LOGINยามเช้าหลินซือหยาเก็บเสื้อผ้าของตัวเองใส่ห่อผ้า พร้อมกับอาหารแห้งที่บิดาให้เมื่อคืน สะพายถุงผ้าใบเล็กนั้น แล้วเดินออกจากบ้านมุ่งเดินไปยังทางขึ้นเขา เสียงหัวเราะเยาะจากคนทั้งหมู่บ้านดังตามหลังมาเหมือนเงา นางก้มหน้าลง มือกำชายเสื้อแน่น แต่ในดวงตานั้นกลับลุกเป็นไฟ นางจะไม่ยอมเป็นคนไร้ค่าอย่างที่ใครพูดอีกต่อไป นางจะต้องอยู่ได้ด้วยตัวเองถึงแม้จะไร้วรยุท นางต้องทำให้ทุกคนรู้ว่าการไม่มีวรยุทธนั้นก็อยู่ได้เช่นเดียวกัน นางเดินด้วยเท้ามาราวๆครึ่งวันก็หยุดพัก หลินซือหยามองไปรอบๆต้นไม้เต็มไปหมดเขาไม่เคยรู้สึกโดดเดี่ยวแบบนี้มาก่อนแต่เขารู้สึกดีกว่าที่อยู่หมู่บ้านที่เขาจากมามาก เขาเปิดห่อผ้าออกและนำอาหารแห้งออกมากิน เส้นทางนี้น่าจะมาได้ไกลมากแล้ว นางพยายามไม่กินอาหารมากเนื่องจากว่านางไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางนางนั้นอยู่ที่ใดนางจะไปตั้งหลักปักฐานที่ใดดี สำหรับเด็กวัยห้าหนาวนั้นเป็นเรื่องที่อยู่ยากจริงๆ มารดาของนางอยู่ไหนหากมารดาของนางยังอยู่ ณ เวลานี้จะปล่อยให้เด็กน้อยผู้นี้เดินทางอยู่ในป่าเพียงลำพังหรือไม่นะนางพยายามคิด ถามว่ากลัวไหมนางบอกเลยว่ากลัวเพราะในป่านี้น่าจะมีสัตว์ป่ามากมาย แต่หากนางไม่ออกมาก็จะกลายเป็นตัวหายนะของตระกูลหลิน นางพยายามตั้งสติของเด็กน้อยวัยหนาวเริ่มไม่ให้ตัวเองกลัว เมื่อตะวันเริ่มตกเย็นเสียงสัตว์ป่าก็ร้องกันกึกก้องไม่ว่าจะเป็นสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ปีกก็ร้องกันอย่างละงม ขนาดว่าตอนนี้ยังไม่มืดยังน่ากลัวขนาดนี้แล้วเด็กน้อยวัยห้าหนาวจะไม่รู้สึกกลัวได้อย่างไร หลินซือหยามีน้ำตาไหลออกมาโดยที่เขาไม่รู้ตัว เพราะเขากลัวเข้ามาสิ่งสู่ในใจ สมองอันน้อยๆของนางก็บอกให้นางขึ้นต้นไม้ไป หากอยู่บนต้นไม้จะดีกว่าหากตอนกลางคืนอยู่ข้างล่างนางอาจจะโดนสัตว์คาบไปกินก็ได้ เมื่อนางขึ้นมาแล้วไม่นานก็มืด เสียงสัตว์เหล่านั้นยังร้องกึกก้องอยู่ตลอดเวลา นางพยายามไม่หลับไม่นอนแต่สำหรับเด็กวัยห้าหนาวแล้ว เรื่องนอนคือเรื่องใหญ่เลยทีเดียวจึงทำให้นางเผลอหลับไปดีหน่อยที่ต้นไม้ที่นางขึ้นนั้นโตพอที่จะรับตัวนางไว้ได้ จึงไม่ทำให้นางตกลงไป เมื่อตอนเช้าดวงตะวันขึ้นแสงตะวันนั้นสาดเข้าสู่ดวงตาของนางก็รู้สึกตัวนางพยายามลืมตาขึ้นอย่างช้าๆก็พบว่าตัวเองอยู่ในสภาพที่อยู่บนต้นไม้กำลังกอดกิ่งไม้อยู่เลย ในเวลากลางวันแบบนี้พวกสิงห์สาราสัตว์ก็ไม่ได้ออกมาอีกแล้ว นางจึงรู้ว่านางมีเวลาเดินเพียงยามกลางวันเท่านั้น เวลาใกล้จะค่ำต้องหาที่หลบซ่อนเพราะสิงห์สาราสัตว์มากมายเหลือเกิน นางย้อนไปคิดบิดาของนางเขารู้หรือไม่ว่าบนเขานั้นมันอันตรายขนาดนี้ หรือบิดาจงใจให้นางเข้ามาตายด้วยตัวเองตอนนี้เขาคงคิดแล้วละว่านางคงโดนสัตว์เหล่านี้กัดตายไปแล้ว หลินซือหยากินอาหารแห้งอีกครั้งก่อนที่จะลงจากต้นไม้แล้วเดินทางไปข้างหน้าเรื่อยๆนางมองดูยังภูเขาที่สูงนั้นนางต้องขึ้นไปอยู่บนภูเขาเพราะผู้ที่เป็นบิดาบอกว่าให้นางไปอยู่บนเขาจะได้ไม่ต้องเจอกับผู้คน นางเดินอยู่ในป่านี้มาราวราวสามวันแล้ว แต่นางก็ยังไม่มีวี่แววที่จะขึ้นเขาไปเสียที การเดินทางที่ไม่มีจุดหมายที่ไม่มีแผนที่ในการเดิน การเดินทางเพียงลำพังไม่มีใครให้ถาม การกระทำทุกอย่างขึ้นกับการตัดสินใจของนางเพียงผู้เดียว แต่ตอนนี้ยางยังเด็กต้องการที่พึ่งเอาเสียมากๆ ย้อนคิดไปวันที่จากมาอยู่ในใจน้ำตาก็ไหลอีกครั้ง นางก็เดินไปอย่างไม่ลดละอาหารแห้งขนาดนางกินทีละน้อยแล้ว แต่ของมันก็มีน้อยตอนนี้ก็ใกล้จะหมดแล้ว นางนั่งลงและนำถุงผ้ามาดูหากนางยังกินอยู่แบบนี้อีกสองวันก็น่าจะหมดแล้ว ที่แท้บิดาของเขาอาจจะไม่ต้องการให้เขาถูกกัดตายก็ได้ แต่อาจจะอยากให้เขาอดอาหารตายแทน หลินซือหยาไม่ยอมแพ้เด็ดขาดไม่มีอาหารนางก็ต้องหาผลไม้ เดิมทีนางจะเดินไปทางทิศเดียวเพื่อมุ่งขึ้นเขาเลยจึงไม่ค่อยดูรอบข้างว่ามีผลไม้หรือไม่ แต่ตอนนี้นางก็เน้นหาผมไม้จนลืมโฟกัสเส้นทางเดิมจนในที่สุดนางก็หลงทาง แต่ตอนนี้ผลไม้อยู่เต็มทั้งสองมือของนางแล้วไม่ว่าจะเป็นองุ่นป่าที่รสชาติออกเปรี้ยวหวาน ลูกพลับป่าผลสีส้มแดง ลิ้นจี่ที่ลูกเล็กมีรสชาติเปรี้ยว แถมนางยังได้ฝรั่งป่ามาอีก และมีอีกอย่างหนึ่งที่นางเอามาไม่ได้ก็คือกล้วยป่าที่เครือใหญ่มากนางยังรู้สึกเสียดายไม่หายเพราะกล้วยนั้นยังไม่สุก แต่พอนางมองกลับมาก็รู้แล้วว่านางหลงทางนางไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหนต่อไป เนื่องจากต้นไม้มันก็เหมือนกันหมด คราแรกที่นางเดินก็คือมุ่งหน้าไปข้างหน้าอย่างเดียวแต่พอออกหาอาหารก็กลับลืมเส้นทางเสียแล้ว เด็กวันห้าหนาวห่อผลไม้ใส่ถุงผ้าแล้วขึ้นต้นไม้ไปเพื่อที่จะหลบซ่อนสิงห์สาราสัตว์ได้ตอนกลางคืน เขานั่งกินผลไม้อย่างเอร็ดอร่อย พอตะวันตกดินก็หลับไป เอาเข้าจริงๆการใช้ชีวิตอยู่ในป่านั้นไร้อันตรายเสียมากมาก บางครั้งนางก็เหมือนกับพบสัตว์เล็กสัตว์น้อย แต่นางไม่ได้เข้าไปยุ่งกับมันมันก็ไม่ยุ่งกับนางจนในที่สุดนางก็เริ่มชินแล้ว พอเช้านางก็ลงจากต้นไม้ตามเคยแต่ตอนนี้นางก็ไม่รู้แล้วว่าจะไปทิศทางใด แต่ก่อนแค่มุ่งไปข้างหน้าอย่างเดียว แต่ตอนนี้นางก็สังเกตรอบข้างมากขึ้น ตอนนี้นางน่าจะอยู่ในป่าลึกแล้วต้นไม้แถวนี้มีเห็ดงอกเต็มไปหมด นางเคยดูในตำราของพี่ชายก็พอรู้บ้างว่าเห็ดขนิดใดกินได้เห็ดชนิดใดกินไม่ได้ แต่การกินเห็ดนั้นก็ต้องนำไปทำให้สุกก่อนถึงจะกินได้ แต่นางไม่มีอุปกรณ์ที่ทำให้ก่อไฟแต่อีกอย่างนางก็ก่อไฟตามธรรมชาติไม่เป็นนางเคยรู้วิธีแต่นางก็ไม่เคยลองจึงมองดูเห็นพวกมันเฉยๆไม่ได้เก็บมันนางเห็นสมุนไพรหลายชนิด นางเก็บมาเล็กน้อย ตำราของสำนักศึกษาช่างดีจริงๆ ขนาดว่านางไม่มีเส้นลมปราณในการฝึกประยุทธ์ แต่เมื่ออ่านตำราของพี่ชายก็ได้รู้ถึงพวกเห็ดป่าสมุนไพรรวมไปถึงการพิชิตสัตว์อีกด้วยแต่นางนั้นก็จำเกี่ยวกับการพิชิตสัตว์ไม่ค่อยได้เลยส่วนเรื่องสมุนไพรกับเห็ดนั้นนางจำได้ดี นางยังคิดกลับไปว่าหากว่านางออกจากหมู่บ้านนั้นแล้วไปเจอหมู่บ้านอื่น หมู่บ้านที่ไม่รู้ว่านางเป็นผู้มีเส้นลมปราณที่ปิดตายที่ไม่สามารถฝึกวรยุทธได้ หากนางนำพวกสมุนไพรและเห็ดพวกนี้ไปขายนางก็จะมีชีวิตที่ดีกว่าอยู่ในป่านี้แน่นอน แต่ตอนนี้นางไม่สามารถที่จะรู้ได้เลยว่าตัวเองอยู่จุดใดของป่า และหากออกไปแล้วนางจะกลับเข้ามาจุดนี้อีกก็น่าจะยากอยู่ ด้วยความจำของเด็กวัยห้าหนาวที่ยังไร้เดียงสาจะจำได้อย่างไรว่าจุดนี้มันคือที่ใด ต่อให้อนาคตโตขึ้นพอกลับมานั้นก็คงจะจดจำที่นี่ไม่ได้แล้ว นางเดินไปสักพักใหญ่ๆนางก็พบกับวัตถุสีดำขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้า นางจึงค่อยๆย่องเข้าไปก็พบว่าตรงนั้นมีคนนอนอยู่ นางก็กล้าๆกลัวๆว่าจะเดินเข้าไปดีหรือไม่ แต่สุดท้ายด้วยความอยากรู้อยากเห็นนางก็เดินเข้าไป
แสงอรุณแรกสาดลอดหมู่ไม้ ทาบเงาทาบพื้นดินเป็นริ้วทองอ่อนเสียงลมพัดผ่านยอดไม้ดัง “ซู่ซู่” คล้ายเสียงกระซิบจากวิญญาณโบราณในหุบเขาหนทางเบื้องหน้าเต็มไปด้วยหมอกขาวบาง ลึกลับราวม่านแห่งสวรรค์ที่กั้นระหว่างคนกับพลังลมปราณ หลินซื้อหยาย่างเท้าเข้าขึ้นอีกครั้งหลังจากพักผ่อนไปได้เล็กน้อย มือกำดาบไม้แน่น ในหัวใจไม่มีสิ่งใด นอกจากคำอาจารย์ที่ว่า“หากเจ้ามิอาจฝึกจิตให้สงบในหมู่ความวิเวก เจ้าก็ไม่มีวันก้าวข้ามขอบเขตวรยุทธได้”ทุกย่างก้าว นางต้องเผชิญทั้งความเงียบ ความหิว และความกลัวบางคืน เสียงสัตว์คำรามดังก้องในหุบเขาบางยาม ลมเย็นพัดผ่านจนเหมือนมีเงาผู้คนเดินตามอยู่ข้างหลัง แต่เมื่อหลับตาและปล่อยใจเข้าสู่สมาธิ นางกลับสัมผัสได้ถึงจังหวะของลมหายใจที่ผสานกับเสียงป่า ใบไม้ไหว คือการเต้นของพลังชีวิตสายน้ำที่ไหล คือการหมุนเวียนแห่งลมปราณและในที่สุด นางก็เข้าใจว่า “วรยุทธ มิได้อยู่ในคัมภีร์ แต่อยู่ในหัวใจผู้ไม่ยอมแพ้”ในป่า จากเด็กสาวที่กลัวเสียงสัตว์กลายเป็นนักยุทธที่ยืนหยัดได้กลางพายุฝนมือขวาจับดาบนิ่งสงบ ดวงตาแน่วแน่พลังภายในพลุ่งพล่านเหมือนสายน้ำที่ไหลกลับสู่ต้นธาร ราตรีนั้น ฟ้าปิดเงียบไร้ดา
เช้าวันต่อมาสองคนอาจารย์กับลูกศิษย์เมื่อกินข้าวกันเสร็จ ก็เตรียมตัวที่จะออกไปเดินป่าปกติเด็กน้อยจะไม่ค่อยได้ออกไปเดินป่าสักเท่าไหร่เพราะว่าในป่านั้นมันอันตรายชายชราจึงไม่อยากให้นางได้ไป แต่วันนี้นางมีวรยุทธถึงขั้นหนึ่งแล้ว นางจึงจำเป็นที่จะต้องหาประสบการณ์บ้าง ชายชราเพียงส่งเด็กน้อยไว้ในป่าที่เขาสามารถควบคุมได้และกลับไปยังเรือนของตัวเอง ยามที่เด็กน้อยผู้นี้ประสบภัยในป่านี้เขาก็จะได้รับรู้เป็นผู้แรกและจะมาช่วยนางได้ทันแน่นอน เมื่อนางเดินเพียงลำพังนางก็ขวัญคิดเมื่อนั้นทุกข์ได้ออกจากบ้านครั้งแรกตอนนั้นนางรู้สึกกลัวได้แต่เดินอยู่ในป่าแต่ณเวลานี้นางรู้สึกว่านางไม่ใช่เด็กคนนั้นอีกแล้วเพราะท่านอาจารย์บอกว่านางต้องหาประสบการณ์ในป่าต้องสู้กับสิ่งต่างๆไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร อาจารย์จะมารับในอีกสามวัน นางจะได้เผชิญโลกกว้างด้วยตัวเองเป็นครั้งแรกนางรู้สึกตื่นเต้นมากๆ นางไม่รู้เลยว่าอยู่เฉยๆตัวเองจะมีวรยุทธ์ลำดับหนึ่งขึ้นมาได้อย่างไร แต่เอาเข้าจริงๆนางก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ เพราะในความที่นางฝันนั้นมันเหมือนจริงมากๆ นางทรมานมากๆแล้วเป็นเวลานานเสียด้วย แต่ถ้าหากให้นางฝึกยุทแล้วทรมานขนาดนี้ แล้วมีวรยุทธ์เพียง
ชายชราลงเขาเพื่อไปหาเครื่องประดับสำหรับสตรีสำหรับเขาแล้วไม่เคยชินสำหรับการสรรค์หาสักเท่าไหร่ หมู่บ้านเล็กๆที่มีของขายมากมายส่วนมากจะเป็นผู้ที่มีวรยุทธ์ไปจับจ่ายซื้อของที่ได้มาจากเขา นายพรานชอบล่าสัตว์ป่าบางประเภทที่หายากมาขาย แร่ธาตุต่างๆที่เหมาะสมสำหรับฝึกวรยุทธ์ รวมไปถึงส่วนใดส่วนหนึ่งของสัตว์ เช่นงาสัตว์และเขาสัตว์ที่หายากอีกต่างหาก เขาเดินเที่ยวหาเครื่องประดับสตรีอยู่ตั้งนาน"อ้า ไป๋อีเฟิงเจ้าทำอะไรของเจ้าน่ะหาอะไรอยู่หรือเปล่า แต่ที่เจ้าหานั้นเป็นของสตรีนี่เจ้าจะหาไปให้ผู้ใดกันหรือ"เสียงชายชราผู้หนึ่งดังขึ้น มาแต่ไกลชายชราผู้นี้จึงมองไปที่เขา"อ่า เจ้าหม่าเหิง เป็นยังไงล่ะวันนี้ถึงมาเดินตลาดได้นะ"ชายชรากล่าวขึ้นเมื่อเห็นสหายเก่าเดินมาแต่ไกล"เขาว่าช่วงนี้มีหางยูนิคอร์นขายข้าเลยมาเดินดูเสียหน่อยเผื่อจะได้สักเส้น ว่าจะเอาไปต่อกระดูกเจ้าล่ะมาหาอะไรเห็นด้อมๆมองๆกับของพวกสตรีเหล่านี้ "ชายชราอีกคนถามขึ้น"ช่วงนี้ลูกศิษย์ของข้าจะมีอายุครบสิบห้าหนาวแล้ว ข้าจึงต้องทำพิธีปักปิ่นให้นางน่ะ ข้าจึงมาหาปิ่น เพราะเจ้าก็รู้ว่าข้าไม่มีปิ่น"ชายชรากล่าวขึ้น"เฮ้ เจ้ามีลูกศิษย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ก่อ
ภาพนี้หยุดนิ่งอยู่เนินนานเลือดที่ออกจากทวารทั้งเจ็ดนั้นไม่ได้แห้งเหือดไปเหมือนไหลอยู่ตลอดเวลา ชายชราไม่ดื่มไม่กินยืนเฝ้าเด็กสาวผู้นี้และคอยฟังเสียงลมหายใจที่แผ่วเบาตลอด พอถึงเช้าวันที่แปดเหมือนสีหน้าของเด็กสาวผู้นั้นจะดีขึ้นและเลือดเริ่มหยุดไหลแล้ว ลมหายใจของนางเร็วและถี่ขึ้นเหงื่อนั้นท่วมใบหน้า บางครั้งมีเส้นเลือดปูดวิ่งไปวิ่งมาตามตัว ชายชรามองด้วยความเห็นใจเด็กคนนี้กำลังจะต่อสู้กับดวงดาวที่ตนเลือกแล้ว ทางด้านเด็กน้อยกำลังลังเลว่าจะเลือกดาวดวงใดแต่อยู่ๆเหมือนสติก็ดับวูบลงไปพอได้สติอีกครั้งเหมือนแขนขาของเขาถูกตึงไว้ผิวหนังของนางร้อนระอุราวกับถูกไฟลวก อุณหภูมิร่างกายสูงเกินกว่าปกติ เลือดในกายขับเคลื่อนรวดเร็วราวน้ำเดือด ดวงตาร้อนฉานเหมือนเปลวเพลิงเผา ลมปราณถูกเร่งเร้าเกินขีดจำกัด คล้ายเชื้อไฟที่ถูกเติมไม่หยุด ทำให้เส้นลมปราณบางส่วนเหมือนจะถูฉีกแตกได้ หัวใจเต้นแรงจนเหมือนจะทะลุออกจากอก เสียงเลือดสูบฉีดดังสะท้อนในโสตประสาท รู้สึกเหมือนร่างกายถูกเผาจากด้านใน เลือดค่อย ๆ แห้งเหือด เป็นความทุกข์ที่ทรมานยิ่งนัก เหมือนว่ามันจะไม่รู้จักจบสิ้น เด็กน้อยพยายามฝืนทนกับความรู้สึกนี้ มันเหมือนจะก
เหมือนว่าแรกๆนางจะไปได้ไวมากแต่เหมือนตอนนี้ว่านางเริ่มจะชะงักแล้วชายชราจึงมองออกถึงปัญหาของนางว่าตอนนี้นางยังไม่สามารถที่จะสัมผัสกับดวงดาวได้ ตอนนี้นางแค่สัมผัสกับใจของตัวเองเพื่อไม่ให้จินตนาการไปให้เกิดความกลัวตอนนี้ใจนางบริสุทธิ์ก็จริง แต่ยังไม่สามารถรับพลังของดวงดาวได้ อาจจะเป็นเพราะว่านางกังวลเรื่องที่จะเลือกดวงดาวก็มีส่วน"คืนนี้ในการนั่งสมาธิเจ้าเงยหน้าไปมองดูดวงดาวนับร้อยนับพันพวกนั้นให้เจ้าจดจำสิ่งที่มันกระพริบให้ดีราวๆครึ่งคืนให้เจ้าหลับตาลงสู่สมาธิเจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องที่จะเลือกดาวผิดหรือถูกตอนนี้เจ้าเป็นกังวลอยู่จึงทำให้ตัวเจ้าเองนั้นไม่มีความก้าวหน้า เจ้าจงคิดเสียว่าชีวิตเจ้ามาถึงขนาดนี้ได้มันดีแค่ไหนแล้ว การเลือกดวงดาวนั้นมันก็เป็นจังหวะของชีวิต มันจะมีดาวดวงหนึ่งที่สีสวยที่เจ้ามองแล้วก็ชอบนั่นแหละมันคือจังหวะชีวิตของเจ้าหากเจ้าเลือกมันมาแล้วมันเป็นดาวมรณะเจ้าก็ต้องทำใจว่าเจ้าต้องยอมตรงนี้ก่อน หากเจ้าไม่คิดที่จะเปลี่ยนเจ้ายังคิดกลัว เจ้าเองก็ไม่มีวันที่จะก้าวหน้า"ชายชรากล่าวกับเด็กน้อยวัยเจ็ดหนาว เด็กน้อยทำหน้าตาราวกับฟ้าจะถล่ม มันเป็นความรู้สึกกลัวจริงๆ จิตใจของนางก็กล
"ท่านอาจารย์เจ้าคะแล้วคัมภีร์ที่ท่านอาจารย์ให้ข้าศึกษานั้นมันมีทั้งหมดกี่เล่มหรือเจ้าคะ แล้วข้าต้องไปหาจากที่ใด"เด็กน้อยถามขึ้นด้วยความสงสัย"มันจะมีกี่เล่มหรือไปหาที่ใดนั้นท่านอาจารย์ไม่สามารถรับรู้ได้ หากเจ้ามีบุญวาสนาเกี่ยวกับมันเจ้าก่อจะได้สัมผัสกับมันเอง บางครั้งอาจจะเป็นคัมภีร์เล่มๆแบบนี้หรือเจ้าอาจจะสัมผัสด้วยตัวของเจ้าเอง แล้วเจ้าก็จะได้เห็นวิชามันมาในรูปแบบต่างๆเอง อาเป็นว่าตอนนี้เราเริ่มบทเรียนบทแรกเพื่อที่จะให้เจ้าได้เปิดเส้นลมปราณฝึกวรยุทธ์เสียก่อนเถอะ"ชายชรากล่าวขึ้น"จะฝึกได้อย่างไรหรือเจ้าคะในเมื่อเขาให้ฝึกตอนกลางคืน ให้ไปนั่งสมาธิรับแสงดวงดาวเพื่อที่จะให้แสงแห่งพลังข้ามาในร่างกายให้มันมากๆ"เด็กน้อยกล่าวขึ้น"ใช่แล้วแหละเขาให้เจ้ามานั่งสมาธิเพื่อที่จะรับแสงจากดวงดาวแต่ตอนกลางวันนั้นเจ้าก็ยังต้องฝึกร่างกายเหมือนเดิมนั่นก็คือยืนขาข้างเดียวให้มั่นคงเสียก่อนไปเถอะ"ชายชรากล่าวขึ้น เด็กน้อยก็ทำตาม ณ เวลานี้นางเริ่มที่จะยืนขาเดียวได้แบบไม่เซแล้วเล็กน้อยแต่ใช้เวลาไม่นานนางก็ต้องเปลี่ยนใช้ขาอีกข้างนึงสลับกันไปในหนึ่งวัน นางก็รู้สึกเหนื่อยล้าแล้ว แต่นี้ท่านอาจารย์ยังจะให้นั่ง







