LOGINเช้าวันรุ่งขึ้นปกติแล้วผู้เป็นบิดาจะเรียกทุกคนเพื่อที่จะมาทำกับข้าวร่วมกัน และกินข้าวร่วมกันแต่ครั้งนี้หลินซือหยาไม่ได้รับการปลุกเช่นวันวานแล้ว เมื่อหลินซือหยาออกนอกประตูห้องของตัวเองและกำลังจะไปห้องครัวทุกคนที่อยู่ห้องครัวก็เดินออกไปกันหมด
"ไอ้คนไร้ค่า เกิดมาพึ่งเคยพบเคยเห็นสงสัย เจ้าจะรู้ตัวอยู่แล้ว ที่ว่าเจ้าไร้ค่าเจ้าถึงมาถามพวกข้าอยู่ได้ว่าหากถ้าไม่สามารถเปลี่ยนแท่นตรวจเส้นลมปราณได้จะเป็นเช่นไร เจ้าก็ได้รู้สมใจแล้วอย่างไรละคนไร้ค่า" หลินเต๋อหงกล่าวขึ้น "ท่านพี่" หลินซือหยาได้แต่พูดคำนี้ออกไป "ไม่ต้องมาเรียกข้าว่าพี่ ข้าไม่มีน้องไร้ค่าแบบเจ้า หากผู้อื่นเขารู้ว่าเจ้าเป็นน้องข้าจะดูถูกข้าอย่างไรล่ะ หากข้าเป็นเจ้านะข้าคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วล่ะ อยู่ไปก็ทำให้คนในครอบครัวอับอาย" กลินเต๋แหวกล่าวขึ้น "พอเถอะวันนี้พวกเจ้าต้องไปซื้อของเพื่อจัดเตรียมไปที่สำนักศึกษาไม่ใช่หรือ ไปเถอะไม่ต้องเสียเวลาไปคุยกับคนแบบนั้น" ผู้เป็นบิดากล่าวขึ้น และก็พาบุตรชายทั้งสองออกไป หลินซือหยาได้แต่น้อยเนื้อต่ำใจเขาอยากให้เรื่องเมื่อวานไม่เกิดขึ้นแบบนี้ เขาอยากจะสัมผัสกับแท่นตรวจเส้นลมปานแล้วให้เกิดสีจะเป็นสีใดก็ได้เขายินยอมทั้งนั้น แม้จะเป็นเพียงเศษแก้วของผิวไหมคนที่อยู่ก่อนหน้านางก็ได้ แต่เมื่อมันไม่เกิดสีแบบนี้เขาก็ถูกตราหน้าว่าเป็นคนไร้ค่า เอาจริงๆเมื่อคนในบ้านทำเยี่ยงนี้เหมือนมองไม่เห็นหัวนางเลยด้วยซ้ำ เด็กน้อยนั่งคิดอยู่ตลอดเวลา ว่าทำไมนะทำไมโลกของเราถึงมีวรยุทธ์แล้วคนไม่มีแบบนางล่ะจะใช้ชีวิตอยู่อย่างเหล่า ทุกคนต่างตราหน้าว่านางไร้ค่า คนพวกนี้ทำให้นางไม่อยากจะหายใจเลยด้วยซ้ำ นางจึงเดินไปทำอาหารกินเอง ในห้องครัวนั้นก็ไม่มีอะไรเหลือแล้ว นางจึงไปต้มไข่ไก่กิน เพียงหนึ่งฟอง เมื่อกินเสร็จนางกะว่าจะไปซักเสื้อผ้าให้พวกพี่ชายแต่เมื่อนางเดินไปเปิดห้องพวกพี่ชาย ก็พบว่าไม่มีเสื้อผ้าของพวกเขาแล้ว พวกเขานั้นได้เก็บเสื้อผ้าใส่กล่องหมดแล้วเพราะพรุ่งนี้พวกเขาต้องออกเดินทางไปสำนักศึกษาแล้ว นางเดินออกไปข้างนอกบ้าน นางกะว่าจะแอบไปดูว่าพี่ชายของนางซื้ออะไรบ้างแต่เมื่อมีคนเห็นนางก็ต้องเรียกงานตามๆกัน "เห้ย เด็กไร้ค่านั้นไง เด็กผู้ที่มันไม่สามารถเปลี่ยนแท่งตรวจเส้นลมปราณได้ไง พวกเจ้าเห็นไหมล่ะ ตั้งแต่เกิดมาข้าไม่เคยเห็นคนไร้ค่าแบบนี้เลย เด็กน้อยผู้นี้เป็นผู้แรกเลยนะเนี่ย" เสียงคนดังขึ้น จึงทำให้ผู้เป็นบิดาของหลินซือหยามองไปพอเห็นบุตรสาวของตนกำลังเดินอยู่ ก็หันหน้าหนีทันที และพาบุตรชายทั้งสองเดินไปซื้อของต่อ ไปไหนมาไหนหลินซือหยาก็มีแต่คนครนด่า หาว่านางไร้ค่า ความจริงนางไม่ใส่ใจเรื่องคนนอกบ้านสักเท่าไหร่แค่สำหรับคนในบ้านนั้น นางรู้สึกว่ามันหนักหนาเสียเหลือเกิน นางเคยมีสหายผู้หนึ่ง นางจึงตั้งใจจะไปหาสหาย เมื่อวานที่ทดสอบสหายของนางเปลี่ยนแท่งตรวจเส้นลมปราณเป็นสีเขียวอ่อนไม่ชัดเจนสักเท่าไร นางจึงไม่มีสำนักใดส่งเทียบเชิญเข้าสำนัก หลินซือหยาจึงจะไปสอบถามนางว่านางจะเข้าสำนักไหนดี "อินเหลียง เจ้าจะเข้าสำนักใดหรือ" หลินซือหยาถามสหายขึ้น เมื่อเห็นสหายมาซื้ออุปกรณ์เพื่อที่จะเตรียมไปสำนักพรุ่งนี้ "ข้าจะเข้าสำนักใด แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วยล่ะ เจ้าเป็นคนไร้ค่าทุกคนต่างก็พูดถึงเจ้ากันทั้งนั้น เพียงแค่เปลี่ยนแท่งตรวจเส้นลมปราณให้เป็นสีก็ทำไม่ได้ ยังจะมีหน้ามาถามข้าอีกว่าจะเข้าสำนักใด แล้วคนแบบเจ้าล่ะมีสำนักใดบ้างที่ต้องการ" โหว่อินเหลียงตอบกลับไปทันที เดิมทีเขาไม่รู้ว่าใครสอบถามเขาแต่พอหันหน้ามาก็พบกับหลินซือหยา ปกติทั้งสองจะเป็นเพื่อนเล่นกันแต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ใครอยู่ใกล้กับหลินซือหยานั้นทุกคนอาจจะเหมาหมดว่าเป็นประเภทเดียวกัน จึงไม่มีใครอยากอยู่ใกล้นาง ไม่มีใครอยากคุยกับนางแม้เพียงครึ่งคำ "อินเหลียงเจ้าก็คิดเหมือนคนอื่นหรือ เราเป็นสหายกันมาตั้งแต่เด็ก เจ้าน่าจะรู้จักข้าดีนะ ว่าข้าไม่ได้ไร้ค่าแบบนั้น ถึงแม้ข้าจะฝึกวรยุทธ์ไม่ได้ก็ตาม อย่างน้อยเราเป็นสหายกัน เจ้าไม่น่าจะพูดเรื่องที่ทำร้ายจิตรใจข้าขนาดนี้นะ เจ้าน่าจะเห็นใจกันบ้าง" หลินซือหยากล่าวขึ้น "เจ้าเองก็ต้องเห็นใจข้าบ้างนะ เจ้าลองมองผู้อื่นสิตอนนี้มีแต่คนมองข้ากันหมดแล้ว ในเมื่อข้าคุยกับคนแบบเจ้าก็ทำให้ผู้อื่นเข้าใจว่าข้าเป็นคนไร้ค่าแบบเจ้าแม่เจ้าเห็นใจผู้อื่นเถอะเลิกไปมาหาสู่กับคนปกติแบบข้าได้แล้วเพราะเจ้าเองเป็นคนไม่ปกติ" โหว่อินเหลียงกล่าวขึ้น และเดินออกจากร้านไป มารดาของนางก็จูงมือบุตรสาวออกไป หลินซือหยาจึงไม่รู้จะไปไหนดี นางเดินไปที่ใดก็จะมีเสียงพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องเมื่อวานและชี้มือมาที่นางตลอดเวลา เสียงหัวเราะยังดังอยู่ตลอดเวลา นางเดินไปที่ธารน้ำ นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อย หากอยู่อยู่นางหายไปจากหมู่บ้านนี้ก็คงจะดี หายไปอยู่ที่อื่นคงไม่มีคนรู้ว่านางนั้นไม่มีเส้นลมปราณที่ใช้ฝึกวรยุทได้ นางมองดูน้ำที่กำลังไหลลงไปชั้นล่างเรื่อยๆ เรื่องทุกอย่างก็น่าจะเงียบลงหากนางไม่ออกไปไหน หากนางอยู่แต่ในห้องไม่ออกไปข้างนอก คงไม่ได้ยินเรื่องแบบนี้เป็นแน่ แต่นางจะทนมองคนที่อยู่ในบ้านที่ทำท่าเมินเฉยแบบนี้ได้หรือ ตั้งแต่นางจำความได้ผู้เป็นพ่อและพี่ชายทั้งสองก็ดีกับนางตลอด เรื่องเส้นลมปราณนี้มันใหญ่หนักหนาเลยหรือ จนทำให้ทุกคนเปลี่ยนไปเป็นคนละคนแบบนี้คนในหมู่บ้านบางคนเคยเอ็นดูนาง ตอนนี้กลับมาดูแคลนนาง และคนที่ไม่ชอบนางอยู่แล้วก๋ไม่ชอบนางเข้าไปใหญ่ นางจึงตัดสินใจเดินกลับบ้าน ระหว่างทางเดินกลับบ้านนางพยายามที่จะหลบหนีผู้คน นางไม่ต้องการฟังเสียงผู้คนที่หัวเราะเยาะเย้ยนางตลอดเวลา นางเดินลัดเลาะไปจนถึงบ้าน ภายในบ้านก็เงียบนางจึงเข้าไปหาของกินในห้องครัว ไม่นานผู้เป็นพ่อก็เดินเข้ามา "พรุ่งนี้เตรียมตัวเก็บข้าวของ เจ้าต้องไปอยู่ที่อื่นแล้ว เจ้าอยู่นี้ก็จะทำให้พ่อและพี่ชายเจ้าเดือดร้อน หากอาจารย์ที่สำนักของพวกเขารู้จะไม่ให้เขาได้เล่าเรียน เจ้าจงจากไปเสียเถอะ บนเขาโน้นไม่มีผู้คนค่อยหัวเราะเจ้า แล้วนี้อาหารแห้งนำติดตัวไปด้วย" ผู้เป็นบิดากล่าวขึ้นแล้วเดินออกจากห้องครัวไป ความรู้สึกหนักอึ่งขึ้นมาอีกครั้งเป็นคำกล่าวลาของบิดา อาจจะเป็นคำที่พูดว่าให้นางไปแต่สุดท้ายมันก็คือการไล่นางให้ออกจากบ้าน นางไม่กินข้าวแล้วไม่มีคำว่าหิวด้วยซ้ำ นางหันหลังแล้วเดินเข้าห้องไปพร้อมกับห่ออาหารแห้งที่บิดายื่นให้แสงอรุณแรกสาดลอดหมู่ไม้ ทาบเงาทาบพื้นดินเป็นริ้วทองอ่อนเสียงลมพัดผ่านยอดไม้ดัง “ซู่ซู่” คล้ายเสียงกระซิบจากวิญญาณโบราณในหุบเขาหนทางเบื้องหน้าเต็มไปด้วยหมอกขาวบาง ลึกลับราวม่านแห่งสวรรค์ที่กั้นระหว่างคนกับพลังลมปราณ หลินซื้อหยาย่างเท้าเข้าขึ้นอีกครั้งหลังจากพักผ่อนไปได้เล็กน้อย มือกำดาบไม้แน่น ในหัวใจไม่มีสิ่งใด นอกจากคำอาจารย์ที่ว่า“หากเจ้ามิอาจฝึกจิตให้สงบในหมู่ความวิเวก เจ้าก็ไม่มีวันก้าวข้ามขอบเขตวรยุทธได้”ทุกย่างก้าว นางต้องเผชิญทั้งความเงียบ ความหิว และความกลัวบางคืน เสียงสัตว์คำรามดังก้องในหุบเขาบางยาม ลมเย็นพัดผ่านจนเหมือนมีเงาผู้คนเดินตามอยู่ข้างหลัง แต่เมื่อหลับตาและปล่อยใจเข้าสู่สมาธิ นางกลับสัมผัสได้ถึงจังหวะของลมหายใจที่ผสานกับเสียงป่า ใบไม้ไหว คือการเต้นของพลังชีวิตสายน้ำที่ไหล คือการหมุนเวียนแห่งลมปราณและในที่สุด นางก็เข้าใจว่า “วรยุทธ มิได้อยู่ในคัมภีร์ แต่อยู่ในหัวใจผู้ไม่ยอมแพ้”ในป่า จากเด็กสาวที่กลัวเสียงสัตว์กลายเป็นนักยุทธที่ยืนหยัดได้กลางพายุฝนมือขวาจับดาบนิ่งสงบ ดวงตาแน่วแน่พลังภายในพลุ่งพล่านเหมือนสายน้ำที่ไหลกลับสู่ต้นธาร ราตรีนั้น ฟ้าปิดเงียบไร้ดา
เช้าวันต่อมาสองคนอาจารย์กับลูกศิษย์เมื่อกินข้าวกันเสร็จ ก็เตรียมตัวที่จะออกไปเดินป่าปกติเด็กน้อยจะไม่ค่อยได้ออกไปเดินป่าสักเท่าไหร่เพราะว่าในป่านั้นมันอันตรายชายชราจึงไม่อยากให้นางได้ไป แต่วันนี้นางมีวรยุทธถึงขั้นหนึ่งแล้ว นางจึงจำเป็นที่จะต้องหาประสบการณ์บ้าง ชายชราเพียงส่งเด็กน้อยไว้ในป่าที่เขาสามารถควบคุมได้และกลับไปยังเรือนของตัวเอง ยามที่เด็กน้อยผู้นี้ประสบภัยในป่านี้เขาก็จะได้รับรู้เป็นผู้แรกและจะมาช่วยนางได้ทันแน่นอน เมื่อนางเดินเพียงลำพังนางก็ขวัญคิดเมื่อนั้นทุกข์ได้ออกจากบ้านครั้งแรกตอนนั้นนางรู้สึกกลัวได้แต่เดินอยู่ในป่าแต่ณเวลานี้นางรู้สึกว่านางไม่ใช่เด็กคนนั้นอีกแล้วเพราะท่านอาจารย์บอกว่านางต้องหาประสบการณ์ในป่าต้องสู้กับสิ่งต่างๆไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร อาจารย์จะมารับในอีกสามวัน นางจะได้เผชิญโลกกว้างด้วยตัวเองเป็นครั้งแรกนางรู้สึกตื่นเต้นมากๆ นางไม่รู้เลยว่าอยู่เฉยๆตัวเองจะมีวรยุทธ์ลำดับหนึ่งขึ้นมาได้อย่างไร แต่เอาเข้าจริงๆนางก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ เพราะในความที่นางฝันนั้นมันเหมือนจริงมากๆ นางทรมานมากๆแล้วเป็นเวลานานเสียด้วย แต่ถ้าหากให้นางฝึกยุทแล้วทรมานขนาดนี้ แล้วมีวรยุทธ์เพียง
ชายชราลงเขาเพื่อไปหาเครื่องประดับสำหรับสตรีสำหรับเขาแล้วไม่เคยชินสำหรับการสรรค์หาสักเท่าไหร่ หมู่บ้านเล็กๆที่มีของขายมากมายส่วนมากจะเป็นผู้ที่มีวรยุทธ์ไปจับจ่ายซื้อของที่ได้มาจากเขา นายพรานชอบล่าสัตว์ป่าบางประเภทที่หายากมาขาย แร่ธาตุต่างๆที่เหมาะสมสำหรับฝึกวรยุทธ์ รวมไปถึงส่วนใดส่วนหนึ่งของสัตว์ เช่นงาสัตว์และเขาสัตว์ที่หายากอีกต่างหาก เขาเดินเที่ยวหาเครื่องประดับสตรีอยู่ตั้งนาน"อ้า ไป๋อีเฟิงเจ้าทำอะไรของเจ้าน่ะหาอะไรอยู่หรือเปล่า แต่ที่เจ้าหานั้นเป็นของสตรีนี่เจ้าจะหาไปให้ผู้ใดกันหรือ"เสียงชายชราผู้หนึ่งดังขึ้น มาแต่ไกลชายชราผู้นี้จึงมองไปที่เขา"อ่า เจ้าหม่าเหิง เป็นยังไงล่ะวันนี้ถึงมาเดินตลาดได้นะ"ชายชรากล่าวขึ้นเมื่อเห็นสหายเก่าเดินมาแต่ไกล"เขาว่าช่วงนี้มีหางยูนิคอร์นขายข้าเลยมาเดินดูเสียหน่อยเผื่อจะได้สักเส้น ว่าจะเอาไปต่อกระดูกเจ้าล่ะมาหาอะไรเห็นด้อมๆมองๆกับของพวกสตรีเหล่านี้ "ชายชราอีกคนถามขึ้น"ช่วงนี้ลูกศิษย์ของข้าจะมีอายุครบสิบห้าหนาวแล้ว ข้าจึงต้องทำพิธีปักปิ่นให้นางน่ะ ข้าจึงมาหาปิ่น เพราะเจ้าก็รู้ว่าข้าไม่มีปิ่น"ชายชรากล่าวขึ้น"เฮ้ เจ้ามีลูกศิษย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ก่อ
ภาพนี้หยุดนิ่งอยู่เนินนานเลือดที่ออกจากทวารทั้งเจ็ดนั้นไม่ได้แห้งเหือดไปเหมือนไหลอยู่ตลอดเวลา ชายชราไม่ดื่มไม่กินยืนเฝ้าเด็กสาวผู้นี้และคอยฟังเสียงลมหายใจที่แผ่วเบาตลอด พอถึงเช้าวันที่แปดเหมือนสีหน้าของเด็กสาวผู้นั้นจะดีขึ้นและเลือดเริ่มหยุดไหลแล้ว ลมหายใจของนางเร็วและถี่ขึ้นเหงื่อนั้นท่วมใบหน้า บางครั้งมีเส้นเลือดปูดวิ่งไปวิ่งมาตามตัว ชายชรามองด้วยความเห็นใจเด็กคนนี้กำลังจะต่อสู้กับดวงดาวที่ตนเลือกแล้ว ทางด้านเด็กน้อยกำลังลังเลว่าจะเลือกดาวดวงใดแต่อยู่ๆเหมือนสติก็ดับวูบลงไปพอได้สติอีกครั้งเหมือนแขนขาของเขาถูกตึงไว้ผิวหนังของนางร้อนระอุราวกับถูกไฟลวก อุณหภูมิร่างกายสูงเกินกว่าปกติ เลือดในกายขับเคลื่อนรวดเร็วราวน้ำเดือด ดวงตาร้อนฉานเหมือนเปลวเพลิงเผา ลมปราณถูกเร่งเร้าเกินขีดจำกัด คล้ายเชื้อไฟที่ถูกเติมไม่หยุด ทำให้เส้นลมปราณบางส่วนเหมือนจะถูฉีกแตกได้ หัวใจเต้นแรงจนเหมือนจะทะลุออกจากอก เสียงเลือดสูบฉีดดังสะท้อนในโสตประสาท รู้สึกเหมือนร่างกายถูกเผาจากด้านใน เลือดค่อย ๆ แห้งเหือด เป็นความทุกข์ที่ทรมานยิ่งนัก เหมือนว่ามันจะไม่รู้จักจบสิ้น เด็กน้อยพยายามฝืนทนกับความรู้สึกนี้ มันเหมือนจะก
เหมือนว่าแรกๆนางจะไปได้ไวมากแต่เหมือนตอนนี้ว่านางเริ่มจะชะงักแล้วชายชราจึงมองออกถึงปัญหาของนางว่าตอนนี้นางยังไม่สามารถที่จะสัมผัสกับดวงดาวได้ ตอนนี้นางแค่สัมผัสกับใจของตัวเองเพื่อไม่ให้จินตนาการไปให้เกิดความกลัวตอนนี้ใจนางบริสุทธิ์ก็จริง แต่ยังไม่สามารถรับพลังของดวงดาวได้ อาจจะเป็นเพราะว่านางกังวลเรื่องที่จะเลือกดวงดาวก็มีส่วน"คืนนี้ในการนั่งสมาธิเจ้าเงยหน้าไปมองดูดวงดาวนับร้อยนับพันพวกนั้นให้เจ้าจดจำสิ่งที่มันกระพริบให้ดีราวๆครึ่งคืนให้เจ้าหลับตาลงสู่สมาธิเจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องที่จะเลือกดาวผิดหรือถูกตอนนี้เจ้าเป็นกังวลอยู่จึงทำให้ตัวเจ้าเองนั้นไม่มีความก้าวหน้า เจ้าจงคิดเสียว่าชีวิตเจ้ามาถึงขนาดนี้ได้มันดีแค่ไหนแล้ว การเลือกดวงดาวนั้นมันก็เป็นจังหวะของชีวิต มันจะมีดาวดวงหนึ่งที่สีสวยที่เจ้ามองแล้วก็ชอบนั่นแหละมันคือจังหวะชีวิตของเจ้าหากเจ้าเลือกมันมาแล้วมันเป็นดาวมรณะเจ้าก็ต้องทำใจว่าเจ้าต้องยอมตรงนี้ก่อน หากเจ้าไม่คิดที่จะเปลี่ยนเจ้ายังคิดกลัว เจ้าเองก็ไม่มีวันที่จะก้าวหน้า"ชายชรากล่าวกับเด็กน้อยวัยเจ็ดหนาว เด็กน้อยทำหน้าตาราวกับฟ้าจะถล่ม มันเป็นความรู้สึกกลัวจริงๆ จิตใจของนางก็กล
"ท่านอาจารย์เจ้าคะแล้วคัมภีร์ที่ท่านอาจารย์ให้ข้าศึกษานั้นมันมีทั้งหมดกี่เล่มหรือเจ้าคะ แล้วข้าต้องไปหาจากที่ใด"เด็กน้อยถามขึ้นด้วยความสงสัย"มันจะมีกี่เล่มหรือไปหาที่ใดนั้นท่านอาจารย์ไม่สามารถรับรู้ได้ หากเจ้ามีบุญวาสนาเกี่ยวกับมันเจ้าก่อจะได้สัมผัสกับมันเอง บางครั้งอาจจะเป็นคัมภีร์เล่มๆแบบนี้หรือเจ้าอาจจะสัมผัสด้วยตัวของเจ้าเอง แล้วเจ้าก็จะได้เห็นวิชามันมาในรูปแบบต่างๆเอง อาเป็นว่าตอนนี้เราเริ่มบทเรียนบทแรกเพื่อที่จะให้เจ้าได้เปิดเส้นลมปราณฝึกวรยุทธ์เสียก่อนเถอะ"ชายชรากล่าวขึ้น"จะฝึกได้อย่างไรหรือเจ้าคะในเมื่อเขาให้ฝึกตอนกลางคืน ให้ไปนั่งสมาธิรับแสงดวงดาวเพื่อที่จะให้แสงแห่งพลังข้ามาในร่างกายให้มันมากๆ"เด็กน้อยกล่าวขึ้น"ใช่แล้วแหละเขาให้เจ้ามานั่งสมาธิเพื่อที่จะรับแสงจากดวงดาวแต่ตอนกลางวันนั้นเจ้าก็ยังต้องฝึกร่างกายเหมือนเดิมนั่นก็คือยืนขาข้างเดียวให้มั่นคงเสียก่อนไปเถอะ"ชายชรากล่าวขึ้น เด็กน้อยก็ทำตาม ณ เวลานี้นางเริ่มที่จะยืนขาเดียวได้แบบไม่เซแล้วเล็กน้อยแต่ใช้เวลาไม่นานนางก็ต้องเปลี่ยนใช้ขาอีกข้างนึงสลับกันไปในหนึ่งวัน นางก็รู้สึกเหนื่อยล้าแล้ว แต่นี้ท่านอาจารย์ยังจะให้นั่ง







