้ามขอบเขตวรยุทธได้”ทุกย่างก้าว นางต้องเผชิญทั้งความเงียบ ความหิว และความกลัวบางคืน เสียงสัตว์คำรามดังก้องในหุบเขาบางยาม ลมเย็นพัดผ่านจนเหมือนมีเงาผู้คนเดินตามอยู่ข้างหลัง แต่เมื่อหลับตาและปล่อยใจเข้าสู่สมาธิ นางกลับสัมผัสได้ถึงจังหวะของลมหายใจที่ผสานกับเสียงป่า ใบไม้ไหว คือการเต้นของพลังชีวิตสายน้ำที่ไหล คือการหมุนเวียนแห่งลมปราณและในที่สุด นางก็เข้าใจว่า “วรยุทธ มิได้อยู่ในคัมภีร์ แต่อยู่ในหัวใจผู้ไม่ยอมแพ้”ในป่า จากเด็กสาวที่กลัวเสียงสัตว์กลายเป็นนักยุทธที่ยืนหยัดได้กลางพายุฝนมือขวาจับดาบนิ่งสงบ ดวงตาแน่วแน่พลังภายในพลุ่งพล่านเหมือนสายน้ำที่ไหลกลับสู่ต้นธาร ราตรีนั้น ฟ้าปิดเงียบไร้ดา
เช้าวันต่อมาสองคนอาจารย์กับลูกศิษย์เมื่อกินข้าวกันเสร็จ ก็เตรียมตัวที่จะออกไปเดินป่าปกติเด็กน้อยจะไม่ค่อยได้ออกไปเดินป่าสักเท่าไหร่เพราะว่าในป่านั้นมันอันตรายชายชราจึงไม่อยากให้นางได้ไป แต่วันนี้นางมีวรยุทธถึงขั้นหนึ่งแล้ว นางจึงจำเป็นที่จะต้องหาประสบการณ์บ้าง ชายชราเพียงส่งเด็กน้อยไว้ในป่าที่เขาสามารถควบคุมได้และกลับไปยังเรือนของตัวเอง ยามที่เด็กน้อยผู้นี้ประสบภัยในป่านี้เขาก็จะได้รับรู้เป็นผู้แรกและจะมาช่วยนางได้ทันแน่นอน เมื่อนางเดินเพียงลำพังนางก็ขวัญคิดเมื่อนั้นทุกข์ได้ออกจากบ้านครั้งแรกตอนนั้นนางรู้สึกกลัวได้แต่เดินอยู่ในป่าแต่ณเวลานี้นางรู้สึกว่านางไม่ใช่เด็กคนนั้นอีกแล้วเพราะท่านอาจารย์บอกว่านางต้องหาประสบการณ์ในป่าต้องสู้กับสิ่งต่างๆไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร อาจารย์จะมารับในอีกสามวัน นางจะได้เผชิญโลกกว้างด้วยตัวเองเป็นครั้งแรกนางรู้สึกตื่นเต้นมากๆ นางไม่รู้เลยว่าอยู่เฉยๆตัวเองจะมีวรยุทธ์ลำดับหนึ่งขึ้นมาได้อย่างไร แต่เอาเข้าจริงๆนางก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ เพราะในความที่นางฝันนั้นมันเหมือนจริงมากๆ นางทรมานมากๆแล้วเป็นเวลานานเสียด้วย แต่ถ้าหากให้นางฝึกยุทแล้วทรมานขนาดนี้ แล้วมีวรยุทธ์เพียง
ชายชราลงเขาเพื่อไปหาเครื่องประดับสำหรับสตรีสำหรับเขาแล้วไม่เคยชินสำหรับการสรรค์หาสักเท่าไหร่ หมู่บ้านเล็กๆที่มีของขายมากมายส่วนมากจะเป็นผู้ที่มีวรยุทธ์ไปจับจ่ายซื้อของที่ได้มาจากเขา นายพรานชอบล่าสัตว์ป่าบางประเภทที่หายากมาขาย แร่ธาตุต่างๆที่เหมาะสมสำหรับฝึกวรยุทธ์ รวมไปถึงส่วนใดส่วนหนึ่งของสัตว์ เช่นงาสัตว์และเขาสัตว์ที่หายากอีกต่างหาก เขาเดินเที่ยวหาเครื่องประดับสตรีอยู่ตั้งนาน"อ้า ไป๋อีเฟิงเจ้าทำอะไรของเจ้าน่ะหาอะไรอยู่หรือเปล่า แต่ที่เจ้าหานั้นเป็นของสตรีนี่เจ้าจะหาไปให้ผู้ใดกันหรือ"เสียงชายชราผู้หนึ่งดังขึ้น มาแต่ไกลชายชราผู้นี้จึงมองไปที่เขา"อ่า เจ้าหม่าเหิง เป็นยังไงล่ะวันนี้ถึงมาเดินตลาดได้นะ"ชายชรากล่าวขึ้นเมื่อเห็นสหายเก่าเดินมาแต่ไกล"เขาว่าช่วงนี้มีหางยูนิคอร์นขายข้าเลยมาเดินดูเสียหน่อยเผื่อจะได้สักเส้น ว่าจะเอาไปต่อกระดูกเจ้าล่ะมาหาอะไรเห็นด้อมๆมองๆกับของพวกสตรีเหล่านี้ "ชายชราอีกคนถามขึ้น"ช่วงนี้ลูกศิษย์ของข้าจะมีอายุครบสิบห้าหนาวแล้ว ข้าจึงต้องทำพิธีปักปิ่นให้นางน่ะ ข้าจึงมาหาปิ่น เพราะเจ้าก็รู้ว่าข้าไม่มีปิ่น"ชายชรากล่าวขึ้น"เฮ้ เจ้ามีลูกศิษย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ก่อ
ภาพนี้หยุดนิ่งอยู่เนินนานเลือดที่ออกจากทวารทั้งเจ็ดนั้นไม่ได้แห้งเหือดไปเหมือนไหลอยู่ตลอดเวลา ชายชราไม่ดื่มไม่กินยืนเฝ้าเด็กสาวผู้นี้และคอยฟังเสียงลมหายใจที่แผ่วเบาตลอด พอถึงเช้าวันที่แปดเหมือนสีหน้าของเด็กสาวผู้นั้นจะดีขึ้นและเลือดเริ่มหยุดไหลแล้ว ลมหายใจของนางเร็วและถี่ขึ้นเหงื่อนั้นท่วมใบหน้า บางครั้งมีเส้นเลือดปูดวิ่งไปวิ่งมาตามตัว ชายชรามองด้วยความเห็นใจเด็กคนนี้กำลังจะต่อสู้กับดวงดาวที่ตนเลือกแล้ว ทางด้านเด็กน้อยกำลังลังเลว่าจะเลือกดาวดวงใดแต่อยู่ๆเหมือนสติก็ดับวูบลงไปพอได้สติอีกครั้งเหมือนแขนขาของเขาถูกตึงไว้ผิวหนังของนางร้อนระอุราวกับถูกไฟลวก อุณหภูมิร่างกายสูงเกินกว่าปกติ เลือดในกายขับเคลื่อนรวดเร็วราวน้ำเดือด ดวงตาร้อนฉานเหมือนเปลวเพลิงเผา ลมปราณถูกเร่งเร้าเกินขีดจำกัด คล้ายเชื้อไฟที่ถูกเติมไม่หยุด ทำให้เส้นลมปราณบางส่วนเหมือนจะถูฉีกแตกได้ หัวใจเต้นแรงจนเหมือนจะทะลุออกจากอก เสียงเลือดสูบฉีดดังสะท้อนในโสตประสาท รู้สึกเหมือนร่างกายถูกเผาจากด้านใน เลือดค่อย ๆ แห้งเหือด เป็นความทุกข์ที่ทรมานยิ่งนัก เหมือนว่ามันจะไม่รู้จักจบสิ้น เด็กน้อยพยายามฝืนทนกับความรู้สึกนี้ มันเหมือนจะก
เหมือนว่าแรกๆนางจะไปได้ไวมากแต่เหมือนตอนนี้ว่านางเริ่มจะชะงักแล้วชายชราจึงมองออกถึงปัญหาของนางว่าตอนนี้นางยังไม่สามารถที่จะสัมผัสกับดวงดาวได้ ตอนนี้นางแค่สัมผัสกับใจของตัวเองเพื่อไม่ให้จินตนาการไปให้เกิดความกลัวตอนนี้ใจนางบริสุทธิ์ก็จริง แต่ยังไม่สามารถรับพลังของดวงดาวได้ อาจจะเป็นเพราะว่านางกังวลเรื่องที่จะเลือกดวงดาวก็มีส่วน"คืนนี้ในการนั่งสมาธิเจ้าเงยหน้าไปมองดูดวงดาวนับร้อยนับพันพวกนั้นให้เจ้าจดจำสิ่งที่มันกระพริบให้ดีราวๆครึ่งคืนให้เจ้าหลับตาลงสู่สมาธิเจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องที่จะเลือกดาวผิดหรือถูกตอนนี้เจ้าเป็นกังวลอยู่จึงทำให้ตัวเจ้าเองนั้นไม่มีความก้าวหน้า เจ้าจงคิดเสียว่าชีวิตเจ้ามาถึงขนาดนี้ได้มันดีแค่ไหนแล้ว การเลือกดวงดาวนั้นมันก็เป็นจังหวะของชีวิต มันจะมีดาวดวงหนึ่งที่สีสวยที่เจ้ามองแล้วก็ชอบนั่นแหละมันคือจังหวะชีวิตของเจ้าหากเจ้าเลือกมันมาแล้วมันเป็นดาวมรณะเจ้าก็ต้องทำใจว่าเจ้าต้องยอมตรงนี้ก่อน หากเจ้าไม่คิดที่จะเปลี่ยนเจ้ายังคิดกลัว เจ้าเองก็ไม่มีวันที่จะก้าวหน้า"ชายชรากล่าวกับเด็กน้อยวัยเจ็ดหนาว เด็กน้อยทำหน้าตาราวกับฟ้าจะถล่ม มันเป็นความรู้สึกกลัวจริงๆ จิตใจของนางก็กล
"ท่านอาจารย์เจ้าคะแล้วคัมภีร์ที่ท่านอาจารย์ให้ข้าศึกษานั้นมันมีทั้งหมดกี่เล่มหรือเจ้าคะ แล้วข้าต้องไปหาจากที่ใด"เด็กน้อยถามขึ้นด้วยความสงสัย"มันจะมีกี่เล่มหรือไปหาที่ใดนั้นท่านอาจารย์ไม่สามารถรับรู้ได้ หากเจ้ามีบุญวาสนาเกี่ยวกับมันเจ้าก่อจะได้สัมผัสกับมันเอง บางครั้งอาจจะเป็นคัมภีร์เล่มๆแบบนี้หรือเจ้าอาจจะสัมผัสด้วยตัวของเจ้าเอง แล้วเจ้าก็จะได้เห็นวิชามันมาในรูปแบบต่างๆเอง อาเป็นว่าตอนนี้เราเริ่มบทเรียนบทแรกเพื่อที่จะให้เจ้าได้เปิดเส้นลมปราณฝึกวรยุทธ์เสียก่อนเถอะ"ชายชรากล่าวขึ้น"จะฝึกได้อย่างไรหรือเจ้าคะในเมื่อเขาให้ฝึกตอนกลางคืน ให้ไปนั่งสมาธิรับแสงดวงดาวเพื่อที่จะให้แสงแห่งพลังข้ามาในร่างกายให้มันมากๆ"เด็กน้อยกล่าวขึ้น"ใช่แล้วแหละเขาให้เจ้ามานั่งสมาธิเพื่อที่จะรับแสงจากดวงดาวแต่ตอนกลางวันนั้นเจ้าก็ยังต้องฝึกร่างกายเหมือนเดิมนั่นก็คือยืนขาข้างเดียวให้มั่นคงเสียก่อนไปเถอะ"ชายชรากล่าวขึ้น เด็กน้อยก็ทำตาม ณ เวลานี้นางเริ่มที่จะยืนขาเดียวได้แบบไม่เซแล้วเล็กน้อยแต่ใช้เวลาไม่นานนางก็ต้องเปลี่ยนใช้ขาอีกข้างนึงสลับกันไปในหนึ่งวัน นางก็รู้สึกเหนื่อยล้าแล้ว แต่นี้ท่านอาจารย์ยังจะให้นั่ง







