“ดีเสียอีกที่จัดการคนเช่นนี้ได้ แคว้นของเราคงจะสงบสุขขึ้นไปอีกหลายสิบปี”
“ใช่ข้าก็ว่าอย่างนั้น ตระกูลหม่าพวกมันช่างกล้านักที่ทำเช่นนี้ “
” ข้าก็ว่าอย่างนั้น “
ระหว่างทางที่เดินไปลานประหาร หนิงเซียนกับลี่หลินก็ยังได้ยินคำสาปแช่งของชาวบ้านไม่ขาดสาย หนิงเซียนมองไปที่เหล่าชาวบ้านพวกนั้นด้วยสายตาที่โกรธเคือง นางเชื่อว่าครอบครัวของนางไม่ทำอย่างนั้นอย่างแน่นอน
“คุณหนูเจ้าคะ ใจเย็นๆ นะเจ้าคะ เราต้องไปให้ถึงลาน…ประหารเจ้าค่ะ” ลี่หลินเอ่ยบอกหนิงเซียนด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เมื่อถึงเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ พลางมองมาที่หนิงเซียน คุณหนูของนางจะแบกรับมันได้หรือ
“……” หนิงเซียนหันมาของหน้าลี่หลินด้วยสายตาที่แดงก่ำ
ลี่หลินบีบมือเล็กเพื่อให้กำลังใจ นางสัมผัสได้ว่ามือของหนิงเซียนมันเย็นจนน่าเป็นห่วง
“คุณหนูกลับหรือไม่เจ้าคะ” ลี่หลินเอ่ยถามความคิดเห็น
“ไม่…เจ้าค่ะ ข้าอยากเห็นท่านแม่และคนอื่นๆ เป็น…ครั้งสุดท้าย” หนิงเซียนกลั้นใจที่จะพูดคำสุดท้ายออกมา นางรู้สึกว่ามันอยากเสียเหลือเกิน
“เจ้าค่ะคุณหนู” ลี่หลินพาหนิงเซียนได้ยังลานประหารอย่างรวดเร็วเท่าที่จะทำได้ แต่มันก็ยากเมื่อพวกนางมาถึงพบว่ามีคนจำนวนไม่น้อยมาชมการประหารของตระกูลหม่า ทำให้บริเวณของหนิงเซียนกับลี่หลินอยู่ประมาณตรงกลางของลาน
หนิงเซียนมองไปยังลานประหาร ภาพที่เห็นทำให้นางกลั้นน้ำตาไม่อยู่อีกครั้ง สภาพของท่านแม่ ท่านยายและน้องชายของนางเพียงแค่คืนเดียว ดวงตาของท่านแม่และท่านยายเต็มไปด้วยสายตาเรียบนิ่งดูไม่ได้หวาดกลัวกับเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้เลย ส่วนน้องชายของนางที่นางพึ่งจะเจอเป็นครั้งแรกดวงตาที่แดงก่ำคล้ายกับคนที่ร้องไห้มาทั้งคืน
เสียงกลองดังกระหึ่มทำให้หนิงเซียนละสายตาจากเฟินเยว่น้องชายของนาง หันไปมองทหารคนหนึ่งเดินออกจากแล้วเอ่ยประกาศเสียงดัง
“ตระกูลหม่าทำผิดกฎร้ายแรง ก่อกบฏ ฆ่าชาวบ้านด้วยความเหี้ยมโหด ไม่มีเมตตาต่อคนในแคว้น เป็นภัยต่อบัลลังก์ โทษอย่างหนักที่ไม่อาจเว้นได้ถูกประหารทั้งตระกูล” สิ้นเสียงของนายทหารคนนั้น มือดาบก็ออกมาเตรียมตัว
“คุณหนู…” ลี่หลินเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่น หลังจากสิ้นสุดคำพิพากษา หนิงเซียนทรุดลงไปต่อหน้าต่อตานางจนนางต้องเข้าไปประคองให้ลุกขึ้น ตัวนางนั้นก็รับไม่ได้คำพิพากษากล่าวว่าร้ายให้ตระกูลหม่ามากเกินไป
“……” หนิงเซียนมองไปที่ท่านแม่ของนางอีกครั้งผ่านม่านน้ำตา เป็นเวลาที่ท่านแม่ของนางเผลอหันมาสบตากับนาง สายตาที่เต็มไปด้วยความรักความห่วงใย ก่อนที่ซูหนี่ว์จะส่งยิ้มให้นางชั่วพริบตามองดาบฟันลงมาที่คอของซูหนี่ว์เลือดสีแดงสดพุ่งไปรอบด้าน
ภาพที่หนิงเซียนเห็นครอบครัวของนางถูกประหารไปทีละคนต่อหน้าต่อตา หนิงเซียนหันมาซบลงที่อกของลี่หลิน พลางกลั้นสะอื้นจนตัวโยน ภาพที่ท่านแม่ส่งยิ้มให้นางยังคงติดตาอยู่ ตอนนี้ท่านแม่ ท่านยายและน้องเล็กของนางไม่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้อีกแล้ว
“กลับบ้านเรากันเจ้าคะคุณหนู” ลี่หลินเอ่ยขึ้น นางกอดหนิงเซียนให้กำลังใจตอนนี้ผู้คนกำลังเดินกลับกันแล้ว ตัวนางต้องใช้โอกาสนี้กลับไปด้วยเดี๋ยวตัวคุณหนูของนางจะซวยถ้าพวกมันมาเห็นเข้า
“……” หนิงเซียนพยักหน้าทั้งที่ยังซบอยู่กับอกของลี่หลิน นางไม่อยากหันกลับไปเห็นอีก นางอยากเก็บภาพที่ท่านแม่ส่งยิ้มให้กับนางเพียงเท่านั้น
ลี่หลินพาหนิงเซียนเลือนหายไปกลับผู้คน พวกนางทั้งสองจ้างเกวียนวัวมาส่งที่หมู่บ้าน ตลอดทางหนิงเซียนมองไปข้างทางด้วยสายตาเลื่อนลอย ลี่หลินที่เห็นหนิงเซียนเป็นอย่างนั้นนางก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน ตั้งแต่ที่นางเลี้ยงหนิงเซียนมาตั้งแต่เล็กนางก็ไม่เคยเห็นน้ำตาของหนิงเซียนสักครั้งเลย
“คุณหนูถึงบ้านแล้ว พวกเราเข้าบ้านกันเถิดเจ้าคะ” ลี่หลินเอ่ยเรียกหนิงเซียนที่ยังเหม่อลอยนั่งอยู่บนเกวียน
หนิงเซียนที่ได้ยินเสียงเรียกก็หันมาที่ลี่หลิน มองไปเห็นว่าพวกนางกลับมาถึงบ้านแล้วจึงค่อยๆ ลงจากเกวียนโดยมีลี่หลินประคอง ดวงตากลมตัวมองมาที่บ้านหลังน้อยด้วยสายตาที่สิ้นหวัง หมดแล้วความฝันที่ท่านพ่อท่านแม่และคนอื่นๆ มาหานางที่บ้านหลังนี้ หมดแล้วที่นางกลับไปจวนหลังนั้น หนิงเซียนทิ้งตัวลงพื้นก่อนน้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ จนในที่สุดมันก็กลั้นไม่อยู่อีกต่อไป
เสียงร้องไห้ที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด เสียงร้องไห้ที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง มันเจ็บปวดราวจะเจียนตาย ท่านพ่อท่านแม่ พวกท่านจะรู้หรือไม่ว่าหนิงเซียนคนนี้เจ็บปวดเหลือเกิน
“ฮือ…”
ลี่หลินที่เห็นน้ำตาของหนิงเซียนนางเองก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่ แม้แต่นางยังทำใจไม่ได้แล้วหนิงเซียนหญิงสาวผู้ที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขด้วยแล้วจะรับมันได้หรือ
เกือบหนึ่งชั่วยามที่ทั้งสองนั่งร้องไห้อยู่หน้าบ้าน เป็นลี่หลินที่ได้สติขึ้นมาก่อน นางมองไปเห็นว่าหนิงเซียนหลับไปแล้ว ตามแก้มยังคงมีคาบน้ำตา รอบดวงตาบวมแดง นางจึงลุกขึ้นไปประคองหนิงเซียนขึ้นมาแล้วพาไปยังห้องนอน นางนำผ้าชุบน้ำมาเช็ดตามเนื้อตามตัว เช็ดใบหน้าที่เต็มไปด้วยคาบน้ำตา ต่อจากนี้คงต้องเป็นนางที่เป็นที่พึ่งให้กับหนิงเซียน
เช้ามืดวันรุ่งขึ้น…
ลี่หลินตื่นแต่เช้ามืด ตลอดทั้งคืนมีเรื่องให้คิดมากมายจนทำให้ตัวนางไม่หลับจนถึงตอนนี้ลี่หลินยังไม่รู้สึกง่วง จึงมาดูหนิงเซียนว่าเป็นอย่างไรบ้าง
“โถ่…คุณหนูของนม” ลี่หลินเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นที่เห็นขอบตาของหนิงเซียนบวมแดง ดูท่าเมื่อคืนหนิงเซียนน่าจะร้องไห้อีกครั้งจนหลับไป
ลี่หลินเห็นอย่างนั้นนางไปเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดดวงหน้าให้กับหนิงเซียน นางก็ได้แต่หวังว่าเวลาจะช่วยเยียวยาหญิงสาวตรงหน้าของนาง
หลังจากจัดการเรียบร้อยมั่นใจว่าหนิงเซียนจะไม่ตื่นขึ้นมาช่วงเวลานี้ นางจึงออกจากห้องไปเตรียมมื้ออาหารไว้รอหนิงเซียน
“ว้าย…” เปิดประตูหน้าบ้านออกมาลี่หลินร้องด้วยความตกใจ มีชายชุดดำนอนคว่ำหน้าอยู่ที่หน้าประตูบ้านของนาง ทั้งยังได้กลิ่นคาวเลือดลอยมาจากชายชุดดำตรงหน้านั้นอีก
ลี่หลินนางถอยหลังด้วยความตกใจ เหตุใดถึงมีชายชุดดำมานอนอยู่ตรงหน้าบ้านของนาง จึงกวาดสายตาไปรอบๆ บ้าน แต่มองอย่างไรก็ไม่พบความผิดปกตินอกจากชายชุดดำที่ไม่รู้ว่าตายหรือยังตรงหน้า
แต่บังเอิญสายตาของลี่หลินเหลือบไปเห็นหยกที่คาดเอวของชายชุดดำ ทำให้นางเข้าไปหาโดยเร็ว
” หยกตระกูลหม่า “ ลี่หลินใช้แรงอันน้อยนิดของหญิงชราพลิกร่างชายหนุ่มตัวโต มองไปที่หยกชิ้นนั้นนางมั่นใจได้ว่าเป็นของตระกูล
เอามือไปอังที่จมูกของชายชุดดำ พบว่าชายชุดดำยังมีชีวิตอยู่แต่ดูจากอาการแล้วค่อนข้างหนักอยู่พอสมควร เปิดผ้าคลุมที่ปิดหน้าออกพบว่าเป็นคนที่นางคุ้นเคย
“ซีฮัน” องครักษ์ประจำตัวของนายท่าน นางจึงรีบเข้าไปเอาอุปกรณ์ทำแผลของหนิงเซียนมารักษาให้กับซีฮัน ตั้งแต่หนิงเซียนอายุได้สิบหนาวนางก็เริ่มสนใจในด้านการแพทย์เริ่มจากศึกษาจากตำรา พอเริ่มมีความรู้ก็เริ่มที่จะลองรักษาให้กับเหล่าสัตว์ และตอนที่อายุสิบเก้าหนาวหนิงเซียนก็เริ่มที่จะรักษาคนในหมู่บ้านโดยมีลี่หลินคอยเป็นลูกมือทำให้นางพอที่จะมีความรู้มาบ้าง
เช้าวันรุ่งขึ้น…ในตำหนักของหนิงเซียนต่างวุ่นวายตามหาหมอหลวงอย่างเร่งรีบ เมื่อพบว่าหนิงเซียนโดนทำลายร้ายตอนนี้ทั้งวังหลวงต่างอยู่ในความตื่นตระหนก เหตุใดเมื่อคืนถึงบังอาจมีผู้ลักลอบเข้ามาทำลายว่าที่ฮองเฮาได้“ฝ่าบาทหมอหลวงมาแล้วเจ้าค่ะ” เข่อซิงวิ่งมาพร้อมกับหมอหลวง เข้ามาในห้องของที่มีร่างของหนิงเซียนนอนเจ็บอยู่ที่แขนของนางนั้นยังมีเลือดซึมอยู่ตลอดหมอหลวงเข้ามาแล้วก็รีบจัดการกับแผลของหนิงเซียน “ฝ่าบาทพระองค์โปรดออกไปก่อนได้หรือไม่ ข้าต้องใช้สมาธิอย่างมากในการรักษาคุณหนูหนิงเซียน” หมอหลวงหันมาบอกจางหมิงที่ยังยืนอยู่ในห้องดู“ข้า…” ทีแรกจางหมิงมีท่าทียึกยัก แต่พอคิดว่าจะต้องรีบรักษาหนิงเซียนให้เร็วที่สุดจึงตัดสินใจออกจากห้องไปพอหมองหลวงเห็นว่าฝ่าบาทออกไปแล้วก็หันมารักษาให้กับหนิงเซียน หยิบยาขึ้นมาก่อนจะป้อนให้กับหนิงเซียน ดวงตาที่หลับอยู่ของหนิงเซียนเปิดขึ้นทันทีคว้ายาในมือของหมอหลวงก่อนจะป้อนใส่ปากของหมอหลวงอย่างรวดเร็วนางตวัดร่างขึ้นก่อนจะล็อกร่างของหมอหลวงไว้ให้กลืนยาเม็ดนั้นลงไป ด้วยความที่ร่างหมอหลวงบอบบางเกือบเท่านางทำให้หมอหลวงไม่สามารถขัดขืนได้เลยทำใจต้องกลืนยาเม็ดนั้นลงไป“เจ
“เจ้าหัวเราะอันใด” ซูเม่ยมองไปที่หนิงเซียนอย่างไม่เข้าใจ เหตุใดมันจึงไม่เป็นไปตามที่นางคาดไว้“ข้าแค่เพียงชื่นชมในบทละครที่คุณหนูซูเม่ยตั้งใจเล่นเป็นอย่างมาก แต่เพียงคุณหนูบทของท่านกลับไม่เป็นจริงสักเรื่อง”“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”“ท่านยังต้องถามข้าอีกหรือ ข้าอยากจะรู้นักว่าคนที่ไปสืบเรื่องนี้มาเหตุใดจึงสืบมาได้เพียงแค่นี้ เรื่องราวที่เหตุขึ้นที่ซีฉินออกจะใหญ่โต งั้นตัวข้าหนิงเซียนจะเล่าให้ทุกคนฟังในเรื่องที่ถูกต้อง จะได้เล่าเรื่องของตระกูลข้าได้อย่างตรงไปตรงมาไม่บิดเบือน” หนิงเซียนไล่สายตาไปหาผู้คนในงานนี้ ผู้ที่เผลอสบสายตากับนางก็รีบหลบสายตาหนีทันที“เรื่องที่ตระกูลหม่าของข้าถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏนั้นเป็นความจริง แต่มันก็เป็นสิ่งที่ตระกูลข้าถูกใส่ร้ายเท่านั้น พวกบ้าหลงระเริงอยู่ในอำนาจหวาดกลัวต่อตระกูลของข้าที่ย่อมสละเลือดเนื้อเพื่อแผ่นดิน คุณหนูซูเม่ยต่อจากนี้ท่านจงตั้งใจฟังให้ดี… “หนิงเซียนจ้องเข้าไปในดวงตาของซูเม่ยที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก” ตัวข้ากองทัพทมิฬของท่านพ่อข้าและยังมีกองทัพหนันเหลียงร่วมจัดการโค่นบัลลังก์ตระกูลราชวงศ์องค์ก่อนนั้นคือสิ่งที่คุณหนูซูเม่ยขาดหายไป” หลังจาก
ภายในท้องพระโรง“ฝ่าบาทมีม้าเร็วจากซีฉินส่งสารมาว่าเหล่าคณะขุนนางของซีฉินจะมาเยี่ยมเยือนหนันเหลียงในอีกห้าวันข้างหน้าขอรับ” สิ้นสุดเสียงของนางกองทำให้เหล่าขุนนางในท้องพระโรงต่างถกเถียงกันกับการมาเยือนของคณะซีฉินในครั้งนี้ เพราะทั้งสองแคว้นนั้นก็นับว่าไม่ได้ปรองดองกันถึงขนาดที่ว่าจะไปมาหาสู่กันได้แต่ข้อถกเถียงก็ข้อถกเถียงเมื่อจางหมิงสั่งให้ขุนนางทุกคนเตรียมความพร้อมให้ดีในการมาเยือนของคณะซีฉินอีกห้าวันข้างหน้า“คุณหนูเจ้าคะ คณะจากซีฉินจะมาเยี่ยมเยือนที่นี่ในอีกห้าวันข้างหน้า” เหมยฮวาเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น“ท่านลุงจะมาที่นี่หรือ” หนิงเซียนแปลกใจเหตุใดนางถึงไม่รู้ข่าวเกี่ยวกับซีฮัน“ใช่เจ้าค่ะ ตอนนี้ฝ่าบาทสั่งให้เหล่าขุนนางเตรียมความพร้อมต่างๆ ท่านซ่งเสี่ยนเองก็เริ่มสั่งให้นางกำนัลเตรียมการสถานที่วังหลวงรอแล้วเจ้าค่ะ”หนิงเซียนพยักหน้าเข้าใจ นางก็อยากรู้ว่าที่ซีฮันมาเยือนหนันเหลียงครั้งนี้ด้วยเหตุอันใด “คงจะมีเรื่องให้ตื่นเต้นอีกแล้ว”ห้าวันผ่านไปตลอดเวลาที่ซีฉินส่งมาแล้วมาว่าจะมาเยี่ยมเยือนให้อีกห้าวันข้างหน้า คนในวังหลวงต่างมีหน้าที่จัดเตรียมสถานที่ให้พร้อม และวันนี้เป็นวันที่คณะของ
“คุณหนูเกิดเรื่องใหญ่เข้าเจ้าค่ะ” เสียงของเข่อซิงดังมาตั้งแต่หน้าตำหนัก ทำให้หนิงเซียนที่กำลังนั่งอยู่ในห้องยาต้องออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น“เกิดอะไรขึ้นหรือเข่อซิง” ท่าทีของเข่อซิงดูร้อนรนไม่น้อย“ข่าวเกี่ยวกับท่านเจ้าค่ะ ตอนนี้ในเมืองต่างกล่าวถึงตัวท่านอย่างสนุกเลยเจ้าค่ะ เกี่ยวกับที่ตระกูลหม่าของท่านเป็นตระกูลแม่ทัพที่ก่อกบฏร้ายแรงสังหารชาวบ้านไม่เว้น แต่ดีที่ราชวงศ์ของตงหยางสั่งประหารได้ทัน พวกเขายังเล่นกันอีกกว่าเป็นท่านที่หนีรอดมาได้” เข่อซิงที่ออกไปซื้อของให้กับลี่หลิน นางจึงบังเอิญได้ยินเข้าหนิงเซียนได้ยินอย่างนั้นก็ไม่ได้มีท่าทีเปลี่ยนแปลงไปมากนัก” งั้นหรือเจ้าจะตกใจไม่ใย “ทำให้เข่อซิงสงสัยไม่น้อยตอนนี้ตระกูลของท่านกำลังถูกมองไม่ดีอยู่นะเจ้าคะ” แต่… “” มันไม่ใช่ความจริง เหตุใดข้าต้องเป็นเดือดเป็นร้อนกับเรื่องพวกนั้นด้วยล่ะ“เรื่องที่กล่าวมาไม่เป็นความจริงทั้งสิ้น เหตุใดจึงไม่บอกไปด้วยละว่านางคนนี้ที่เป็นคนล้มราชวงศ์ซีฉินกับมือเอง” เจ้าค่ะ “เข่อซิงพยักหน้าตอบรับ ในเมื่อหนิงเซียนไม่ดูเดือดร้อนกับข่าวที่เกิดขึ้นเลยนางก็หาได้เดือดร้อนไม่“ขบวนองค์หญิงสามเสด็จ” เสียงของใครบางคนดัง
หนิงเซียนที่ได้ฟังเรื่องราวของก็รู้สึกสงสารจางหมิงไม่น้อย เป็นถึงเชื่อราชวงศ์ใช่ว่าจะสุขสบาย ต้องคอยระวังภัยกันเอง“แล้วฝ่าบาทจะตื่นจากบรรทมเมื่อใด”“หากไม่มีดอกไม้นั้นแล้ว กว่าพิษที่อยู่ในร่างกายของจางหมิงจะหายหมด ข้าคิดว่าอย่างต่ำสี่ถึงห้าวัน”ซ่งเสี่ยนพยักหน้าอย่างโล่งใจ คิดว่าจางหมิงจะเป็นอะไรไปมากกว่านี้เสียอีกเมื่อจัดการตรงนี้เสร็จรีบร้อยนางจึงลาซ่งเสี่ยนกลับตำหนักวันนี้นางคิดที่จะไปเยี่ยมพวกเสี่ยวเปาเสียหน่อย นางเดินมาถึงทางออกเห็นว่ามู่เฉินยืนอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้านิ่งเรียบ” มีอันใดหรือมู่เฉิน “” คุณหนูท่านจะกลับตำหนักแล้วหรือขอรับ “” ใช่ ว่าแต่เกิดอันใดขึ้น “” ตอนนี้เหล่าขุนนางต่างหมายจะเข้ามาเยี่ยมฝ่าบาทขอรับ “ตอนนี้มีเหล่าขุนนางประมาณหกเจ็ดคนยืนรออยู่หน้าตำหนักของจางหมิงเพื่อหวังจะเข้ามาดูอาการ” มีทางออกอื่นหรือไม่ “หนิงเซียนเองก็ไม่อยากปะทะขุนนางพวกนั้นในตอนนี้หรอกมู่เฉินได้ยินอย่างนั้นก็พยักหน้า ทางลับของตำหนักของฝ่าบาทย่อมมีอยู่แล้ว” ตามข้ามาขอรับ “หนิงเซียนเดินตามมู่เฉินออกไปทางลับที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของตำหนัก” ทางเดินไปทางนี้แล้วเลี้ยวซ้าย ท่านจะไปออกหลังน้ำตกใ
ทันทีที่นางเข้ามาในห้องบรรทมของจางหมิง สิ่งที่ทำให้นางขมวดคิ้วอย่างแรกก็คือกลิ่นของกำยานนางรู้สึกว่าในกลิ่นของกำยานนี้มีบางอย่างแอบแฝงอยู่ แต่นางปล่อยผ่านมองไปที่เตียงก็เห็นร่างอันคุ้นเคยนอนแน่นิ่งอยู่กับเตียง ผิวกายซีดขาวราวกับคนตายระหว่างนั้นนางก็ยืนรอเพราะตอนนี้กำลังมีหมอหลวงคอยตรวจอาการของจางหมิงอยู่“หมอหลวงอาการของฝ่าบาทเป็นเช่นไรบ้าง” หลังจากที่หมอหวังเหว่ยตรวจเสร็จแล้วก็เข้าไปถามหมอหลวงหันมาพบว่ามีหญิงสาวผู้หญิงยื่นจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาเรียบนิ่งก็ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยตอบหวังเหว่ย “อาการฝ่าบาทคล้ายคนปกติ ชีพจรเต้นมั่นคงดูเหมือนคนแข็งแรงทั่วไปแต่ที่ข้าสงสัยคือผิวที่ซีดราวกับคนตายของฝ่าบาท ข้าคงต้องขอไปปรึกษาหารือกลับหมอหลวงคนอื่นๆเสียก่อน ท่านองครักษ์หวังเหว่ยท่านโปรดวางใจ” หมองหลวงเอ่ยตอบพลางเหลือบตาไปมองหญิงสาวที่ยืมอยู่ในห้องนี้อีกคน“เช่นนั้นก็ขอบคุณท่านมาก คุณหนูเชิญท่านตรวจดูอาการของฝ่าบาทได้เลย” หวังเหว่ยเอ่ยขอบคุณหมอก่อนจะหันมาบอกกับหนิงเซียน“ไม่ได้ ท่านหวังเหว่ยนางเป็นใครกล้าดีอย่างไรถึงให้นางมาจับตัวฝ่าบาทท่านไม่รู้หรือว่าตอนนี้ฝ่าบาทกำลังจะประชวรอยู่” หมอหลวง