“หลันหลันเด็กดี เป็นเด็กกตัญญูรู้คุณ ค่อยๆ ตรองดูเถิดว่าเวลาสี่สิบเก้าวันที่เจ้าลืมตามาอยู่ในร่างนี้ต้องทำสิ่งใดบ้าง”
“สี่สิบเก้าวัน? ท่านป้าหมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ”
“นี่ไม่ใช่ร่างของเจ้า ดวงจิตของเจ้ามาอยู่ในร่างนี้ได้เพียงแค่สี่สิบเก้าวันเท่านั้น” ป้าต๋าซูยังคงลูบศีรษะนางเบาๆ “ที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้เพราะมีผู้มอบลมหายใจต่ออายุให้เจ้า”
หลันหลันขมวดคิ้ว “ใครกันเจ้าคะ?”
“ในสี่สิบเก้าวันที่เจ้าอยู่บนโลกมนุษย์นี้ เจ้าต้องกลืนกินลมหายใจของเขาเพื่อต่ออายุเจ้า”
“ท่านป้า ท่านช่วยอธิบายให้นกน้อยอย่างข้าเข้าใจง่ายๆ ด้วยเถิดเจ้าค่ะ” นางเบ้ปากทำหน้าอยากร้องไห้เต็มที “คุณหนูของข้าอยู่ที่ไหน ข้าจะไปตามหาคุณหนู”
“เจ้าไปหาคุณหนูตอนนี้ไม่ได้”
“คุณหนูรอข้าอยู่ใช่ไหมเจ้าคะ”
“หลันหลัน จำไว้ เจ้าอยู่ได้แค่สี่สิบเก้าวัน และต้องกลืนกินลมหายใจของผู้มีพระคุณของเจ้า เจ้าจึงยังอยู่บนโลกนี้ได้”
มือหยาบกร้านปล่อยศีรษะนางแล้วค่อยๆ หมุนตัวเดินจากไป
“ท่านป้า ท่านจะไปไหน” หลันหลันวิ่งตาม แต่เหตุใดนางวิ่งตามจนหอบหายใจแรงก็ยังตามไม่ทัน นางเริ่มหายใจไม่ออกเหมือนคนกำลังจมน้ำอีกครั้ง
“ป้าต๋าซู คุณหนู...อย่าทิ้งข้า ข้าไม่อยากอยู่คนเดียว”
“หลันหลัน”
เสียงทุ้มต่ำเรียกให้นางได้สติ เซียวเหรินนั่งข้างหญิงสาวที่นอนดิ้นรนกระสับกระส่าย ละเมอฟังไม่รู้เรื่องนัก ผิวกายเยียบเย็นราวกับน้ำแข็ง ริมฝีปากซีดขาว เขายื่นมือไปหมายจับมือน้อยๆ ที่เปะปะไปมาเบื้องหน้าคล้ายไขว่คว้าหาบางสิ่ง ทว่าจังหวะที่เขาโน้มตัวลงไปนั้น มือสองข้างของนางก็ยื่นมาคล้องคอเหนี่ยวตัวเองขึ้นมาประกบริมฝีปากของเขาอย่างรวดเร็ว
ดวงตาของเซียวเหรินกระตุก เขาควรผลักนางออก แต่ท่าทางไร้ที่พึ่งชวนเวทนาทำให้เขาผลักนางไม่ลง ริมฝีปากนางเยียบเย็นจนเกินไป ร่างกายก็เช่นกัน จากที่ดิ้นทุรนทุรายยามนี้นางสงบลงแล้ว เขาเปิดปากตัวเองเล็กน้อยเพื่อจะถอนหายใจเบาๆ แต่ริมฝีปากนุ่มนั้นก็เผยอริมฝีปากพร้อมกัน เขาเอนตัวไปด้านหลังจะถอยหนีแต่นางกลับเป็นฝ่ายไล่ต้อนยื่นหน้าติดตามไม่ยอมปล่อย เขาไม่คิดว่านางจะกล้า ‘ลวนลาม’ เขาเช่นนี้จึงใช้สองมือจับไหล่กลมมนของนางไว้มั่นเพื่อดันนางออก แต่ดวงตากลมก็ลืมตาขึ้นพร้อมกับผละริมฝีปากออกจากปากของเขา นางถอนหายใจเบาๆ แล้วยกมือขึ้นลูบหน้าอกของตนเอง
“นึกว่าจะตายอีกครั้งแล้ว” หญิงสาวพรั่งพรูลมหายใจยาว แล้วยังลูบหน้าอกตนเองอีกหลายครั้ง “ข้าคงไม่กล้าเข้าใกล้น้ำอีก”
“เจ้า...” เซียวเหรินขมวดคิ้ว “เจ้าทำอะไร”
“อ๊ะ! ซือจื่อมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” หลันหลันได้สติแล้วรีบกวาดสายตามองรอบตัว นี่เป็นตั่งที่นางนอนหลับใหลตั้งแต่ครั้งแรกที่มาเรือนของเซียวเหริน
“ที่นี่บ้านของข้า” เขาเตือนสตินาง “และข้าบอกแล้วว่า...”
“ต่อหน้าผู้อื่นห้ามเรียกซือจื่อ” นางรีบพูดขึ้นอย่างรวดเร็วและยิ้มกว้างรอคอยคำชมที่นางจำประโยคคำพูดของเขาได้ แต่เห็นใบหน้าราบเรียบไร้อารมณ์ใด ไม่มีรอยยิ้มหรือคำชม หรือเมล็ดทานตะวัน นางจึงเก็บรอยยิ้มของตนเองแล้วเอ่ยถามเขา
“ท่านเซียว ท่านเห็นป้าต๋าซูหรือไม่” นางถามเสียงเบาด้วยท่าทีเกรงอกเกรงใจ “เมื่อครู่ข้าคุยกับป้าต๋าซูอยู่ ข้ายังไม่เข้าใจเรื่องที่นางพูดกับข้าเลย นางก็เดินหนีไปแล้ว”
“ป้าต๋าซูไม่อยู่แล้ว”
หากเป็นผู้อื่นเขาคงพูดตรงไปตรงมาว่า ‘ตาย’ แล้ว แต่เพราะท่าทางไร้เดียงสาของนางทำให้เขาพูดไม่ออก และดูท่าทางนางจะไม่รู้ตัวว่าเมื่อครู่ นางทำอะไรลงไป
“ป้าต๋าซูไม่อยู่...” นางทวนคำพูดของเขาแล้วก็พยักหน้าหงึกๆ “อ้อ! ป้าต๋าซูกลับบ้านแล้วซินะ ดีจริง”
เขาไม่ได้แก้ไขความเข้าใจของนาง เห็นนางแย้มยิ้มแล้วเขาก็ปล่อยให้นางคิดเช่นนั้น สีหน้าของนางดีขึ้นกว่าเมื่อครู่ เขาจึงยื่นมือไปจับชีพจรของหญิงสาว ร่างกายของนางอบอุ่นขึ้น ชีพจรเป็นปกติ ริมฝีปากฝาดสีเลือดอีกครั้ง หากไม่นับรอยช้ำจ้ำเลือดบนร่างกาย และการที่บอกว่าตัวเองเป็น ‘นก’ ก็นับได้ว่านางเกือบเป็นปกติทุกอย่างแล้ว
“แล้วบ้านของป้าต๋าซูไปทางไหนเจ้าคะ”
“เจ้ามีธุระอันใดรึ” เขาถามกลับพลางดึงแขนเสื้อของนางคืนตามเดิม เป็นหญิงสาวที่ไม่ค่อยระวังตัวเองเสียเลย ปล่อยให้ผู้อื่นม้วนแขนเสื้อ จับมือจับไม้เช่นนี้
“ข้าคุยกับท่านป้าต๋าซูยังไม่เข้าใจกระจ่างนัก ท่านป้าก็หันหลังเดินหนีไปก่อน ข้าวิ่งตามอย่างไรก็ตามไม่ทัน”
“เจ้าคุยอะไรกับป้าต๋าซู” เซียวเหรินถามอย่างสนใจ ป้าต๋าซูตายหลังจากที่นางหมดสติไปไม่นานนัก เพียงแค่เขาอุ้มนางกลับเข้ามาในห้องได้ครึ่งก้านธูป หลัววั่งก็เรียกเขาเสียงสั่นให้ออกไปดูป้าต๋าซูอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ป้าต๋าซูจากไปแล้วแต่กลับมีรอยยิ้มบนใบหน้า ลูกชายตัวใหญ่ยักษ์ร้องไห้เสียงดังแต่ก็ไม่ได้โวยวายเอาเรื่องอะไรกับเขาอีก ได้ยินจากติงชุ่ยว่าป้าต๋าซูสั่งเสียไว้แล้ว เจ้าหมียักษ์นั้นจึงได้แต่อุ้มร่างไร้ลมหายใจของมารดากลับออกไป
“ท่านป้าบอกว่าข้าจะอยู่บนโลกนี้ได้แค่สี่สิบเก้าวัน” นางพูดด้วยสีหน้าจริงจัง แล้วก็ทำหน้าสะดุ้งยกนิ้วมือขึ้นมากางออก กระดิกไปมาเหมือนกำลังนับตัวเลข “ข้าตื่นมากี่วันแล้วเจ้าคะ”
“ถ้านับตั้งแต่ที่ข้าอุ้มเจ้าขึ้นจากน้ำ วันนี้วันที่สามแล้ว” เขาอมยิ้มน้อยๆ ไม่ได้ขัดว่านางกำลังพูดเรื่องอันใดอยู่ “แล้วอย่างไรต่อ”
“อ้อ!” นางรีบพูดตามที่นางได้ยินมาตรงทุกถ้อยคำ “เจ้ายังต้องทำความปรารถนาให้เป็นจริงเสียก่อน เจ้าอธิษฐานเช่นนั้นมิใช่หรือ”
“อธิษฐาน?” เขาเดินไปรินน้ำชาแล้วส่งให้หญิงสาวดื่ม นางรีบคว้ามาดื่มเพราะกระหายน้ำอยู่ก่อนแล้ว หลังจากดื่มจนหมดรวดเดียวก็ใช้หลังมือเช็ดปากตัวเองเร็วๆ ราวกับกลัวจะลืมถ้อยคำของป้าต๋าซู
“นี่ไม่ใช่ร่างของเจ้า ดวงจิตของเจ้ามาอยู่ในร่างนี้ได้เพียงแค่สี่สิบเก้าวันเท่านั้น” หลันหลันพูดพร้อมเลียนแบบน้ำเสียงของป้าต๋าซู “ที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้เพราะมีผู้มอบลมหายใจต่ออายุให้เจ้า”
เซียวเหรินรับฟังทุกถ้อยคำของนางไม่กล่าวขัด รอให้นางพูดออกมาจนหมด
“ในสี่สิบเก้าวันที่เจ้าอยู่บนโลกมนุษย์นี้ เจ้าต้องกลืนกินลมหายใจของเขาเพื่อต่ออายุเจ้า”
หลันหลันพูดตามทุกถ้อยคำของป้าต๋าซู ความสามารถในการจดจำคำพูดของนางนั้นยอดเยี่ยมที่สุด คุณหนูกงกล่าวชมนางเสมอ หญิงสาวยืดอกรอรับคำชมจากเซียวเหริน แต่ชายหนุ่มกลับนิ่งฟังไร้รอยยิ้ม เมื่อมีเพียงแค่ความเงียบ ไหล่นางจึงห่อลงเล็กน้อยพร้อมรอยยิ้มที่เจื่อนไป
“เจ้าจะอยู่ได้แค่สี่สิบเก้าวันหรือ?” เขาเอ่ยขึ้นหลังจากมั่นใจว่านางไม่พูดอะไรออกมาอีก หญิงสาวพยักหน้าขึ้นลงแทนคำตอบ “เจ้าฟื้นมาสามวันแล้ว เท่ากับว่าเจ้าเหลืออีกสี่สิบหกวัน”
“ถูกต้อง!” นางยืดแผ่นหลังตั้งตรงขึ้นมาอีกครั้ง “ซือ...เอ่อ...เซียวเหรินเก่งที่สุด”
หัวคิ้วของเขากระตุก เขาอายุยี่สิบสองแล้วไม่จำเป็นต้องได้คำชมเชยกับแค่การคำนวณจำนวนตัวเลขง่ายๆ แค่นี้
“ระหว่างนี้เจ้าต้องกลืนกินลมหายใจผู้ที่ช่วยชีวิตเจ้า”
หลันหลันพยักหน้าขึ้นลงเร็ว “น่าจะเป็นเช่นนั้น”
เซียวเหรินยื่นหน้าไปใกล้หญิงสาว นางไม่ได้ถอยหลังหลบ หรือมีสีหน้าเขินอาย แต่ดวงตาของนางกลับจ้องมองเขาด้วยแววตาใสซื่อ
“เช่นนั้นเมื่อครู่เจ้ากลืนกินลมหายใจของข้ารึ?”
“เมื่อครู่ข้ากลืนกินลมหายใจของซือ...เอ่อ...เซียวเหรินหรือ?”
นางถามเขากลับแล้วขมวดคิ้ว นางจำได้ว่านางวิ่งตามป้าต๋าซู แต่ท่านป้าเดินเร็วเหลือเกิน นางวิ่งตามจนแน่นหน้าอกหายใจไม่ออก ร่างกายหมดเรี่ยวแรง และเหมือนมีคนยื่นมาพยุงนางนางจึงคว้าไว้เหมือนที่นางจมน้ำแล้วคว้าสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเพื่อเอาตัวรอด
หญิงสาวได้แต่ยิ้มน้อยๆ แล้วมองเด็กสองคนที่แย่งกันมองนอกหน้าต่างรถม้าที่โยกไหวไปมา นี่คือเส้นทางที่นางตัดสินใจแล้ว เขาไม่ต้องการนาง นางก็ไม่สามารถทำใจแข็งมองดูเขากับหญิงอื่นได้ ไม่รู้ทำไม ใจนางจึงชอบบุรุษผู้นั้นไปได้ ภายนอกเขาดูเย็นชาแต่เมื่ออยู่ด้วยกันตามลำพัง เขาใส่ใจนางอย่างยิ่ง แต่ถึงอย่างไร นางก็เป็นเพียงหญิงจากหอนางโลมที่รัชทายาทประทานให้ เมื่อเขาไม่ต้องการก็ส่งนางกลับไป คิดถึงเรื่องนี้หัวใจก็เจ็บราวถูกมีดเฉือดเนื้อหัวใจเป็นริ้วๆ“นั้นอะไร” เด็กหญิงเอ่ยถาม“ม้ายังไงเล่า” เด็กชายตอบ “มีคนขี่ม้ามาทางนี้”“คงเป็นทหารนำสาสน์ด่วนผ่านมาทางนี้” ผู้เป็นแม่อธิบาย“ข้าจะเป็นทหาร!” เด็กชายพูดขึ้น“ข้าด้วย” เด็กหญิงพูดบ้าง“เจ้าเป็นผู้หญิง เป็นทหารไม่ได้”“ข้าจะเป็นทหาร ขี่ม้าเหมือนคนผู้นั้น”“อ๋า! ใกล้มาแล้ว”จู่ๆ รถม้าก็หยุดกะทันหัน ผู้คนในรถม้าไม่ทันตั้งตัวล้มไปคนละทาง หลิวเจียวเหมยยื่นมือไปรับเด็กหญิงไว้ได้ทันก่อนที่จะล้มกระแทกพื้นรถ“เกิดอะไรขึ้น!” หลิวเจียวเหมยหัวเสีย แม้จะเป็นคนของทางการแต่ทำเช่นนี้ไม่ถูก หากมีคนบาดเจ็บขึ้นมาจะทำอย่างไร หญิงสาวหงุดหงิดแล้วยื่นหน้าออกไปมองเป็นจังหว
หยางเฟยหลิงก้าวพรวดพราดเข้าไปหาน้องชายที่นี่นั่งอ่านตำราอยู่ สีหน้าของหยางไห่เทาไม่สะทกสะท้านแม้ถูกกระชากคอเสื้อจนตัวลอยขึ้นจากเก้าอี้ สาวใช้ตกใจส่งเสียงหวีดร้องขึ้นมาทันที “พี่ใหญ่” หยางไห่เทาคลี่ยิ้มไม่ถือสาที่ถูกพี่ชายทำเช่นนี้ “หากเจ้ายังเรียกข้าว่าพี่ใหญ่ ก็บอกมาว่าซ่อนหลิวเจียวเหมยไว้ที่ใด!” “แค่สตรีนางหนึ่งเป็นแค่หญิงรับใช้ พี่ใหญ่จะต้องสนใจไปไย” “นางเป็นคนของข้า!” “ข้ารู้” หยางไห่เทายังคงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เขาเตรียมใจมาเจอเรื่องเช่นนี้แล้วจึงไม่ได้หวาดกลัวสิ่งใด เขายกมือขึ้นแตะหลังมือพี่ใหญ่เป็นเชิงเตือนให้ปล่อยมือ แม่ทัพหนุ่มรู้ดีว่าทำไม่ถูกนัก แต่เขาระงับใจไว้ไม่อยู่ ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกก่อนปล่อยมือจากเสื้อของน้องชาย หยางไห่เทาพรูลมหายใจเบาๆ พลางจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่แล้วผายมือเชิญให้พี่ใหญ่นั่งลงก่อน เขารินน้ำชาด้วยตนเองแล้วส่งให้ “พี่ใหญ่ไม่ต้องการนางแล้ว จะรั้งนางไว้เพื่อสิ่งใด มิสู้ปล่อยให้นางได้ใช้ชีวิตของตนมิดีกว่าหรือ?” “ผู้ใดบอกว่าข้าไม่ต้องการนาง” เขา
บ้านเมืองสงบสุขไปหรือไร ไฉนทุกคนถึงได้เป็นห่วงเป็นไยว่าเขายังไม่ได้แต่งงาน หยางเฟยหลิงหงุดหงิดในใจทว่าไม่สามารถแสดงสีหน้าหรืออารมณ์ออกมาได้ เขายังคงนั่งจิบน้ำชาอย่างไร้ความรู้สึกต่อหน้ารัชทายาทฝูไหลที่นัดหมายพบหน้าเขาถึงที่จวน โดยแจ้งว่ามีใบชาชั้นเลิศมอบให้ คนอย่างเขาดื่มสุรามากกว่าน้ำชาด้วยซ้ำ เหตุใดจึงมอบใบชาให้เขากันเล่า และสุดท้ายก็สอบถามเขาเรื่องตบแต่งภรรยา “แม่ทัพหยางไม่ถูกใจน้องสาวของข้ารึ หรือเจ้าชอบองค์หญิงคนไหน ข้าสามารถพูดกับเสด็จพ่อได้” “ฐานะกระหม่อมไม่คู่ควร โปรดเลิกคิดเรื่องเหล่านี้เถิด” ฝูไหลไม่โกรธแต่กลับหัวเราะออกมา “หรือแม่ทัพหยางมีหญิงในดวงใจจึงไม่พึ่งใจพี่สาวน้องสาวของข้า” หญิงในดวงใจ เขาไม่เคยคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง ตั้งแต่รับหลิวเจียวเหมยไว้ข้างกาย เขาก็ไม่ต้องสตรีนางใดอีก เขาชอบเวลาที่มีนางอยู่ใกล้ๆ นางเหมือนสายน้ำไหลเย็นที่ไร้เสียง แต่รับรู้ได้ว่ามีตัวตนในขณะเดียวกันก็ซุกซ่อนอีกด้านที่ไม่เปิดเผยให้ผู้อื่นได้สัมผัส ท่าทางแง่งอนหรือดื้อรั้น ภายใต้ท่าทีอ่อนน้อมเช่นนางจะหัวแข็งไ
ปลายจมูกโด่งกดซุกไซ้ที่ซอกคอขาวผ่อง หญิงสาวบิดตัวไปมาพลางยกมือขึ้นปัดป้อง ทว่าสองมือกลับถูกกดลงข้างตัวทำให้คนที่หลับใหลผวาตื่นจ้องมองใบหน้าผู้บุกรุกยามวิกาล “ท่าน...ท่านแม่ทัพ...” “หรือเจ้าคิดว่าเป็นผู้ใด” น้ำเสียงหงุดหงิดเคล้ากับกลิ่นสุรารสแรงทำให้หลิวเจียวเหมยตัวเกร็งและไม่กล้าขยับตัวส่งเดชอีก ท่าทางตื่นกลัวของนางทำให้หยางเฟยหลิงหงุดหงิด เหตุใดนางจึงดูกลัวเขานักนะ ทั้งที่ร่วมหลับนอนกันมาหลายครั้งหลายคราแล้ว“ตอบสิ”“....” หญิงสาวปรับสายตาครู่หนึ่ง ยามนี้ร่างใหญ่โตของเขาคร่อมร่างนางอยู่ ไอร้อนจากตัวบุรุษโอบล้อมราวย้ำเตือนว่านางไม่อาจหลบหนีไปได้“ข้า...ข้าไม่ได้รอผู้ใดเจ้าค่ะ” ‘ข้ามีสิทธิ์รอหรือ? ข้าเป็นเพียงสาวใช้อุ่นเตียงท่านแม่ทัพ จะมีสิทธิ์ทำสิ่งใดได้’คล้ายไม่พอใจกับคำตอบที่ได้ยิน ริมฝีปากเจือรสสุราทาบทับลงมาจูบกลีบปากดุจกลีบกุหลาบ เขาขบเม้มริมฝีปากนางอย่างแรงจนหญิงสาวนิ่วหน้าเพราะความเจ็บ ร่างกายดิ้นรนต่อต้านแต่ไม่อาจสู้แรงอีกฝ่ายและแน่นอนว่าเขาไม่ได้ออกแรงเลยสักนิด ยิ่งนางต่อต้านเขายิ่งอยากเอาชนะ มือที่ว่างอีกข้างกระชากเสื้อของนางเปิดอ
คนเป็นน้องอ้าปากจะพูดแต่หญิงสาวยกน้ำชาเข้ามาก่อน แม้นางสวมชุดสาวใช้แต่กิริยามารยาทอ่อนช้อยงดงามสมกับเป็นคุณหนูในตระกูลเก่าแก่ หากไม่เพราะเลือกข้างผิดคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้ หญิงสาวรินน้ำชาเสร็จก็ค่อยๆ ก้าวออกไปอย่างเงียบเชียบโดยไม่ต้องให้ใครเอ่ยปากขับไล่ แม่ทัพหยางมองร่างบอบบางเดินออกไปแล้วจึงย้ายสายตามาจ้องมองน้องชาย “พี่ใหญ่คงรู้แล้วว่าข้าป่วยทางใจ หมอที่ใดก็เยียวยามิได้” หยางไห่เทายกน้ำชาขึ้นจิบเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่อ “ไม่อาจกล่าวโทษพี่ใหญ่ที่ทำให้ครอบครัวเราจากเดิมที่เป็นเพียงคนยากไร้ได้กลับกลายเป็นคนตระกูลสูงส่งมีผู้คนนับหน้าถือตา แต่สิ่งเหล่านั้นสร้างความกดดันให้ข้าไม่น้อย ไม่ว่าจะทำสิ่งใดมักถูกนำไปเปรียบเทียบกับพี่ใหญ่ผู้เกรียงไกรในสนามรบ” “เหลวไหล ข้าเป็นพี่ใหญ่ของเจ้านะ” หยางไห่เทาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนคลี่ยิ้มเหนื่อยล้า“พวกเรารู้ดีว่าพี่ใหญ่ทำเพื่อครอบครัวมากเพียงใด แต่พวกเราก็หนักใจที่ต้องรับมือกับความเปลี่ยนแปลงมากมายที่มาพร้อมฐานะที่สูงขึ้น” “ข้าไม่รู้ว่า...” “เรื่องนี้พี่ใหญ่ไม่ผิด ท่านเองก็รู้ว่าในวังหลวงมี
“ท่านแม่พูดว่า...น้องเล็กจะกลับมาแล้วหรือขอรับ” “ใช่” หากหยางไห่เทากลับมา...น้องชายคงอยากพบหลิวเจียวเหมยเป็นแน่ แม้หลิวเจียวเหมยเคยพูดกับเขาว่านับหยางไห่เทาเป็นสหาย แต่น้องชายของเขาเล่าคิดเช่นไรกับสตรีผู้นี้? อาหารเลิศรสกลายเป็นฝืนคอไปทันที หลังจากกินอาหารเสร็จ พ่อลูกนั่งจิบชาอยู่ครู่หนึ่ง หยางเฟยหลิงจึงขอตัวกลับ ระหว่างที่เดินออกมานั้น เด็กน้อยวิ่งถลาเข้ามาทางเขาอย่างไม่ตั้งใจ “ตงตงระหว่างชนท่านลุง” น้องชายคนรองร้องห้ามแต่ไม่ทันเสียแล้ว เด็กน้อยวัยสิบขวบวิ่งชนเข้าไปเต็มที แต่หยางเฟยหลิงคว้าร่างเล็กไว้ได้ทันก่อนจะชนกับเขาเข้า ซึ่งถ้าอาจทำให้เด็กน้อยเจ็บตัวได้ เด็กชายตัวจ้อยแหงนหน้ามองบุรุษร่างสูงใหญ่ด้วยความไม่คุ้นเคย ดวงตากลมกะพริบตาปริบๆ แล้วหันไปทางบิดาที่เดินตามมา “ท่านลุง?” “นี่ท่านลุงของเจ้า” น้องชายคนรองหัวเราะเบาๆ แล้วอุ้มเจ้าจอมซนเอาไว้ “พี่ใหญ่ไม่เป็นไรกระมัง” “ข้าจะเป็นอะไรได้” เขามองเด็กน้อยแล้วยิ้ม “พี่ใหญ่ก็กลับมาบ้านบ่อยๆ ลูกข้าจะได้จำหน้าท่านลุงได้...หรือไม