Home / แฟนตาซี / ดอกหญ้าทะยานฟ้า / ไม่มีคำว่าเหมือนเดิมอีกต่อไป

Share

ไม่มีคำว่าเหมือนเดิมอีกต่อไป

Author: Sanassetong
last update Last Updated: 2025-09-27 11:41:25

เช้าวันรุ่งขึ้นปกติแล้วผู้เป็นบิดาจะเรียกทุกคนเพื่อที่จะมาทำกับข้าวร่วมกัน และกินข้าวร่วมกันแต่ครั้งนี้หลินซือหยาไม่ได้รับการปลุกเช่นวันวานแล้ว เมื่อหลินซือหยาออกนอกประตูห้องของตัวเองและกำลังจะไปห้องครัวทุกคนที่อยู่ห้องครัวก็เดินออกไปกันหมด

"ไอ้คนไร้ค่า เกิดมาพึ่งเคยพบเคยเห็นสงสัย เจ้าจะรู้ตัวอยู่แล้ว ที่ว่าเจ้าไร้ค่าเจ้าถึงมาถามพวกข้าอยู่ได้ว่าหากถ้าไม่สามารถเปลี่ยนแท่นตรวจเส้นลมปราณได้จะเป็นเช่นไร เจ้าก็ได้รู้สมใจแล้วอย่างไรละคนไร้ค่า"

หลินเต๋อหงกล่าวขึ้น

"ท่านพี่"

หลินซือหยาได้แต่พูดคำนี้ออกไป

"ไม่ต้องมาเรียกข้าว่าพี่ ข้าไม่มีน้องไร้ค่าแบบเจ้า หากผู้อื่นเขารู้ว่าเจ้าเป็นน้องข้าจะดูถูกข้าอย่างไรล่ะ หากข้าเป็นเจ้านะข้าคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วล่ะ อยู่ไปก็ทำให้คนในครอบครัวอับอาย"

กลินเต๋แหวกล่าวขึ้น

"พอเถอะวันนี้พวกเจ้าต้องไปซื้อของเพื่อจัดเตรียมไปที่สำนักศึกษาไม่ใช่หรือ ไปเถอะไม่ต้องเสียเวลาไปคุยกับคนแบบนั้น"

ผู้เป็นบิดากล่าวขึ้น และก็พาบุตรชายทั้งสองออกไป หลินซือหยาได้แต่น้อยเนื้อต่ำใจเขาอยากให้เรื่องเมื่อวานไม่เกิดขึ้นแบบนี้ เขาอยากจะสัมผัสกับแท่นตรวจเส้นลมปานแล้วให้เกิดสีจะเป็นสีใดก็ได้เขายินยอมทั้งนั้น แม้จะเป็นเพียงเศษแก้วของผิวไหมคนที่อยู่ก่อนหน้านางก็ได้ แต่เมื่อมันไม่เกิดสีแบบนี้เขาก็ถูกตราหน้าว่าเป็นคนไร้ค่า เอาจริงๆเมื่อคนในบ้านทำเยี่ยงนี้เหมือนมองไม่เห็นหัวนางเลยด้วยซ้ำ เด็กน้อยนั่งคิดอยู่ตลอดเวลา ว่าทำไมนะทำไมโลกของเราถึงมีวรยุทธ์แล้วคนไม่มีแบบนางล่ะจะใช้ชีวิตอยู่อย่างเหล่า ทุกคนต่างตราหน้าว่านางไร้ค่า คนพวกนี้ทำให้นางไม่อยากจะหายใจเลยด้วยซ้ำ นางจึงเดินไปทำอาหารกินเอง ในห้องครัวนั้นก็ไม่มีอะไรเหลือแล้ว นางจึงไปต้มไข่ไก่กิน เพียงหนึ่งฟอง เมื่อกินเสร็จนางกะว่าจะไปซักเสื้อผ้าให้พวกพี่ชายแต่เมื่อนางเดินไปเปิดห้องพวกพี่ชาย ก็พบว่าไม่มีเสื้อผ้าของพวกเขาแล้ว พวกเขานั้นได้เก็บเสื้อผ้าใส่กล่องหมดแล้วเพราะพรุ่งนี้พวกเขาต้องออกเดินทางไปสำนักศึกษาแล้ว นางเดินออกไปข้างนอกบ้าน นางกะว่าจะแอบไปดูว่าพี่ชายของนางซื้ออะไรบ้างแต่เมื่อมีคนเห็นนางก็ต้องเรียกงานตามๆกัน

"เห้ย เด็กไร้ค่านั้นไง เด็กผู้ที่มันไม่สามารถเปลี่ยนแท่งตรวจเส้นลมปราณได้ไง พวกเจ้าเห็นไหมล่ะ ตั้งแต่เกิดมาข้าไม่เคยเห็นคนไร้ค่าแบบนี้เลย เด็กน้อยผู้นี้เป็นผู้แรกเลยนะเนี่ย"

เสียงคนดังขึ้น จึงทำให้ผู้เป็นบิดาของหลินซือหยามองไปพอเห็นบุตรสาวของตนกำลังเดินอยู่ ก็หันหน้าหนีทันที และพาบุตรชายทั้งสองเดินไปซื้อของต่อ ไปไหนมาไหนหลินซือหยาก็มีแต่คนครนด่า หาว่านางไร้ค่า ความจริงนางไม่ใส่ใจเรื่องคนนอกบ้านสักเท่าไหร่แค่สำหรับคนในบ้านนั้น นางรู้สึกว่ามันหนักหนาเสียเหลือเกิน นางเคยมีสหายผู้หนึ่ง นางจึงตั้งใจจะไปหาสหาย เมื่อวานที่ทดสอบสหายของนางเปลี่ยนแท่งตรวจเส้นลมปราณเป็นสีเขียวอ่อนไม่ชัดเจนสักเท่าไร นางจึงไม่มีสำนักใดส่งเทียบเชิญเข้าสำนัก หลินซือหยาจึงจะไปสอบถามนางว่านางจะเข้าสำนักไหนดี

"อินเหลียง เจ้าจะเข้าสำนักใดหรือ"

หลินซือหยาถามสหายขึ้น เมื่อเห็นสหายมาซื้ออุปกรณ์เพื่อที่จะเตรียมไปสำนักพรุ่งนี้

"ข้าจะเข้าสำนักใด แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วยล่ะ เจ้าเป็นคนไร้ค่าทุกคนต่างก็พูดถึงเจ้ากันทั้งนั้น เพียงแค่เปลี่ยนแท่งตรวจเส้นลมปราณให้เป็นสีก็ทำไม่ได้ ยังจะมีหน้ามาถามข้าอีกว่าจะเข้าสำนักใด แล้วคนแบบเจ้าล่ะมีสำนักใดบ้างที่ต้องการ"

โหว่อินเหลียงตอบกลับไปทันที เดิมทีเขาไม่รู้ว่าใครสอบถามเขาแต่พอหันหน้ามาก็พบกับหลินซือหยา ปกติทั้งสองจะเป็นเพื่อนเล่นกันแต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ใครอยู่ใกล้กับหลินซือหยานั้นทุกคนอาจจะเหมาหมดว่าเป็นประเภทเดียวกัน จึงไม่มีใครอยากอยู่ใกล้นาง ไม่มีใครอยากคุยกับนางแม้เพียงครึ่งคำ

"อินเหลียงเจ้าก็คิดเหมือนคนอื่นหรือ เราเป็นสหายกันมาตั้งแต่เด็ก เจ้าน่าจะรู้จักข้าดีนะ ว่าข้าไม่ได้ไร้ค่าแบบนั้น ถึงแม้ข้าจะฝึกวรยุทธ์ไม่ได้ก็ตาม อย่างน้อยเราเป็นสหายกัน เจ้าไม่น่าจะพูดเรื่องที่ทำร้ายจิตรใจข้าขนาดนี้นะ เจ้าน่าจะเห็นใจกันบ้าง"

หลินซือหยากล่าวขึ้น

"เจ้าเองก็ต้องเห็นใจข้าบ้างนะ เจ้าลองมองผู้อื่นสิตอนนี้มีแต่คนมองข้ากันหมดแล้ว ในเมื่อข้าคุยกับคนแบบเจ้าก็ทำให้ผู้อื่นเข้าใจว่าข้าเป็นคนไร้ค่าแบบเจ้าแม่เจ้าเห็นใจผู้อื่นเถอะเลิกไปมาหาสู่กับคนปกติแบบข้าได้แล้วเพราะเจ้าเองเป็นคนไม่ปกติ"

โหว่อินเหลียงกล่าวขึ้น และเดินออกจากร้านไป มารดาของนางก็จูงมือบุตรสาวออกไป หลินซือหยาจึงไม่รู้จะไปไหนดี นางเดินไปที่ใดก็จะมีเสียงพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องเมื่อวานและชี้มือมาที่นางตลอดเวลา เสียงหัวเราะยังดังอยู่ตลอดเวลา นางเดินไปที่ธารน้ำ นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อย หากอยู่อยู่นางหายไปจากหมู่บ้านนี้ก็คงจะดี หายไปอยู่ที่อื่นคงไม่มีคนรู้ว่านางนั้นไม่มีเส้นลมปราณที่ใช้ฝึกวรยุทได้ นางมองดูน้ำที่กำลังไหลลงไปชั้นล่างเรื่อยๆ เรื่องทุกอย่างก็น่าจะเงียบลงหากนางไม่ออกไปไหน หากนางอยู่แต่ในห้องไม่ออกไปข้างนอก คงไม่ได้ยินเรื่องแบบนี้เป็นแน่ แต่นางจะทนมองคนที่อยู่ในบ้านที่ทำท่าเมินเฉยแบบนี้ได้หรือ ตั้งแต่นางจำความได้ผู้เป็นพ่อและพี่ชายทั้งสองก็ดีกับนางตลอด เรื่องเส้นลมปราณนี้มันใหญ่หนักหนาเลยหรือ จนทำให้ทุกคนเปลี่ยนไปเป็นคนละคนแบบนี้คนในหมู่บ้านบางคนเคยเอ็นดูนาง ตอนนี้กลับมาดูแคลนนาง และคนที่ไม่ชอบนางอยู่แล้วก๋ไม่ชอบนางเข้าไปใหญ่ นางจึงตัดสินใจเดินกลับบ้าน ระหว่างทางเดินกลับบ้านนางพยายามที่จะหลบหนีผู้คน นางไม่ต้องการฟังเสียงผู้คนที่หัวเราะเยาะเย้ยนางตลอดเวลา นางเดินลัดเลาะไปจนถึงบ้าน ภายในบ้านก็เงียบนางจึงเข้าไปหาของกินในห้องครัว ไม่นานผู้เป็นพ่อก็เดินเข้ามา

"พรุ่งนี้เตรียมตัวเก็บข้าวของ เจ้าต้องไปอยู่ที่อื่นแล้ว เจ้าอยู่นี้ก็จะทำให้พ่อและพี่ชายเจ้าเดือดร้อน หากอาจารย์ที่สำนักของพวกเขารู้จะไม่ให้เขาได้เล่าเรียน เจ้าจงจากไปเสียเถอะ บนเขาโน้นไม่มีผู้คนค่อยหัวเราะเจ้า แล้วนี้อาหารแห้งนำติดตัวไปด้วย"

ผู้เป็นบิดากล่าวขึ้นแล้วเดินออกจากห้องครัวไป ความรู้สึกหนักอึ่งขึ้นมาอีกครั้งเป็นคำกล่าวลาของบิดา อาจจะเป็นคำที่พูดว่าให้นางไปแต่สุดท้ายมันก็คือการไล่นางให้ออกจากบ้าน นางไม่กินข้าวแล้วไม่มีคำว่าหิวด้วยซ้ำ นางหันหลังแล้วเดินเข้าห้องไปพร้อมกับห่ออาหารแห้งที่บิดายื่นให้

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ดอกหญ้าทะยานฟ้า   ขัดเกาจิตใจ

    เด็กน้อยหลินซือหยาเมื่อเห็นชายชรานั้นยิ้มตอบ ตนก็รู้แล้วว่าตนตอบคำถามได้ถูกต้องตามที่ชายชราปรารถนา เด็กน้อยคุกเข่าลงและคำนับท่านผู้เฒ่าสามครั้ง "ข้าขอกราบท่านตาเป็นอาจารย์นะเจ้าคะ เพราะในตำราบอกว่าถ้ามีอาจารย์จะทำให้ข้าเข้าใจในบทความทุกบทความได้เร็วขึ้น"เด็กน้อยหลินซือหยากล่าวขึ้น เจ็ดวันที่ผ่านมาเขาไม่ใช่แค่จดบทกวีและดูความหมายของมันเท่านั้น เขายังมองไปดูหน้าอื่นๆเผื่อหน้าอื่นๆจะซ่อนความหมายของบทกวีนี้ และหนังสือหน้าอื่นๆก็แสดงให้เรารู้เพียงว่าหากเป็นศิษย์มีครูย่อมประสบผลสำเร็จได้เร็วขึ้น เด็กน้อยผู้นี้ก็นับถือชายชราผู้นี้อยู่แล้ว ยกให้เขาเป็นครูได้เลย"เจ้าเด็กผู้นี้รู้จักพูดดีนัก ได้ข้าจะรับเจ้าไว้เป็นศิษย์เพียงผู้เดียว555 มาข้าจะตีความหมายแต่ละตอนให้ฟัง วันนี้คำตอบของเจ้านั้นโดนใจและตรงใจและตรงประเด็นมาก"บทแรก ลมพัดหวนผ่านฟ้าเวิ้งว้าง ดวงจันทร์ส่องกลางธารามืดมิดมักก็คือบรรยากาศแห่งความเวิ้งว้างว่างเปล่า สะท้อนถึงโลกที่เต็มไปด้วยความมืด ความทุกข์ หรือความไม่แน่นอน แต่ยังมีแสงจันทร์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวัง ความจริง และความสว่าง ที่คอยนำทางบทที่สองเงาดาบหนึ่งฟาดสะท้านส

  • ดอกหญ้าทะยานฟ้า   บทกวี

    หลังจากกินข้าวเสร็จชายชราก็พาเด็กน้อยลงไปด้านล่างเพื่อที่จะไปหาหนังสือตำหรับตำราเขาหยิบหนังสือออกมา แล้วไสคืนที่ ชายชราเดินหยิบไปเรื่อยๆจนในที่สุดก็ได้ตำรามาสองเล่มและสมุดเปล่าอีกหนึ่งเล่ม ก่อนที่จะเดินหาผู้กันและหมึก"ได้ของครบแล้วป่ะขึ้นไปเรียนด้านบนกันเถอะ"ชายชรากล่าวขึ้นและพาเด็กน้อยขึ้นไปด้านบน เขาโบกมือหนึ่งครั้งทำให้โต๊ะที่ตั้งอยู่ตรงกลางนั้นไหลมาอยู่ตรงริมจุดที่เด็กน้อยปีนขึ้นมา ชายชราไม่ได้ปีนขึ้นมาดั่งที่ตัวเองพูด เผลอแป๊บเดียวเขาก็ขึ้นมาข้างบนได้แล้ว เด็กน้อยหลินซือหยาได้แต่คิดในใจอีกสักกี่ปีนะ นางถึงจะสามารถเหาะขึ้นมาข้างบนได้แบบนี้"มานั่งเถอะ ข้าต้องสอนหนังสือให้เจ้าก่อนให้เจ้าก่อน เจ้าจะได้รู้ตัวหนังสือแล้วเจ้าจะได้ศึกษาตำราด้วยตัวเอง"ชายชรากล่าวขึ้น"แบบนั้นท่านตาให้ข้าเขียนให้ดูก็ได้นะเจ้าคะเพราะว่านั้นก็ได้ร่ำเรียนมาด้วยตัวเองบ้าง ข้าเคยเอาตำราของพี่ชายของข้ามาฝึกฝน การเขียนอักษรบ้างแล้ว การเริ่มเขียนนั้นน่าจะไม่ค่อยจำเป็นสักเท่าไหร่ แต่ข้าอาจจะเขียนคำยากๆไม่ได้ และไม่รู้ความหมายของมันเท่านั้นเจ้าค่ะ"เด็กน้อยกล่าวขึ้น ชายชราจึงนำสมุดเปล่าและก็นำหมึกมาวางให้นางลองเ

  • ดอกหญ้าทะยานฟ้า   ชั้นบนของกระต๊อบ

    เช้าวันรุ่งขึ้นเด็กน้อยตื่นมาด้วยความหอมกลิ่นกรุ่น เหมือนจะเป็นไก่ย่างที่ลอยเข้ามาปลุกนางในยามเช้า จากนั้นนางก็อ้าปากหาวหนึ่งครั้งแล้วมองไปทุกที่ก็ไม่เห็นว่าจะมีที่ทำอาหารที่ไหนเลย เด็กน้อยเปิดประตูออกไป ท่ามกลางม่านหมอกบาง ๆ แสงอาทิตย์แรกของวันลอดผ่านกิ่งไม้ใหญ่ ส่องกระทบกระต๊อบเล็กหลังนี้ ที่ตั้งอยู่กลางสวนเขียวชอุ่ม กระต๊อบไม้เรียบง่ายมุงหลังคาฟางดูอบอุ่นดั่งอ้อมกอดของธรรมชาติหน้ากระต๊อบเต็มไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ ทั้งกุหลาบสีแดงสด ดอกเดซี่สีขาวสะอาด ดอกลาเวนเดอร์หอมหวานที่ส่งกลิ่นอบอวลไปทั่ว และดอกไม้ป่าหลากสีที่ชูช่อรับแสงตะวัน เกสรเล็ก ๆ พลิ้วตามลมบางเบา กลิ่นหอมอ่อนหวานลอยเคล้าไปกับเสียงนกร้อง เสมือนบทเพลงที่ต้อนรับวันใหม่ เด็หน้อยสูดหายใจเย็นเข้าไป หยดน้ำค้างที่เกาะบนกลีบดอกส่องประกายระยิบระยับราวอัญมณีเล็ก ๆ แสงอาทิตย์อุ่นละมุนตกกระทบผนังไม้ของกระต๊อบ ทำให้ทุกสิ่งรอบตัวดูอ่อนโยนและมีชีวิตชีวา บรรยากาศเต็มไปด้วยความสงบและความสดใสของรุ่งอรุณ เด็กน้อยยืนชมความงามได้สักพักก็จำได้ว่าตัวเองนั้นตามกลิ่นของไก่ย่างออกไปพอมองไปรอบๆก็ไม่เห็นมีไก่ย่างเลย"เด็กน้อยเจ้าตื่นแล้วจะฝึกเลยหรือ

  • ดอกหญ้าทะยานฟ้า   กระต๊อบไม้หลังเล็ก

    พวกเขาทั้สองเดินไปเรื่อยๆ เสียงก้าวเดินแผ่วเบาดังก้องไปพร้อมกับเสียงใบไม้ไหว เสียงน้ำหยดจากกิ่งไม้สูงตกลงใส่พื้นอย่างแผ่วพร่า บางคราวมีเสียงนกประหลาดร้องยาวคล้ายท่วงทำนองสวดสรรเสริญ ก้องสะท้อนในหุบเขา ละม้ายเสียงเพลงจากโลกอื่น ทำให้ผู้เดินทางต้องหยุดฟังราวกับถูกสะกด เสียงนั้นพาให้ใจว่างเปล่า ลอยคว้างอยู่ในภวังค์ เด็กน้อยซือหยาหยุดเดินเป็นช่วงๆคอยฟังเสียงต่างๆ "เจ้าเหมือนจะสนใจสิ่งรอบข้างมากมายนะ รอให้เจ้าฝึกฝนให้ได้เสียก่อน ข้าจะปล่อยให้เจ้าเดินผจญภัยในป่าแห่งนี้ บอกเลยว่าสนุกเลยทีเดียว ป่าแห่งนี้มีทั้งสมุนไพรมากมาย แถมมีของหายากอีกเยอะแยะ แล้วยังมีสัตว์วิเศษที่รอให้เจ้าเป็นเจ้าของอยู่ แต่มันต้องรอให้ถึงเวลาของมันเสียก่อน"ชายชรากล่าวขึ้น เพราะเห็นเด็กผู้นี้เดินไปด้วยหยุดไปด้วยและบางครั้งก็เหมือนกับนางอินกับเสียงนกร้องเสียงกา"จริงเหรอจ๊ะท่านตาข้าจะได้มาเที่ยวในป่านี้อีกครั้งด้วยหรือ แต่เราสองคนจะเดินนานแค่ไหนล่ะถึงจะถึงที่ที่ท่านตาอยู่"เด็กหลินซือหยากล่าวขึ้น"ก็เดินทั้งวันแหละวันนี้พอตกค่ำปุ๊บก็ถึงที่พักของข้าทันทีเจ้านิใจร้อนไปได้ ทีเดินป่ามาตั้ง เจ็ดแปดวันยังไม่เห็นจะรีบร้อนเลย"

  • ดอกหญ้าทะยานฟ้า   ใบไม้ยักษ์

    ขนาดพวกเขาใช้ใบไม้ยักษ์ในการเดินทางยังใช้เวลาไปตั้งนาน แรกๆหลินซือหยายังมองไปข้างล่างอย่างสนใจ เด็กน้อยตื่นเต้นมากต้นไม้ใบสีเขียวแก่เขียวอ่อนสลับกันไป บางต้นก็มีดอกมีผลด้วย นางมองด้วยความเสียดายถ้าใบไม้นี้บินต่ำกว่านี้ก็คงจะเก็บผลไม้มาไว้กินได้ ผลไม้แล้วผลไม้เล่าผ่านใต้ท้องพวกเขาไปอย่างนาเสียดาย หลินซือหยาชะเง้อไปมองผลไม้ที่ผ่านไป"ผลไม้ในป่านี้ตอนนี้มันลูกเล็กอยู่ถ้าหากอยู่ใกล้ๆบนเขานู้นจะลูกใหญ่กว่านี้ หรือว่าเจ้าหิวแล้วหรือถึงมองผลไม้ขนาดนั้น"ชายชรากล่าวถาม"ผลไม้มีลูกใหญ่กว่านี้อีกหรือจ๊ะท่านตา ไหนท่านบอกว่าท่านเป็นนักยุทธพเนจรแล้วทำไมรู้จักสถานที่นี้ดีจังเลยนะท่านตา"เด็กน้อยถามด้วยความสงสัย"เจ้าไม่รู้หรอกหรือที่ที่อยูห่างไกลผู้คนนั่นแหละที่จะมีอะไรดีๆเด็ดๆ และที่ข้าบอกว่านักยุทธพเนจรก็ไม่ได้บอกว่าไม่ได้รู้เรื่องอะไรมากมายนี่เจ้ายังเด็กมากนัก สถานที่นี้ก็ได้มาบำเพ็ญแล้วไม่ต่ำกว่าห้าครั้งทุกๆสี่ห้าปีข้าก็จะมาหนึ่งครั้ง เพราะข้างบนนั้นมันมีไอวิเศษที่เข้มข้นเหมาะกับการฝึกยุท"ชายชรากล่าวขึ้น "จริงหรือจ๊ะท่านตา แล้วท่านว่าบิดาของข้าจะรู้หรือไม่ว่าข้างบนนี้มีไอวิเศษเข้มข้น"เด็กหลิ

  • ดอกหญ้าทะยานฟ้า   นักยุทพเนจร

    เมื่อชายชราผู้นี้ลืมตาตื่นขึ้นมา ก็เห็นเด็กสาวผู้นี้นอนอยู่ ตอนนี้พลังของเขากลับมาเหมือนเดิมแล้ว พิษที่ได้รับก็หายไปหมดแล้ว สมุนไพรในป่านี้ช่างวิเศษเสียเหลือเกิน ตั้งนานเด็กน้อยผู้นั้นก็ลืมตาตื่นขึ้นมา เขามองชายชรานั่งอยู่ใกล้ๆแล้วก็รู้สึกอับอายที่ตัวเองนั้นเผลอหลับไป"เด็กน้อยเจ้ามีความเป็นมาอย่างไรทำไมถึงมาอยู่ในป่าลึกคนเดียวแบบนี้"ชายชราถามขึ้น หลินซือหยาไม่รู้ว่าจะพูดออกมาได้ไหม หากว่าพูดว่าตัวเองถูกไล่จากหมู่บ้านเพราะว่าไม่มีเส้นลมปราณฝึกวรยุทธก็กลัวว่าชายชราผู้นี้จะรังเกียจตน แต่คิดไปคิดมาหากชายชราผู้นี้จะรังเกียจก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะทุกๆคนในหมู่บ้านก็รู้ว่านางไม่มีเส้นลมปราณฝึกวรยุทธ อาจจะมีคนรู้เพิ่มอีกสักคนคงไม่เป็นไรกะมัง"ท่านตาเจ้าค่ะข้ามันคนไร้ค่า ข้าถูกไล่ออกจากหมู่บ้านเพราะว่าข้าไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแท่งตรวจเส้นลมปราณให้มีสีได้ คนในหมู่บ้านบอกว่าข้าเป็นคนไร้ค่าและไม่อยากให้ข้าอยู่ในหมู่บ้านนั้นเจ้าค่ะ ข้าจึงต้องมาอยู่ในป่าแห่งนี้ และทิศทางที่ข้าจะไปนั้นก็คือภูเขาเจ้าคะข้าต้องขึ้นไปอยู่บนภูเขานั้น"เด็กน้อยหลินซือหยากล่าวขึ้น"โธ่เด็กน้อยแล้วเจ้ามีนามว่าอะไรหรือ แล้ว

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status