เด็กสาวในวัยห้าหนาวกำลังวิ่งเล่นกับพี่ชายทั้งสอง พวกเขาอายุเจ็ดและเก้าหนาวแล้ว วันนี้ที่หมู่บ้านของพวกเขาจะมีพิธีตรวจเส้นลมปราณ ซึ่งเด็กวัยห้าหนาวไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรีก็ต้องเข้าพิธีตรวจเส้นลมปราณนี้ มีอาจารย์หลายๆสำนักมาดูการตรวจเส้นลมปราณนี้พวกเขาจะได้รู้ว่าเส้นลมปราณของเด็กๆเป็นอย่างไร และถ้าหากถูกใจพวกเขาก็จะส่งเทียบเชิญเข้าสำนักฝึกเส้นลมปราณต่อไป
"หลินซือหยาการตรวจเส้นลมปราณในครั้งนี้ข้าอยากให้เจ้ามีอาจารย์สำนักใหญ่ๆแบบข้าส่งเทียบเชิญเข้าสำนักจัง เจ้าต้องปล่อยพลังเส้นลมปราณอย่างเต็มกำลังเลยนะ" หลินอี้เฟิงกล่าวขึ้นกับน้องสาว พวกเขาสามคนพี่น้องรักใครกันดี แม้นว่าพวกเขาทั้งสามจะเติบโตมากับบิดาเพียงผู้เดียว เพราะตั้งแต่โตขึ้นมา พวกเขาก็ไม่เคยเห็นหน้ามารดาเลย ในเรือนตอนนี้ก็มีแต่หลินซือหยาที่เป็นสตรีเพียงคนเดียว งานบ้านงานเรือนถึงแม้นว่านางจะเป็นเด็ก นางก็ต้องทำให้บิดาและพี่ชายทั้งสอง แต่ส่วนมากพี่ชายทั้งสองจะไปอยู่สำนักศึกษาจะกลับมาเฉพาะช่วงที่สำนักศึกษาให้กลับมาเท่านั้น พี่ชายทั้งสองของนางคือหลินเต๋อหงที่อายุเจ็ดขวบ หลินอี้เฟิงที่อายุเก้าขวบ พวกเขาทั้งสองได้เรียนที่สำนักพฤกษาสุนทราด้วยกันจึงอยากให้น้องสาวไปเรียนด้วย ความจริงผู้เป็นพี่หลินอี้เฟิงอยากเข้าสำนักวายุพัดไกลมากกว่าแต่สำนักพฤกษาสุนทรานั้นได้ส่งเทียบเชิญมา ผู้เป็นบิดาจึงให้เขาเข้าสำนักนี้ทั้งสองคนเลย เมื่อถึงเวลาพระอาทิตย์ใกล้จะตกดินแล้วภายในหมู่บ้านก็เรียกเด็กอายุราวๆห้าหนาวออกไปเพื่อที่จะไปตรวจเส้นลมปราณ คนในหมู่บ้านสกุลใหญ่ๆก็ให้บุตรหลานมาตรวจเส้นลงตามก่อน ทางการนำแท่งตรวจเส้นลมปราณมาวางไว้กลางหมู่บ้าน แท่งตรวจเส้นลมปราณมีลักษณะแบนและใหญ่ เพียงเด็กๆวางมือไว้บนแท่งนั้นแล้วค่อยๆให้เด็กปล่อยพลังออกมาแท่งแบนนั้นก็จะเป็นแสงออกมาเด็กผู้แรกนั้นทำให้แท่งนั้นเกิดแสงสีหยกขาวมันแพะ ซึ่งปกติแท่งนั้นจะเป็นสีขาวใส ทุกคนต่างตบมือกันและมีท่านอาจารย์จากสำนักจิตเงาจันทร์ได้เขียนเทียบเชิญให้กับเด็กผู้ที่ตรวจเส้นลมปราณผู้แรกทันที หลิวซือหยามองดูท่านอวาจารย์ทั้งสี่สำนักที่นั่งอยู่หน้าแท่งตรวจลมปราณนี้ "ท่านพี่ถ้าหากว่าข้าตรวจเส้นลมปราณนี้แล้วแล้วไม่มีท่านอาจารย์ผู้ใดเทียบเชิญค่าข้าจะทำอย่างไรหรือ" หลินซือหยาถามผู้เป็นพี่ชายเพราะตอนนี้นางเริ่มไม่มั่นใจเสียแล้ว "เพียงแค่เจ้าเปลี่ยนแท่งตรวจเส้นลมปราณนั้นให้เป็นสีใดก็ได้ไม่ว่าจะเป็นสีเมื่อครู่หรือเป็นสีม่วงอ่อนหรือเป็นสีแดงเข้มหรือไม่ก็เป็นสีเขียวใบไม้ หากไม่มีผู้ใดส่งเทียบเชิญให้เข้าสำนักท่านพ่อก็จะพาเจ้าไปสมัครที่สำนักเองไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้ เพราะในทุกปีบางคนก็ไม่ได้รับเทียบเชิญเสียหน่อยแต่พวกเขาก็มีที่เรียนกัน" หลินอี้เฟิงกล่าวขึ้น "ท่านพี่แล้วมีผู้ใดหรือไม่เจ้าคะที่สัมผัสกับแท่งตรวจเส้นลมปราณแล้วไม่สามารถเปลี่ยนสีได้" หลินซือหยาถามผู้เป็นพี่ชาย "ไม่มีหรอกเพราะว่ายุทธภพแห่งผู้ที่มีวรยุทธเป็นใหญ่ หากไม่สามารถฝึกฝนได้แล้วจะดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างไรล่ะ เจ้านี้ก็ถามแปลก ขนาดพ่อของเราที่มีอายุมากเขายังต้องฝึกวรยุทเลย" หลินอี้เฟิงกล่าวขึ้น "เจ้าจะถามอะไรให้มากความล่ะ ดูพวกข้าทั้งสองสิยังทดสอบเส้นลมปราณผ่านเลย หากเจ้าไม่มีก็แปลกแล้วล่ะ และทุกคนใต้ล้านี้ก็มีแต่คนมีวรยุททั้งนั้น หากเจ้าไม่สามารถเปลี่ยนแท่งตรวจเส้นลมปราณนี้ได้ก็แสดงว่าเจ้าไม่ใช่คนใต้หล่านี้แล้วล่ะ555" หลินเต๋อหงกล่าวขึ้นอย่างหยอกล้อ เนื่องจากครอบครัวของพวกเขาเป็นตระกูลเล็กย่อมมีสิทธิที่จะทำอะไรที่หลังอยู่แล้ว มีเด็กหลายคนที่อยู่ในตะกูลเล็กเช่นเดียวกัน และหลังจากตรวจเส้นลมปราณแล้วมีสีขึ้นเพียงเล็กน้อยก็ไม่มีสำนักใดต้องการตัวพวกเขาก็กลับไปนั่งรอดูผู้อื่นตรวจเส้นลมปราณต่อไป ตอนนี้ตะวันเริ่มคอยลงต่ำแล้วไม่นานก็ถึงคิวของหลินซือหยา นางเดินเขาไปกลางหมู่คน นางนั่งหน้าแท่นตรวจเส้นชีพจร นางยื่นมีทั้งสองไปอย่างกล้าๆกลัวๆแตะที่แท่งขาวใสนั้นนางมองดูผลลัพธ์ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นนางจึงพยายามเบ่งเอาพลังนั้นออกมาเหมือนคนที่กำลังถ่ายทอดวรยุทธ์ นางพยายามกลั้นลมหายใจและเบ่งออกไปอีก แม้นนางจะเบ่งจนหน้าแดงก็ไม่สามารถเปลี่ยนแท่งขาวใสนั้นให้เป็นสีอื่นได้เลย ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นลุกขึ้นมองด้วยความสนใจ "เห้ย เด็กตระกูลหลิน ทำไมถึงไม่สามารถเปลี่ยนแท่งตรวจเส้นลมปราณได้ล่ะ เด็กผู้นี้จะไม่มีเส้นลมปราณในการฝึกยุทเลยหรอ" เสียงรอบข้างเฮฮาขึ้น ทุกคนมองไปยังเด็กน้อย นางหันหน้าออกจากแท่งตรวจเส้นลมปราณด้วยความอับอาย นางมองไปยังพี่ชายทั้งสองและผู้เป็นบิดาที่นั่งอยู่อีกฟาก พวกเขานั้นทำท่าราวกับมองไม่เห็นนางพอนางลุกขึ้นและจะเดินไปหาพวกเขา พวกเขาเหมือนจูงมือกันลุกขึ้นทันทีที่นางขยับตัว "เห้ย นั้นเด็กซือหยา หลินซือหยาที่แปลว่าเด็กหญิงธรรมดาแต่คิดใฝ่สูง โถ้ตั้งชื่อได้ใฝ่สูงจริงๆนะ แต่ก็กลับกลายเป็นเด็กหญิงธรรมดานี่เอง" เสียงสตรีผู้หนึ่งกล่าวขึ้น ทุกคนก็หันมามองหลินซือหยา "เด็กคนนี้ไร้ค่ายิ่งนักแล้วสำนักไหนจะรับตัวไปร่ำเรียนล่ะนั่น หากเส้นลมปราณไม่เปิดแบบนี้ก็ไม่สามารถที่จะฝึกยุทได้ แล้วแบบนี้จะอยู่ในยุทภพแห่งนี้ได้หรือ" เสียงอาจารย์ท่านหนึ่งกล่าวขึ้น ผู้เป็นบิดาและพี่ชายไม่อยากให้ใครรู้ว่าหลินซือหยานั้นเป็นบุตรและน้องสาวของพวกเขา เด็กทั้งสองกลัวว่าท่านอาจารย์ที่เคยรับพวกเขาเป็นลูกศิษย์หากรู้ว่ามีน้องสาวที่ไร้ค่าแบบนี้จะไล่ตัวเองออกจากสำนัก "นางก็แค่ขยะไร้ค่า อยู่ที่ไหนนางก็จะลำบากหาข้าเป็นพ่อเป็นแม่นางนะข้าจะบีบคอให้ตายเสียเลย จะได้ไม่ต้องทนลำบากในอนาคตตอนนี้ไม่เท่าไหร่หรอกแต่พอโตขึ้นน่ะสิจะถูกเขารังแกได้หากไม่มีวรยุทธแล้ว" เสียงบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้น หลินซือหยามองหน้าผู้เป็นบิดาที่กำลังฟังบุรุษผู้นั้นพูดอยู่ เหมือนว่าบิดาของนางได้ตัดสินใจแล้วว่าจะกำจัดนางให้ตาย เพื่อนางจะได้ไม่ต้องใช้ชีวิตที่ลำบากในภายภาคหน้า พี่ชายทั้งสองก็ไม่สนใจนาง นางเดินกลับบ้านด้วยความเสียใจ หากผู้เป็นบิดาฆ่านางจริงๆนางก็คงต้องยอมรับชะตากรรมนี้เด็กน้อยหลินซือหยาเมื่อเห็นชายชรานั้นยิ้มตอบ ตนก็รู้แล้วว่าตนตอบคำถามได้ถูกต้องตามที่ชายชราปรารถนา เด็กน้อยคุกเข่าลงและคำนับท่านผู้เฒ่าสามครั้ง "ข้าขอกราบท่านตาเป็นอาจารย์นะเจ้าคะ เพราะในตำราบอกว่าถ้ามีอาจารย์จะทำให้ข้าเข้าใจในบทความทุกบทความได้เร็วขึ้น"เด็กน้อยหลินซือหยากล่าวขึ้น เจ็ดวันที่ผ่านมาเขาไม่ใช่แค่จดบทกวีและดูความหมายของมันเท่านั้น เขายังมองไปดูหน้าอื่นๆเผื่อหน้าอื่นๆจะซ่อนความหมายของบทกวีนี้ และหนังสือหน้าอื่นๆก็แสดงให้เรารู้เพียงว่าหากเป็นศิษย์มีครูย่อมประสบผลสำเร็จได้เร็วขึ้น เด็กน้อยผู้นี้ก็นับถือชายชราผู้นี้อยู่แล้ว ยกให้เขาเป็นครูได้เลย"เจ้าเด็กผู้นี้รู้จักพูดดีนัก ได้ข้าจะรับเจ้าไว้เป็นศิษย์เพียงผู้เดียว555 มาข้าจะตีความหมายแต่ละตอนให้ฟัง วันนี้คำตอบของเจ้านั้นโดนใจและตรงใจและตรงประเด็นมาก"บทแรก ลมพัดหวนผ่านฟ้าเวิ้งว้าง ดวงจันทร์ส่องกลางธารามืดมิดมักก็คือบรรยากาศแห่งความเวิ้งว้างว่างเปล่า สะท้อนถึงโลกที่เต็มไปด้วยความมืด ความทุกข์ หรือความไม่แน่นอน แต่ยังมีแสงจันทร์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวัง ความจริง และความสว่าง ที่คอยนำทางบทที่สองเงาดาบหนึ่งฟาดสะท้านส
หลังจากกินข้าวเสร็จชายชราก็พาเด็กน้อยลงไปด้านล่างเพื่อที่จะไปหาหนังสือตำหรับตำราเขาหยิบหนังสือออกมา แล้วไสคืนที่ ชายชราเดินหยิบไปเรื่อยๆจนในที่สุดก็ได้ตำรามาสองเล่มและสมุดเปล่าอีกหนึ่งเล่ม ก่อนที่จะเดินหาผู้กันและหมึก"ได้ของครบแล้วป่ะขึ้นไปเรียนด้านบนกันเถอะ"ชายชรากล่าวขึ้นและพาเด็กน้อยขึ้นไปด้านบน เขาโบกมือหนึ่งครั้งทำให้โต๊ะที่ตั้งอยู่ตรงกลางนั้นไหลมาอยู่ตรงริมจุดที่เด็กน้อยปีนขึ้นมา ชายชราไม่ได้ปีนขึ้นมาดั่งที่ตัวเองพูด เผลอแป๊บเดียวเขาก็ขึ้นมาข้างบนได้แล้ว เด็กน้อยหลินซือหยาได้แต่คิดในใจอีกสักกี่ปีนะ นางถึงจะสามารถเหาะขึ้นมาข้างบนได้แบบนี้"มานั่งเถอะ ข้าต้องสอนหนังสือให้เจ้าก่อนให้เจ้าก่อน เจ้าจะได้รู้ตัวหนังสือแล้วเจ้าจะได้ศึกษาตำราด้วยตัวเอง"ชายชรากล่าวขึ้น"แบบนั้นท่านตาให้ข้าเขียนให้ดูก็ได้นะเจ้าคะเพราะว่านั้นก็ได้ร่ำเรียนมาด้วยตัวเองบ้าง ข้าเคยเอาตำราของพี่ชายของข้ามาฝึกฝน การเขียนอักษรบ้างแล้ว การเริ่มเขียนนั้นน่าจะไม่ค่อยจำเป็นสักเท่าไหร่ แต่ข้าอาจจะเขียนคำยากๆไม่ได้ และไม่รู้ความหมายของมันเท่านั้นเจ้าค่ะ"เด็กน้อยกล่าวขึ้น ชายชราจึงนำสมุดเปล่าและก็นำหมึกมาวางให้นางลองเ
เช้าวันรุ่งขึ้นเด็กน้อยตื่นมาด้วยความหอมกลิ่นกรุ่น เหมือนจะเป็นไก่ย่างที่ลอยเข้ามาปลุกนางในยามเช้า จากนั้นนางก็อ้าปากหาวหนึ่งครั้งแล้วมองไปทุกที่ก็ไม่เห็นว่าจะมีที่ทำอาหารที่ไหนเลย เด็กน้อยเปิดประตูออกไป ท่ามกลางม่านหมอกบาง ๆ แสงอาทิตย์แรกของวันลอดผ่านกิ่งไม้ใหญ่ ส่องกระทบกระต๊อบเล็กหลังนี้ ที่ตั้งอยู่กลางสวนเขียวชอุ่ม กระต๊อบไม้เรียบง่ายมุงหลังคาฟางดูอบอุ่นดั่งอ้อมกอดของธรรมชาติหน้ากระต๊อบเต็มไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ ทั้งกุหลาบสีแดงสด ดอกเดซี่สีขาวสะอาด ดอกลาเวนเดอร์หอมหวานที่ส่งกลิ่นอบอวลไปทั่ว และดอกไม้ป่าหลากสีที่ชูช่อรับแสงตะวัน เกสรเล็ก ๆ พลิ้วตามลมบางเบา กลิ่นหอมอ่อนหวานลอยเคล้าไปกับเสียงนกร้อง เสมือนบทเพลงที่ต้อนรับวันใหม่ เด็หน้อยสูดหายใจเย็นเข้าไป หยดน้ำค้างที่เกาะบนกลีบดอกส่องประกายระยิบระยับราวอัญมณีเล็ก ๆ แสงอาทิตย์อุ่นละมุนตกกระทบผนังไม้ของกระต๊อบ ทำให้ทุกสิ่งรอบตัวดูอ่อนโยนและมีชีวิตชีวา บรรยากาศเต็มไปด้วยความสงบและความสดใสของรุ่งอรุณ เด็กน้อยยืนชมความงามได้สักพักก็จำได้ว่าตัวเองนั้นตามกลิ่นของไก่ย่างออกไปพอมองไปรอบๆก็ไม่เห็นมีไก่ย่างเลย"เด็กน้อยเจ้าตื่นแล้วจะฝึกเลยหรือ
พวกเขาทั้สองเดินไปเรื่อยๆ เสียงก้าวเดินแผ่วเบาดังก้องไปพร้อมกับเสียงใบไม้ไหว เสียงน้ำหยดจากกิ่งไม้สูงตกลงใส่พื้นอย่างแผ่วพร่า บางคราวมีเสียงนกประหลาดร้องยาวคล้ายท่วงทำนองสวดสรรเสริญ ก้องสะท้อนในหุบเขา ละม้ายเสียงเพลงจากโลกอื่น ทำให้ผู้เดินทางต้องหยุดฟังราวกับถูกสะกด เสียงนั้นพาให้ใจว่างเปล่า ลอยคว้างอยู่ในภวังค์ เด็กน้อยซือหยาหยุดเดินเป็นช่วงๆคอยฟังเสียงต่างๆ "เจ้าเหมือนจะสนใจสิ่งรอบข้างมากมายนะ รอให้เจ้าฝึกฝนให้ได้เสียก่อน ข้าจะปล่อยให้เจ้าเดินผจญภัยในป่าแห่งนี้ บอกเลยว่าสนุกเลยทีเดียว ป่าแห่งนี้มีทั้งสมุนไพรมากมาย แถมมีของหายากอีกเยอะแยะ แล้วยังมีสัตว์วิเศษที่รอให้เจ้าเป็นเจ้าของอยู่ แต่มันต้องรอให้ถึงเวลาของมันเสียก่อน"ชายชรากล่าวขึ้น เพราะเห็นเด็กผู้นี้เดินไปด้วยหยุดไปด้วยและบางครั้งก็เหมือนกับนางอินกับเสียงนกร้องเสียงกา"จริงเหรอจ๊ะท่านตาข้าจะได้มาเที่ยวในป่านี้อีกครั้งด้วยหรือ แต่เราสองคนจะเดินนานแค่ไหนล่ะถึงจะถึงที่ที่ท่านตาอยู่"เด็กหลินซือหยากล่าวขึ้น"ก็เดินทั้งวันแหละวันนี้พอตกค่ำปุ๊บก็ถึงที่พักของข้าทันทีเจ้านิใจร้อนไปได้ ทีเดินป่ามาตั้ง เจ็ดแปดวันยังไม่เห็นจะรีบร้อนเลย"
ขนาดพวกเขาใช้ใบไม้ยักษ์ในการเดินทางยังใช้เวลาไปตั้งนาน แรกๆหลินซือหยายังมองไปข้างล่างอย่างสนใจ เด็กน้อยตื่นเต้นมากต้นไม้ใบสีเขียวแก่เขียวอ่อนสลับกันไป บางต้นก็มีดอกมีผลด้วย นางมองด้วยความเสียดายถ้าใบไม้นี้บินต่ำกว่านี้ก็คงจะเก็บผลไม้มาไว้กินได้ ผลไม้แล้วผลไม้เล่าผ่านใต้ท้องพวกเขาไปอย่างนาเสียดาย หลินซือหยาชะเง้อไปมองผลไม้ที่ผ่านไป"ผลไม้ในป่านี้ตอนนี้มันลูกเล็กอยู่ถ้าหากอยู่ใกล้ๆบนเขานู้นจะลูกใหญ่กว่านี้ หรือว่าเจ้าหิวแล้วหรือถึงมองผลไม้ขนาดนั้น"ชายชรากล่าวถาม"ผลไม้มีลูกใหญ่กว่านี้อีกหรือจ๊ะท่านตา ไหนท่านบอกว่าท่านเป็นนักยุทธพเนจรแล้วทำไมรู้จักสถานที่นี้ดีจังเลยนะท่านตา"เด็กน้อยถามด้วยความสงสัย"เจ้าไม่รู้หรอกหรือที่ที่อยูห่างไกลผู้คนนั่นแหละที่จะมีอะไรดีๆเด็ดๆ และที่ข้าบอกว่านักยุทธพเนจรก็ไม่ได้บอกว่าไม่ได้รู้เรื่องอะไรมากมายนี่เจ้ายังเด็กมากนัก สถานที่นี้ก็ได้มาบำเพ็ญแล้วไม่ต่ำกว่าห้าครั้งทุกๆสี่ห้าปีข้าก็จะมาหนึ่งครั้ง เพราะข้างบนนั้นมันมีไอวิเศษที่เข้มข้นเหมาะกับการฝึกยุท"ชายชรากล่าวขึ้น "จริงหรือจ๊ะท่านตา แล้วท่านว่าบิดาของข้าจะรู้หรือไม่ว่าข้างบนนี้มีไอวิเศษเข้มข้น"เด็กหลิ
เมื่อชายชราผู้นี้ลืมตาตื่นขึ้นมา ก็เห็นเด็กสาวผู้นี้นอนอยู่ ตอนนี้พลังของเขากลับมาเหมือนเดิมแล้ว พิษที่ได้รับก็หายไปหมดแล้ว สมุนไพรในป่านี้ช่างวิเศษเสียเหลือเกิน ตั้งนานเด็กน้อยผู้นั้นก็ลืมตาตื่นขึ้นมา เขามองชายชรานั่งอยู่ใกล้ๆแล้วก็รู้สึกอับอายที่ตัวเองนั้นเผลอหลับไป"เด็กน้อยเจ้ามีความเป็นมาอย่างไรทำไมถึงมาอยู่ในป่าลึกคนเดียวแบบนี้"ชายชราถามขึ้น หลินซือหยาไม่รู้ว่าจะพูดออกมาได้ไหม หากว่าพูดว่าตัวเองถูกไล่จากหมู่บ้านเพราะว่าไม่มีเส้นลมปราณฝึกวรยุทธก็กลัวว่าชายชราผู้นี้จะรังเกียจตน แต่คิดไปคิดมาหากชายชราผู้นี้จะรังเกียจก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะทุกๆคนในหมู่บ้านก็รู้ว่านางไม่มีเส้นลมปราณฝึกวรยุทธ อาจจะมีคนรู้เพิ่มอีกสักคนคงไม่เป็นไรกะมัง"ท่านตาเจ้าค่ะข้ามันคนไร้ค่า ข้าถูกไล่ออกจากหมู่บ้านเพราะว่าข้าไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแท่งตรวจเส้นลมปราณให้มีสีได้ คนในหมู่บ้านบอกว่าข้าเป็นคนไร้ค่าและไม่อยากให้ข้าอยู่ในหมู่บ้านนั้นเจ้าค่ะ ข้าจึงต้องมาอยู่ในป่าแห่งนี้ และทิศทางที่ข้าจะไปนั้นก็คือภูเขาเจ้าคะข้าต้องขึ้นไปอยู่บนภูเขานั้น"เด็กน้อยหลินซือหยากล่าวขึ้น"โธ่เด็กน้อยแล้วเจ้ามีนามว่าอะไรหรือ แล้ว